ความคิดเห็นที่ 1 สถานที่แรกที่ได้ไปเยือนคือ บันทายศรี ซึ่งในสมัยก่อนอาณาจักรขอมจะนับถือศาสนาฮินดู โดยจะมีการแบ่งชนชั้นวรรณะเป็น 4 ชนชั้น ก็คือ กษัตริย์ พราหมณ์ ประชาชน และชนชั้นรับใช้ โดยปราสาทนี้เจ้าของจะเป็นพราหมณ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างปราสาทให้ใหญ่โตเหนือกว่าปราสาทของกษัตริย์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทนี้เป็นหนึ่งในปราสาทที่ไม่ควรพลาดหากว่าได้ไปเที่ยวนครวัต นครธม เนื่องจากว่าเป็นปราสาทที่มีลวดลายการแกะสลักที่งดงามมาก ซึ่งการแกะสลักส่วนมากจะเป็นภาพนูนสูง จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 20:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รูปที่เอามาให้ดู เป็นรูปของนรสิงห์ (ครึ่งล่างเป็นคน ครึ่งบนเป็นสิงห์) ซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์ โดยในรูปเป็นรูปของนรสิงห์กำลังแหวกอกยักษ์ที่ชื่อ ฮิรานกาสิปุ โดยสาเหตุเนื่องมาจากว่า ในอดีตยักษ์ตนนี้เป็นข้ารับใช้ของพระนารายณ์ และประพฤติตัวดีมาก ๆ พระนารายณ์จึงให้พรแก่ยักษ์ตนนี้ โดยให้พรว่า จะไม่โดนฆ่าโดยสัตว์ ไม่โดนฆ่าโดยคน ไม่โดนฆ่าโดยเทพ ไม่โดนฆ่าตอนกลางวัน ไม่โดนฆ่าตอนกลางคืน ไม่โดนฆ่าในบ้าน ไม่โดนฆ่านอกบ้าน อาวุธต่าง ๆ ไม่สามารถฆ่ายักษ์ตนนี้ได้      หลังจากได้รับพรจากพระนารายณ์ ยักษ์ก็เริ่มหลงตัวเอง เที่ยวเกเร ท้ารบ ท้าประลองกับสัตว์ มนุษย์ เทพต่าง ๆ จนสวรรค์เดือดร้อน และไม่มีใครสามารถทำอันตรายยักษ์ตนนี้ได้ จนพระนารายณ์ทราบเรื่องก็เลยอวตารตัวเองเป็นนรสิงห์ลงมาต่อสู้กับยักษ์ตนนี้ พอต่อสู้กันไปได้สักพัก นรสิงห์ก็ถามยักษ์ว่า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ยักษ์ไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์ พรที่พระนารายณ์ให้ก็เริ่มเสื่อมไปหนึ่งข้อ เนื่องจากนรสิงห์ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เทพ      การต่อสู้ก็ดำเนินต่อไปอีก จนถึงเวลาที่ไม่ใช่ทั้งกลางวัน ไม่ใช่ทั้งกลางคืน ก็คือเวลาโพล้เพล้ พรที่ให้ไว้ก็เสื่อมลงไปอีกข้อ นรสิงห์ต้อนยักษ์ไปจนอยู่บริเวณที่ไม่ใช่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ก็คือตรงธรณีประตู พรก็เสื่อมลงไปอีกข้อ แล้วนรสิงห์ก็ใช้กรงเล็บซึ่งไม่ได้เป็นอาวุธแหกอกยักษ์ตนนั้นที่ธรณีประตูนั่นเอง     จากเรื่องนี้ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาอย่างหนึ่งที่ว่าอย่าเหยียบธรณีประตู [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 20:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอาใหม่ รูปมันใหญ่ไป จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 20:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รูปนี้ต้องการจะโชว์ทับหลัง  จะเห็นความต่างระหว่างรูปของนรสิงห์ด้านบนกับรูปนี้ จะเห็นด้านล่างของรูปนี้จะมีฐานรองอยู่ ซึ่งไกด์อธิบายว่าตรงส่วนด้านล่างนี้จะเรียกว่าทับหลัง เนื่องมาจากว่า ไม่จำเป็นต้องแกะสลักให้เป็นเรื่องเดียวกับด้านบน และเป็นแผ่นหินแผ่นเดียวกัน ไม่ต้องรอการเรียงหินและพอแกะสลักเสร็จก็สามารถนำไปวางในที่ที่ต้องการได้เลย คือเอามาใส่ทีหลังได้ จึงเรียกว่าทับหลัง ย่อมาจากทับทีหลัง หรือว่าใส่ทีหลังได้นั่นเอง ผิดถูกประการใด ก็ชี้แนะได้ค่ะ อันนี้เราฟังมาจากไกด์เราอีกทีน่ะ จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูปนี้จะเป็นรูปของพระอินทร์ซึ่งทรงช้างสามเศียร โดยเรื่องเล่าที่มีมีอยู่ว่า มีชาวบ้านที่แอบไปกินของที่เอามาเซ่นไหว้พระอินทร์ทำให้พระอินทร์โกรธมาก ดังนั้นจึงเสกให้ฝนตก 7 วัน 7 คืน ติดต่อกันโดยไม่หยุดเลย ซึ่งทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก แต่ก็มีคนมาช่วยก็คือ กฤษณะ (อยู่ด้านซ้ายของภาพ) ซึ่งกฤษณะยิงธนุขึ้นไปบนฟ้า จะเห็นได้ว่ามีแผงธนูบนท้องฟ้า นั่นก็คือธนูที่กฤษณะยิงไปเพื่อกั้นฝนซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ ฝนไม่ตกลงมาบนพื้นดินอีกเลย แต่กลับตกบนสวรรค์แทนจนน้ำท่วมสวรรค์ เหล่าเทวดาจึง ต้องไปขอร้องให้พระอินทร์ยกเลิกคำสาปที่ให้ฝนตก 7 วัน 7 คืนนั้นเนื่องจากคนบนพื้นดินนั้นไม่ได้เดือดร้อนอีกต่อไป แต่เป็นเหล่าเทวดาบนสวรรค์ที่เดือดร้อนแทน [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รูปใหญ่ไปอีกละ จะเห็นได้ว่ารูปนี้ก็มีทับหลังเหมือนกัน [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้าว ยังใหญ่อีกแฮะ ...กะว่าไม่เกิน 50 K แล้วนะ ....เอาใหม่ เอาใหม่ จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:25:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สำหรับรูปนี้เป็นรูปของพระอิศวรซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังค์ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นพระนางอุมากำลังขอร้องพระอิศวรให้ช่วยเหลือ (จำไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ว่าขอร้องให้ช่วยอะไร แต่ประมาณว่าให้ช่วยเหลือมนุษย์ หรือว่าให้ช่วยไปสู้กับศัตรูนี่แหละ ใครจำได้ช่วยบอกด้วยนะคะ) ซึ่งพระนางอุมาจริง ๆ ก็คือชายาของพระอิศวร แต่ว่าในรูปแกะสลักนี้ ไกด์บอกว่า พระอิศวรเมินเฉยต่อคำขอของนาง นางก็เลยไปขอร้องกามเทพ(อยู่ด้านบนขวามือของภาพ) ให้ช่วยมาแผลงศรเพื่อให้พระอิศวรรักนางอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ยอมทำตามที่นางต้องการ กามเทพก็มาแผลงศรใส่พระอิศวร พอพระอิศวรเห็นพระนางอุมาก็หลงรักเนื่องมาจากฤทธิ์กามเทพ แต่อย่างไรก็ตามพระอิศวรก็รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะกามเทพมาแผลงศรใส่ทำให้พระองค์รักพระนางอุมาด้วย ทำให้พระอิศวรโกรธก็เลยเปิดดวงตาที่สามแผดเผากามเทพตายไป ทำให้เป็นที่มาของคำว่า             *****ความรักไม่มีตัวตน********              ......ไกด์เขาบอกว่าอย่างนี้อ่ะนะ .... แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 49 21:51:42 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:47:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ใหญ่ไปอีกละ...เฮ้อ...