ผมก็อยู่ในแวดวงสายการบิน คุณพ่อผมก่อนปลดเกษียณเป็น Station Manager สายการบินต่างชาติสายหนึ่ง โดยไต่เต้ามาจากแค่ Officer ธรรมดา ๆ ไม่ได้จบปริญญาตรีด้วยซ้ำ แต่พอได้เข้ามาอยู่ในสายการบิน เค้าก็เทรนให้ครับ ไปเข้าคอร์สที่ HQ ที่ต่างประเทศไม่รู้กี่ครั้ง เพราะสายการบินถือว่าเป็นสายงาน Operation ที่ต้องการความชำนาญเฉพาะด้านอย่างมาก เพราะในสมัยนั้น ต้องทำ Loadsheet เอง ต้องทำ Flight Plan เอง ต้องทำทุกอย่างบนระบบ Manual ก็ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย จนได้เป็น Station Manager ในสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้หรอกครับ เพราะทุกอย่าง Manual หมด ไม่ว่าจะ Load Sheet, Flight Plan, Catering, Fuel Calculation สมัยนี้ทุกอย่างคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ ไปเข้าคอร์สแป๊บก็ทำได้สบายบรื๋อ รอปริ๊นท์อย่างเดียว
ในสายงาน Operation เช่น นั้น ผมเห็นด้วยครับ ว่ามันไม่ควรลองผิดลองถูก เพราะมันเป็นเรื่องของความปลอดภัย หรือประสิทธิภาพในการปฎิบัติการบินด้วย การที่มีบุคลากรที่ได้รับการเรียนมาอย่างเป็นระบบระเบียบ ย่อม "ได้เปรียบ" กว่าคนที่จบไม่ตรงสายแน่นอน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้เปรียบกว่าคนที่มีประสบการณ์เขี้ยว ๆ เสมอไป เพราะบางคนไม่ได้จบมาโดยตรง แต่อย่าลืมว่าหลาย ๆสายการบินหรือบริษัทในธุรกิจการบินเค้าก็เทรนให้นะครับ ไม่ว่าจะเป็น TAGS, Aerothai, TG หรือใครก็ตาม เพราะถ้ามัวแต่รอคนที่จบมาโดยตรง รับรองไม่ทันใช้ครับ จับเทรนเองนี่แหละ ดีที่สุด.......ผมเคยไป Supervise งานภาคพื้นดินให้กับบริษัท Handling จ้าวนึงที่ Handle สายการบินเล็ก ๆ สายหนึ่ง ก็เห็นมีแต่เด็ก ๆ จบใหม่ ๆ ทำงานนี้กัน และก็ทำได้คล่องดีครับ มีรุ่นน้องมหาลัยผมคนนึงด้วย จบตรีประวัติศาสตร์เหมือนผม แต่มาทำงานเป็น Ground Staff คล่องปรื๋อ เพราะบริษัทเค้า
เทรนให้อย่างดีครับ วิ่งถือเอกสารไปคุยกับกัปตันคล่องปร๋อ
แต่ในบางสายงานแบบที่คุณสีหพันธุ์ยกมา โดยเฉพาะในสายงานที่ไม่ใช่ "Operation" นั้น ผมก็ไม่ได้มองว่าจำเป็นจะต้องเอาคนที่จบจากการบริหารการบินโดยตรงสักเท่าไรนักนะครับ เช่น การตลาด เพราะมันพื้นฐานเดียวกันหมด ขอให้คุณเข้าใจ Product/Service ในระดับที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นก็เหลือพอครับ ไอ้เรื่องหนังโฆษณาที่ไดรฟ์กอล์ฟออกจากเครื่องบินเนี่ยก็คงเป็นเคสที่พลาดไป ซึ่งคราวหลังก็ปรึกษาฝ่าย Operation หรือ Legal ซะหน่อย ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ และไหนจะพวก HR หรือ Finance อีกแหละครับ พวกนี้ขอให้จบตรงสายงานดีกว่าจบธุรกิจการบินแน่ ๆ เพราะคนจบธุรกิจการบินแบบกว้าง ๆ ก็น่าจะยังไม่มีสิทธิไปสอบ CPA หรือ Certified Professional Accountant เพื่อมารับรองงบของสายการบินได้หรอกครับ ต้องจบบัญชีครับ
ลองมองไปที่ Richard Branson แห่ง Virgin สิครับ คน ๆ นี้ไม่เคยเรียนทางด้านการบริหารการบินมาเลยแม้แต่น้อย แต่คนนี้ ๆ เป็นเจ้าของ Brand ที่ได้ชื่อว่าฉีกกฏการตลาดแบบดั้งเดิมทุกเล่มในโลก เป็นคนที่ Break Every Rule และ Unconventional สุด ๆ .... วันนี้สายการบิน Virgin ไปถึงไหนแล้วครับ อัตราการเจริญเติบโตขนาดไหน ทำไมอุตสาหกรรมการบินออกจะใหญ่โต ถึงไม่มีใครเคยคิด Outside the box แบบแบรนสันมาก่อน ไม่เคยมีใครคิดว่าค่าเอาหูฟังกลับมาทำความสะอาดใหม่แล้วแพคถุงขึ้นไปแจกใหม่มันแพงกว่ายกให้ผู้โดยสารไปเลย แล้วสั่งซื้อหูฟัง Sony ใหม่มาแจกใหม่อีก ทำไมไม่มีใครคิดว่าผู้โดยสารจะอยากดูรายการทีวีหรือแม้แต่วีดีโอเกมส์ไม่เหมือนกัน จนต้องทำ Personal Entertainment ขึ้นมา
