ความคิดเห็นที่ 1 บทความทีว่าเนี๊ย เค้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่นหลายๆแนวครับ แต่คำจำกัดความอันหนึ่งที่น่าสนใจ คือคำว่า Soft Power มันคืออะไร คำๆนี้ถูกใช้โดย Professor from Harvard, Prof.Joseph S. Nye ตั้งแต่ปี 1990 คำๆนี้ถูกนำไปใช้ในหนังสือชื่อ Soft Power Superpowers การให้คำจำกัดความอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่คร่าวๆก็คือว่า พลังอำนาจที่ไม่ได้มาด้วยการใช้กำลัง แต่ใช้ใจ ยังไงเหรอครับ บทความนี้เค้ากล่าวถึงช่วง60 ปีที่ผ่านมาของประเทศญี่ปุ่นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และบทบาทของญี่ปุ่นที่มีต่อเวทีโลกเป็นอย่างไร จนทำให้ การสำรวจของ BBC ในปีนี้ในเรื่องความพึงพอใจและภาพพจน์โดยรวม ประเทศญี่ปุ่นถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 2 ของโลก (Japan ranks second in the world when it comes to a positive global image) เยอรมันเฉือนชนะไปเป็นอันดับที่ 1 โดยทิ้งห่างไม่มาก ส่วนอเมริกาอยู่ที่อันดับ 7 อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นบอกว่า 'Soft power is a very strong force' ในขณะที่ทั่วโลกกำลังระส่ำระสายกับเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แม้พี่เบิ่มอย่างอเมริกา ยังเอาตัวไม่รอด แม้จะอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะฟื้นตัว ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้เตรียมกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่ง ไว้รับมือกับเศรษฐกิจที่อาจจะย่ำแย่ได้ เงินทุนเล็กน้อยทีว่านี่คือ 1 Trillion Dollars เอะมันเท่าไหร่กันเหรอ มันคือเงินจำนวน 1,000,000,000,000 US Dollars (ถ้าจำไม่ผิด สภาครองเกรสของอเมริกา เคยเถียงกันเรื่องผ่านมติเงินแสนล้าน ดอลล่าห์) ยังไม่พอ ญี่ปุ่นยังได้ส่งความช่วยเหลือประเทศต่างๆ โดยผ่านสถาบันการเงินระหว่างประเทศ โดยเตรียมเงินกู้ไว้ช่วยเหลือจำนวน 100,000,000,000 dollars แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 00:53:57 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 00:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สวัสดียามดึกค่ะคุณหมอ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่านับถือจริงๆ ในหลายด้านเลยด้วย ป.ล. เลขศูนย์เยอะจนอ่านไม่ถูกเลยแหะ จากคุณ : yuki_shimi - [ 2 ธ.ค. 51 01:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงงๆว่า เอ..ไม่เห็นจะแปลกในเมื่อประเทศญี่ปุ่นร่ำรวยติดอันดับโลก การมีเงินจำนวนมาก หรือการปล่อยเงินกู้น่าจะเป็นเรื่องปกติ ใช่ครับ แต่เหตุผลเพียงแค่ความร่ำรวยของประเทศนี้คงไม่เพียงพอที่ Time จะสละพื้นที่เพื่อกล่าวถึงประเทศนี้หรอก เช่นเดียวกัน ผมก็คงคิดว่าไม่น่าสนใจพอที่จะเอามาเล่าสู่กันฟังหรอก ตามไปกันต่อครับ ในบทความนี้ มีการวิเคราะห์ถึงความโดดเด่นในเวทีโลก และแนวทางการสร้างประเทศของญี่ปุ่น รวมถึงผลที่ตามมาในประเทศต่างๆ เค้าได้ยกตัวอย่างประเทศหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านเราครับ นั่นคือ เวียดนาม ว่ากันว่าเวียดนาม จะเป็นเสือตัวใหม่ของเอเซีย และเป็นเสือที่โตเร็ว ก็คงไม่ผิดนัก เค้ากล่าวว่า เวียดนามเติบโตขึ้นได้ ด้วยความช่วยเหลือส่วนใหญ่จากญี่ปุ่น ทั้งเงินทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการศึกษา จนกล่าวได้ว่า ประเทศเวียดนามได้รับเอา ประเทศญี่ปุ่นไว้เป็นแบบอย่างในการสร้างชาติที่เสียหายอย่างย่อยยับ จากภัยสงคราม (แน่นอนญี่ปุ่นก็เคยประสบเหตุการณ์นี้ ในอดีต เพราะฉะนั้นการเรียนรู้สิ่งที่ดีๆ จากประเทศที่ประสบความสำเร็จย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ" ' Developing conuntries such as Vietnam are studying how Japan refashioned its war-ravaged economy into a technological powerhouse that still maintains its cultural identity.' ในช่วงต้นๆของ 1990s ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ทีสุดของโลก และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ขออนุมัติเงินบริจาคเพิ่มอีก 13.6% เพื่อใช้บริจาคในปีหน้า นอกจากการช่วยเหลือเงินทุนแล้ว ญี่ปุ่นยังให้ความช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนผู้เชียวชาญในสาขาต่างๆ ในรูปนี้ ญี่ปุ่นส่งผู้เชียวชาญไปช่วยกัมพูชาบูรณะสมบัติของชาติและของโลก คือ นครวัด ได้ใจไหมครับ.......... จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 01:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 2   สวัสดียามดึกค่ะคุณหมอ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่านับถือจริงๆ ในหลายด้านเลยด้วย ป.ล. เลขศูนย์เยอะจนอ่านไม่ถูกเลยแหะ จากคุณ : yuki_shimi สวัสดีครับ แหมเจอกันยามดึกอีกแล้น อ่านกันเล่นๆอย่าเครียดนะครับ เดี๋ยวผมปล่อยรูปสวยๆ จากโรมต่อ ถ้ายังไม่ง่วงนะครับ ========================================== เอาละ มาดูเรื่องอื่นกันบ้าง ถ้าใครมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นคงพอจะทราบว่า ปัจจุบันนี้ วัยรุ่นญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ (ไม่แต่วัยรุ่น วัยกลาง วัยดึก ก็เช่นกัน) นั่นคือ ทุกวันนี้ มีคนญี่ปุ่นที่อยากออกไปทำงานช่วยเหลือคนต่างชาติ ในประเทศที่กำลังพัฒนากัน ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน คนญี่ปุ่นจะไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่อยากทำงานในบ้านตัวเอง ตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา ได้มีคนญี่ปุ่นกว่า 30,000 คนกระจายไปทำสิ่งที่ดีๆในกว่า70 ประเทศทั่วโลก นี่เป็นแค่สถิติจาก Japan Oversea Cooperation Volunteers (JOVC) ส่วนในรูปนี้เป็นผู้หญิงญี่ปุ่นชื่อ Chiyoko Ichishima กำลังช่วยสอนเด็กในเมือง Kampala ประเทศ Uganda ให้ทำงานศิลป และการฝีมือ เธอให้สัมภาษณ์ไว้น่าฟังมากๆครับว่า " When Ugandans think of Japan, they immediately think of cars and other high-tech stuff"  "But as a Japanese, it's nice to be here and help promote Ugandan Culture" "เมื่อคนอูกันดา คิดถึงประเทศญี่ปุ่น แทบจะทันที ทุกคนคิดถึงรถและอะไรก็ตามที่ทันสมัย แต่ในฐานะคนญี่ปุ่น ฉันรู้สึกดีมากที่ได้มาที่นี่และช่วยส่งเสริมพวกเค้า" แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:48:19 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 01:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในบทความนี้ ยังกล่าวถึงประเทศไทยเราด้วยครับ เรื่องของเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ขยายตัวไปทั่วโลก ทำให้ญี่ปุ่นมีฐานการผลิตรถ ในเมืองไทยด้วย เห็นว่าเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ของHonda ตั้งอยู่ที่ อยุธยา เพื่อรองรับการผลิตและกระจายสินค้าใน South-east Asia ให้ได้ 240,000 คัน จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 01:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ๊ากก อยากอยู่เป็นเพื่อนคุณหมอชมโรมต่อแต่ไม่ไหวแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อรวมถึงตามไปชมหนุ่มอิตาเลี่ยนด้้วย (ถ้ามี ) ราตรีสวัสดิ์นะคะ จากคุณ : yuki_shimi - [ 2 ธ.