ความคิดเห็นที่ 1 แผนที่ตั้งของ "มิวเซียมสยาม" อยู่ใกล้ ๆ กับ โรงเรียนตั้งตรงจิตรพาณิชยการ โรงเรียนราชบพิธ ปากคลองตลาด วัดโพธิ์ วัดพระแก้ว และยังอยู่ใกล้ ๆ สนามหลวงอีกด้วย เวลาทำการ – วันอังคาร – วันอาทิตย์ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ – ๑๘.๐๐ น. ติดต่อพิพิธภัณฑ์ – โทรศัพท์ ๐-๒๒๒๕-๒๗๗๗ โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๒๗๗๕ รถประจำทางที่ผ่าน - สาย ๓, ๖, ๙, ๑๒, ๓๒, ๔๔, ๔๗, ๕๓, ๗๒, ๕๒๔ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อมาถึงประตูทางเข้า "มิวเซียมสยาม" จะมองเห็นตึกสีเหลืองเก่าสมัยโบราณ อยู่ข้างในเด่นเป็นสง่า พร้อมกับสถาปัตยกรรมดีไซน์แปลกตา ที่อยู่ด้านหน้าตึกโบราณแห่งนี้ เราไปค้นหาคำตอบกันดีกว่า เพราะอะไรจึงกลายมาเป็น "มิวเซียมสยาม" ในปัจจุบัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:29:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตามไปชมค่ะ เราไปมาแล้วตอนเปิดใหม่ประทับใจมากๆๆๆๆ ตอนนี้เก็บค่าเข้ายังคะ จากคุณ : วิปครีมรสมะนาว - [ 11 ธ.ค. 51 17:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อเข้ามาด้านใน ขวามือของประตูทางเข้า "มิวเซียมสยาม" แล้ว จะเห็น "ผังภูมิทัศน์เดิม (๒๔๗๕)" ซึ่งจะบอกรายละเอียดส่วนต่าง ๆ ทั้งหมด ของพื้นที่แห่งนี้อย่างคร่าว ๆ เช่น ประตูทางเข้า - ออก หลายทิศทาง อาคารกระทรวงพาณิชย์เดิม ต้นมะม่วง ต้นโพธิ์ ต้นไทร ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 09:16:39 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณวิปครีมรสมะนาว - ไม่เก็บค่าเข้าชม แต่มีกล่องให้บริจาคเงินตามศรัทธา ตั้งอยู่ด้านหน้าจุดประชาสัมพันธ์เช่นเคยค่ะ สู่บทบาทใหม่ ... พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ๑๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๘ กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งมอบพื้นที่นี้ ให้กับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งใหม่ของประเทศไทย “มิวเซียมสยาม” จึงถือกำเนิดขึ้นบนเนื้อที่กว่า ๗ ไร่นี้ เพื่อเป็น “พื้นที่ใหม่แห่งการเรียนรู้” โดยมีนิทรรศการถาวรชื่อ “เรียงความประเทศไทย” ให้ผู้คนได้มาเรียน มารู้ มาเล่น และ “เพลิน” (Play + Learn) กับปริศนาหลายหมื่นหลายพันปีของสุวรรณภูมิ มูลเหตุของยุคทองของสยามประเทศ และเงื่อนปมก่อนจะมาเป็นประเทศไทย อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อค้นหาคำตอบสำคัญว่า “เราคือใคร” และ “ความเป็นไทยหมายถึงอะไร” แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 17:49:25 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สิ่งก่อสร้างดีไซน์เก๋ ที่มีรูปร่างแปลก ๆ นี้ เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้เข้าชม ไม่ว่าจะเด็กเล็ก วัยรุ่นวัยเรียน นักศึกษา คนทำงาน หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ อดไม่ได้ที่ต้องไปถ่ายรูป โพสท่าฮา ๆ หนุกนานกันหน่อย 1...2....3 แชะ แชะ แชะ !!! จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:45:07 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หรือจะทดสอบความแข็งแรงของร่างกาย ด้วยการยกหินก้อนนี้ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ฮึบ ! หนักจังเลยแว๊ \(-_-")/ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 17:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "ผังขยายแสดงพื้นที่ขุดค้นทางโบราณคดี ที่ลานมิวเซียมสยาม" ที่ตั้งอยู่ด้านขวามือก่อนเข้าด้านในตึก "มิวเซียมสยาม" นี้ บ่งบอก - หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ๑ - หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ๒ ได้ค้นพบ กระดูกวัว โครงกระดูกม้า ฐานรากไม้ของอาคารวังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕ แปรงขนม้าพบบริเวณฐานรากไม้ของอาคารวังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ขอบคันถนนเดิม บ่อบำบัดเดิม แนวท่อสุขาภิบาลเดิม แนวเข็มไม้เดิม พระอนุสาวรีย์ (สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ) กระมพระจันทบุรีนฤนาถ เกือกม้า กระดูกหมู กระเบื้องปูพื้นของเดิม ทางเดินเดิม โครงกระดูกสุนัข กลุ่มเปลือกหอยมุก และ ตำแหน่งศาลพระภูมิเดิม จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 9 "นิทรรศการหมุนเวียน" จะสลับสับเปลี่ยนจัดแสดงทุกอาทิตย์และทุกเดือน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จาก กระทรวงพาณิชย์ สู่ “มิวเซียมสยาม” พื้นที่ใหม่แห่งการเรียนรู้ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นกระทรวงพาณิชย์โดยแท้ ที่ทางเข้าเราจะพบสัญลักษณ์พิเศษ เป็นรูปงูสองตัวกำลังพันไม้เท้ารูปร่างแปลกตา เพราะนี่คือ “ไม้เท้ากายสิทธิ์คาดิวซุส (Caduceus)” ของวิเศษคู่กาย “เทพเจ้าเฮอร์เมส (Hermes)” เทพแห่งการสื่อสารและการค้า สัญลักษณ์นี้อยู่คู่กระทรวงพาณิชย์ มาตั้งแต่เริ่มสร้างอาคารในปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ อาคารหลังนึ้จึงสร้างขึ้นเพื่อเป็น “กระทรวงพาณิชย์” โดยเฉพาะ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ “มิวเซียมสยาม” เป็นแหล่งการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์ สร้างสำนึกรักและเข้าใจผู้คน บ้านเมือง รู้จักเพื่อนบ้าน รวมถึงการสร้างแนวคิดและภาพลักษณ์ใหม่ของ “พิพิธภัณฑ์” ในสังคมแห่งการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังสนับสนุน และร่วมมือเป็นเครือข่ายกับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อร่วมสร้างมาตรฐานกระบวนการเรียนรู้ และการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:12:53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 "คำว่า ทำไม คำเดียว จะช่วยให้เรามีปัญญา” “How could a word Why spawn wisdoms?” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ข้อความสีขาวด้านล่าง เขียนคำว่า "ทำไม" ด้วยภาษาโบราณ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 18:16:19 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นิทรรศการ “เรียงความประเทศไทย” แสดงแผนที่การเข้าชมตามลำดับ ดังนี้ ชั้นที่ 1 ประกอบด้วยห้อง ตึกเก่าเล่าเรื่อง – เบิกโรง – ไทยแท้ ชั้นที่ 3 ประกอบด้วยห้อง เปิดตำนานสุวรรณภูมิ – สุวรรณภูมิ – พุทธิปัญญา – กำเนิดสยามประเทศ – สยามยุทธ์ ชั้นที่ 2 ประกอบด้วยห้อง แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ – กรุงเทพ ฯ ภายใต้อยุธยา – ชีวิตนอกกรุงเทพ ฯ –  แปลงโฉมสยามประเทศ – กำเนิดประเทศไทย – สีสันตะวันตก – เมืองไทยวันนี้ – มองไปข้างหน้า แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 18:21:46 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ระเบียงทางเดินด้านหน้าตึก ปูกระเบื้องลวดลายวิจิตร งดงาม ตระการตา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แผนผังอาคารแต่ละชั้น ประกอบด้วย นิทรรศการถาวร “เรียงความประเทศไทย” ของแต่ละชั้น และทุกห้อง นิทรรศการหมุนเวียน ห้องน้ำชาย - หญิง ลิฟต์ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จุดประชาสัมพันธ์ จะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ และแนะนำการเข้าชมนิทรรศการแต่ละห้องอย่างคร่าว ๆ แจกโบรชัวร์แผนผังการเข้าชม นิทรรศการ "เรียงความประเทศไทย" และแจกสติ๊กเกอร์ "Museum Siam" ให้ผู้เข้าชมติดที่เสื้อหรือข้อมือ รวมถึงรับฝากกระเป๋า สัมภาระ ด้วยเช่นกัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:35:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สาเหตุที่แจกสติ๊กเกอร์ เป็นการนับสถิติผู้เข้าชมในแต่ละวัน ว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน? ชาวไทย หรือ ชาวต่างชาติ กลุ่มคณะ หรือ บุคคลทั่วไป อายุมากกว่า ๒๕ ปี หรือ ต่ำกว่า ๒๕ ปี เป็นต้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ด้านหลังจุดประชาสัมพันธ์ เป็นห้อง "ตึกเก่าเล่าเรื่อง" พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ เราเรียนรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตึกหรือผืนดินที่ตั้งอยู่ เมื่อตอนบูรณะ "อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เดิม)" ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพื่อเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ เราค้นพบความเก่งกาจของสถาปนิกและช่างในสมัยก่อน เมื่อขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ ค้นพบรากฐานของวังในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๕ ! ... ทีนี้ล่ะ ... เราจะมาสวมวิญญาณ "นักโบราณคดีน้อย" สืบอดีต กันสนุกไปเลย แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:31:17 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:45:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ไปด้วยคนครับ จากคุณ : หมาดำปราณบุรี - [ 11 ธ.ค. 51 18:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชิ้นส่วนสิ่งของต่าง ๆ ที่ขุดค้นพบ ณ ที่ตึกเก่าแห่งนี้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 18:47:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุลกิติยากร ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๗ ทรงเป็นพระราชโอรถองค์ที่ ๑๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาอ่วม ทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันตะวันออก วิทยาลัยเบเลียล แห่งมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๗ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ทรงกรมที่ กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ ตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ พระองค์แรก ในพุทธศักราช ๒๔๖๓ ด้วยพระปรีชาสามารถในด้านการคลังและการเศรษฐกิจ ทรงดำริจัดตั้งคลังออมสิน กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์และสหกรณ์ ทรงร่างกฎหมายวางระเบียบวิธีการศุลกากร แก้ไขปรับปรุงภาษีสรรพากร และรวบรวมหน่วยงานจัดเก็บภาษีให้มารวมอยู่ในบังคับบัญชากระทรวงเดียวกัน ทรงจัดให้สุราและฝิ่นเป็นสิ่งผูกขาดของรัฐบาล เพื่อเตรียมการที่จะบังคับให้การสูบฝิ่นเป็นสิ่งต้องห้าม ในเวลาต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นอภิรัฐมนตรี และทรงเป็นกรรมการราชบัณฑิตยสถาน ทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๔ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณหมาดำปราณบุรี - มาเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ แผนที่สมัยก่อน ณ บริเวณตึกแห่งนี้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:04:32 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไปเที่ยวด้วยคนค่ะ ว่าจะไปๆ ตั้งหลายทีแล้ว แต่ไม่ได้ไปซักกะทีเลย จากคุณ : น้องเขียบ บ้านนา - [ 11 ธ.