ความคิดเห็นที่ 1 ด้วยความที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟ  เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัย  ทริปนี้ก็เช่นกันครับ เดินทางด้วยขบวนรถเร็วที่ 107  ออกจากหัวลำโพงเวลา 20.10 น.  (คราวนี้ออกตรงเวลาแฮ๊ะ) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:05:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอติดรถไฟไปด้วยนะค่ะ เป็นสถานที่ที่เกือบจะได้ไปแต่ก็อดไป เลยขอไปด้วยคนนะ จากคุณ : Firesky - [ 23 ม.ค. 51 22:07:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตามไปด้วยค่ะ อยากไปบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ไปเลยค่า จากคุณ : NuTinyGirl - [ 23 ม.ค. 51 22:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อาหารค่ำ  ก็ฝากท้องไว้กับตู้เสบี่ยงครับ  ข้าวผัดวิญญาณหมูยอโปะหน้าไข่แช่น้ำมัน + ต้มจืดเศษหมูสับกับผักรวม  แต่รสชาติก็ใช้ได้ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:10:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เชิญคุณFiresky กับคุณ NuTinyGirl ขึ้นรถมาเลยครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ปูที่นอนเรียบร้อยแล้วครับ  ผมว่าที่นอนรถขบวนนี้  แคบกว่าขบวนเชียงใหม่มากเลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือเด่นชัยครับ  รถไฟมาถึงตอนยังไม่หกโมงเช้าเลยครับ  ตรงเวลาครับ อำเภอเด่นชัย เดิมเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอสูงเม่น ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอในปี พ.ศ.2506 เคยมีประวัติว่าเมื่อประมาณ พ.ศ.2445 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีชาวเงี้ยวเข้ามาขุดพลอยที่ดอยปกกะโล้ง(ปัจจุบันคือที่ตั้งบ้านบ่อแก้ว ม.4 ต.ไทรย้อย)  และต่อมาสมัครพรรคพวกเข้าปล้นเมืองแพร่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้พระยาสุรศักดิ์มนตรี ยกทัพปราบพวกเงี้ยวโดยได้ตั้งค่ายทัพที่บ้านเด่นทัพชัย และทำการปราบปรามพวกเงี้ยวได้เป็นผลสำเร็จ จึงให้ชื่อค่ายว่า "ค่ายเด่นทัพชัย" ต่อมาได้ยกฐานะเป็นตำบลเด่นชัย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อ.เด่นชัย เป็นที่ตั้งของกองทัพทหารพราน ก่อนที่จะถอยกำลังไปรวมกับจังหวัดทหารบกลำปาง เมื่อ พ.ศ.2476 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองทัพทหารม้าที่ 12 ค่ายพระยา ไชยบูรณ์ เด่นชัยเริ่มความสำคัญทางการคมนาคม เมื่อทางรถไฟตัดผ่านไปจังหวัดลำปาง การเดินทางเข้าสู่จังหวัดแพร่ น่าน พะเยา และเชียงราย จำเป็นต้องขึ้นรถที่อำเภอ จึงทำให้อำเภอเด่นชัยเป็นชุมทางที่สำคัญ ปัจจุบันการคมนาคมทางรถยนต์ สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น มีทางหลวงแผ่นดินสร้างขึ้นมาใหม่หลายสายจึงมีความสำคัญลดลงไปบ้าง จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:17:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ลงจากรถไฟ  ก็ต่อรถตู้เข้าไปในตัวจังหวัดแพร่ครับ  คน กทม มาเห็นบรรยากาศสบายๆที่แพร่  ติดใจเลยครับ เมืองแพร่ เป็นเมืองเก่าเมืองหนึ่งในภาคเหนือของประเทศไทย ประวัติการสร้างเมือง ไม่มีจารึกในที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ  การศึกษาเรื่องราวของเมืองแพร่จึงต้องอาศัยหลักฐาน ของเมืองอื่น เช่น พงศาวดารโยนก ตำนานเมืองเหนือ ตำนาน  การสร้างพระธาตุลำปางหลวง และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นต้นตำนานพระธาตุช่อแฮกล่าวว่า เมืองแพร่มีมาตั้งแต่ สมัยพุทธกาล ตำนานวัดหลวงกล่าวไว้ว่าประมาณ พ.ศ. 1371 พ่อขุนหลวงพล ราชนัดดาแห่งกษัตริย์น่านเจ้าได้อพยพคนไทย (ไทยลื้อ ไทยเขิน) ส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงแสน ไชยบุรี และเวียงพางคำลงมาสร้างเมืองบนที่ราบริมฝังแม่น้ำยม ขนานนามว่า  เมืองพลนคร (เมืองแพร่ปัจจุบัน) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:22:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แวะทานอาหารเช้ากันครับ  มื้อนี้เป็น ABF ครับ ( และเป็น ABF สุดท้ายของทริปนี้ด้วยครับ ) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:24:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่แรกที่เราแวะเที่ยวกันก็คือ วัดพระธาตุช่อแฮ  ครับ วัดพระธาตุช่อแฮ  เป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแพร่ พระธาตุช่อแฮเป็นวัดที่ประดิษฐานองค์พระธาตุช่อแฮ ซึ่งเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแพร่ ที่บรรจุเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า มีประวัติความเป็นมาว่าสร้างในสมัยสุโขทัย เป็นพระธาตุรูปทรง แปดเหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสอง สูงประมาณ 33 เมตร ศิลปะแบบเชียงแสนบุด้วยทองดอกบวบ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีขาล(เสือ) โดยนำผ้าแพรสามสีมาถวายจะทำให้ชีวิตมีพลังคุ้มครองป้องกันศัตรูได้ การสวด และไหว้ให้เริ่มต้นนะโม 3 จบสวดตามด้วยคาถาบูชาพระธาตุ 5 จบ พลังบารมีจะดลปันดาลให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 22:40:54 จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ช่วงที่ผมไปนี้  ได้มีการบูรณะองค์พระธาตุอยู่ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปองค์จำลองมาครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผู้ที่ได้มาเที่ยวจังหวัดแพร่ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการได้ไปเที่ยววัดพระธาตุช่อแฮ และหลวงพ่อ ช่อแฮ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:30:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 และไปกราบไหว้พระเจ้าทันใจ ซึ่งประดิษฐานอยู่หลังองค์พระธาตุครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ลงจากวัดมา  เจอต้นสาระ  สวยมากเลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 หลังจากกราบไหว้พระธาตุช่อแฮ ,พระเจ้าทันใจ และหลวงพ่อ ช่อแฮ เพื่อขอพรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็ออกเดินทางสู่  บ้านประทับใจครับ บ้านประทับใจ (บ้านเสาร้อยต้น)   เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง ผู้เป็นเจ้าของบ้าน คือ คุณพ่อกิจจา ชัยวัณณคุปต์ ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายม 2527 ด้วยโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ปัจจุบัน คุณแม่ลำยอง ชัยวัณณคุปต์ ภรรยาเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบสืบต่อมา บ้านประทับใจ เป็นบ้านส่วนบุคคล ตั้งอยู่ในเนื้อที่ทั้งหมด 34 ไร่ ได้ริเริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 โดยมีคุณพ่อกิจจา เจ้าของบ้าน เป็นผู้ออกแบบแปลนและตกแต่งบ้านด้วยตัวท่านเอง โดยไม่ได้ติดต่อสถานปนิกเลย บ้านประทับใจ มีการปลูกสร้าง และต่อเติมมาเรื่อง ๆ ตั้งแต่่ ปี พ.ศ.2515 โดยใช้ไม้สักท่อน ขนาดใหญ่ ตั้งเป็นเสาบ้านจำนวน ทั่งหมด 130 ต้น ใช้ระยะเวลาก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ เป็นบ้านพักอาศัยได้ประมาณ 5 ปี คือ ปี พ.ศ.2519 ก็เป็นที่พำนักพักพิง ของพ่อ, แม่ และ ลูกหลาน ปัจจุบันบ้านประทับใจก็ยังคงเป็นบ้านส่วนบุคคล แต่ก็ได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของ จังหวัดแพร่ตามความประสงค์ของท่านที่ได้ติดต่อขอเข้าชมเป็นประจำ โดยมิได้เกี่ยวข้องกับทางราชการและส่วนอื่นใดแต่อย่างใด จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แบบแปลนการปลูกสร้างและลักษณะทั่วไป ของบ้านประทับใจบ้านสร้างเป็นแบบทรงไทย ประยุกต์ หลังคาสูงติดต่อกัน 3 หลัง แต่พื้นต่ำจากระดับของบ้าน หลังคามีหน้าจั่วประดับด้วยกาแลซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ บ้านทรงไทย ทางภาคเหนือ ประตูหน้าบ้านเป็นไม้แผ่นทึบ มีสลักไม้ชั้นในเป็นกลอนประตูอย่างเช่น สลักบานสมัยอยุธยาหน้า ต่างทางซีกขวาของตัวบ้านเป็นไม้แผ่นทึบ มีสลักเป็นกลอนหน้าต่างฝากระดานใช้ไม้สักกว้างประมาณ 20-24 นิ้ว แล้วแต่ความ เหมาะสมของสถานที่ เสาบ้านยังลึกลงไปใต้ดินประมาณ 1.2 เมตร แต่ตอนหลังเกรงว่าไม่ที่ยังฝังลงไปในดินจะมีการผุกร่อน เนื่องจากความชื้นของดินและการกัดกินของแมลง คุณพ่อกิจจา จึงได้ขุดดินใต้ถุงออกไป ลึกประมาณ 1 เมตร และแกะสลักโคน เสา เทปูนลาดพื้นอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ชั้นล่างของบ้าน บางส่วนจะจัดทำเป็นโชว์รูม และที่จำหน่ายสินค้าเพื่อเป็นของที่ระลึก จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อท่านได้ขึ้นมาเดินชมบ้านประทับใจ แล้วจะรู้สึกว่าตัวบ้านมีความกว้างใหญ่มาก โดยเฉพาะตัวบ้านนั้นมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งานเศษ ประกอบด้วย ห้องพักส่วนตัว ชานมะปรางซึ่งเป็นชานนั่งเล่นที่มีร่มของต้นมะปรางประดับอยู่ มีห้องพักรับรองแขกถึง 5 ห้อง ด้านหลังมีชานตะวันสำหรับ นั่งรับแสงแดดในตอนเช้า มีชุดรับแขกแกะสลักที่ทำจากไม้แผ่นเดียวให้ท่านชมตลอดทั่งโต๊ะยาว ที่ทำจากไม้ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ เหลือจากการทำสัปทานไม้ของ บริทัท เอเซียติ๊ก บ้านประทับใจ เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เมื่อประมาณ กลางปี 2528 จนถึงปัจจุบันนี้ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:40:05 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพประทับใจ  ในบ้านประทับใจ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:42:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 *** จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ออกจากบ้านประทับใจ  เราก็มาต่อกันที่วัดหลวงครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 วัดหลวง ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านวัดหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 81.01 ตารางวา วัดหลวงเป็นวัดเก่าแก่ของแพร่ ประวัติความเป็นมาของวัดกล่าวไว้ว่า วัดหลวงสร้างมานานนับพันปี โดยในระยะเริ่มแรกของการสร้างเมืองในบริเวณที่ราบฝั่งแม่นำยมซึ่งมีชื่อว่าเมืองพลนคร โดยพ่อขุนหลวงพล มีการสร้างวัดขึ้นในบริเวณทิศตะวันตกของคุ้มเจ้าหลวง เมื่อปี พ . ศ . 1372คือมีการสร้างวิหารหลวงพลนคร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าแสนหลวงพระประธานของเมืองพล จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มาให้กำลังใจจ้า และตามไปเที่ยวด้วยคนนะค๊า จากคุณ : Happy Holiday - [ 23 ม.ค. 51 22:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 พ . ศ . 1600 ชนชาติขอมได้ยกทัพเข้ารุกรานเมืองพลนคร แม้เจ้าเมืองจะเข้าต่อสู้อย่างเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถด้านทานทัพใหญ่ของขอมได้ ในครั้งนั้นเข้าศึกได้เผาทำลายเมืองรวมทั้งวัดวาอารามต่างๆ ได้เผาลอกเอาทองหุ้มพระเจ้าแสนหลวงไปด้วย ผู้คนจึงอพยพออกนอกเมืองจากนั้น ขอมได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “ เมืองโกศัย ” จนถึง พ . ศ . 1719 เมื่อพม่าขยายอิทธิพลมาสู่ดินแดนล้านนาและขับไล่อมออกไปจากเมืองโกศัยแล้ว พม่าได้เรียกเมืองพลว่า ” เมืองแพล ” ต่อมา พญาพีระไชยวงศ์ เจ้าเมืองแพลได้ทำไมตรีกับพม่าและได้ร่วมกับส่างมังการะเจ้าเมืองพม่า ทำการบูรณะวัดหลวง รวมทั้งการทำทุงกระด้าง ( อ่าน “ ตุงกะด้าง ”) และเสาหงส์ซึ่งทำด้วยไม้แกะสลักเพื่อถวายเป็นพุทธบูชานอกจากนั้น เจ้าเมืองแพลและชาวเมืองแพลยังได้ร่วมสร้างพระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ โดยพร้อมกันนั้น ได้หุ้มทองพระเจ้าแสนหลวงและขนานนามวัดเสียใหม่ว่า “ วัดหลวงไชยวงศ์ ” พระธาตุหลวงไชยช้างค้ำ สร้างด้วยอิฐถือปูนทาสีขาวและเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุที่นำมาจากเมืองหงสาวดี รูปแบบการก่อสร้าง เป็นศิลปะล้านนารูปทรง 8 เหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานรูปเหลี่ยมจัตุรัส มีความกว้างงด้านละประมาณ 5 เมตร ฐานสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร รอบๆ องค์พระธาตุ จะมีซุ้ม 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยช่องกบางระหว่างซุ้มทั้ง 4 ทิศ จะมีรูปปั้นช้างสีขาวครึ่งตัวโผล่ออกมาจากตัวพระธาตุ ส่วนยอดของพระธาตุประดับด้วยช่อดอกไม้สีทอง แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 22:51:38 จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:51:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ในวัดหลวง  ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์เมืองแพร่ เป็นสถานที่รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ที่มีอายุเกือบ 500 ปี และโบราณวัตถุต่าง ๆ ของเมืองแพร่ นอกจากนี้ยังมี คุ้มพระลอ ซึ่งเป็นการจัดแสดงตัวอย่างบ้านแบบล้านนาโบราณ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ในปี พ . ศ . 2059 พระสร้อยสุริยะ เจ้าเมืองแพร่ ได้บูรณะวัดหลวงโดยมรพระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่เป็นผู้อุปถัมภ์ ต่อมา มีการบูรณะศาสนสถานในวัดหลวงโดยเจ้าเมืองแพร่องค์ต่อๆ มา ด้วยการสร้างปูชนียวัตถุต่างๆ ได้แก่พระพุทธมิ่งเมืองและพระเจ้าแสนทอง ซึ่งสร้างโดยเจ้าเมืองแพร่จันทรา จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:53:51 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จากนั้นเราไปที่แพะเมืองผีครับ  วันที่ผมไปตรงกับเขาจัดงานวันเด็กพอดีครับ  คนเต็มไปหมดเลยครับ  ไม่ทราบว่าในช่วงเวลาปกติแล้ว  คนจะมากขนาดนี้ไม๊ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แพะเมืองผีอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เกิดจากสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นดิน และหินทรายถูกกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆประวัติความเป็นมา วนอุทยานแพะเมืองผี เป็นหน่วยงานสังกัดสำนักบริหาร จัดการในพื้นที่อนุรักษ์ 13 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้มีการประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2524 มีเนื้อที่ 167 ไร่ เป็นสถานที่มีความสวยงามด้าน ธรณีวิทยา หน้าผา เสาดิน และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ..........."แพะเมืองผี " มีตำนานเล่าขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความลี้ลับจนเป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่บรรพบุรุษได้เล่าสืบต่อกันมาว่า มียายชราคนหนึ่ง เข้าไปในป่าถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้พบหลุมเงินหลุมทองยายชราพยายามจะเอาเงิน เอาทองใส่หาบกลับบ้าน แต่เทพยาดาอารักษ์ไม่ให้เอาไปเพียงแต่เอาอวดให้เห็นเท่านั้น พอไปตามชาวบ้านมาดูก็พบแต่รอบเท้า หาบเงิน หาบทอง หายไป ชาวบ้านจึงเรียกสถานที่นี้ว่า "แพะเมืองผี" จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จุดหมายปลายทางของวันนี้ครับ   อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งขวาของแม่น้ำน่านตอนใต้ ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยงวง ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำว้าและป่าห้วยสาลี ครอบคลุมพื้นที่ 7 ตำบล 3 อำเภอ คือ ตำบลส้าน และตำบลน้ำมาบ อำเภอเวียงสา ตำบลศรีษะเกษ ตำบลเชียงของ และตำบลสถาน อำเภอนาน้อย ตำบลบ่อแก้ว และตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน อุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีพื้นที่ประมาณ 934 ตารางกิโลเมตร หรือ 583,750 ไร่ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 25 ก ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 จัดเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 104 ของประเทศ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 22:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ดอยเสมอดาวและผาหัวสิงห์ : เป็นจุดที่ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ซึ่งท่านสามารถมองเห็นได้รอบทิศทาง เห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำน่านที่ทอดยาวในหุบเขาและเห็ยยอดผาชู้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้ารวมทั้งมองเห็นบ้านพักและที่ทำการอุทยานฯ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในคหที่17 เหมือนเคยเห็นในหนังเรื่อง"เมื่อดอกรักบาน"เลยค่ะไม่รู้เขาไปถ่ายทำที่บ้านนี้หรือเปล่านะ บ้านทรงไทยสวยมากค่ะ ฝันอยากมีบ้านทรงไทยมานานแล้วค่ะ ขอบคุณที่เอามาให้ชมค่ะ จากคุณ : rangsri (rangsri) - [ 23 ม.