ค. 51 01:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นอกจากนี้วัฒนธรรมญีปุ่นเองก็กระจายตัวไปทั่วโลกเช่นกัน แม้แต่อาหารญี่ปุ่น ก็เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ที่สำคัญถ้าใครเคยไปกินอาหารญี่ปุ่นที่อเมริกา หรือยุโรป ก็จะรู้เลยว่าราคาไม่เบาเลยทีเดียว ผมเคยไปกินอาหารญี่ปุ่นที่มิลาน ที่ป้าเพื่อนพาไปกิน(กินฟรี) ก็เลยถามเค้าว่า มาอยู่ที่นี่นานหรือยัง ไม่คิดถึงญี่ปุ่นเหรอ เจ้าของร้านอายเล็กน้อย ตอบเป็นภาษาอิตาเลียน(คุณป้าแปลให้ว่า) เค้าไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่นหรอก เป็นคนจีน แต่ว่าเคยเปิดภัตราคารอาหารจีนแล้ว แต่มีคนเปิดเยอะ และราคาอาหารจีนไม่แพง เค้าเลยอยากลองเปิดภัตราคารญี่ปุ่น เพราะถึงแม้จะมีคนญี่ปุ่นอยู่ในมิลานไม่มาก แต่คนที่นิยมอาหารญี่ปุ่นมีมาก คิดว่ากิจการน่าจะดี มื้อนั้นเค้าลดราคาให้ครับ แต่ผมแอบดูบิลที่ลดให้แล้วก็ยังใจหาย รีบคูณเป็นเงินไทย เรากินกันสามคนหมดไปหมื่นกว่าบาทครับ............ เรื่องภาษาญี่ปุ่นตอนนี้ก็เป็นที่สนใจของคนทั่วโลก ในอินโดนีเซียเอง มีสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาก มีนักเรียนกว่า 500 คน ครูคนหนึ่งบอกว่า " People in Indonesia look at Japan as a role model"  " They want to know how Japan was able to rebuild itself from nothing into such an amazing conuntry" "คนในอินโดนีเซียมองญี่ปุ่นเป็นแบบอย่าง พวกเค้าอยากรู้ว่าญี่ปุ่นสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากไม่มีอะไร ได้อย่างไร" ข้อมูลในปี 2006 ทั่วโลกมีคนเรียนภาษาญี่ปุ่น 3 ล้านคนเพิ่มจากปี 1990 เป็นสามเท่า Tsutomu Sugiura ซึ่งทำงานใน สถาบันวิจัยในโตเกียวบอกว่า " Foreigners used to learn Japanese for career reasons", " But today they learn because they are interested in Japanese culture" "แต่ก่อนคนต่างชาติเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยเหตุผลของงาน แต่ปัจจุบันนี้พวกเค้าเรียนเพราะว่าสนใจวัฒนธรรมของญี่ปุ่น" เพื่อการช่วยเหลือในการสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีความต้องการอย่างมากBritish Council and Germany's Goethe Institute ได้เชิญอาจารย์สอนภาษาจำนวน 500คน จาก50 ประเทศมาเรียนภาษาญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น เพราะว่าวางแผนจะเปิด Japanese-language Hubs ในปี 2010 ให้ได้ 100 แห่งทั่วโลก แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:51:22 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 01:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 6   อ๊ากก อยากอยู่เป็นเพื่อนคุณหมอชมโรมต่อแต่ไม่ไหวแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อรวมถึงตามไปชมหนุ่มอิตาเลี่ยนด้้วย (ถ้ามี ) ราตรีสวัสดิ์นะคะ จากคุณ : yuki_shimi ขอบคุณครับ ผมก็ง่วงๆเหมือนกัน อาจจะกลับมาโพสโรมต่อพรุ่งนี้ แต่ปั่นกระทู้นี่ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไป.............. ============================================ พูดถึงเรื่องที่ใกล้ตัวบ้างดีกว่านะครับ อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่า เจ้า Hello Kitty นี่เป็นขวัญใจของหลายๆคน ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นหรือว่าเอเซียบ้านเรานะครับ เค้าดังไปทั่วโลกเลย จำได้ว่าครั้งหนึ่ง Mariah Carey นักร้องหญิงอันดับหนึ่งของโลก ปิดพลาสเตอร์ Hello Kitty มีนักข่าวถ่ายรูปเธอพร้อมกับพลาสเตอร์สีชมพู เอาไปลงข่าวได้หลายวันเลยทีเดียว