เป็นอะไรเนี่ย วันนี้... จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 21:50:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 รูปนี้เป็นรูปของทศกัณฑ์ (ที่มีหัวหลาย ๆ หัวอยู่ด้านล่างของภาพ) มาลองดีกับพระอิศวรซึ่งอยู่ด้านบนกับพระนางอุมา โดยพระอิศวรจะอยู่บนเขาไกรลาศ วันดีคืนดีทศกัณฑ์มาที่เขาไกรลาศแล้วก็ทำการยกเขาไกรลาสและทำให้เขาไกรลาศสั่นไหว จนพระนางอุมาตกใจ จะเห็นได้ว่าพระนางอุมาตกใจจนมานั่งบนตักของพระอิศวร และทำให้เหล่าเทวดาเดือดร้อนด้วยเช่นกัน (อยู่ตรงส่วนกลางภาพ) ซึ่งทำให้พระอิศวรโกรธทศกัณฑ์มาก ก็เลยกดขาด้านซ้ายเหยียบลงไปบนพระที่นั่งซึ่งทำให้เขาไกรลาสที่ทศกัณฑ์กำลังยกอยู่นั้นหนักขึ้นมาก ๆ จะเห็นได้ว่าในภาพทศกัณฑ์คอเอียงไปเลย และพระอิศวรไม่ยอมถอนน้ำหนักออก ทศกัณฑ์ก็เลยติดอยู่ใต้เขาไกรลาสเป็นพัน ๆ ปี ซึ่งทำให้ทศกัณฑ์ได้รับความเจ็บปวด จนบางครั้งต้องส่งเสียงร้องออกมา และเสียงร้องของทศกัณฑ์ก็ทำให้เหล่าสัตว์ป่า พวกเสือ สิงห์ หวาดกลัว จากรูปจะเห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกสัตว์ป่า และพยายามถอยห่างจากทศกัณฑ์ จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 22:05:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 รูปนี้เป็นรูปสระสรง ซึ่งจะสงวนให้เฉพาะกษัตริย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการใช้สระนี้ในการสรงน้ำ โดยที่ถ้าหากว่าจับได้มีประชาชนคนธรรมดามาใช้สระนี้ก็จะโดนประหารชีวิต สระนี้รู้สึกว่าจะกว้างยาวประมาณ 300-500 เมตรได้นะคะ ไกด์เราบอกว่าถ้าเป็นภาษาเขมรจะเรียกว่า สะระสะหรง คือว่าเขาจะออกคำควบกล้ำชัดเจนมาก ๆ จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 22:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ภาพนี้จะเป็นทางด้านหน้าของปราสาทตาพรหม ซึ่งไกด์เราบอกว่า ปราสาทนี้จะมีทางเดินที่เคี้ยวคดลดเลี้ยวมาก ให้ระวังหลง และเมื่อก่อนจะมีทางเข้าทางหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก และออกทางทิศตะวันตก แต่ว่าตอนที่เราไปททางเข้ามันปิดเนื่องจากเขาปรับปรุงถนน ก็เลยต้องมาเข้าทางประตูทิศตะวันตก โดยที่ปราสาทนี้จะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยที่พระองค์ทรงสร้างปราสาทนี้ถวายแด่พระมารดา โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือศาสนาพุทธ จะแตกต่างจากกษัตริย์องค์อื่น ๆ ในสมัยนั้นที่ส่วนมากจะนับถือฮินดู จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 22:50:19 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ปราสาทตาพรหมนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา โดยจะเอาไว้จัดพิธีกรรมทางพุทธศาสนาต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน ปราสาทนี้จะมีซากหินปรักหักพังมากมาย เนื่องมาจากรากไม้ของต้นสะปรงมันไปทุกที่ทุกแห่ง แต่ละต้นมีอายุนับร้อย ๆ ปี แต่ว่าพอดูแล้วก็เสียดายจัง เพราะว่าพังไปเยอะมาก ๆ ไกด์เรามีแอบเล่นมุขด้วยนะ ตอนอยู่บนรถบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปดูปราสาทตาพรหม โดยที่ปราสาทนี้จะมีสิ่งที่ร้ายมากๆๆๆ แล้วพอไปถึงเราก็จะเจอไอ้ร้ายมาก ๆ นี่แหละ .... ซึ่งมันก็คือ รากไม้ นั่นเอง จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 22:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อย่างที่บอกว่าปราสาทตาพรหมเป็นปราสาที่เอาไว้ทำพิธีทางพุทธศาสนา ดังนั้นต้องมีการจุดเทียนเป็นธรรมดา แต่ว่ามีปัญหาคือ ภายในปราสาทมืดมาก ๆ แม้ว่าจะจุดเทียนแล้วก็ยังให้แสงสว่างไม่เพียงพอ จึงมีการเอาพลอยมาประดับเพื่อที่จะได้สะท้องแสงเทียน ว่ากันว่า มีการประดับพลอยถึง 3000 เม็ด แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราก็ได้เห็นร่องรอยของพลอยเหล่านั้นแค่เพียงรู ๆ ที่เห็นในรูปเท่านั้นเอง อีกอย่างที่น่าแปลกใจก็คือ ที่ปราสาทตาพรหมมีห้องชื่อว่า ห้องทุบอก ซึ่งเขาเล่ากันว่าเป็นห้องที่ใช้เพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วย โดยพอเดินเข้าไปในห้องให้ยืนพิงกำแพงแล้วก็อธิษฐานของให้อาการเจ็บป่วยหายไป จากนั้นก็ทุบอก จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา มันน่าแปลกตรงที่ว่าถ้าหากว่าเราตบมือ ตบท้อง ตีขา หรือที่ไหนก็ตามแต่ที่ไม่ใช่ทุบอก กลับไม่มีเสียงสะท้อนกลับมา แต่ว่าเราไม่ได้ถ่ายรูปห้องทุบอกมาด้วย เลยไม่มีมาโชว์อ่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 49 23:05:56 จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 23:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ภายหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็จะเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ที่เป็นบุตรของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่พระองค์นับถือศาสนาฮินดูและต่อต้านศาสนาพุทธ โดยได้สกัดเอารูปพระพุทธรูปที่อยู่ตามหน้าบันหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ออก รวมถึงมีการทำลายพระพุทธรูปที่อยู่ตามวัดต่าง ๆ ด้วย จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 23:15:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จากปราสาทตาพรหม ต่อไปก็เป็นปราสาทบายนซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน เดี๋ยวจะมาต่อพรุ่งนี้นะคะ ป.ล. แอบเศร้าเขียนมาตั้งนาน ไม่มีคนเข้ามาเยี่ยมเยียนบ้างเลยอ่ะ T-T จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 14 ก.พ. 49 23:17:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 รูปสวยค่ะแถมให้ความรู้เยอะดีค่ะ ไม่ทราบว่าไปเองหรือไปกับทัวร์คะ แล้วอากาศร้อนมากไม้คะ จากคุณ : kadegb (kadegb) - [ 15 ก.พ. 49 09:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาเยี่ยมครับ ใจเย็นๆนะครับ อย่าเพิ่งร้องไห้ ขอบคุณที่เอาข้อมูลมาฝากกันครับ จากคุณ : predoni - [ 15 ก.พ. 49 10:07:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณแมวเหมียวฯ ค่ะ กำลังสนใจจะไปพอดี จะพาแม่ไปเที่ยว ไม่ทราบว่าจะลำบากมากไหมสำหรับผู้สูงอายุ อากาศร้อนไหม คุณแมวเหมียวฯ ไปเองหรือไปกับทัวร์ค่ะ ราคาประมาณเท่าไหร่ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : จันทร์กระดาษ (จันทร์กระดาษ) - [ 15 ก.