ค. 51 19:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ๑. เบิกโรง เป็นการเบิกตัวละครทั้งเจ็ดที่โลดแล่น เคลื่อนไหวผ่านผืนผ้าใบสีขาวนี้ จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่เรื่องราวอันเป็นต้นกำเนิด จากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศ ถึงประเทศไทย เพื่อค้นหาคำตอบว่า เราคือใคร? และอะไรคือไทย? แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:12:21 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณน้องเขียบ บ้านนา - มาเลยค่ะ ยิ่งถ้าได้ไปเห็นด้วยตา จับต้องด้วยมือ จะสนุกสนาน เพลิดเพลินกว่านี้อีก ฟินไปมา 2 รอบแล้ว ยังติดใจอยากจะไปอีกเรื่อย ๆ ค่ะ มีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะเลย หมายเหตุ คนกบแดง สัญลักษณ์สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ คนทุกคนมีกำเนิดมาตัวเปล่าทั้งนั้น ยุคแรกเริ่มยังไม่รู้จักทำเครื่องนุ่งห่ม จึงเป็นคนเปลือย เลยถูกเรียกจากคนอื่นที่มีอารยธรรมสูงกว่าว่า นาค (นาคก็คืองู ไม่มีขน ไม่มีเกล็ด มีแต่หนังหุ้มและลอกได้ ตามกำหนด ทั้งหมดเท่ากับเปลือยเปล่า และเป็นสัญลักษณ์ของน้ำที่อยู่ใต้ดิน คือบาดาล กับบนฟ้า คือสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในอุษาคเนย์ต้องการเพื่อใช้เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารตามฤดูกาล) ฉะนั้น ตราสัญลักษณ์ จึงเป็นรูปคนที่ไม่ระบุเพศและเผ่าพันธุ์ รูปคนยืนกางแขน กางขา ทำท่าเป็นกบ เพราะกบ (รวมทั้งอึ่งอ่าง คางคก เขียด) เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ โดยเฉพาะน้ำฝน จึงมีรูปกบอยู่บนหน้ากลองทอง (สัมฤทธิ์) หรือมโหระทึกของอุษาคเนย์ เพราะเป็น เครื่องมือเครื่องใช้ประโคมตีในพิธีกรรมขอฝน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของชนทุกเผ่ายุคดึกดำบรรพ์ ไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว นอกจากยกย่องกบเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว คนในชุมชนยังร่วมกันเต้นฟ้อนทำท่าเป็นกบด้วย มีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตาม เพิงผา และเถื่อนถ้ำตั้งแต่เขตมณฑลกวางสีถึงบริเวณประเทศไทย พิพิธภัณฑ์จึงแสดงเรื่องราวของ "คน" เพื่อให้รู้และเข้าใจรากเหง้าเหล่ากอความเป็นมาของบรรพชน ซึ่งล้วนเป็นคนพื้นเมืองของภูมิภาคอุษาอาคเนย์โบราณ คนพวกนี้ประสมประสารกันทางเผ่าพันธุ์ สังคม และ วัฒนธรรม แล้วก่อบ้านสร้างเมืองขึ้นเป็นแว่นแคว้นหรือรัฐ จนเป็นอาณาจักร แล้วดำรงเป็นประเทศสืบมาถึงทุกวันนี้ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 21:04:02 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:20:44 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ๒. ไทยแท้ เป็นห้องที่ทำให้เกิดความอยากรู้ว่าไทยแท้คืออะไร? และเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าไทยแท้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตามหาไทยแท้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไทยแท้แท้.... แท้ไทยไทย (^^) จากคุณ : เอสซึ... - [ 11 ธ.ค. 51 19:29:02 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยแท้ คือ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่เรียบง่าย การทำมาหากิน ค้าขาย ศิลปะ วัฒนธรรม การละเล่น การแสดงต่าง ๆ "มวยไทย" ที่ต่างชาติยกย่องให้เป็นมรดกโลก "ตุ๊กตุ๊ก" รถสามล้อไทย ที่เป็นเอกลัษณ์ของความเป็นไทย "ส้มตำ" อาหารไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นอาหารจานเด็ด ที่ชาวต่างชาติต้องรับประทาน เมื่อมาเที่ยวประเทศไทย "งานวัดภูเขาทอง การแสดงดนตรีไทย" ที่สะท้อนให้เห็นศิลปะวัฒนธรรมของคนไทย แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:43:37 แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:41:22 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:29:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณเอสซึ... - แกเป็นคนไทยแท้แน่ ๆ เจ้าบทเจ้ากลอนเล่นคำแบบนี้ อิ ๆ "ไอติมไม้แดง" ที่เด็ก ๆ ต่างติดใจรสชาด มีสีสันหลากหลายให้เลือก พร้อมกับลุ้นเมื่อกัดแล้วเจอไม้แดง ก็จะได้ไอติมแถมเพิ่มอีก 1 ไม้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรียงความ “คนกบแดง” สุวรรณภูมิ ๓,๐๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว – ใช้ขวานหิน พุ่งหอกหิน เต้นรำขอฝน เกี่ยวข้าว ปั้นหม้อ ตีกลองสำริด ใช้สิ่วเหล็กสร้างเมือง สยามประเทศ พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๒๔๗๕ – ซัดหอก ยิงปืนใหญ่จ่ารง ชกมวย พายเรือ ขี่ม้าก้านกล้วย นุ่ง “โจง” ไหว้พระ ประเทศไทย – ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๔๗๕ – ปัจจุบัน – ขับฟอร์ดแองเกลีย ทำผมทรงแอฟโฟร คุยโทรศัพท์มือถือ ร้องคาราโอเกะ เล่นเสก็ตบอร์ด...