ค. 51 23:02:10 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผาหัวสิงห์ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตอนไปถึงนี่เวลาประมาณ 3-4 โมงเย็น  แดดนี่อย่างร้อนเลยครับ  แต่พอมองลงไปกลับเห็นหมอกเต็มไปหมด  ทั้งมองลงไปที่แม่น้ำน่าน  และมองลงไปลานกางเต็นครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ดอยเสมอดาวนี่มีจุดเด่นอีกอย่างครับ  คือเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น  และพระอาทิตย์ตกครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แสงสุดท้ายที่ดอยเสมอดาว  แต่ถ่ายจากคนละจุดกันครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พอพระอาทิตย์ตกแล้ว  ก็รีบอาบน้ำอาบท่า ( กลัวว่าดึกๆจะหนาวมาก เคยเกือบแย่เลยครับตอนไปเที่ยวดอยผ้าห่มปก ) ลงไปทานอาหารเย็นที่ที่ทำการอุทยานครับ น้ำพริกหนุ่มอร่อยมากกกกกกกก จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 6 โมงครับ  เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ตื่นก่อนครับ อุณหภูมิอยู่ที่ 14.4 องศา  ไม่หนาวเท่าไหร่เลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มาดอยเสมอดาวแล้ว  ต้องถ่ายรูปดาวไว้เสียหน่อยครับ  แต่ด้วยคุณภาพของกล้องและฝีมือของผม  ก็เลยได้มาแค่นี้นะครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:18:45 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แล้วก็มานั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ  ระหว่างนั้นก็ดูสายหมอกทอดตัวไปตามลำน้ำน่านไปพลางๆก่อน จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาแล้วครับ  พระเอกที่ทุกคนรอคอย จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:22:27 ]

ความคิดเห็นที่ 40 วันนี้หมอกอาจจะน้อยไปหน่อยนะครับ  แต่ก็สร้างความประทับใจได้เหมือนกันครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 จากนั้นก็รีบลงมาเก็บของที่เต้น  แล้วลงมาทานอาหารเช้าที่ที่ทำการอุทยานเหมือนเมื่อคืนครับ มื้อเช้า ข้าวต้มครับ  อย่าหวังถึง ABF เลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ดอยผาชู้ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีลักษณะเป็นโขดหินและหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่เขียวขจีหลายแสนไร่ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และสายน้ำของแม่น้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยวสู่ทิศใต้ยาวหลายสิบกิโลเมตร ยามหน้าหนาวจะมีทะเลหมอกสีขาวตัดกับความเขียวขจีของป่าและแสงสีทองของดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างสวยงามมาก และเป็นสถานที่เกิดตำนานรักสามเส้าที่ตัดสินความรักด้วยความตาย จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ยอดผาชู้ เป็นสถานที่ตั้งสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติ 12 จบ กว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา มีความยาวของสายธงชาติประมาณ 200 เมตร จากพื้นถึงยอดผาชู้ (ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า  เขาต้องชักธงขึ้นลงทุกวันหรือเปล่าครับ  จะถาม เจ้าหน้าที่  แต่ว่าแต่ละคนก็กำลังยุ่งเลยครับ  วันนี้แขกมาพัก และทานอาหารเยอะมากเลยครับ) แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 23:30:21 จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:28:11 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตำนานผาชู้ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หลังจากซดข้ามต้มไปคนละ 3-4 ถ้วยแล้ว  พวกเราก็ออกเดินทางมาที่เสาดินและคอกเสือกันครับ เสาดินและคอกเสือ เกิดจากการพังทลายของดินเป็นพื้นที่กว้างประมาณ 20 ไร่ กระจัดกระจายไปตามสภาพพื้นที่ โดยมีป่าเต็งรังขึ้นอยู่ประปราย ลักษณะของเสาดินคล้ายแกรนด์แคนยอน เหมือนกับแพะเมืองผีของจังหวัดแพร่ เสาดินและคอกเสือตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ไปตามเส้นทาง เวียงสา-นาน้อย ประมาณ 5 กิโลเมตร จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ต้นนี้สวยดีครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ที่บริเวณเสาดินนี้  มีต้นดิ๊กเดียมด้วยครับ  ต้นดิ๊กเดียมคือต้นไม้ที่เวลาคนเราไปสัมผัสเบาๆ  กิ่งก้านมันจะกระดิกได้ครับ  เหมือนว่ามันจั๊กจี้ครับ  บางคนก็เรียกต้นจี้เดียม จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ออกจากเสาดิน  เราก็ตรงเข้ามาในตัวเมืองน่านครับ  เพื่อไปที่วัดภูมินทร์ ครับ วัดภูมินทร์ อยู่ใกล้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านเป็นวัดที่มีลักษณะแปลกกว่าวัดอื่นๆ คือ โบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน ประตูไม้ทั้งสี่ทิศแกะสลักลวดลายงดงามโดยฝีมือช่างล้านนาไทย นอกจากนี้ ฝาผนังภายในวิหารยังมีจิตรกรรมฝาผนังแสดงถึงชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมา ตามพงศาวดารของเมืองน่าน วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เจ้าผู้ครองนครน่าน ได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านผ่านได้ 6 ปี มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่า เดิมชื่อ วัดพรหมมินทร์ ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้างวัด แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์ดังกล่าว จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:42:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ความสวยแปลกของวัดภูมินทร์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นหนึ่งเดียวในเมืองไทยคือ เป็นพระอุโบสถทรงจตุรมุขพระประธานจตุรพักตร์ นาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาคพระอุโบสถจตุรมุข กรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่าเป็นอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทย รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปของธนบัตรที่ทางวัดเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างครับ  แต่เป็นรูปเดียวกับรูปนี้เลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตรงใจกลางพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฎางค์ชนกัน ประทับนั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ผู้ที่ไปชมความงามของพระอุโบสถนี้ ไม่ว่าขึ้นบันไดไปทางทิศไหนจะพบพระพักตร์พระพุทธรูปทุกด้าน จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เยื้องๆกับวัดภูมินทร์  ข้าม 4 แยกไฟแดงไปก็เป็นวัดนี้ครับ วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร  เดิมเรียก “วัดหลวง” หรือ “วัดหลวงกลางเวียง” สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง พ.ศ. 1949 เป็นวัดหลวงในเขตนครน่าน สำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตาม ศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่า พญาพลเทพฤาชัย เจ้าเมืองน่านได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อ พ.ศ. 2091 ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง) รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ “ค้ำ” องค์เจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย และภายในวิหารประดิษฐาน พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี พระพุทธรูปสำริดปางประทานอภัย สูง 145 เซนติเมตร อายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลาย ส่วนผสมของทองคำ 65 % พระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ศิลปะเชียงแสน ฝีมือสกุลช่างน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 52 องค์เจดีย์ครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:51:18 ]

ความคิดเห็นที่ 53 จากวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร  ข้ามถนนไปก็จะเจอกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน  ซึ่งจัดแสดงโบราญวัตถุต่างๆมากมายครับ เช่นงาช้างดำ  ซึ่งเป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่าน  แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ ออกมาจากตัวพิพิธภัณฑ์มา  พี่โชว์เฟอร์ก็ชี้ให้เราไปดู วัดที่เล็กที่สุดในประเทศครับ  (ผมว่าน่าจะในโลกนะ ) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มองเขาไปข้างใน  ก็เห็นร่องรอยของพระที่ถูกแกะออกไป  น่าเสียดายมากครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:58:18 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เดินมาตั้งนาน  หิวแล้วครับ  แวะทานอาหารกันที่ร้านริมบึงครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 23 ม.