ความคิดเห็นที่ 1 (แอบน่ากลัวแฮะ รูปแวนโก๊ะข้างบนเนี่ย) แต่ว่านะ.. เราว่าความงามเนี่ย มันก็แล้วแต่สายตาคนมองนะ อย่างเรา ไม่ค่อยชอบภาพของแวนโก๊ะอ่ะ มันดูแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงไม่รู้ ไม่สดชื่นอ่ะ อย่างภาพดอกทานตะวัน ที่เค้าว่าเค้าผสมสีเองช่างสวยงาม เราดูแล้วกลับงั้น ๆ แฮะ  ยิ่งดูแล้วยิ่งจิตตกเหมือนมันหดหู่ประมาณความหวังครั้งสุดท้าย แทนที่จะสดใสเหมือนดูรูปทานตะวันอื่นๆ อ่ะ   อ๊า..สงสัยหัวจะไม่ถึง ภาพนี้เป็นเธียร์เตอร์กลางแจ้งค่ะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราเดินลัดเลาะ อ้อมหลังเธียร์เตอร์ไปทางขวา ผ่านตึกเล็กตึกน้อย สีสรรค์สดใส  น่ารักมากเลย คือดูแล้วรู้เลยว่า เค้าตั้งใจทำบ้าน ทำร้านเค้ากันมากเลย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:24:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อีกร้าน จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:25:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วเราก็กลับมาที่ อารีนา ตอนกลางวันอีกรอบนึง มัน.. มันไบรท์มั่ก ๆ มันสว่างสดใสจังเล ไม่น่าเชื่อว่ามีหลายร้อยชิวิตล้มตายที่สนามแห่งนี้ เพียงเพื่อความสุขของคนบางคน หรือคนบางกลุ่มแค่นั้น  น่าหดหู่จริงๆ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ด้านใน จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:27:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แวนโก๊ะมิวเซียมที่เมืองนี้อยู่ติดๆ กับอารีนาเลย  ถ่ายรูปข้างในมาให้ดูไม่ได้นะจ๊ะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ร้านรวงเล็กๆ ย่านนี้ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:30:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วก็เดินเที่ยวในเมืองกัน เมืองมันเล็กๆ พวก ศาลากลาง (Hotel de Ville) , โบสถ์ , มิวเซียม ก็อยู่ในที่เดียวกันอ่ะ เดินง่ายดีนะ  แต่เราไม่มีภาพให้ดูนะคะ เพราะส่วนใหญ่ติดนายแบ่บกับนอนแบ่บสาวสวย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วเราก็ออกจากอาเร่  ตอนแรกว่าจะแวะกินมูลี่ที่แซงเรมี่อีกที (ฮ่า ฮ่า เราเป็นพวกย้ำคิด ย้ำทำอ่ะ) แต่เวลาไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้เราต้องไปนอนที่นีซ ไกลอยู่เชียวหละ  ก็เลยผ่านไป แล้วแวะเที่ยวเมืองดังของโปรวองซ์อีกเมืองเลย คือ Aix en Provence ฝนว่าเมืองมันเงียบ ๆ นะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไปวันอาทิตย์ แต่เมืองที่นี่ดีนะ พวกซิตี้เซ็นเตอร์จะเป็นชอปปิ้งสตรีท เดินเล่นง่าย ๆ ดี ซึ่งซิตี้เซ็นตอร์ก็จะล้อมรอบ ศาลากลาง และโบสถ์ประจำเมืองไว้  อืมม แต่วันที่ฝนไปเค้ามีตลาดนัดวันอาทิตย์ด้วยนะ  ของขายก็เหมือน ๆ เดิม ไวน์ สบู่ เครื่องหอม เครื่องประดับ ขนม  เดินๆ ไป ก็ห้ออม หอม   เออ ที่นี่นะ เวลาจอดรถอ่ะ ต้องเดินไปหยอดเหรียญที่ตู้ด้วยหละ แล้วเอาตั๋วมาแปะไว้หน้ารถ เราสองคนจอดรถแล้วก็พยายามไปอ่านตรงตู้ว่าเป็นเงินเท่าไรว้า  คือแต่ละช่วงเวลา แต่ละวัน ราคาไม่เท่ากันไง พอด้อม ๆ มอง ๆ พยายามอ่านกันอยู่ (อ่านไม่ออกหรอก มันภาษาฝรั่งเศส) ก็มีคุณลุงกับคุณป้าใจดี พยายามบอกเราว่า วันนี้วันอาทิตย์จอดฟรีอ่ะ  แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะ แต่ก็แปลกดี คุยกันรู้เรื่องได้ไงก็ไม่รู้ ขอบคุณนะคะ ภาพเมืองเอ็กซ์ ออง โปรวองซ์อ่ะ บรรยากาศตลาดนัดจ้า ดูผู้ดี๊ ผู้ดียังไงก็ไม่รู้   ตลาดนี้จะอยู่ติดถนนเลย ส่วนมากของขายก็เป็นพวกเครื่องหอม  สบู่  อ้ะแน่นอนกลิ่นลาเวนเดอร์เป็นนางเองจ้ะ  แล้วก็พวกเครื่องประดับ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เค้าจาขี่ม้าอ่ะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เดินเล่นโต๋ไปเต๋มาสักพ๊ากกก  เราก็ออกจาก เอ็กซ์ (เรียกย่อ ๆ ละกัน)  เราก็ตรงไปต่อที่เมือง มาเซย์ (Marsielle : อ่านว่างี้ป่าวว้า)  เป็นเมืองท่าใหญ่มั่ก ๆ ๆๆๆๆๆ ใหญ่จริงๆ พิสูจน์ได้จากการที่เราหลงในเมืองนี้อยู่ชั่วโมงกว่าๆ หาทางออกไม่ได้ หลังจากที่เราพยายามหลบไม่ขึ้นมอเตอร์เวย์  แต่กลับมาเสียเวลาและน้ำมันแทน เฮ้ออ ตอนหลังหามอเตอร์เวย์เจอ ค่าผ่านทางแค่สองยูโรกว่า ๆ เอง ไม่น่างกเล๊ยยย   ต่อ ๆ เมืองนี้เป็นเมืองท่าที่ใหญ่มากเลยอ่ะ เป็นเมืองธุรกิจ มีเรือยอร์ชมาจอดเต็มไปหมดเลย รวยมั่ก ๆ พวกนี้เค้าทำงานอะไรกันน้า  ถึงได้รวยยังงี้ หรือเป็นสายลับอย่างเจมส์ บอนด์กันน้า   ฮะ ฮะ  เพ้อเจ้ออีกละ  เมืองนี้มันเดินเล่นยาก ไม่เหมือนเมืองอื่น ๆ ที่เราไปมาอ่ะ  ตอนที่มานี่ก็สี่โมงเย็นกว่า ๆ แล้ว แดดร้อนโพด ๆ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:38:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ข้างบนเป็นย่านจอดเรือ  จริงๆ มันก็คือซิตี้เซ็นเตอร์น่ะแหละจ้ะ  คือจริงๆ เราไม่รู้จะไปไหนในเมืองนี้ดี  เพราะมันใหญ่ มันใหญ่มาก เดินเล่นไม่ได้เหมือนเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมาเลย  เราก็เลยมาเดินเล่นท่าเรือกันละกัน จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 05:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เข้าแถวรอชมครับ จากคุณ : ทะเลทะเล - [ 14 ต.