โย่  โหนรถไฟฟ้า ฟังไอพอด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อพวกเราออกมาจากห้อง "ไทยแท้" เพื่อเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น ๓ จะพบ ตราสัญลักษณ์ใหม่ “คนกบแดง” ห้อยระโยงระยางตรงช่องว่างระหว่างบันไดทั้ง ๓ ชั้น ตราสัญลักษณ์ของ “มิวเซียมสยาม” เป็นรูปคนที่ไม่ระบุเพศและเผ่าพันธุ์ ยืนกางแขน กางขา ทำท่าเป็นกบ กบเป็นสัญลักษณ์ของฝน น้ำ และความอุดมสมบูรณ์ เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของเรานับถือกบว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีขอฝน คนในชุมชนร่วมกันเต้นฟ้อนด้วยลีลาของกบ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 19:52:36 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ๓. เปิดตำนานสุวรรณภูมิ เป็นห้องที่แสดงถึงวิวัฒนาการสังคมก่อนจะมาเป็นบรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า “สุวรรณภูมิ” คือ ชื่อที่ชาวโลกเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ใช้เรียกดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกของอินเดีย ส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้มีกรุงเทพ ฯ ที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเล ซึ่งการศึกษาโครงกระดูก หลุมฝังศพ และอารยธรรมที่ฝังอยู่ใต้ดินทำให้รู้จักดินแดนแห่งนี้มากขึ้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 19:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เปิดตำนานสุวรรณภูมิ ตำนานแผ่นดินทอง เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีก่อน บันทึกของชาวอินเดีย ชาวจีน และชาวตะวันตก ได้กล่าวถึงดินแดนทางตะวันออกของดินเดียว่า มีความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ควรที่นักเดินทางจะไปสัมผัสแสวงโชค เวลาผ่านไปดินแดนแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในนาม สุวรรณภูมิ สุวรรณทวีป จินหลิน ไครเส เคอรโสเนโสส ซึ่งล้วนมีความหมายตรงกันว่า “แผ่นดินทอง” จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ย้อนรอยสุวรรณภูมิ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นนักประวัติศาสตร์ไทยพระองค์แรกที่ระบุว่า แคว้นสุวรรณภูมิ อยู่ในประเทศไทย บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนครชัยศรี (นครปฐม) แต่ในยุคเดียวกันก็มีเมืองไบก์ถโน ในประเทศเมียนม่าร์ปัจจุบัน เมืองเปงกาลัน บูจัง ในมาเลเซีย เมืองตารุมา ในอินโดนีเซีย เมืองวยาธปุระ ในกัมพูชา และเมืองออกแก้ว ในเวียดนาม เมืองโบราณเหล่านี้ล้วนปรากฎหลักฐานทางโบราณดคีในยุคสุวรรณภูมิเหมือนกัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:04:04 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สุวรรณภูมิอยู่ที่ไหนกันแน่? เป็นไปได้ว่า สุวรรณภูมิ ในบันทึกนักเดินทาง มิได้หมายถึงอาณาจักร หรือเมืองใดเมืองหนึ่ง แต่เป็นการกล่าวรวม ๆ ถึงดินแดนแห่งความเจริญมั่งคั่งในภูมิภาค “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ทำนองเดียวกับการที่เราเรียกดินแดนทางตะวันตกว่า “ยุโรป” โดยไม่ได้เจาะจงถึงประเทศใดประเทศหนึ่ง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สุวรรณภูมิคือแผ่นดินทอง ที่นี่มีทองจริงหรือ? สุวรรณภูมิเป็นแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้มีผลผลิตจากธรรมชาติมากมายที่ชาวโลกต้องการ ที่นี่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ทั้งพืชพันธุ์และสัตว์ป่า ให้เสาะหามาบริโภคหรือเป็นสินค้าที่มีค่าประดุจทองคำ สภาพแดดฝน ดินดำน้ำชุ่ม ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเกินพอ สามารถนำไปแลกสินค้าที่มีมูลค่ายิ่งกว่าทองคำ แน่นอนที่นี่มีทองคำจริง ๆ กับแร่ธาตุมีค่าอื่น ๆ เช่น ทองแดง ดีบุก และเหล็ก สมกับชื่อ “แผ่นดินทอง” ความร่ำรวยทางทรัพยากรนี่เอง ที่ทำให้ชาวโลกต้องเดินทางมาแสวงโชคถึงที่นี่ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องเล่าจากหลุมศพ ๑. อะไรทำให้เรารู้เรื่องราวในอดีตยุคที่ยังไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษร เรา “อ่าน” หลักฐานที่มาจากการค้นพบหรือการขุดค้นลึกลงไปในผืนดิน ทุกสิ่งที่เราพบไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่ โครงกระดูก เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ เศษอาหาร หรือแม้แต่อุจจาระพันปี ล้วนเป็น “คำให้การ” ชี้เบาะแสเรื่องราวในอดีตนับพันปีได้ การ “อ่าน” หลักฐานเหล่านี้เรียกว่า โบราณคดี ๒. คดีนอกศตวรรษ! สถานที่เกิดเหตุ เป็นชุมชนโบราณที่เคยมีคนอาศัยอยู่ระหว่าง ๒,๕๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีก่อน หรือที่เรียกว่า “ยุคเหล็ก” ในหลุมศพพบเครื่องประดับมีค่าจากต่างแดนจำนวนมาก ที่นี่ “น่าจะ” เป็นชุมชนที่เจริญและเศรษฐกิจดี พบเมล็ดข้าวฝังอยู่ข้างศพบางศพ เชื่อว่ามีการปลูกข้าว หรือทำเกษตรกรรมอื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบซากพืช เป็นหลักฐานชี้ว่าบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนามากกว่าเป็นป่าไม้ ๓. ศพนอนหงายเหยียดยาว ส่วนใหญ่หันหัวไปทางทิศเหนือ เป็นประเพณีฝังศพแบบแรกในดินแดนแถบนี้ ของที่วางเรียงรายอยู่ข้างกายมักเป็น “ของฝาก” ให้ผู้ตายเอาติดตัวไปด้วย ๔.