การเมืองมีผลมากแน่นอนถูกต้องครับ
อย่างที่ผมบอกว่าขนาดประธานาธิบดียังช่วยแอร์บัสบ่อย ๆ เลย
โดยเฉพาะประธานาธิบดัซีรัคของฝรั่งเศส
ผู้ซึ่งเคยได้รับสมญานามว่าเป็น Exclusive sales ของแอร์บัส
แต่ประเด็นที่ต้องการจะบอกคือ
เมื่อเทียบระบบการทำงานของสองบริษัทในช่วงเวลาที่ผมกล่าวถึง
ระบบการทำงานของโบอิ้งอุ้ยอ้ายกว่าของแอร์บัสครับ
แอร์บัสอาจจะอุ้ยอ้ายในแง่ของความขัดแย้งทางวัฒนธรรม
ของหลายเชื้อชาติและการเมืองภายในของหุ้นส่วน
แต่โบอิ้งอุ้ยอ้ายด้วยโครงสร้างการบริหารงานและทัศนคติครับ
แต่ปัญหานี้หลัง ๆก็ได้รับการแก้ไขมากขึ้นเรื่อย ๆ
เราจะเห็นได้จากการที่โบอิ้งเองเริ่มดึงมือดีจากนอกวงการมามากขึ้น
มองหาคนที่เข้าใจในเรื่องของ "การตลาด" มากกว่าเดิม
อย่างเช่้น CEO คนปัจจุบันของโบอิ้ง คือ James Mcnerney
นั้นโตมาจาก GE และ 3M ครับ เคยอยู่ Proctor & Gamble ด้วย
เรียกได้ว่า คนในทั้งหลาย ก็เสียหน้าไปตาม ๆ กันเหมือนกัน
คนนี้เก่งขนาดเป็นเคยเป็น Candidate CEO ที่ GE
เลยแหละครับ
และหลังจากสองปีกว่า ๆ ในตำแหน่งใหม่ที่โบอิ้่ง
ผมว่าโบอิ้งดูดีขึ้นเยอะในเรื่องของ "ความชัดเจน" และ "เด็ดขาด"
ส่วนนึงที่โบอิ้่งเป๋ไปมาในช่วงก่อนนั้นก็เพราะ CEO ด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นนาย Condit ทีโดนกล่าวหาเรื่องการจัดซื้อของเพนตาก้อน
และนาย Stonecipher ที่มาจากแมคดอนเนลล์ดั๊กลาสก็โดนไปเหมือนกัน
เรื่องชู้สาวภายใน
แต่ก็ไม่รู้ว่านาย James จะอยู่ได้นานแค่ไหนเหมือนกัน
แต่น่าจะโอเคแหละครับ เพราะอย่างน้อยแกก็เคยรัน
GE Aviation มาตั้งนาน หวังว่าคงจะไม่โดนบีบมากนัก
เหมือนกับที่แอร์บัสเด้ง Christian Steriff ที่เป็นมือดีมาจาก
บริษัทผลิตกระจกมาเป็น CEO เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการผลิต
แต่ก็อยู่ได้แค่สามเดือน แล้วเผ่นไปอยู่เปอร์โยต์แทน
ส่วนเรื่องข้อมูลเนี่ย ส่วนมากก็ในเนททั้งนั้นแหละครับ
มีมากมายมหาศาลจริง ๆ ลองอ่านที่ผมเคยเขียนไว้ใน Blog
ผมดูบ้างก็ได้ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=shion&group=1
-----------------------
ปัญหาของ A380 เนี่ยเพราะว่า
เงินของแอร์บัสมันจมอยู่กับ 380 เยอะมาก
และการล่าช้าในการส่งมอบทำให้
ต้นทุนรวมสูงมากขึ้น
ในขณะนี้ยอดจองทั้งที่เป็น
Confirmed orders และพวกทียื่น Letter of intention
เข้ามาอยู่ที่ประมาณ 192 ลำ แต่ถ้าจะให้คุ้มทุนคือต้องขาย
ให้ได้ 400 ลำขึ้นไป (ตอนแรก ที่ 300 ลำ)
ทีนี้ด้วยความที่เครื่องบินมันใหญ่มาก
สายการบินที่ต้องการเยอะ ๆ
ก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนัก
กว่าจะรอให้คุ้มทุนอาจจะต้องใช้เวลานาน
และนั่นหมายถึงเงินที่จะลงกับ A350
ก็จะต้องรอนานตามไปด้วย
แอร์บัสใช้เวลาขาย A380 มาแล้ว
ร่วม ๆ 5-6 ปี และถ้าต้องรอนานมากกว่านี้
เงินมันก็จะยิ่งจมไปเรื่อย ๆ ครับ
จริง ๆ แล้วผมเริ่มเห็นช่องสำหรับ A380 ขึ้นมาเหมือนกัน
ในสภาวะการณ์แบบนี้ เวลาที่น้ำมันแพงมหาศาล คือเรื่องของ
การยุบไฟลท์ นั่นคือสายการบินอาจจะต้องลดจำนวนเที่ยวบินลง
แต่กลับมาใช้เครื่องบินที่ใหญ่ขึ้นแทนอีกครั้ง เพื่อ Maximize
โหลดให้มากที่สุดและถ้า Fashion แบบนั้นกลับมาจริง ๆ คนที่จะรับส้มไปด้วยก็คือน้องเล็กตระกูล A320 ที่จะกลับมาเป็น Hub feeder อีกครั้ง ส่วน 737
ก็คงต้องเศร้าไปตามระเบียบครับ
-------------------
ผมอยากให้คุณเด็กคนและเพื่อนๆ อ่านบทความผมในเทคออฟล่าสุดเรื่อง
"อุตสาหกรรมการบินในอนาคต" ดูครับ เผื่อจะไว้เอามาคุยกันต่อได้
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 00:27:41
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 00:24:33
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 00:17:40
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 51 00:15:17
แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 51 23:48:00