ค. 50 05:56:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เดินเล่น กินน้ำ พักเหนื่อย แล้วเราก็ออกเดินทางต่อเลย จุดหมายยังอีกยาวไกลนัก คืนนี้เราจะไปนอนที่นีซ (Nice)  กันจ้ะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:01:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สวัสดีตอนเช้าเมืองไทยค่ะ คุณทะเลทะเล  ^ - ^ ก่อนจะเที่ยวนีซกัน  ขอเล่าเรื่องการเดินทางเมื่อคืนก่อนนะ  มันเป็นเส้นทางการขับรถ (สำหรับเรา จริงๆ ก็คือการนั่งรถน่ะแหละ)  ที่น่าประทับใจที่สุด (จริงๆ ถ้าอ่าน ถ้าเดินทางต่อๆ ไป เราก็จะบอกว่า มีเส้นทางที่ประทับใจที่สุด ที่สุด และที่สุด นั่นหมายความว่าประทับใจที่สุดเกือบทุกที่อ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ)  เมื่อคืน  เราวางแผนว่าจะออกจากมาเซย์กันสักสี่ห้าโมงเย็น แล้วขับรถต่อมาเพื่อไปนอนที่นีซกัน โดยเราแพลนว่า (จริงๆ แล้วเราตะหากเป็นคนแพลน  คุณแฟนน่ะ  ขับอย่างเดียวเท่านั้น  สมองกับปากทิ้งไว้บ้าน เอามาแต่หัวใจทาสผู้จงรักเท่าน้านนน ฮ่าฮ่า)  จะขับรถเลียบชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ฝรั่งเศสปายยยเรื่อยๆ  จากมาเซย์ เข้า Toulon เลาะ St.Tropez เมืองตากอากาศอันเลื่องชื่อเมืองหนึ่ง  ไปยัง เมือง Raphael , Miramar, Theoule และเมืองเล็กๆ อื่น จะเข้าเมือง Cannes , Antibes และสุดท้าย คือ Nice จุดหมายปลายทางของเรานี่เอง  ที่เราแพลนจะขับรถเลียบชายฝั่งทะเล เนื่องจากเราต้องการเลี่ยงทางหลวงจ่ายตังค์ (งกน่ะเอง  หลังจากเสียยี่สิบยูโรไปตอนแรก) อีกอย่างนึงคือ เค้าอยากให้เราสองคนได้เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ตกริมชายฝั่งทะเลอ่ะ  เพราะเปิดแผนที่ของเอเอ แล้วเค้าบอกว่า นีซกับมาเซย์ ห่างกันสามร้อยกว่าโล  ถ้าขับชิล ๆ ซักร้อยกม.นิดๆ ต่อชม. น่าจะไปถึงนีซสักสามทุ่ม แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 06:16:09 จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ยาวหน่อยนะคะ ช่วงนี้ ก็มันเป็นบันทึกนักเดินทางนี่นา อิ อิ  เผื่อไว้เป็นประสบการณ์ให้ผู้ที่อยากขับรถเที่ยวช่วงนี้ค่ะ   แต่แล้ว โลกแห่งความฝันกับความจริง มันม่ายเหมือนกานอ่ะ   เราขับรถเลียบฝั่งทะเลในช่วงแรกได้ไม่เร็วนักเนื่องจากเป็นถนนสวนกัน  แต่เราก็ยังชิลๆ ไปเรื่อยถึง แซงโตรเปสตอนหกโมงนิด  ๆ ก็ยังชิลๆ (คิดหยั่งงั้นกันใช่ม้า)  แต่หลังจากแซงโทรเปสแล้ว  รถติดดดดดดด  ติดยิ่งกว่าแถวนานา เพลินจิตตอนโรงเรียนเปิดซะอีก  ทำมายมันติดนะเหรอ ก็ช่วงนี้มันเป็นช่วงไฮซีซั่น คนเค้านิยมมาเที่ยวที่นี่กันมากๆ  แล้วถนนที่เราเลือกเนี่ย มันเป็นถนนเลียบริมทะเล ซึ่งมันตัดผ่านกลางเมืองเล็กๆ นับสิบกว่าเมือง กว่าจะไปถึงเมืองคานส์เลย  (ยั๊งงง เรายังไม่พูดถึงนีซนะ)   ผ่านจากแซงโทรเปสมา เราคลานไปเรื่อยๆ คลานไปจริงๆ คนเดินเร็วกว่าอ่ะ   ได้แต่ทอดถอนใจกัน  ไม่เป็นไร  สิ่งไหนเกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นดีเสมอ  เราสองคนโชคดี ได้นั่งดูพระอาทิตย์ตก และพระจันทร์ดวงโตตอนกำลังขึ้นกันที่ชายฝั่งเมือง St.Maxima ที่ติดกับแซงโทรเปส  นั่นหมายความว่า เราติดแหงกอยู่นั่นนานมากกกๆ  เราเห็นตั้งแต่พระจันทร์เริ่มขึ้นจากน้ำ จากชายฝั่ง เป็นพระจันทร์ดวงโตตตตตตตที่สุดในชีวิตที่เราเคยเห็นกันเลย  มันสวยยย เราได้แต่นั่งดื่มด่ำดูมันขึ้นจากเส้นขอบฟ้า  ตั้งแต่มันยังเป็นดวงโต ๆ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าจัด จนเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมชมพู จนในที่สุด ม่วงเข้มเรื่อย จนเป็นสีน้ำเงิน  ส่วนพระจันทร์ก็ลอยสูงขึ้นเรื่อย  แล้วเล็กลงเรื่อยๆ   ทำให้เราได้ค้นพบว่า เมือง St.Maxima ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน  เป็นเมืองใน Wishing List สำหรับทริปหน้าของเราเลย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:07:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ด้วยประสิทธิภาพของกล้องเรา  ถ่ายมาดวงเท่าเม็ดสิวบนหน้าคุณแฟนเอง ฮ่า ฮ่า   ต่อค่ะ เกือบสองชั่วโมงผ่านไป เราผ่าน Raphael , Miramar, Theoule มาด้วยความอดทนเปรียบเหมือนหนอนน้อย ชิมหมิโจได๋  เราได้หลุดพ้นขบวนสังสรรค์ของกลุ่มคนในเมืองริมชายฝั่งมาแล้ว  คุณแฟนเริ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้ง (หลังจากปล่อยเกียร์ว่างให้รถไหลไปเรื่อยๆ เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่า ฮ่า ฮ่า   หัวเราะร่า น้ำตาริน)  คุณแฟนและน้องเกีย พาเราลัดเลาะเขาเลียบชายฝั่งทะเล ฝ่าความมืด  เกาะกันเป็นขบวนกับรถคันหน้าและหลัง รวม ๆ ก็สิบกว่าคัน เส้นทางตอนนี้นับว่า น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง  เข้าใจแล้วว่าทำไมในเว็บนำเที่ยวเค้าบอกว่า ถนนไปนีซเป็นเส้นที่น่ากลัวที่สุด (จริงๆ เด๋วมีน่ากลัวกว่าอีก  แต่ถ้าตาคนเขียนจะยังไม่เคยไป เด๋วเล่าให้ฟัง)   และเป็นเส้นที่เกิดอุบัติเหตง่ายมาก  เพราะมันเป็นเส้นทางขับรถเลียบหน้าผา   ลองนึกภาพดู เราขับรถมุ่งไปข้างหน้าตามถนนที่คดเคี้ยวเลาะริมหน้าผาโค้งไปมา แบบมองเห็นระยะด้านหน้าได้ไม่ไกล เพราะมันจะลับเหลี่ยมผาไปอีกแระ  ด้านขวามือเราคือเหล็กกั้นอันน้อยยยยๆ  แล้วก็หน้าผาสูงงงงง  มองไปทางขวา ซึ่งเราเองที่นั่งขวาสุด ( รถที่นี่สลับกับบ้านเรานะ)  ติดหน้าผาที่สุด  อรึ๋ยยย  เห็นเป็นท้องทะเลสุดลูกหูลูกตา เหนือเส้นขอบฟ้า เป็นท้องฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินเข้ม  บางทีเวลาเข้าใกล้เมืองเล็ก ๆ เราก็จะมองต่ำลงไป เห็นไปลูกไฟเล็กๆ  เลียบหน้าผาไปหมด  จะว่าสวยก็สวย จะว่าเสียวก็เสียว  ตัวเราอ่ะดูมั่ง หลับตามั่ง มันเสียววจริงๆ นะ  ตาคุณแฟนเนี่ยไม่มีกลัวเลย  ชอบแกล้งว่าไหนเค้าดูมั่งสิ แล้วก็ทำท่าจะหันหน้ามาทางเรา ก็ทางวิวน่ะแหละ เราอยากจะหันไปเบิ๊ดแล้วบอกว่า ขับรถไปเลยแก๊  แต่ที่ทำได้คือขอร้องเสียงอ่อย  ๆ  ตัวเองขับรถไปเลย ขับรถดีๆ น๊า   แต่ยอมรับเลยว่าคุณแฟนเราเนี่ยขับรถได้เก่งมากๆ  ถ้าทริปนี้ไม่มีเค้า เราคงไม่ได้มีความทรงจำดีๆ เหล่านี้ ขอบคุณจริงๆ ที่เรามีเธออ่ะ  คุณทั่นขับแบบไม่กลัวโค้ง ไม่กลัวความมืด แถมต้องรักษาระยะห่างรวมทั้งความเร็วกับรถหน้าและหลังเราด้วย  ทั้งที่ๆ ที่เป็นทางคดเคี้ยวเลียบหน้าผา แถมบางทีเป็นเนินขึ้นเขา ลงเขา รถทุกคันยังคงรักษาความเร็วประมาณหกสิบกม. ต่อชม.