เหตุเกิดขึ้นเมื่อใด? จากการวัดอายุก้อนถ่านที่พบในชั้นดินเดียวกับที่พบโครงกระดูก ด้วยธาตุกัมมันตรังสีคาร์บอน ๑๔ และคำนวณจากชั้นดินที่โครงกระดูกฝังอยู่ สันนิษฐานว่าเหตุเกิดเมื่อ ๒,๐๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีที่แล้ว ๕. บางครั้งนักโบราณคดีก็พบอะไรพิเศษ เช่น โครงกระดูกเด็กฝังในภาชนะดินเผา ๖. ลักษณะการตาย ศพนี้ถูกจัดให้นอนคว่ำหน้า แตกต่างจากศพธรรมดาทั่วไป ผู้ฝังศพอาจจงใจไม่ให้เกียรติผู้ตาย เนื่องจากการทะเลาะวิวาท การเซ่นสังเวย หรือการลงทัณฑ์ ๗. ผู้ตายเป็นใคร? ลักษณะของกระดูกเชิงกรานรูปตัว V แสดงว่าเป็นชาย เนื่องจากไม่มีหลักฐานอื่นที่ชี้ชัดว่า เขาคือใคร ในเบื้องต้นให้ชื่อว่า “ชายนิรนาม” ๘. โครงกระดูกพร้อมหัวลูกศร ชายหนุ่มคนนี้ถูกฝังคว่ำหน้า ถูกยิงด้วยลูกศรที่ยาว ๖ เซนติเมตร ที่กระดูกสันหลัง ๙. ผู้ตายอายุเท่าไหร่? ดูจากสภาพฟันยังอยู่ครบแถวไม่สึกกร่อน สันนิษฐานได้ว่าอายุระหว่าง ๑๕ – ๑๖ ปี ๑๐. สาเหตุที่ตาย กะโหลกศีรษะด้านหลังเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่เป็นการฆาตรกรรม! ๑๑. มูลเหตุจูงใจ อยู่ระหว่างการสืบสวน ๑๒. การเปลี่ยนทิศทางในการฝังศพ เกิดขึ้นได้ตามประเพณีนิยม นักโบราณคดีพบศพในชั้นดินที่ไม่ต่างกันมาก ถูกฝังในทิศทางต่างกัน แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 20:18:00 แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 20:17:10 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตัวอย่างโครงกระดูกที่ถูกขุดค้นพบ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 21:30:40 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 20:21:20 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ๑๓. นักโบราณคดีตัวจริง เสียงจริง รศ. ดร. รัศมี ชูทรงเดช ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผลงานที่สร้างชื่อ : โครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑๔. นักโบราณคดีไม่ได้พบแค่โครงกระดูกคนเท่านั้น บางครั้งพบโครงกระดูกสุนัข “เพื่อนเกลอ” ถูกฝัง ร่วมกับคนก็มี ๑๕. คำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับการขุดค้นทางโบราณคดี เพียงหยิบหูฟังที่ลูกศรสีฟ้า และกดปุ่มคำถามด้วยปลายนิ้วที่จอคอมพิวเตอร์ รศ. ดร. รัศมี ชูทรงเดช จะเป็นผู้บรรยายคำตอบต่าง ๆ ให้เราได้กระจ่างและเข้าใจมากยิ่งขึ้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:13:20 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ก่อนจะเป็นสุวรรณภูมิ จ้าวพิภพโลกล้านปี ผู้ยิ่งใหญ่ลำดับต้น ๆ ที่ครอบครองสุวรรณภูมิ คือ ไดโนเสาร์ สัตว์ลึกลับเมื่อ ๑๓๐ ล้านปีก่อน มีร่องรอยหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน เมื่อไดโนเสาร์นักล่าสูญพันธุ์ไป สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ต่อมา โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างช้าง ซึ่งอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ล้านปีก่อน และจ้าวพิภพรุ่นสุดท้าย คือ มนุษย์ เราพบชิ้นส่วนกะโหลก โฮโม อีเรคตัส ซึ่งมีวิวัฒนาการยืนตัวตรงแล้ว ที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง คือ ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปี มนุษย์รุ่นต่อมา คือ โฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ พบหลักฐานในเพิงผา ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และในถ้ำที่จังหวัดกระบี่ มีอายุประมาณ ๓๗,๐๐๐ ปี ๑. ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีก่อน ไดโนเสาร์สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส ๒. ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีก่อน ช้างดึกดำบรรพ์ ๔ งา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 บรรพบุรุษชาวสุวรรรณภูมิ เป็นคนพื้นถิ่น หรือ มาจากที่อื่น? ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามคาใจข้อนี้ แต่เรากำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที นักโบราณมานุษยวิทยาได้ตั้งข้อสมมติฐานว่า บรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิ “อาจ” เป็นคนพื้นถิ่นที่มีวิวัฒนาการมาจาก โฮโม อีเรคตัส ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาช้านานแล้ว หรืออาจเป็นกลุ่มชนสายพันธุ์มองโกลอยด์ ที่อพยพมาจากแผ่นดินจีนเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน แล้วเข้าแทนที่ประชากรดั้งเดิมจนเป็นบรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิในสมัยต่อมา การค้นหารากเหง้าของชาวสุวรรณภูมิ ยังคงเป็นปริศนาฝากไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาต่อไป จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ๑. ๑,๐๐๐,๐๐๐ ปีก่อน มนุษย์ปักกิ่ง ๒. ๕๐๐,๐๐๐ ปีก่อน มนุษย์ลำปาง ๓. ๘๐๐,๐๐๐ ปีก่อน มนุษย์ชวา แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 21:24:06 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:21:14 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอเลียนแบบเป็น "มนุษย์ลำปาง" สักหน่อยน๊า ... ลิงจั๊ก ๆ แปลว่า รักจริง ๆ ฮี่ ๆ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่มีกรุงเทพ ฯ ในแผนที่สุวรรณภูมิ? ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าผู้คนเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่เคยมีใครเคยเหยียบแผ่นดินกรุงเทพ ฯ เพราะเวลานั้นพื้นที่บริเวณนี้ยังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เมื่อราว ๕,๐๐๐ ปีก่อน ขอบอ่าวไทยกินพื้นที่ลึกเข้าไปไกลกว่าจุดที่ตั้งกรุงเทพ ฯ ราว ๑๐๐ กิโลเมตร ต่อมาตะกอนดินจากแม่น้ำได้ทับถม จนทำให้กรุงเทพ ฯ กลายเป็นแผ่นดินเมื่อ ๑,๐๐๐ กว่าปีมานี้เอง ด้วยเหตุนี้ เมืองสำคัญในยุคสุวรรณภูมิ นอกจากเมืองชายฝั่งทะเลภาคใต้แล้ว ยังมีเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปถึงสุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม เมืองเหล่านี้ คือเมืองชายทะเลในสมัยสุวรรณภูมินั่นเอง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:26:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 วิวัฒนาการสู่ยุคสุวรรณภูมิ เมื่อผู้คนมีจำนวนมากขึ้น ก็เริ่มตั้งถิ่นฐาน หยุดเร่ร่อนหากิน หันมาเรียนรู้วิธีทำการเกษตร ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการรวมกลุ่มเป็นชุมชนหมู่บ้าน แล้วบางกลุ่มได้ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิ ควบคู่ไปกับการสังคมทางภาษา ประเพณี วิถีชีวิตวัฒนธรรม ที่ถือเป็นการจำแนกแยกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลายาวนานก่อนที่ดินแดนแห่งนี้จะเลื่องชื่อในฐานะแผ่นดินทอง นักโบราณคดีมีวิจัยจัดแบ่งยุคของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ โดยอาศัยวัสดุที่ใช้ทำเครื่องมือ เครื่องใช้เป็นหลัก เนื่องจากวิวัฒนาการสังคมแต่ละขั้นตอนเกิดขึ้นได้ด้วยวัฒนธรรมเหล่านี้ ๑. มนุษย์ยุคหิน สามารถสร้างสรรค์เครื่องมือเครื่องใช้จากวัสดุธรรมชาติ แต่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับทำมาหากิน เช่น มีด ขวาน หอก มนุษย์โบราณยุคนี้อยู่ในสุวรรณภูมิในช่วง ๕๐๐,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีก่อน ๒. มนุษย์ยุคโลหะ พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีการสร้างสรรค์ทางศิลปะ เพราะรู้จักใช้โลหะผสม ระหว่างทองแดงกับดีบุกและตะกั่ว หรือที่รู้จักกันในนามโลหะ “สำริด” มีวิวัฒนาการอยู่ในช่วง ๔,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีก่อน ๓. มนุษย์ยุคเหล็ก ถือเป็นยุคก้าวหน้าที่สุดของมนุษย์ยุคโบราณ เนื่องจากสามารถคิดค้นการถลุงเหล็ก ซึ่งต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่าสำริดมาหล่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้ ตั้งแต่ ๒,๕๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีก่อน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ๑. “ใบมีด” สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทำจากหินแล้วนำมาขัดให้คมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน พบที่จังหวัดลพบุรี อายุประมาณ ๓,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ๒. ขวานหินกะเทาะ เครื่องมือทำมาหากิน มีไว้ตัด ทุบ ขว้างปา และใบมีดหินขัดขนาดเล็ก ทำด้วยหินปูน สำหรับตัดเศษผ้าหรือด้าย น่าจะใช้คู่กับเข็มกระดูสัตว์ พบที่จังหวัดลพบุรี อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ๓. เบ็ดตกปลาหรือสัตว์น้ำขนาดใหญ่ เบ็ดสีดำทำจากกระดูกสัตว์ ทั้งแบบไร้เงี่ยงและมีเงี่ยง ส่วนเบ็ดสีขาวขนาดใหญ่ทำจากเขากวาง อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว พบตามลำดับที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดลพบุรี ๔. นักโบราณคดีพบ เข็มเย็บและที่เจาะ ทำจากเขาสัตว์ ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ ๓,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว คนมีเครื่องนุ่งห่มหรือใช้หนังสัตว์ในชีวิตประจำวันแล้ว พบที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ๕. ใบหอกสำริด เครื่องมือทำมาหากิน และ แท่งทองแดงผสมสำเร็จรูป ทำไว้แลกเปลี่ยนกับสิ่งของ ที่คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ต้องการจากที่อื่น ๆ พบที่อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ๖. จอบเหล็ก หนึ่งในเครื่องมือทำมาหากินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อหลายพันปีมาแล้ว พบที่อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:37:40 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ๔. สุวรรณภูมิ เป็นห้องที่ทำให้รู้จัก “สุวรรณภูมิ” ดินแดนแห่งความมั่งคั่งผ่านผู้คน การเกษตร การค้า การสร้างเมือง เทคโนโลยีแห่งโลหะ และความเชื่อ (ผี – พราหมณ์ – พุทธ) ซึ่งจะทำให้รู้ว่าสุวรรณภูมิ คือ รากเหง้าของประเทศไทย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แกะรอยบรรพชน ปริศนาบรรพชน? “มนุษย์ลำปาง”  สายพันธุ์ โฮโม อีเรคตัส อายุประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปี ? “มนุษย์ถ้ำกระบี่” สายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ อายุประมาณ ๓๗,๐๐๐ ปี ? มนุษย์ยุคโบราณเหล่านี้ เป็นบรรพบุรุษสุวรรณภูมิหรือไม่ หรือล้มหายตายจากไปก่อนแล้ว “มนุษย์ถ้ำหมอเขียว” จังหวัดกระบี่ สายพันธุ์ โฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ อายุประมาณ ๒๕,๐๐๐ ปี เชื้อสายออสตราลอยด์ - เมลานีซอยด์ เป็นบรรพบุรุษสุวรรณภูมิหรือไม่ ? “มนุษย์เมืองกาญจน์” ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี อายุประมาณ ๕,๐๐๐ ปี เชื้อสายมองโกลอยด์ มีโอกาสเป็นบรรพชนคนสุวรรณภูมิหรือไม่ ? เพราะคนสุวรรณภูมิในเขตประเทศไทยปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะมีเชื้อสายมองโกลอยด์ หรือ ... บรรพชนคนสุวรรณภูมิเป็นเชื้อสายมองโกลอยด์ ที่เพิ่งอพยพครั้งใหญ่เมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน เข้ามาแทนที่ประชากรดั้งเดิมที่เป็น ออสตราลอยด์ – เมลานีซอยด์ ? ปริศนา “คนไทย” ในสุวรรณภูมิยุคดึกดำบรรพ์ จึงยังคงเป็นปริศนาต่อไป จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 49 บรรพชนรุ่นบุกเบิก ๑. ชนพื้นเมืองสุวรรณภูมิในขอบเขตดินแดนสยาม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเร่ร่อนล่าสัตว์เก็บของป่า จนถึงช่วง ๕,๐๐๐ ปีก่อน ก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างเด่นชัด ด้วยการตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเป็นหลักแหล่ง รู้จักทำการเกษตรอย่างง่าย ๆ คือ ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ใช้ภาชนะดินเผา ๒. ต่อมาราว ๔,๐๐๐ ปีก่อน ชาวสุวรรณภูมิเริ่มรู้จักพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ จากโลหะผสมที่เรียกว่า “สำริด มีการสร้างเมืองติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับโลกภายนอกทั้งทางบกและทางทะเล ๓. จนกระทั่งเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ชาวสุวรรณภูมิเริ่ม “ถลุงเหล็ก” เพื่อทำเครื่องมือเครื่องใช้ บ้านเมืองยุคนี้เติบโตขึ้น บางกลุ่มเริ่มรวมตัวกันเป็นนครรัฐ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 50 กล่าวคำ “ทักทาย” สุวรรรณภูมิ ชุมนุมสหชาติพันธุ์ นักวิชาการจัดแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งหลักแหล่งในสุวรรณภูมิช่วง ๓,๐๐๐ ปีก่อน โดยใช้ตระกูลภาษาเป็นตัวกำหนดได้ ๕ กลุ่ม คือ ๑. กลุ่มภาษาตระกูลมอญ – เขมร หรือ ออสโตรเอเชียติก พวกที่ใช้ภาษาตระกูลนี้คือ มอญ ชมุ ละว้า ปะหล่อง ซาไก มลาบรี ๒. กลุ่มภาษาตระกูลชวา – มลายู หรือ ออสโตรเนเซียน คือกลุ่มคนที่อยู่ทางคาบสมุทรมลายู รวมทั้งมอเก็น ในประเทศไทย ๓. กลุ่มภาษาตระกูลไทย – ลาว คือ คนไทย ลาว กลุ่มต่าง ๆ ๔. กลุ่มภาษาตระกูลจีน – ทิเบต คือ พวกชาวเขา กะเหรี่ยง อะข่า ๕. กลุ่มภาษาตระกูลม้ง – เย้า คือ กลุ่ม ม้ง เย้า ที่อยู่บนภูเขาสูงทางตอนเหนือสุวรรณภูมิ ผู้คนทั้ง ๕ กลุ่มภาษานี้ ปะปนอยู่รวมกันในดินแดนที่มีชื่อว่า สยาม ซึ่งในยุคนั้นยังเป็นดินแดนที่ไม่มีอาณาเขตชัดเจน และผู้คนที่อยู่ในดินแดนสยามก็ได้ชื่อว่า ชาวสยาม โดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดโดยเฉพาะ ในเวลาต่อมา “ชาวสยาม” กลุ่มตระกูลไทย – ลาว ซึ่งปะปนอยู่กับชาติพันธุ์ต่าง ๆ มาไม่น้อยกว่า ๓,๐๐๐ ปี ได้ร่วมกับ “เครือญาติ” ขอม จนมีอำนาจเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วสถาปนาอาณาจักรสยามขึ้นในนาม กรุงศรีอยุธยา สยามปฏิรูปเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน มีการรวมศูนย์อำนาจสร้าง “รัฐชาติ” สมัยใหม่ขึ้น “ชาวสยาม” นานาชาติพันธุ์ในขอบเขตแผนที่รูปขวานทอง ถูกนิยามใหม่ด้วยคำว่า “คนไทย” สวัสดี เครือญาติสุวรรณภูมิ มอญ ซาไก ลาว ปกาเกอะญอ ม้ง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:47:54 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เตาเชิงกราน เป็นเตาสำหรับทำอาหารใส่ฟืนเพื่อติดไฟด้านล่าง วางหม้อด้านบน การทำอาหารลักษณะนี้ มีมานานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทุกวันนี้ก็ยังใช้เตากันอยู่ แต่เปลี่ยนรูปร่างไปบ้างเท่านั้น อายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบที่จังหวัดลพบุรี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:50:08 