ค. 51 23:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อิ่มแล้วเราก็ออกเดินทางมากราบพระธาตุประจำปีกระต่ายครับ วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัว วัดพระบรมธาตุแช่แห้งสร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง (เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1869-1902) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไท เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 1897 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง มีความสูง 55.5 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ22.5 เมตร รูปแบบของพระธาตุแช่แห้งสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง) ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาค หน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน พระบรมธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่า หากได้เดินทางไป “ชุธาตุ” หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่ง จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ข้อมูลแน่นจังเลยค่ะ อ๊า หมายถึงว่า รายละเอียดแต่ละที่ดีจังค่ะ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 51 00:04:50 จากคุณ : NuTinyGirl - [ 24 ม.ค. 51 00:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 58 หลังจากขอพรกันเรียบร้อย  ก็ออกเดินทางสู่ที่พักของคืนนี้ครับ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 8 อำเภอ คือ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว อำเภอท่าวังผา อำเภอสันติสุข อำเภอแม่จริมและอำเภอบ่อเกลือ มีพื้นที่ประมาณ 1,065,000 ไร่ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว ลำน้ำว้า ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวจังหวัดน่าน และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เป็นที่เชื่อกันว่าเทือกเขาดอยภูคาเป็นเมืองเก่าของบรรพบุรุษของคนเมืองน่านและในปัจจุบันนี้ก็ยังมีศาลเจ้าพ่อภูคา ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 31 ถนนสายปัง-บ่อเกลือ อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดน่านและบุคคลทั่วไป     ปี พ.ศ.2526 ราษฎรของ จ.น่าน ได้เห็นความสำคัญที่จะอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธารเพื่อป้องกันการบุกรุกทำลาย จึงได้มีหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้กำหนดป่าดอยภูคา อ.ปัว ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ต่อมาได้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2542 อีกทั้งภายในบริเวณพื้นที่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ถ้ำ น้ำตก ล่องแก่งต่างๆและต้นชมพูภูคา ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งประเทศและต่างประเทศ (ภาพจากอินเตอร์เน็ตครับ ) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เอาของเก็บที่พัก  แล้วรีบออกไปเดินศึกษาธรรมชาติครับ ตัวบ้านน่าอยู่ครับ  มีน้ำอุ่นให้อาบ (สบายล่ะคืนนี้  ไม่ต้องกลัวหนาว ) มีที่นอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อยครับ ******** พยายามหาข้อมูลจากเน็ตครับคุณNuTinyGirl ทั้งก่อนและหลังเดินทางครับ  เพราะไม่เคยมาที่นี่เลยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เส้นทางศึกษาธรรมชาติ  มีทั้งเดินลงงงงงงงงงงง แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 51 00:13:58 จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เดินขึ้นนนนนนนนนนนนนนน จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:14:26 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เสียงหอบดังกระหึ่ม  (ตามประสาคนกรุงที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย)  แต่พอตะโกนว่าถ่ายรูป  สาวๆสู้ตายครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เดินกันมาประมาณ 3 กม (แม้ว ) เพื่อมาชมนี่ครับ ชมพูภูคา พันธุ์ไม้ที่เชื่อว่ากำลังจะสูญพันธุ์และหายากชนิดในโลก ในประเทศไทยถูกค้นพบโดย ดร. ธวัชชัย สันติสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์ กรมป่าไม้ บริเวณดอยภูคา หลังจาการตรวจสอบอย่างละเอียด สามารถยืนยันได้ว่าเป็นต้น Bretschneiderasinensis Hemsl. โดยมีการเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้นี้ได้เพียงไม่กี่แห่งในประเทศจีนเมื่อ 30 ปีก่อน ชมพูภูคาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 