กัน ไม่มีสะดุดเลย  แต่มีตอนนึง มีรถมานำด้านหน้าสุด เหมือนเค้าออกมาจากเมืองนึง เค้าเป็นรถสปอร์ตสวยเชียว แต่แกทำรถทุกคันในแถวสะดุดกันหมด จากวิ่งเรื่อย ๆ ไม่เบรคกัน  ต้องเบรคกันหมดทุกระยะ เพราะคุณลุงรถสปอร์ตแกขับไป (ขับช้าด้วยนะ) เบรคไป  ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไร ทำเอาขบวนเป๋กันเลย  คุณแฟนก็บ่นกระปอดกระแปดว่าอันตราย แถมไม่ใจเล้ยยย อุตส่าห์ขับรถสปอร์ต แต่เราก็บอกว่าอย่าไปว่าเค้าเลย ถนนไม่ใช่ของเราคนเดียว  ก็เค้าอยากขับเส้นนี้เหมือนกัน แต่ทางมันเสือกโคตรรรน่ากลัวเอง  ถ้าเป็นเรานะ เราก็ขับไปเบรคไปเหมือนลุงนี่แหละ  แถมมีกรี๊ดไปด้วยนะ  ฮ่า ฮ่า   จริงๆนะ  เหมือนกลัวอ่ะ แต่ต้องขับ ขนาดเป็นคนนั่งข้าง ๆ ยังกรี๊ดไปหลับตาไปตลอดทางเลย   ฮ่า ฮ่า ป๊อดจริงๆ เราเนี่ย แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 06:45:07 จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เราขับไปจนถึงคานส์จนได้ตอนห้าทุ่มกว่าๆ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า   เศร้า   ยังงง เคราะห์ยังซ้ำกรรมยังซัด  ดั๊นน ไปเจองานเทศกาล  ช่ายแล้ว มันดันมีเทศกาลดนตรีที่เมืองคานส์ มันมีเวทีคอนเสิร์ตหลาย ๆเวทีเลียบชายหาด ผู้คนเดินขวักไขว่เต็มถนน รวมทั้งรถมากมายด้วยยยย   เราอ่ะสุดทนแล้วว  เลยบอกคุณแฟนจ๋าเปลี่ยนแผนกันเต๊อะ เรายอมเสียตังค์ค่ามอเตอร์เวย์ไปนีซกัน  ว่าแล้วก็เบี่ยงหัวออกเข้าไปในตัวแผ่นดิน  ยังไปติดอีกครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ไม่ถึงทางด่วนซักที เราน่ะอารมณ์เสีย จนคุณแฟนต้องหลอกล่อให้กินปลาจิ๊งจ๊างที่เค้าหอบจากเมืองไทยมาฝาก  เออ กินไปนั่งรถไป อารมณ์ดีหน่อย  แล้วเราก็ขึ้นทางด่วนกัน ไม่ถึงสิบห้านาที เราก็มาถึงนีซ โดยไม่เห็นมีด่านเก็บตังค์เลย   ยังงงอยู่เลยว่านี่เราเข้าใจอะไรผิดป่าวเนี่ยยยย  เฮ้ออ เอาน่า  ถือว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ ในชีวิตอีกหนึ่งเนอะ ฮ่า ฮ่า แล้วเราก็มาถึงนีซตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ แถมเราน่ะนะ น่าเขกหัวตัวที่ไม่รู้จักปริ้นท์แผนที่ รร.มาด้วย  แต่โชคยังดีอีกแล้วที่เราคลำทางมาถูกจนได้  โรงแรมเราเป็นโรงแรมสองดาว เก่าๆ เล็ก ๆ แต่สะอาดใช้ได้ อยู่เกือบกลางเมืองนีซ  ราคาก็ไม่แพงมากเจ็ดสิบว่ายูโร  นับว่าดีเมื่อเทียบกับทำเล  แต่ถ้าสภาพ เปรียบได้กับโรงแรมเล็กๆ ในพิดโลกที่ราคาสี่ร้อยบาทอ่ะ ฮ่า ฮ่า   แล้วเราก็เอารถไปจอดที่ลานจอดรถกลางเมืองเลย  ช่ายยยย ที่นี่เค้านิยมเจาะลงไปข้างใต้ซิตี้เซ็นเตอร์  แล้วทำเป็นอาคารจอดรถหลายชั้น ค่าจอดก็แพงอยู่หละนะ  จากนั้น กว่าจะเข้านอนก็ตีหนึ่งกว่า ๆ หลับเป็นตายเลยยยย ไม่มีแรงลุกมากินข้าวเช้าเลย เอาหละ  มาดูรูปนีซกันดีกว่า เป็นเมืองที่เราเคยได้ยินชื่อมานานว่าเป็นเมืองตากอากาศน่ารัก ๆ ของฝรั่งเศส อืมมม เท่าที่เห็นนะ เราว่านีซเป็นเมืองใหญ่มากเชียวหละ เมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ทีผ่านมา ที่นี่บ้านเรือนน่ารัก แต่แบบรวย ๆ อ่ะ ไม่น่ารักแบบน่ารัก ๆ เหมือนแถบโปรวองซ์ งงมะ   อันนี้เป็นจตุรัสกลางเมือง เป็นลานน้ำพุ แล้วก็สวนสวยสไตล์นีซ ๆ ด้านล่างเป็นอาคารจอดรถ  วันนี้อากาศดีเนอะ  โรงแรมที่เราพัก อยู่หลังตึกสีเหลืองนั่นอ่ะ แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 06:15:27 จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อีกมุมจากลานกลางเมือง เมืองเนี้ยอ่ะ ตึกมันดูไบรท์มั่กๆ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เราเดินเล่นเข้าไปในเขตเมืองเก่า ดูพวกอาคารเก่า ๆ แต่สภาพไม่เก่านะ เค้าบูรณะอย่างดี เมืองนี้ออกแนวเมืองตากอากาศคนรวยอ่ะ  ตามป้ายนี้เลยยย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เดินปายย เดินปายยย  เดินลงเขาปายเรยยยย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มุมสวย ๆ จากดิโอเปราจ้ะ แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 06:20:12 จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:19:48 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แล้วเก๊าะไปเดินตลาดกันต่อ  อ๊ะ .. ห้ามถามนะว่ามิวเซียมอยู่ไหน  คือทริปนี้เราเน้นตลาด ตลาดและตลาดค่ะ  คือเนื่องจากเราอ่ะ เอียนมากๆ เลย เพราะช่วงนี้เวลาไปเที่ยวที่ไหน เราต้องมุ่งไปมิวเซียม ทั้ง Historic, Art รวมถึงโบสถ์และศาลากลางเมืองทุกเมืองเลยอ่ะ (พวกฝรั่งเนี่ยนะ หาอะไรเป็นจุดขายไม่ได้ ก็โบสถ์มั่ง ศาลากลางมั่ง พิพิธภัณฑ์มั่ง  ดูจนคิดว่า ชั้นมาดูวัดฝรั่งทำมายฟระเนี่ย  เนี่ยเดี๋ยวกับเมืองไทย