คำพัด จัน ออง เด็กวัยสิบปีต้นๆ อาชีพขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ฉันบังเอิญได้รู้จักพวกเขาตอนที่กำลังจะเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ ทั้งสามไม่ได้มารุมล้อมให้ช่วยซื้อของจากเขา แต่เป็นฉันเองที่สนใจเข้าไปถามราคา
"ตัวละ 20 บาท" เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายผมแดงร้องบอก
"...5 ตัวร้อยบาท" เขาพูดต่อ
"แพงไป" ฉันบอกเป็นนัยเพื่อให้เขาลดราคาให้
ได้ผล!
"งั้นหนูให้พี่ 7 ตัวร้อย"
"ตัวละ 10 บาทละกัน" ฉันไม่ลดละ
ตกลงราคาได้แล้วฉันก็เดินเข้าพิพิธภัณฑ์หลังรับปากเด็กทั้งสามว่าเสร็จแล้วจะออกมาซื้อ ฉันหายเข้าไปไม่นานก็กลับออกมาหน้าประตูทางเข้า เสียงเด็กชายคนเดิมร้องเรียกพร้อมชูถุงพวงกุญแจที่เขาห่อให้เสร็จสรรพ ฉันขอถ่ายรูปพวกเขาก่อนหยิบเงินส่งให้แลกกับของที่ระลึกจากสปป.ลาว บทสนทนาระหว่างนักท่องเที่ยวชาวไทยกับเด็กขายของชาวลาวที่น่าจะจบลงหลังจากรับของมาและจ่ายเงินไปแล้วกลับเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพเล็กๆ ที่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้
...
"วันศุกร์มาขายของแบบนี้ไม่ไปเรียนเหรอ?" ฉันถามด้วยความสงสัย แต่กลับได้คำตอบที่คาดไม่ถึง
"หนูไม่ได้เรียน ค่าเรียนแพง หนูอยากเรียนแต่ที่บ้านยากจน..."
ตอนนั้นฉันรู้สึกผิดที่เอ่ยปากถามไปอย่างนั้น คำถามจะไปสะกิดใจเด็กหญิงที่ดูโตที่สุดในกลุ่มบ้างหรือเปล่าฉันไม่รู้ ไม่นาน"ออง"เด็กชายผมแดงก็ยื่นข้อเสนอให้ฉันไปเที่ยวบ้านพวกเขา ฉันสอบถามเส้นทางและวิธีการไปเพื่อให้มั่นใจว่าจะกลับมาเก็บของกลับเวียงจันทน์ทันรถเที่ยวสุดท้าย
"พี่จะเที่ยวนานหรือแป๊บเดียวก็ได้"
"นั่งเรือเล็กข้ามไปฝั่งโน้นไม่กี่นาที"
"ที่นั่นมีหมู่บ้าน มีวัด มีถ้ำ" เด็กๆ ช่วยกันพูด
"แล้วถ้าพี่ไปเราจะได้ขายของเหรอ?" ฉันถามทั้งที่ยังลังเลว่าจะไปกับพวกเขาดีไหม
"วันนี้ขายแค่นี้ก่อน ไว้ค่อยมาขายใหม่" คำพัดพูดขณะที่มือกำลังสาละวนกับการเก็บของที่เธอขาย
"ได้ งั้นเราพาพี่เที่ยวแล้วพี่จะให้เงินคนละร้อย" ฉันบอกกับจันเด็กสาวที่พูดน้อยที่สุด
พวกเราตกลงกันว่าจะข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำโขงโดยนั่งเรือโดยสารซึ่งประหยัดที่สุด เมื่อเรือพามาส่งถึงที่หมายเด็กทั้งสามก็พาฉันลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน โดยมีคำพัดทำหน้าที่ไกด์อาสาอธิบายหลายๆ อย่างให้ฟัง จากลักษณะการพูดจาของเธอฉันคิดว่าคำพัดเป็นเด็กฉลาด น่าเสียดายที่ต้องหยุดเรียนหนังสือตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันอดคิดต่อไม่ได้ว่าจะมีเด็กอีกสักกี่คนที่มีชะตากรรมเดียวกับคำพัด จัน และออง ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพราะฐานะทางบ้านยากจน
"ทำไมไม่เรียนล่ะ?" ฉันถามขึ้นระหว่างเดินเข้าหมู่บ้าน
"ค่าเรียนปีละ 200 หนูไม่มีเงิน" คำพัดตอบ
"ยังมีค่าหนังสือ เสื้อผ้า กระเป๋า...อีก" อองช่วยเสริม
คราวนี้ฉันเห็นความจำเป็นของพวกเขาแล้วจริงๆ ว่าทำไมต้องออกมาเดินเร่ขายของแทนที่จะได้เข้าโรงเรียนเหมือนเด็กส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ตลอดรายทางฉันได้รับฟังเรื่องราวชีวิตของพวกเขาจากปากของเจ้าตัว คำพัดชี้ให้ดูบ้านของเธอซึ่งเป็นทางผ่านก่อนจะถึงวัด ความจริงจะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกนัก เพราะสภาพที่เห็นเป็นเพียงเพิงสังกะสีสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอบอกว่าบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะเป็นปูนกันหมด มีเพียงส่วนน้อยที่ยังเป็นกระต็อบอย่างบ้านของเธอ จัน และออง ฉันรับรู้ความหมายในน้ำเสียงเล็กๆ นั้น เธอคงอยากมีเหมือนที่คนส่วนใหญ่มี
คำพัดชอบดูทีวี ชอบละครไทย เธออาศัยดูจากบ้านคนอื่น
"เครื่องหนึ่งหลายพัน ต้องติดจานดาวเทียมอีก"
ฉันมาเห็นว่าคำพัดชอบดูทีวีจริงๆ เมื่อตอนที่พาเด็กทั้งสามมากินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากทางหมู่บ้าน เธอชำเลืองดูรายการที่เปิดอยู่ในร้านเป็นระยะๆ ฉันได้แต่แอบยิ้มกับความไม่เดียงสาของเธอ ยังไงเสียเด็กก็คือเด็ก
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 50 20:58:35