และก็เป็นแบรนสันนี่แหละครับ ที่มาเน้นการบริการภาค "พื้นดิน" แบบจริงจัง ๆ เช่นส่งรถ Limobike ไปรับผู้โดยสาร จนหลายจ้าวต้องหันมาทึ่งในความกล้าที่จะแตกต่างของเค้า เพราะในหัวของแบรนสันไม่มีคำว่า Me Too แบบไร้เหตุผล แต่ก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะสำเร็จทุกครั้ง เพราะสมัย Virgin Cola ก็พังไม่เป็นท่าเหมือนกัน ....
.....ในกรณีของ Virgin มันก็ทำให้เห็นว่า ในบางแง่มุมนั้น คนในธุรกิจโดยตรงอาจจะไม่มีมุมมองแบบคนนอกธุรกิจก็ได้ ตอนที่อยากจะทำสายการบิน แบรนสันอาจจะไม่รู้ว่าเครื่องบินบินได้ยังไงด้วยซ้ำ แต่เค้าเป็นนักการตลาดมืออาชีพครับ เค้ากล้าพอที่จะขยาย Brand อันทรงพลังของเค้ามาต่อยอดในธุรกิจการบิน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดีครับผม ...
ผมเองก็มองแบบคนที่เติบโตมากับครอบครัวที่ทำงานสายการบินมาตลอดชีวิตนะครับ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ทำงานสายการบินเป็นงานประจำ แต่ทุกวันนี้ผมเองก็รับเป็นที่ปรึกษาให้สายการบินเล็ก ๆ สายหนึ่งอยู่เช่นกัน ก็เลยอยากจะเสนอมุมมองของผมบ้าง ยังไงผมก็เคารพทุกความเห็นเช่นกันครับ
----------------------------------------------------------------------
อ้อ เรื่อง Low Frill (cost) Airline มันเป็นศัพท์ทางการตลาด เพื่อไว้แยกประเภทกัน ว่าสายการบินนี้ไม่ใช่ Full Service นะ แต่ผ่านกฏพื้นฐานทางการบินทุกอย่าง เพียงแต่ไปลดการบริการแทน จะได้สื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ๆ ครับผม ไม่ได้เป็นศัพท์เฉพาะทางอะไรหรอกครับ ก็เหมือนกับ Low Frill Supermarket, Low Frill Cinema ในเมืองนอกอะไรพวกนี้ เป็นศัพท์ทางการตลาดที่ผู้คนเรียกรูปแบบใหม่ ๆ ของ Product/Service นั้น ๆ กันไปเองครับ
ส่วนเรื่อง Turnaround Time นั้น ขอยกตัวอย่างสายการบิน Low Frill อบ่าง easyJet ซึ่งใช้แค่ 25-30 นาทีเท่านั้นน่ะครับ และไม่ได้มากจากความรีบร้อนในการ Taxi อะไรเลยเช่นกัน แต่มาจากระบบการปฎิบัติการที่มีประสิทธิภาพอย่างมากครับ เพราะเค้าได้ Ray Webster มือดีจาก Air New Zealand ซึ่งรู้ปัญหาของสายการบิน Full Service ดี ไปช่วยวางระบบให้ ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเช่นกันครับ สำหรับ easyJet .... เพราะฉะนั้น ผมว่าที่รีบ ๆ Taxi จนผู้โดยสารหัวร้างค้างแตก น่าจะมาจากรูปแบบของพนักงานปฎิบัติการบินเฉพาะคนหรือสถานการณ์ ณ เวลานั้นมากกว่านโยบายนะครับ ถ้าเป็นนโยบายจริง ไม่รอดหรอกครับ
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:45:59
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:28:42
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:25:44
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:22:08
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:06:42
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 49 00:05:10