จะไปตระเวนดูวัดบ้านเรามั่งดีกว่า เอ้าพูดจริงๆ นะ)  ถึงไหนแล้ว  เมาท์ซะเพลิน  ก็เราเลยเกิดอาการเอียนไอ้สิ่งพวกนี้ที่ถูกเค้าปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อขายนักท่องเที่ยวอ่ะ  ทริปนี้เราก็เลยตกลงกันว่า  เป็นทริปดูตลาด ดูชีวิต ดูอารมณ์ของคนที่ที่เราไปละกัน  ซึ่งเราสองคนซึ่งใจตรงกัน (จริงๆ คือตะกละเหมือนกัน  คริคริ) ก็เลยแวะทุกตลาดที่เห็น รวมถึงมินิมาร์ททุกเมืองที่ผ่าน  ถึงไม่ซื้ออะไร อย่างน้อยเข้าไปสำรวจว่าเค้ามีอะไรกินกันมั่งก็ยังดี ฮะ ฮะ ตะกละจริงๆ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:26:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไปเดินตลาดกลางเมืองกัน ตลาดนี้มีมานานนนนแล้วนะ เห็นในภาพถ่ายเก่าของเมืองนี้ ก็มีตลาดนี้อยู่แล้ว เค้าบูรณะให้ดูใหม่อยู่เสมอ คล้าย ๆ เปิดท้าย มีของแต่งบ้าน ของในบ้าน กระจุกกระจิก เต็มไปหมดเลย อยากด้ายยย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ของส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นพวกเครื่องเงินเครื่องใช้ในบ้าน ทั้งของเก่า และเลียนแบบของเก่า  แต่ราคาเนี่ย เอ่อ..บวกค่าเงินเฟ้อไปอีกสิบปีข้างหน้าเลย  เราเลยได้แต่เดินดู  อย่างบางร้านเนี่ย เรายังสงสัยเลยว่า เจ๊ .. เจ๊รื้อบ้านมาขายรึปล่าวเนี่ย  คือมันขายทุกอย่างที่มีในบ้านเลยอ่ะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เดินตลาดเล่นไปเรื่อย ๆ  อากาศดีมั่กๆ แต่แดดร้อนไปหน่อย สไตล์เมืองชายทะเล อาคารจะเป็นสีลูกกวาดยั่งงี้แหละ " Do you believe in destiny ?  I do " จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ชายหาดเมืองนีซ  มองจากจุดชมวิว ที่พยายามปีนขึ้นไป  คนมาอาบแดด ทำกิจกรรมทางทะเลกันเพียบเลย เอ่อ  เพิ่งจะรู้ว่า ชายทะเลเมืองไทยเนี่ย สวยจริงๆ แฮะ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 28 บนถนนเลียบชายหาด  บ้านเรือนเค้าน่ารักมากเลยอ่ะ  ปลูกดอกไม้กันเต็มไปหมดเลยให้สมกับเป็นหน้าร้อน  ชายหาดเค้าก็ดูสะ อาดมากเลยอ่ะ  แต่สวยสู้บ้านเราไม่ได้เลย จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ดูกันอีกที ชายหาดเมืองนีซ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สุดท้ายที่นีซ ถ้าเทียบกันแค่ชายหาดนะ  แค่เสม็ดก็กินขาดแล้วอ่ะ  แต่ถ้าบรรยากาศเมืองนี่ย ต้องยอมรับว่านีซดูดีจริงๆ ดูสะอาดๆ ฝัน ๆ เอ่อ บรรยายไม่ถูกอ่ะ แต่นะ..   เฮ้ออ.. ยิ่งไปเที่ยวเมืองนอกเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าเมืองไทยและคนไทยยิ่งดีมากเท่านั้น " The more I see (the others), The more I love you " จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 31 หลังจากนั้น เราขับรถต่อไปยังเมือง มอนติ คาโล (Monte Carlo) เป็นเมืองหลวงของประเทศโมนาโค  ประเทศเล็กๆ ที่ร่ำรวยเนื่องจากคาสิโน อยู่ติด ๆ กันฝรั่งเศส  บ้านเมืองดูสวย ผู้ดี ไฮโซ มั่กๆ เดี๋ยวกับมาต่อคืนนี้นะคะ  ขออนุญาตไปนอนก่อน  เดี๋ยวมาอัพให้ใหม่นะคะก่อนไป ใครจะไปเที่ยวด้วยกัน ขอเสียงหน่อยนะคะ ^ - ^ จากคุณ : sastress - [ 14 ต.ค. 50 06:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตามมาทัวร์ค่ะ เมืองนีซ สวย น่าไปเที่ยวจริง ๆ จากคุณ : Invisible Angel - [ 14 ต.ค. 50 07:38:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 รีวิวน่าติดตามมากค่ะ ภาพสวยจัง..เห็นแล้วอยากไปทีเดียว จากคุณ : C'est moi..Janvier - [ 14 ต.ค. 50 07:43:45 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เท่าที่ทราบนะคะ แวนโก๊ะ เป็นชาวดัทช์ แต่ได้ไปใช้ชีวิต/เขียนภาพ ที่เมืองอาร์เลส์ เป็นเวลานานค่ะ ************* ตามมาอิจฉาคนได้ไปเที่ยวที่น่ารักกับหวานใจค่ะ จากคุณ : cultureclub - [ 14 ต.ค. 50 08:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เขียนเก่งจังเลยค่ะ สนุกมาก ติดตามต่อนะคะ จากคุณ : *Cookies* - [ 14 ต.ค. 50 09:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 36 กี๊ดๆๆ อิจฉาๆ ... อยากถูกป้อน "ปลาจิ้งจ้าง" อ่ะๆๆ... รีวิวได้น่ารักมากๆครับ อ่านไม่เบื่อเลย ค่อยๆอ่านไปทีละบรรทัดให้สมกับความตั้งใจของเจ้าของกระทู้ พร้อมๆกับเอาน้ำแข็งลูบตาไปเรื่อยๆ (ก้อตามันร้อนอ่ะ.. เนอะ พี่นา กะ คุณแจน ) อิจฉาทั้งที่ได้ไปเที่ยวเมืองสวยๆ อิจฉาที่ถูกป้อนปลาจิ้งจ้าง ... งอนคุณsastressแล้ว คอยดู๊ๆ .. จะอ่านรีวิวทุกครั้งเลย ... อ่ะๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 09:48:11 จากคุณ : ทนายอ้วน - [ 14 ต.ค. 50 09:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไปด้วยคนค่ะ จากคุณ : บักมี่ - [ 14 ต.ค. 50 09:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตามกลิ่นดอกลาเวนเดอร์มาจากกระทู้ที่แล้วค่ะ อิๆๆ น่าไปมากๆ อยากไปสุดๆ รีวิวสนุกดีนะคะ ชอบค่ะๆ จากคุณ : แพนเค้กอุ่นๆ - [ 14 ต.ค. 50 12:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แวะมาบอกว่า คนเีอียงคอ ใน #27 ดูน่ารักจิงจิ๊ง....ฮ่า ฮ่า ฮ่า จากคุณ : *Cookies* - [ 14 ต.ค. 50 13:10:57 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผมก็ชอบเดินดูตลาดเหมือนกัน มาให้กำลังใจและขอบคุณที่พาเที่ยวครับ จากคุณ : น้าถาพร - [ 14 ต.ค. 50 15:43:12 ]