รัฐบาลญี่ปุ่นเค้าก็เล็งเห็นตรงจุดนี้ว่า ทั้งหนังสือการ์ตูนและตัวการ์ตูนของญี่ปุ่น มีอิทธิพลต่อทั่วโลก ในเดือน พฤษภาคม ที่ผ่านมา เค้าจึงมีการแต่งตั้ง คุณ Hello Kitty ให้เป็นทูตการท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น( A tourism ambassador) เพราะฉะนั้น ถ้าเพื่อนๆไปญี่ปุ่นหลังจากนี้ แล้วเห็นคุณ Hello Kitty อยู่ทั่วไปหมด (ปกติก็เจอได้ทุกที่อยู่แล้ว) ก็อย่าแปลกใจ ยิ่งเจอในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั่นหนะ คุณน้องเค้ากำลังทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งเลยนะ เค้าเป็นคนของรัฐบาล ว่าแล้วเค้าคงกลัว คุณโดเรม่อนจะน้อยใจ(พี่เค้าก็ดังใช่เล่นนะ) อีกสองเดือนต่อมา เค้าก็เลยตั้งคุณพี่โดเรม่อนเป็นตัวแทนของญี่ปุ่น เป็น อัคราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม (The nation's first cartoon envoy)  โหเท่ห์ซะไม่มี แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:54:20 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 02:01:50 ]

ความคิดเห็นที่ 9 นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำของโลกในการ อนุรักษ์และรักษาสภาพแวดล้อม ทั้งการขนส่งมวลชนที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ การใช้พลังงานสะอาด งานวิจัยเพื่อหาสารทดแทนน้ำมัน เคยอ่านบทความภาษาไทย เรื่องหนึ่ง แต่จำไม่ได้ละครับ ช่วงที่น้ำมันแพง บ้านเราได้รับผลกระทบอย่างมากมาย เพราะการขนส่งมวลชนของบ้านเราพึ่งพาน้ำมัน 70-80% ดังนั้นราคาของสินค้าและบริการจึงแขวนไว้กับราคาน้ำมัน ญี่ปุ่นรู้จุดอ่อนของตนดังนี้ ว่าไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ และถ้าต้องเอาเศรษฐกิจแขวนไว้กับน้ำมันคงแย่ จึงพยายามลดการใช้น้ำมัน โดยเริ่มจากผลิตรถประหยัดน้ำมัน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ขายดิบขายดีไปทั่วโลก เพราะใครก็ไม่อยากเติมน้ำมันบ่อยๆจริงไหมครับ ผิดกับบางบริษัท เช่น Big 3 ของบางประเทศ ที่ไม่ได้สนใจเรืองนี้เท่าไหร่นัก จนวันนี้รถญี่ปุ่นยังคงขายได้เรื่อยๆ และจำนวนการพึ่งพาน้ำมันในการขนส่งมวลชนของญี่ปุ่นเหลือแค่ 30% จีนไหวตัวทันครับ ผลิตรถใช้เอง และเรียนรู้จากเทคโนโลยีการประหยัดน้ำมันญี่ปุ่น จนเป็นผู้นำอันดับต้นๆของโลกในการผลิตรถประหยัดน้ำมัน และญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการร่างพิธีสารเกียวโต อันโด่งดัง ที่พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อทำลายโลก แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:57:45 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:57:08 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 02:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังส่งเสริมให้นักเรียนญี่ปุ่น ไปศึกษาความรู้ความก้าวหน้าแล้วกลับมาพัฒนาประเทศด้วย จากสถิติในปี 1990-2004 มีนักเรียนญี่ปุ่นไปเรียนต่างประเทศถึง 82,925 คน อาจารย์ในญี่ป่นให้ความเห็นว่า เด็กญี่ปุ่นทีได้ไปเรียนต่างประเทศมีการเปลียนแปลง พวกเค้ากล้าที่จะยืนขึ้นแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมากขึ้น สถิติหนึ่งที่น่าสนใจคือว่าปัจจุบันนี้ มีคนญี่ปุ่นทำงานกับ องค์การสหประชาชาติถึง 700 คน เพิ่มจาก 500 คนเมื่อ เจ็ดปีก่อน ในขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นก็ให้การสนับสนุนเงินทุนแกนักเรียนต่างชาติทีส่นใจจะเรียนในญี่ปุ่น แน่นอนส่วนใหญ่เป็นทุนให้เปล่า ผมรู้จักนักเรียนไทย เวียดนาม และจีน ที่เรียนอยู่ในญี่ปุ่นเกือบสิบคน และทุกคนกำลังเรียน PhD. หรือ ปริญญาเอกอยู่ จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 02:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 แวะมาอ่าน เยี่ยมค่ะ เห็นแล้วก็แอบเศร้ากับเมืองไทยตอนนี้ จากคุณ : กระบี่ในใจ - [ 2 ธ.