25 เมตร อายุระหว่าง 50-100 ปี มักขึ้นอยูตามไหล่เขาที่ลาดชันที่ความสูงระดับ 1500 เมตร ช่อดอกสีชมพุเด่นสะดุดตาอยู่ปลายกิ่งยาว 40 ซม. เสียดายตอนผมไปดอกยังไม่บานครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ดอกที่บานแล้ว  สวยมากเลยครับ ( ภาพจาก อินเตอร์เน็ต ) จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ก่อนเข้าบ้านพักแวะจุดชมวิว  เจอต้นชมพูอยู่ข้างๆศาลาเลยครับ  : (  แต่วิวสวยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เสร็จแล้วก็เข้าบ้านพัก  อาบน้ำอาบท่า  ลงมาทานอาหารเย็นครับ  เย็นจริงๆ  คือห้องอาหารตั้งอยู่ริมผาครับ  ลมพัดมาที  ก็สั่นที  เห็นน้องที่มาก่อนบอกว่า  มีเม่นอาศัยอยู่ที่ใต้ถุนห้องอาหารด้วย  แต่ถ่ายรูปไว้ไม่ทันครับ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 51 00:26:07 จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:25:39 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คืนนี้หนาวครับ  เพราะภูคาอยู่สูงกว่าดอยเสมอดาว  ลมแรงครับ  เดินทางเหนื่อยกันมาทั้งวันด้วย จากที่ตั้งใจว่าจะตั้งวงกัน  สมาชิกก็สลายตัวแยกย้ายกันไปนอน เจอกันตอนเช้าที่ห้องอาหาร  ข้าวต้มเช่นเคยครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:30:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จากนั้นก็ออกจากที่พักเพื่อไปยังจุดชมวิวอีกที่ครับ  ซึ่งศาลานี้  พระเทพ กับพระพี่นางเคยเสด็จมาครับ   ความจริงที่จุดชมวิวจุดนี้  ก็จัดให้เป็นลานกลางเต็นด้วยครับ  มีที่อาบน้ำอุ่นไว้บริการด้วย  ค่าบริการคนละ 20 บาท  สะดวกดีครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 วิวที่มองจากศาลาครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 70 จากนั้นก็อำลาภูคาลงมาที่น้ำตกสลักเพชรครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 71 จากข้อมูลในเน็ต  เป็นน้ำตกที่สวยมากครับ  แต่ตอนผมไปถึง  น่าจะเรียกว่าธารน้ำมากกว่าครับ  เห็นตอนแรกก็ว่าจะกลับแล้ว  แต่แม่ค้าแถวนั้นบอกว่าข้างในสวยมาก  ก็เลยตัดสินใจลองเดินเข้ามาดูครับ  แต่ก็ยังเป็นแค่ธารน้ำเล็กๆครับ  และสิ่งที่เจอเยอะมากก็คือขยะครับ  มีพวกถุงขนมข่บเคี้ยวเต็มไปหมดเลยครับ แต่ดูจากรอยน้ำแล้ว  ในฤดูน้ำ  คงอาจจะสวยมั๊งครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จากนั้นก็ยิงยาวครับ  มาสะดุดตากับป้ายนี้ครับ  เป็นป้ายบอกทางที่แยกอินโดจีนครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 73 แวะทานอาหารค่ำที่แพแม่น้ำน่านในจังหวัดพิษณุโลกครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:46:21 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ผมคนแพร่ครับ ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดแพร่นะครับ จากคุณ : ส้มตำปลาร้า - [ 24 ม.ค. 51 00:50:35 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพที่พิษณุโลก จบการเดินทางแล้วครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 24 ม.ค. 51 00:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ขอชมเชยว่า ถึงเป็นมือใหม่หัดรีวิว แต่ข้อมูลแน่นและละเอียดมากๆ ทำให้เราได้รู้ไปด้วย ดีกว่ากระทู้ที่มีแต่รูปแต่คำบรรยายกระจิ๊ดเดียว จากคุณ : flymom - [ 24 ม.ค. 51 06:51:57 ]

ความคิดเห็นที่ 77 มาย้อนความทรงจำ...ปีนี้ชมพูภูคาออกดอกเร็วนะคะ  ปกติกุมภายังตูมอยู่เลย ชมเชยการบรรยายด้วยคน จากคุณ : yiwah - [ 24 ม.ค. 51 12:30:17 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ขอเที่ยวด้วยคน สวยและได้ความรู้ด้วย จากคุณ : อยากเป็นไกด์ ใครช่วยที - [ 24 ม.ค. 51 13:12:04 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คนน่านค่ะ ยินดีมากค่ะที่มาเที่ยวเมืองน่าน น้ำตกใน คห.ที่ 70 ชื่อน้ำตกศิลาเพชรค่ะ จากคุณ : ดา - [ 25 ม.ค. 51 16:09:19 A:203.172.59.190 X: TicketID:149814 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณมากครับคุณดา  ผมคงจะจดชื่อมาผิดครับ จากคุณ : คุณสะอาด - [ 27 ม.ค. 51 22:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 81 สวยมากค่ะ จากคุณ : pajaree.bua@gmail.com - [ 2 ก.พ. 51 08:16:21 A:124.120.46.32 X: TicketID:167092 ]