ความคิดเห็นที่ 41 นี่แหละครับคนฝรั่งเศสถึงชอบลงใต้นัก  อากาศดีแบบนี้นี่เอง  แดดออก  ไม่หนาว   สีสันของผู้คน   สวยมากนะครับ  แต่โมนาโคหรูจริงๆครับ  แต่ไปใหนมาใหนก็แพงเมืองนี้ จากคุณ : ซอร์บอนน์ - [ 14 ต.ค. 50 15:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขออนุญาตแก้คำอ่านเมือง Arles นะครับ อ่าน "อาร์ฅล์" ฅ ออกเสียงเหมือนขากเสลด ล์ ออกเสียง "เหลอะ" เบาๆ หรือถ้าจะเอาง่ายๆ (ถ้าต้องซื้อตั๋วรถเมล์ หรือรถไฟไปเอง) ออกเสียงว่า "อ๊าคเหลอะ" เขาจะขายให้ถูกครับ (เพราะผมเคยออกเสียงว่า "อาร์ล" แล้วเขาขอให้เขียนให้เลย ว่าจะไปเมืองไหน T_T) แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 50 16:26:39 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 14 ต.ค. 50 16:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สวยทุกที่เลยนะคะ แล้วก็เขียนได้สนุกมากเลยค่ะ จากคุณ : Red-Rose-14Feb - [ 14 ต.ค. 50 22:57:45 ]

ความคิดเห็นที่ 44 น้ำทะเลสีสวยเหมือนกันเนอะ จากคุณ : marzo คนชอบเที่ยว (marzo) - [ 15 ต.ค. 50 01:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคนนะคะ หวังว่าจะอยู่ร่วมทางกันไปจนจบทริปนะคะ ขอบคุณคุณ cultureclub และคุณ บุญชิตฯ (Players) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะค้า คุณทนายอ้วน  จำเราได้ไหมเอ่ย  เราเคยคุยกับคุณทนายเรื่องอิตาลีทริปเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยย แต่ทริปเราถูกแคนเซิลอ่ะค่ะ  ปีนี้เลยแก้มือที่โปรวองซ์ซะเลย ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ที่มีส่งเสียงให้กำลังใจ  ไม่งั้นเราเหนื่อยแย่เลย ไปค่ะ .. ไปต่อกันเลยค่ะ กระโดดขึ้นรถ คาดเบลท์กันทุกคนด้วยนะจ๊ะ ใครมีอะไรก็ควักมากินได้เลย หรือจะเอาปลาจิ๊งจ๊างของเราก็ด้ายน้า ฟังเพลงไปด้วยนั่งรถไปด้วยกันนะ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 50 05:58:00 จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:19:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เราขับรถต่อไปยังเมือง มอนติ คาโล (Monte Carlo) เป็นเมืองหลวงของประเทศโมนาโค  ประเทศเล็กๆ ที่ร่ำรวยเนื่องจากคาสิโน อยู่ติด ๆ กันฝรั่งเศส  บ้านเมืองดูสวย ผู้ดี ไฮโซ มั่กๆ บ้านเมืองจะอยู่เลียบชายผา ตึกรามบ้านช่อง สูงๆ ต่ำ ๆ ตามภูมิประเทศ รวยเพราะอะไร  เพราะไอ้ที่อยู่ข้างหลังเรานี่เอง  รอยัลคาสิโนจ้ะ  คาสิโนไฮโซ๊ ไฮโซ พวกคนรวย ๆ เค้าจะขับเรือยอร์ชมาเล่นที่คาสิโนเมืองนี้ ชายหาดท่าเรือที่จอดเรือยอร์ชของประเทศนี้ใหญ่โต และไฮโซมากกก จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คาสิโนใกล้ๆ  เป็นคาสิโนไฮโซมั่ก ๆ มีโรงแรมอยู่ข้าง ๆ กันเป็นโรงแรมไฮโซมั่กๆ เช่นกัน (แหม รู้สึกว่าพักนี้คำว่า ไฮโซมั่กๆ จะออกมาบ่อยนะเนี่ย ก็รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ นี่นา  รู้สึกเหมือนตัวเองแปลกปลอมจากที่นี่จัง)  สังเกตได้ว่า หน้าคาสิโนนี้จะมีรถไฮโซแบบหายากๆ มาจอดเต็มไปหมด อย่างกับงานมอเตอโชว์เลย นักท่องเที่ยวจนๆ อย่างพวกเราก็เลย เดินดูรถ ถ่ายรูปกันใหญ่ เราว่า เจ้าของเค้าก็คงดีใจ ก็อยากอวดนะแหละ มีแต่คนสนใจรถเค้า แต่เราไม่กล้าเข้าไปในคาสิโนนี่หรอกนะ พนักงานยังแต่งตัวโคดดีเลย คนที่เข้าไปส่วนมากเค้าจะแต่งตัวแบบรวย ๆ อ่ะ ยังไงดี ประมาณเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่ดูแพง ๆ กางเกงผ้าสีขาว หรือสีครีม คล้ายๆ แบบในหนังเจมส์ บอนด์อ่ะ จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เอาคันใหนบอกมาเลย จะถ่ายรูปไปให้ดู ฮ่า ฮ่า  ไม่อายหรอก ใคร ๆ เค้าก็ทำกัน จะเอาคันนี้ ... จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:27:09 ]

ความคิดเห็นที่ 49 หรือคันนี้ดีจ๊ะที่รัก.... งั้นกลับบ้านไปก้อทำบุญเยอะ ๆ นะจ๊า จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ร้านอาหารหน้าคาสิโน  อ้อ ช่วงนี้ที่นั่นมีนิทรรศกาลของเจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ด้วย  แต่เรามีเวลาไม่มาก  เราสองคนเลยเดินโต๋เต๋ ดูผู้คน  เราได้เข้าไปคาสิโนมาด้วย  อ๋อ คาสิโนข้างๆ จ้ะ  ที่รอยัลน่ะ เราไม่กล้าเข้าหรอก  คาสิโนที่เราเข้าไปเราเห็นนักท่องเที่ยวเอเชียเยอะเหมือนกันนะ  แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยไม่มีรูปมาให้ดูจ้ะ จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:30:59 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เราเดินโต๋เต๋ดูเมืองนี้สักพัก ก็มุ่งหน้าต่อไปจ้ะ ก่อนจะไปก็เก็บเมืองนี้ไว้เป็นเมืองใน wishing list ของเรา  คราวนี้จะหาโอกาสมานอนแล้วเดินชิล ๆ ให้หนำใจ  แหมแต่จะว่าไป อยากกลับไปอีกครั้งเกือบจะทุกที่เลยนาเนี่ย   จุดหมายต่อไปของเราคือ เลคโคโม ( Lake Como) เป็นเมืองทะเลสาบตากอากาศอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี อยู่ติดกับสวิสเลยหละ  เราออกจากโมนาโคสักบ่ายสามกว่าๆ  ถ้าดูในแผนที่เราจะมุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ  ข้ามพรมแดนจากฝรั่งเศสเข้าอิตาลี  และเช่นเคย  เรายังคงคอนเซ็ปท์เดิม คือหลีกเลี่ยงมอเตอร์เวย์ให้มากที่สุด หากมันมีทางขนานกันหรืออ้อมไม่มาก เราจะไปทางโลคอลกัน เพื่อดื่มด่ำกับเส้นทางสุนทรีย์ (จริงๆ แล้วคือ งก น่านเองงง)  แต่คราวนี้เราไม่ขับรถเลียบหน้าผาและทะเล แล้วเนื่องจาก (เราคิดว่า) มันอ้อม  เราตัดตรงขึ้นด้านบน เข้าเมือง Cuneo ( Italy) เลย แล้วเข้า  Torino ใช้มอเตอร์เวย์ แล้วขวาไปทางมิลาน แต่ไม่เข้ามิลาน แต่ตัดขึ้นเหนือเข้า Como ซึ่งอยู่หางจากมิลานไม่ถึงสี่สิบกิโลเลย  จากระยะทาง กะด้วยสายตาของนาวิเกเตอร์ผู้เก่งกาจ (หรือที่เรียกภาษาชาวบ้าน ว่า มั่วนะเอง)  เราน่าจะใช้เวลาไม่เกินห้าชั่วโมงนะตัวเอง  และน่าจะไปถึงไม่เกินสามทุ่มนะจ๊ะ เอาคุณแฟนสู้ ๆ นะ จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 52 แต่ก็อย่างที่บอกเนื่องจานาวิเกเตอร์มั่วมาก  ถึงแม้ระยะทางมันจะดูไม่ไกลมาก  แต่ว่า.....  