ค. 51 02:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เอาละครับถึงตรงนี้ คงจะหมดเรื่องของญี่ปุ่นแล้ว หลายคนอาจจะงงๆว่าทำไมผมเอาบทความนี้มาเล่าให้ฟัง บางคนอาจจะคิดว่าหนักไป พออ่านแรกๆ เห็นว่ามาจาก Time ก็คงไม่อยากอ่านแล้ว ก็ขอย้ำอีกทีว่า ผมอ่านแล้วได้อะไรบางอย่างครับ เลยอยากจะเอามาแบ่งปัน เผื่อว่าเพื่อนๆจะได้อะไรบางอย่างแบบผม หรืออาจจะต่างออกไป ถ้าเป็นประโยชน์ก็ยินดีครับ หลายคนในห้องนี้อาจจะชอบญี่ปุ่นด้วยเหตุผลต่างๆกัน บางคนไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็ยังรักญี่ปุ่น บทความนี้อาจจะช่วยเผยให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของญี่ปุ่น ที่เราไม่เคยมอง อ่านแล้วอาจจะรักญี่ปุ่นขึ้นอีก หรือสนใจญี่ปุ่นขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ บทความนี้เค้านำเสนอเรื่องที่ดีๆ บางคนอาจจะเถียงว่าเรื่องไม่ดีของญี่ปุ่นก็มีนะ ผมก็ไม่เถียงครับ แต่ผมอยากให้ลองกลับไปอ่านความเห็นก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เวียดนามกำลังทำคือ "การเรียนรู้และปรับใช้ข้อดีของสิ่งหนึ่ง มักจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆอีกสิ่งหนึ่ง" ผมเคยแซวเพื่อนเวียดนาม ที่เจอที่ Kanazawa เมื่อตอนไปเยี่ยมเพื่อนที่นั่น ว่า "อีกไม่นานประเทศยูจะมีชินคันเซนแล้วนะ ไออิจฉาจริงๆ" เค้าน่ารักมาก ยิ้มแล้วบอกผมว่า "มันยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้หรอก แต่ก็กำลังเริ่ม เราเริ่มได้เพราะความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น เราก็แค่ทำสิ่งที่เราควรทำ" เอาละครับ จบแล้ว นี่น่าจะเป็นกระทู้ที่เป็นจริงเป็นจังทีสุดที่ผมเคยโพสมาก็เป็นได้ แหม ผมก็แค่อยากให้รู้ว่า ผมจริงจังก็เป็นนะ ไม่ได้บ้าๆบอๆ เหมือนกับกระทู้ก่อนๆซะหน่อย เอาละครับ พรุ่งนี้ผมจะปรับโหมดให้บ้าๆบอๆเหมือนเดิม แล้วมาโพสกระทู้โรมต่อ ถ้าว่าง อาจจะต่อวาติกันอีกกระทู้เลยเอ๊า อย่าพึ่งหนีกันไปไหนซะก่อนนะครับแฟนๆ ผมลาไปนอนด้วยประโยคสุดท้ายจาก Time คงไม่แปลแล้วหละครับ แปลแล้วจะไม่กินใจ สุดท้ายขอบคุณ Time อยากให้ประเทศไทยมีหนังสือดีๆอ่านเยอะๆ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 03:00:46 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:39:44 จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 02:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แวะมาเป็นเพื่อนคุณหมอต่อครับ เห็นตัวเลข 1Trillion Dollars โอ้วพระเจ้ากล้วยทอดมากๆ ไทยเราจะอนุมัติเงินสัก 3 หมื่นล้านไปสร้างรถไฟฟ้าสักสายยังยืดแล้วยืดอีก ต่างกันซ้าา แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 51 02:55:03 จากคุณ : Ichimura Tetsunosuke - [ 2 ธ.ค. 51 02:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 "กินใจ" จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 2 ธ.ค. 51 02:56:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณ คุณIchimura Tetsunosuke  และคุณ ว่านน้ำ นะครับ ทีแวะมาทักทาย ผมหนีไปนอนก่อนนะครับ จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 03:02:26 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ปกติเป็นคนมองญี่ปุ่นผ่านความบันเทิง และในความบันเทิงของญี่ปุ่นมีร่องรอยการสะท้อนความจริง ซีรีย์ญี่ปุ่นหลายเรื่องให้กำลังใจคนดูอย่างเราๆได้อย่างดี บางเรื่องสะท้อนสังคมและความคิด ให้เรารู้ว่าเค้าคิดอย่างไรและทำอย่างไร ขอบคุณสำหรับบทความดีๆน่ะคะ สงสัยต้องไปจตุจักรหา time ซะแล้ว ปล.