พ. 49 16:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เพิ่งกลับมาเมื่อวานเอง อุอุ แต่ผมไปเอง ภาพสวยครับ จากคุณ : BHU - [ 15 ก.พ. 49 16:49:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีค่ะ วันนี้เข้ามาแล้วดีใจจัง อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้ามาเยี่ยมเยียนทักทายเนอะ... - คุณ kadegb ทริปนี้ไปกับทัวร์ค่ะ พอดีที่บริษัทจัดทัวร์ไป อากาศตอนเช้าไม่ร้อนนะคะ แต่พอช่วงบ่าย ค่อนข้างร้อน แต่ก็พอทนค่ะ แดดไม่ถึงกับแรงแผดเผา - คุณ predoni ขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยม :) - คุณ จันทร์กระดาษ ไม่แน่ใจว่าคุณแม่คุณจันทร์กระดาษ อายุเท่าไหร่ ถ้าหากว่าอายุมาก ๆ ประมาณ 60 ปี ไม่แนะนำให้นั่งรถไปค่ะ เพราะว่ามันจะกระเทือนมาก ๆ ถ้าขึ้นเครื่องไปก็สบายกว่าเยอะ เพราะว่าจะทุ่นเวลาไปได้เยอะมาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องมานั่งทนกับถนนดินลูกรังที่ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ ๆ 5 ชั่วโมง แมวเหมียวเห็นผู้สูงอายุหลายท่านค่ะตอนที่เดินไปชมโบราณสถานมีเยอะเลย บางท่านสามารถขึ้นสวรรค์ชั้น 3 ของนครวัตได้ด้วยนะคะ แมวเหมียวยังนับถือเลยค่ะ เพราะว่าทั้งสูงทั้งชัน ไปกับทัวร์ค่ะ ไปทางรถ เสียค่าทัวร์ไปประมาณ 7400 บาท แต่ก็มีพิเศษพวกค่าทางด่วนตรงด่าน 100 บาท แล้วก็ขากลับไม่นั่งรถบัสกลับ นั่งรถเก๋งกลับก็เพิ่มอีกประมาณ 200 บาทค่ะ เบ็ดเสร็จก็ประมาณ 7700 ค่ะ -คุณ BHU ของแมวเหมียวกลับมาเมื่อวันจันทร์ค่ะ กลับถึงบ้าน โห...ทั้งปวดทั้งเมื่อยขา สงสัยว่าตอนขาลงจากสวรรค์เนี่ย เกร็งขาเยอะไปหน่อย ตอนนี้เลยเดี้ยงเลย ตามไปอ่านตอนที่ 2 ได้ที่นี่ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4108711/E4108711.html แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 49 18:43:37 จากคุณ : แมวเหมียวลาย ๆ สบาย ๆ อ้วนพี - [ 15 ก.พ. 49 18:28:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตามมาชมครับ กำลังอยากไปพอดี เล่าเรื่องได้ละเอียดดีจัง ขอบคุณครับที่พาไปเที่ยว จากคุณ : BaNkmAn - [ 15 ก.พ. 49 18:46:56 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ดูเพลินเลย ....... จากคุณ : s (sueb) - [ 15 ก.พ. 49 19:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ข้อมูลแน่นดีจังครับ  ขอบคุณที่เล่าเรื่องประกอบสนุกๆ ให้อ่าน แล้วตกลงได้ลองทุบอกดูหรือเปล่าครับ ..แหะๆ จากคุณ : หนุ่มเฮสเซ่น (Hessenboy) - [ 21 ก.พ. 49 05:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 see ankor wat and die คำพูดนี้จริงครับ ผมไปมาแล้วทางรถครับ คนแก่ไปได้แต่ ค่อนข้างลำบากตอนไต่ตามปราสาทต่างๆ ขึ้นเขายังงัย ยังงั้นเลยครับ บางที่เช่นปราสาทในสุดของนครวัดบันไดชันสุดๆ คนแก่ขึ้น/ลงลำบาก คนหนุ่มยังเกือบเอาตัวไม่รอด แต่อยากให้ไปสักครั้งในชีวิต จากคุณ : ชัย - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 23:01:04 A:202.57.173.124 X: TicketID:101758 ]