เนื่องจากเราเลี่ยงทางมอเตอร์เวย์อันแสนสบายและกว้างขวาง เราจึงเข้ามาโลคัลโรดดอีกแล้วว  ที่ตลกก็คือ ตอนเราออกจากโมนาโค ทางที่เรามุ่งขึ้นไป มองไปข้างหน้าเห็นภูเขาลูกเบ้อเร่อ ตั้งตระหง่านแถมสูงมากๆ  มันดูทั้งใหญ่โตและสูงกว่า เกลนใดๆ ในไฮแลนด์ซะอีก  เรายังพูดกันเล่น ๆ เลยว่า (แต่แอบหวังจริงๆ)  หวังว่าเราคงไม่ต้องขึ้นเขานั้นนะ มันคงมีทางตัดเขาไปนะตะเองงง  เอาเข้าจริง ทางตัดเขาหน่ะมันมี แต่สำหรับคนรวยที่เขายอมจ่ายตังค์อ่ะจ้ะ ซัมเหมาอย่างเราสองคน เห็นแล้ววว เห็นแล้ววว ว่ามันเป็นทางสวนกันเลาะเขา  แต่มันเกินกลับตัวแล้ว ได้แต่ถอนหายใจเฮือก แล้วก็ปลอบใจกันเองว่า แค่สี่สิบห้าสิบโลเองน้อออ สู้ๆ    แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ  เราทางนี้ มันโหดสุดในชีวิตที่เคยมาเลย อ่างขางที่ว่ายาก ดอยตุงที่ว่าวกวนเป็น sine curve  หรือจะทางเลียบหน้าผาตอนกลางคืนอันแสนน่ากลัวของชายฝั่งตอนใต้ฝรั่งเศส ยังต้องยอมแพ้ที่นี่เลย  คือ ทางมันเล็กๆๆๆๆมาก ๆๆๆ แล้วมันขับเลาะเขา ขึ้นๆ ลงๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่รู้จบ หักศอก จนไม่รู้จะหักศอกยังไง  แถมสูงอีกตั่งหาก  มีอยู่ตอนนึงมันตลกมากเลย อ่ะ  คือเรากำลังขับรถเลียบเขาอยู่ในหุบเขา นึกออกมะ ประมาณลัดเส้นรอบวงเขาลูกนี้  ในท่ามกลางภูเขาหลายๆ ลูกอ่ะ (อ้อ ส่วนมอเตอร์เวย์ เขาไปสบายกันอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้)  เรามองไปทางขวามือ  (ที่ฝนนั่งอยู่ขวาสุด เลียบหน้าผาเช่นเดิม)  เห็นสะพานหินเล็ก ๆ อันนึง  ตั้งอยู่สูงมากกกกกก บนภูเขาอันข้าง  ๆ ดูน่าหวาดเสียวเป็นที่สุด  เรายังเปรยๆ กับคุณแฟนว่า โชคดีที่เราไม่ได้ไปวิ่งบนสะพานอันนั้นเนอะ น่ากลัวจัง  ก็ถนนเรามันมุ่งไปข้างหน้าอ่ะ นึกออกมั้ย เราก็ไม่คิดว่า เราจะต้องย้อนกลับมาตำแหน่งเดิม   แต่แล้ววิ่งไปวิ่งมาเราโคงไปโค้งมา จนมาวิ่งสวนทางกับทางเดิม  แล้วเราก็ข้ามสะพานอันนั้น ว่าแล้วเราก็ขอหลับตานะจ๊ะดาหลิง ขอเอาตัวรอดก่อน หลุดแล้วบอก ไม่หวายแล้ววว มันเสียว สุดๆ  เสียวขนาดที่ตอนแรก ๆ ที่เข้าเส้นนี้คุณแฟนเราที่ว่าแน่ ยังบอกว่า ถ้ามีทางมอเตอร์เวย์อ่ะ เข้าเถอะนะ  ไม่ไหวแล้ววว แต่กว่าเราจะสำนึกได้มันก็สายเสียแล้ว เรากลับไม่ได้ ไปไม่ถึง  ต้องสู้ต่อไป เพราะถนนเส้นนี้ไม่มีที่พักใด ๆ พอให้กลับรถได้เลย ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ดูดี ๆ ได้ค่ะ เนื่องจากทางแคบมาก และทางไม่ช่ายทางตรงอ่ะ เราเนี่ยนั่งโยกไปเยกมา  ภาพเลยสั่นไปหมดเลย ฮ่า ฮ่า จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:39:08 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เฮ้ออออ กว่าจะถึงตูลอง เล่นเอากระเพราะปัสสาวะอักเสบเพราะเสียวสุดๆ ไปเลย  พอหลุดเส้นทางที่โหดที่สุดในชีวิตแล้ว เราก้อปลอบใจคุณแฟนผู้มีพระคุณด้วยการควักข้าวสวยถุงเบ้อเร่อ พร้อมปลาร้าบองทรงเครื่อง คลุกๆ ๆ ๆ กับข้าว  แล้วก็โรยหมูแดดเดียวสูตรอร่อยๆ (จริงๆนะ)  ป้อน เอ้า อ้ำๆๆ  คุณแฟนค่อยแฮปปี้หายเครียดหน่อยย  หลังจากนั้น เราก็สบายๆ ชิลๆ กัน วิ่งโลคัลโรดไปสักพัก  แต่ทางไม่น่ากลัว มันเหมือนวิ่งในบ้านนอกบ้านเราอ่ะ   จากนั้นก็เข้ามอเตอร์เวย์มุ่งไปทางมิลาน   แล้วตัดเข้าโคโม  เราไปถึงโคโมตอนสามทุ่มอ่ะ  ฮ่า ฮ่า  ดีจายยย ไม่ผิดแผนเว้ยเรา แต่อย่ากระนั้นเลย เคราะห์ร้ายไม่ได้มีหนเดียว Unfortunately Event เรื่องร้ายนี่ยังไม่สิ้นสุดจ้ะ  เนื่องจากแพลนเนอร์ทริปนี้ผู้สวยและฉลาด (น้อย)  ได้เลือกจองรีสอร์ทที่อยู่จุดเหนือสุดของโคโม ด้วยมั่นใจว่าเราจะได้โรงแรมที่ดีที่สุด อยู่ปลายยอดแหลมของเลคโคโม  นามว่าตำบล เบลลาจิโอ้(Bellagio)  โอ้ววว น่าจะงดงามน่าดู ลองนึกภาพดู  ให้โคโมเป็นเลค มีแผ่นดินอยู่ตรงกลางเป็นเหมือนกรวยอ้วนๆ ที่มียอดแหลมอยู่ด้านบนของทะเลสาบ  ซึ่งอีกด้านของทะเลสาบคือ  ชายฝั่งสวิส มันช่างงง... โรแมนติคเหลือเกิน  แต่ว่า.... (ทริปนี้มี แต่ว่า บ่อยมากเลยนะเนี่ย)  เรากะประมาณผิดไป (อีกแล้ววว !!!) เราคิดว่าโคโมมันจะเป็นเมืองเล็กๆ ไง  เราขับรถเข้ามาจากใต้ฐานกรวย ขึ้นไปด้านบน ไม่น่าไกลเลยใช่ไหม  (ขอเสียงว่า ช่ายยย ดังๆ หน่อยสิจ๊ะ)   แต่มันไม่ช่ายหยั่งงั้น  เรามาเซ็นเตอร์ที่นี่สามทุ่มก็จริง เราตามป้ายไปเลยนะ  มันบอกว่าเลี้ยวขวาไป เบลลาจิโอ้  เราเลี้ยวขวามา  เจอทางที่ขนาบด้วยตึกสองข้างเลย  ทางนึงมุ่งขึ้นเขาด้านบน กับทางซ้าย ไม่เห็นมีป้ายไรบอกเลย  เราก็เลยตัดสินใจขับตรงขึ้นเขามาเลย หาป้ายเบลลาจิโอ้ หายังไงก็ไม่เจอ ขับขึ้นเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทางชักมืดลง ไม่มีไฟข้างทาง เราก็ยังไม่ย่อท้อ เลี้ยวหักศอก ไป .. มา .. ไป ...