ได้ข่าวว่าคนญี่ปุ่นได้รับรางวัลโนเบล ปีนี้หลายคนทีเดียว จากคุณ : เจ้าแก้วพิสดาร ณ เมืองปาย - [ 2 ธ.ค. 51 05:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นคนหนึ่งที่ชอบวัฒนธรรมและการ์ตูนญี่ปุ่น ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ค่ะ จากคุณ : จิบไวน์ชมจันทร์ - [ 2 ธ.ค. 51 07:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังค่ะ ชอบ ชอบ จากคุณ : teng2006 - [ 2 ธ.ค. 51 07:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบญี่ปุ่นเพราะอาหารอร่อย แต่ที่ประทับใจที่สุดคงจะเป็นเรื่องของความสะอาดค่ะ ดูภาพรีวิวที่เพื่อนๆไปญี่ปุ่นเอามาโพสต์ให้ดู สิ่งที่จะพยายามสังเกตคือ ไม่เคยเจอเศษขยะบนพื้นถนนเลย เค้าปลูกฝังเรื่องรักษาความสะอาดได้ดีมากเลยค่ะ เพราะทุกวันนี้แค่ก้าวออกจากบ้าน ก็เห็นเศษขยะเกลื่อนถนนบ้านเราแล้วค่ะ เศร้าใจจริงๆ จากคุณ : ปุ้ม 007 - [ 2 ธ.ค. 51 08:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นอนตึกเหมือนกัน...ได้ความรู้อีกแล้ว จากคุณ : Kilmt - [ 2 ธ.ค. 51 10:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มาให้ข้อมูล คุณเจ้าแก้วพิสดาร ณ เมืองปาย เพิ่มครับ พอดีได้คุยกับเพื่อนที่เป็นหมอญี่ปุ่น เมื่อครั้งไปเทียวล่าสุด ครับ ปี2008 นับว่าเป็นปีทองของวงการวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเลย เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 4 คนด้วยกัน สาขาฟิสิกส์จำนวน 3 คน "for the discovery of the mechanism of spontaneous broken symmetry in subatomic physics" "for the discovery of the origin of the broken symmetry which predicts the existence of at least three families of quarks in nature" เค้าได้รับรางวัลเนื่องจากการค้นพบสิ่งที่เป็นที่สนใจทั่วโลกคือการทำนายการแตกตัวของคว๊าก(อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม)ในธรรมชาติ นั่นคือ คุณYoichiro Nambu คุณMakoto Kobayashi คุณToshihide Maskawa และอีกด้านคือสาขาเคมี "for the discovery and development of the green fluorescent protein, GFP" อันนี้อาจจะเกี่ยวกับงานของผม นั่นคือทางการแพทย์ สิ่งที่ท่านเหล่านี้(สามคน) ค้นพบร่วมกันคือ สารเรืองแสงสีเขียว สารที่ว่านี้ใครจะคิดว่า มีผลยิ่งใหญ่ต่อการศึกษา DNA และเป็นสิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบที่สำคัญๆของความผิดปกติในยีนมนุษย์และสัตว์ครับ แล้วถ้าผมจำไม่ผิด สารเรืองแสงสีเขียวที่ท่านเหล่านี้ค้นพบนั้น ได้มาจากการศึกษา   แมงกระพรุน ครับ คนญี่ปุ่นที่ว่านี่คือ คุณOsamu Shimomura ที่มา เวป nobelprize.org จากคุณ : MedicinePath - [ 2 ธ.ค. 51 11:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องราวดีๆที่เอามาฝากกัน ^^ จากคุณ : ^RyOkO^ - [ 2 ธ.ค. 51 15:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณน่ะคะคุณหมอ สำหรับรายละเอียดรางวัลโนเบิล บอกแล้วว่าดูญี่ปุ่นผ่านซีรีย์ตอนนี้เลยนั่งดูกาลิเลโออยู่ จากคุณ : เจ้าแก้วพิสดาร ณ เมืองปาย - [ 2 ธ.ค. 51 17:10:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ติดตามดูอยู่เหมือนกันเลยค่ะ ทั้งหล่อทั้งสนุก 55+ จากคุณ : yuki_shimi - [ 2 ธ.ค. 51 17:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จากคุณ : salamanka - [ 2 ธ.ค. 51 21:06:15 ]