มา  จน... หาไรไม่เจอ แล้วที่ร้ายกว่านั้น ไม่รู้ว่าตรูอยู่ไหน มืดไปหมด บ้านคนก็น้อยมาก  มองไปทางก็ยังวนขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  สุดท้ายเราตัดสินใจใช้มือถือที่โรมมิ่งมาจากเมืองไทย  (จำไว้นะ ไปต่างประเทศต้องโรมมิ่งไว้ เผื่อฉุกเฉิน)  ไปหาโรงแรม  เค้าก็ถามเราว่าอยู่ไหน เราก็ไม่รู้ ตอบเค้าไม่ได้ หาจุดสนใจไม่ได้เลย มืดไปหมด  จนสุดท้ายเราบอกเค้าว่าเดี๋ยวจะหาทางไปเองอีกทีนะ  เราตัดสินใจขึ้นเขากันต่อไป เพราะกลัวว่าถ้ารีสอร์ทอยู่ข้างบน แล้วเราละทิ้ง กลับลงไปข้างล่างมันจะน่าเสียดาย  เราตัดสินใจขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ทางแคบลงเรื่อย เรามองไม่เห็นไรเลย ไม่เห็นไรเลยจริงๆ นะ มันมืดไปหมด มองไม่เห็นข้างทาง  มีอยู่ครั้งนึงเรากลัวจับใจเลย คืออย่างที่บอกว่าทางมันมืดมาก มองไม่เห็นทางข้างหน้า หรือข้างทางเลย มันมืดตึ๊ดตื๋อ ทำไมมันมืดตึ๊ดตื๋อ มืดตึ๊ดตื๋อทำไมมันมืดไปหมด  อ้าวร้องเพลงซะงั้น   คือเราวิ่งไปแบบมองไม่เห็นทางข้างหน้า เราจะเห็นแค่ระยะสองสามเมตรเอง  แต่เราพอประมาณได้ว่ามันเป็นทางโค้ง  คุณแฟนตัดสินใจเร่งขึ้น เพราะมันเป็นทางเนิน แล้วหักพวงมาลัยสุดเพื่อโค้ง  แต่ยังเหยียบคันเร่งไม่สุด เค้าเบรคซะก่อน พอเรามองออกไปนอกหน้าต่างบานหน้า ใจหายวาบ อีกนิดเดียว แค่ไม้บรรทัดเดียว เราจะชนภูเขา  คือ ข้างหน้าเรามันเป็นทางโค้งแบบยูเทิร์นกลับทิศเลย  มันโค้งทีเดียวได้ไม่หมด  ต้องถอยหลังแล้วหักโค้งสองที  ตอนนั้นใจไม่ดีกันแล้ว  ขับไปเรื่อยๆ  จนในที่สุด มันไม่มีคน ไม่มีบ้านคน  แต่มันยังมีทางไปเรื่อยๆ นะไม่ตัน แต่เรารู้แต่ว่าเราขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเราผ่านศาล  แม่นแล้ว .. ศาลข้างทางอันใหญ่ แบบคล้ายๆ บ้านน้องหมาแต่สูงประมาณสักสองเมตร มันเป็นศาลที่มีรูปปั้นอะไรอยู่ด้านในไม่รู้ ไม่กล้ามอง รู้แต่มีไฟสีแดงอยู่  โห.. เห็นป๊าบบบ ขี้ขึ้นสมองเลย ปวดกระเพาะปัสสาวะอีกรอบ  แต่เราเงียบนะ ไม่พูดอะไร  คุณแฟนก็เงียบ แต่เราหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัต แล้วเราสองคนตัดสินใจพร้อมกันเลยว่า กลับกันเถอะ กลับไปข้างล่างที่ทางแยกแรก ไปเริ่มกันใหม่ ไม่ไหวแล้ว กลัวผี !!!  ก็ตอนนั้นมันห้าทุ่มแล้ว  ถ้าโรงแรมเรามันอยู่ตรงนี้ เราหาที่พักใหม่กันเถอะ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 50 06:09:33 จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เรากลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง  แล้วเราก็พบว่า หลังจากเราเลี้ยวขวาแยกแรกมาแล้ว พอเจอแยกที่สองให้เลี้ยวซ้าย  เอ้า แล้วป้ายมันหายไปไหนเล๊า  อยากจะบ้า  เฮ้อออ  แล้วเราก็ตรงไปเรื่อย ๆ ขับเลียบทะเลสาบ ทะเลสาบอยู่ด้านซ้ายมือเรา  ขับไปเรื่อย ๆ ก็เจอป้าย เบลลาจิโอ้ไปตลอดทาง  ก็ใจชื้นละ กะว่าเดี๋ยวไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึง ปรากฏว่าเราต้องขับไปเกือบชั่วโมง เพราะเบลลาจิโอ้ อยู่ไกลสักห้าหกสิบโลได้ ขับทั้งเลาะเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งลอดอุโมงค์ที่ตัดใต้เขา  แถมเป็นทางแคบ ซ้ำยังเดี๋ยวขึ้นเขาลงเขา และมีไฟบ้าง ไม่มีไฟบ้างอีกแล้ววว   พอไปถึงเบลลาจิโอ้ ไอ้โรงแรมเราจองก็ดันไม่ได้อยู่ในเซ็นเตอร์ที่เค้าอยู่กัน หายังไงก็หาไม่เจอ แวะถามร้านอาหาร  คนที่ร้านเค้าดีมากเลย เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก เค้ากุลีกุจอวาดแผนที่ให้เราเต็มที่เลย  เค้ายังบอกเลยว่า เค้ารักเมืองไทยมาก เคยไปแล้วและจะไปอีก  โอววว  ช่างภูมิใจในเมืองไทยจริงๆ นะ  แต่เราก็ยังหลงอยู่ดี สุดท้ายไปหาคุณตำรวจทางหลวงโชคยังดีที่แกยังไม่กลับบ้าน พอเรายื่นชื่อกับที่อยู่กับโรงแรมให้เค้าดู เค้าก้อถอนใจเฮือก (อนุมานได้ว่า แหมเจ้ากระเหรี่ยงสองคนช่างบื้อจริง จริ๊งง  แล้วเค้าก็ให้แผนที่มา พร้อมบอกทางเราอีกครั้ง  ในที่สุดเราก็ไปถึง   โรงแรมเรา ต้องบอกเลยว่าน่าประทับใจมากกก  ถ้ามีคนถามที่พักที่โคโม เราแนะนำเลยที่นี่ Perlo Panorama ตั้งอยู่บนจุดสูงเกือบที่สุดของเบลลาจิโอ้  ที่สำคัญไปกว่านั้น เป็นโรงแรมที่เรารับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเจ้าของเลย  เค้าตั้งใจดีมาก เริ่มตั้งแต่เค้านั่งรอเราจนถึงเที่ยงคืน (เจ้าของนะ) เพื่อเช็คอิน เค้าเป็นคุณยาย กับลูกสาว (วัยคราวป้า)ของเรา  เค้าพูดกับเราดีมาก  พูดจาดีมาก ประทับใจสุด ๆ  พอเข้ามาในห้องพัก เป็นห้องพักที่ดีที่สุดใสทริปในราคาแค่แปดสิบยูโร  ในห้องเป็นแบบฝรั่งเศสแท้  ๆ ดูอุปกรณ์การตกแต่งแล้วรู้เลยว่าเค้าตั้งใจ  มีทั้งผ้าปูลายดอกไม้สีเขียว เข้าชุดกับเก้าอี้ทรงเรโทรสีเขียว และโต๊ะข้างกับตู้เสื้อผ้าสีโอ๊ค  ในห้องสีครีมเหลือง โปร่งด้วยหน้าต่างแบบฝรั่งเศสทรงสูง จรดเพดาน เปิดออกไปเจอระเบียงที่มีดอกไม้บานอยูสะพรั่ง อากาศสดชื่นมาก  ในห้องยังมีพัดลม  อันนี้เอประทับใจมาก เป็นพัดลมโคมไฟแขวนเพดานแบบมีรีโมท  แล้วที่เจ๋งคือ มันสามารถคอนโทรลให้หมุนกลับทิศได้ ประมาณว่าหมุนไปทิศนี้ ห้องจะเย็นลง ถ้าหมุนไปอีกทิศ ห้องจะอุ่นขึ้น  เจ๋งโพดๆ  คุณแฟนเนี่ยประทับใจสุด ๆ กดรีโมทเล่นอยู่ได้ เดี๋ยวหมุนตามเข็ม เดี๋ยวหมุนทวนเข็ม ดีใจยังกะได้ของเล่นใหม่นอกจากนั้นยังมีทีวี แอลซีดีจอแบน แล้วก็ห้องน้ำสุขภัณฑ์แบบเยี่ยมมม   รักจริงๆ นะเนี่ย พูดมากแล้วไปดูภาพกัน ถ่ายตอนกลางคืนนะจ๊ะ ในห้อง จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ห้องน้ำ จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 56 คืนนี้อาบน้ำอาบท่า นอนกดรีโมทพัดลมเล่นกันจนเหนื่อย ฮิ ฮิ แล้วก็หลับปุ๋ยกันเลย  ส่วนเราก็ขอไปนอนจริงๆ ด้วยเหมือนกัน   แล้วจะมาต่อใหม่สำหรับวันรุ่งขึ้นะค๊า  วันรุ่งขึ้นหลังจากเราตื่นแล้ว เราจะไปเดินเล่นริมทะเลสาบโคโมกัน ก่อนจะข้ามฝั่งไปยังสวิส  ยังมีเส้นทางที่สวยงามรอเราอยู่อีกข้างหน้านะจ้ะ See you all จ้า ^ - ^ จากคุณ : sastress - [ 15 ต.ค. 50 05:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตามมาคอยส่งผ้าเย็นให้โชเฟอร์นะครับ ตื่นเต้นดีครับขับไปหลงไป แล้วก็เจอคนอิตาลีที่ใจดีช่วยบอกทางเสมอ..คิดถึงคนอิตาลีครับ ขอเป็นกำลังใจและเกาะติดตอนต่อไปนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 50 11:37:18 จากคุณ : น้าถาพร - [ 15 ต.ค. 50 11:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอตามมาเที่ยวด้วยคนนะคะ อ่านแล้วทั้งสนุกแล้วก็ลุ้นตามคุณ sastress ไปด้วยเลย จากคุณ : Aorora - [ 15 ต.ค. 50 22:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณค่ะ คุณน้าถาพร ขออนุญาตรับผ้าเย็นมาซับเหงื่อที่หยดติ๋งๆ เลยนะคะ  คนท้องถิ่นที่นี่ใจดีจริงๆค่ะ  ถึงแม้ว่าเราจะสื่อสารกันคนละภาษาก็ตาม แต่เค้าเต็มใจจะช่วยดีมาก ๆ ผิดกับคนในเมืองใหญ่อ่ะค่ะ  เราก็ยังคิดถึงบรรยากาศดีๆ ยังงั้นอยู่เลย มีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะ  เผื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับเพื่อน ๆ ที่ขับรถในต่างประเทศ คืนวันแรกที่เรากลับจากเมือง อาห์เหลอะ  อย่างที่เห็นในรูปอ่ะค่ะ เรากลับที่พักเราประมาณสี่ทุ่มกว่า  ๆ  ตอนนั้นทางก็มืดแล้ว  ข้างทางบางจุดก้อเป็นต้นไม้อย่างที่เห็นในตอนหนึ่งค่ะ  บางจุดก็เป็นบ้านคนหรอมแหรม  แล้วที่พักเรามันอยู่กลางทุ่งมะกอกอ่ะค่ะ อยู่ชานหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อราฟาเล่  ตอนนั้นเราก็ถึงกลางทางแล้ว รถก็มีน้อยมากกก นานๆ จะเห็นสักคันนึง  ครั้งนึงเราติดอยู่ที่สี่แยก รอสัญญาณไฟเขียวอยู่ ก็มีเด็กหนุ่มอ่ะค่ะ  สักประมาณสิบเจ็ดสิบแปด เค้ายืนอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง ข้างๆ ฝั่งเราพอดี เค้าก็เคาะกระจกรถเราเบาๆ คือตอนนั้นมันอยู่ค่อนข้างเกือบในเมืองนะคะ แต่ร้านรวงปิดหมดแล้ว  มีแต่รถเราอยู่คันเดียว เราก็เปิดกระจกรถลงแล้วถามว่ามีอะไรเหรอคะ  เราพูดเป็นภาษาอังกิดนะคะ เค้าก็ตอบกลับมาเป็นภาษาฝรั่งเศส เราก็งง พยายามคุยกันก็จับใจความหรือเดาได้ว่า เค้าขอติดรถไปลงข้างหน้าหน่อย เพราะตอนนั้นเรามุ่งหน้าตรงไปค่ะ  เค้ามาซื้อโค้กตรงร้านแถวนี้ เค้าชูขวดโค้กพลาสติคให้ดู  แล้วมันไม่มีรถกลับ  เราก็นึกในใจว่า แหมน้องเป็นคนแถวนี้แล้วไม่รู้หรือไงจ๊ะ  เราก็บอกเค้าว่าเราไปราฟาเล่นะ  คือเราฟังไม่รู้เรื่องว่าน้องเค้าจะไปลงไหน  แต่เราพยายามชี้ไม้ชี้มือแล้วพูดว่า ราฟาเล่  เค้าก็พยักหน้า แล้วทำหน้าอ้อนวอน  เราก็หันมามองหน้าแฟนแล้วเอาไงดีหว่า กลัวก็กลัว ก็น้องเค้าตัวใหญ่กว่าแฟนเราอีก  มันจะเป็นนกต่อป่าวหว่า มาหลอกเอาเราไปฆ่าไหมเนี่ย แต่สงสารเค้าก็สงสาร มันดึกแล้วอ่ะ  เลยตัดสินใจพยักหน้าแล้วเปิดประตูให้น้องขึ้นมาด้านหลังเรา ตอนขับไปก็กลัวไป เงียบกันทั้งสามคนเลย  เราก็บ่นกับแฟนเป็นภาษาไทยว่า จะรอดกันไหมเนี่ย เค้าจะฆ่าเราไหมเนี่ย ไอ้ทางก็เปลี๊ยว เปลี่ยว  แล้วระยะทางเนี่ย มันดูเหมือนทอดยาวไปไม่สิ้นสุดซักที หายใจไม่ทั่วท้องกันเลย แต่ก็ปลงกันว่าเออ  ถ้าทำดีแล้วถูกฆ่า ก็ถือเว่าเป็นกรรมเก่าแล้วกันนะที่รัก  สุดท้ายก็มาถึงที่พักเราด้วยความปลอดภัย เฮือกกก แต่มันยังไม่ถึงราฟาเล่หรอกนะ เราก็บอกน้องเค้าว่าเนี่ยเราพักตรงเนี้ย น้องลงได้แล้ว  น้องเค้าก็บอกว่าไปส่งเค้าหน่อย มันยังไม่ถึง ขอให้ไปส่งตรงแยกราฟาเล่  (แหม ไอ้เราก็เก่งจิ๊ง น้องเค้าพูดภาษาฝรั่งเศสยังอุตส่าห์เข้าใจอีก) มองหน้าแฟน เออ มันจะหลอกเราไปฆ่าป่าวหวา  แต่แล้วก็ตัดสินใจขับต่อไปอีกประมาณสองสามโล ไปถึงแยกนั้นแล้วส่งน้องลง น้องเค้าก็ขอบคุณใหญ่เลย  ส่วนเราสองคนก็ขอบคุณใหญ่เลยที่มีชีวิตรอดมาได้   เลยพูดกันว่า ทีหลังไม่เอาแล้วนะ ไม่ทำอย่างนี้แล้วนะ  มันเสี่ยงมากๆ เลย แต่แหม เราก็อดใจอ่อนไม่ได้อ่ะนะ เล่ายาวแล้วนึกถึงเรื่องนึง สมัยเรียนที่มอเกษตรเมื่อสักเกือบสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นเราเพิ่งมากรุงเทพใหม่ ๆ วันนั้นเป็นตอนเย็นวันเรียน เรายืนรอรถเมล์ที่ป้ายตรงถนนวิภา ตรงข้ามมอเกษตรมุ่งหลักสี่ ก็มีเรา มีผู้หญิงคนนึงใส่ชุดนักศึกษาเหมือนเรา แล้วก็มีผู้ชายคนนึงยืนอยู่ไกล ๆ เราสองคนนิดนึง  ยืนอยู่แป๊ป ผู้หญิงคนนั้นเค้าก็เข้ามาหาเรา แล้วบอกว่า เนี่ยเค้าไม่สบายมาก ปวดหัว กินยาไปอยากหลับ เค้าอยากขึ้นแท๊กซี่กลับบ้าน บ้านเค้าอยู่ในนอธปาร์คนี่เอง อยากให้เรานั่งแท๊กซี่ไปเป็นเพื่อนเค้ากลัวเค้าหลับ แล้วแท๊กซี่จะทำมิดีมิร้าย  เราก็เออ เอาไงดีนะ เกือบละ เกือบไปกับเค้าละ พอดีมีนักศึกษาชายคนนั้นเค้าฟังอยู่ เค้าก็อาสาไปแทน  เรามานึก ๆ ดูตอนนี้แล้วก็นึกว่า เอ นั่นมันมิจฉาชีพหรือปล่าวน้า ทำไมเราต้องไปส่งเค้าที่บ้านด้วย แล้วเราจะกลับออกมายังไงหวา  อื้มมม... นอกเรื่องซะเพลิน  ขอบคุณคุณ Aorora ด้วยนะคะ ที่แวะมาเที่ยวด้วยกัน  เดี๋ยวเราจะกลับมาอัพใหม่สุดสัปดาห์หน้านะคะ พอดีต้องใช้เวลาเขียนและย่อรูปนานน่ะค่ะ  เดี๋ยวเจอกันสุดสัปดาห์นะคะ เส้นทางสวิสทีเราไม่มีวันลืม (อีกแล้ว  ... พอดีเราเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นค่ะ ซะที่ไหนกันเล่า)  บายค่ะ  สวัสดีค่ะ จากคุณ : sastress - [ 16 ต.ค. 50 05:01:19 ]