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เกิดบ้าน เกิดเมือง กำเนิดรัฐ สร้างบ้าน แปงเมือง ราว ๒,๐๐๐ ปีก่อน หรือประมาณพุทธศักราช ๕๐๐ สุวรรณภูมิเริ่มปรับเปลี่ยนจากชุมชนหมู่บ้านไปสู่ชุมชนเมือง ในเขตพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบัน มีร่องรอยปรากฎที่แหล่งโบราณคดี อู่ทอง พงตึก แหลมโพธิ์ เขาสามแก้ว คลองท่อม เป็นต้น เมืองสำคัญในยุคเดียวกันนี้ยังมี เมืองออกแก้ว (เวียดนามใต้) เมืองไบก์ถโน (เมียนม่าร์ตอนกลาง) วยาธปุระ (กัมพูชา) กัวลาเซลินชิง (มาเลเซีย) และตารุมา (อินโดนีเซีย) เมืองน้ำอินทร์บุรี ความมหัศจรรย์ของบรรพบุรุษ เมื่อ ๔,๐๐๐ ปีก่อน ที่บ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีในปัจจุบัน มีชุมชนโบราณที่ชาญฉลาดในการสร้าง “เมืองน้ำ” ด้วยการขุดคลองเป็นเครือข่ายใยแมงมุม เชื่อมโยงพื้นที่ทุกส่วนเพื่อประโยชน์ในการทำเกษตรกรรม และการคมนาคมทั้งภายในและนอกตัวเมือง เมืองน้ำแห่งนี้ มีพัฒนาการต่อเนื่องอยู่นับพันปี จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ระดับน้ำทะเลลดต่ำลง จนเป็นเหตุให้แม่น้ำเปลี่ยนเส้นทางสุดที่จะแก้ไขได้ เมืองอินทร์บุรีจึงถูกทิ้งร้างไปในที่สุด ***ป.ล. ขอทำธุระก่อนนะคะ แล้วจะมารีวิวที่เหลืออีกครั้ง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 11 ธ.ค. 51 21:55:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เคยไปแล้วเหมือนกันครับ... มาอ่านกระทู้นี้เหมือนได้ไปอีกครั้งนึงเลยแฮะ... จากคุณ : Just_A_Comment - [ 11 ธ.ค. 51 22:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 54 นึกว่าจะใส่ชุดโดราเอมอนพาทัวร์ ^^" จากคุณ : atihasita - [ 12 ธ.ค. 51 03:26:28 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คุณJust_A_Comment - อาจเป็นรีวิวที่เต็มไปด้วยข้อความมากมาย เยิ่นเย้อ เหมือนอ่านข้อความวิชาการที่น่าเบื่อเกินไปมากกว่าไปเที่ยว แต่ฟินไม่อยากละทิ้งข้อความเหล่านั้น เพราะทุกภาพ ทุกข้อความที่เขียน เป็นจุดเชื่อมโยงถึงที่มาของแต่ละภาพและแต่ละห้องได้อย่างเข้าใจที่สุด คุณatihasita - ฟินไม่กล้าขนาดนั้นหรอกจ้า เพียงแค่ทำรูปให้มันมีสีสันแค่ในการรีวิวแค่นั้นเอง อิ ๆ สุวรรณภูมิกับอารยธรรมโลก ทวารวดี – ศรีวิชัย เบ้าหลอมอารยธรรมจากแดนไกล เมื่อบ้านเมืองเติบโตขึ้นจนพัฒนาเป็น “รัฐ” และมีขอบเขตอิทธิพลชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ระบบความเชื่อและพิธีกรรมท้องถิ่นไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนสังคมขนาดใหญ่ต่อไปได้ จึงต้องรับเอาอารยธรรมที่มีศักยภาพสูงกว่า สื่อสารได้ดีกว่า มาหลอมรวมกลุ่มชนต่าง ๆ ให้ยอมรับยึดมั่นในสิ่งเดียวกันได้ อารยธรรม “นำเข้า” จากอินเดีย ผสมผสานกับภูมิปัญญาดั้งเดิม คือเบ้าหลอมที่ให้กำเนิดรัฐขนาดใหญ่ เช่น ทวารวดี และศรีวิชัย ๑. ยุโรป ๒. อินเดีย / ตะวันออกกลาง / อเมริกากลาง ๓. จีน / ญี่ปุ่น แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 07:37:24 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ข้าว –ไผ่ พื้นฐานของชุมชนโบราณ ชุมชนเกษตรกรรมในระยะเริ่มแรก มีวิถีชีวิตประจำวันเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพียงรู้จักปลูกข้าว ทำเกษตรกรรม และใช้ประโยชน์จากพืชพื้นเมืองโดยเฉพาะไม้ไผ่ เพื่อก่อสร้างหรือประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอย ไผ่เป็นพืชสารพัดประโยชน์ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น กว่าที่เคยร่อนเร่อาศัยถ้ำเป็นแหล่งพักพิง การปลูกข้าวอาจเป็นเงื่อนไข ทำให้เกิดการตั้งหลักแหล่งอย่างถาวร แต่การปลูกข้าวไม่ใช่เหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ชุมชนพัฒนาเป็นเมืองหรือรัฐขนาดใหญ่ได้ แม้ว่า ข้าว และ ไผ่ จะมีความสำคัญจนก่อให้เกิดรูปแบบทางวัฒนธรรมขึ้นก็ตาม อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดสุวรรณภูมิพัฒนาขึ้นเป็นเมือง รัฐและอาณาจักร? จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 57 โลหะหลอมบ้านให้เป็นเมือง ชุมชนแต่ละท้องถิ่นมีข้อแตกต่างกันทั้งสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และกำลังคน ระดับความเจริญทางเทคโนโลยีจึงต่างกัน ชุมชนที่มีคนน้อยหรืออยู่โดดเดี่ยวห่างไกล จะมีลักษณะล้าหลังกว่าชุมชนที่เป็นเมืองท่าหรือแหล่งทรัพยากร ประมาณ ๓,๕๐๐ ปีก่อน ชาวสุวรรณภูมิบางกลุ่มรู้จักถลุงโลหะ โดยนำเอาทองแดงผสมกับดีบุกและตะกั่ว ได้โลหะที่เรียกว่า สำริด ใช้หล่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือเครื่องประดับ การผลิตโลหะนี้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมขนานใหญ่ในสุวรรณภูมิ หลักฐานการถลุงโลหะ มักพบในบริเวณชุมชนขนาดใหญ่ แสดงว่า “เมือง” เริ่มเกิดขึ้นแล้ว บนพื้นฐานการผลิตที่ก้าวหน้า และการจัดตั้งทางสังคมที่ทวีความซับซ้อน ในสังคมยุคโลหะนี้ ชาวสุวรรณภูมิรู้จักการทำนาโดยการทดน้ำเข้านา เลี้ยงวัวควายไว้ใช้งาน และผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับสำริด ทั้งยังติดต่อค้าขายกับโลกภายนอกอย่างต่อเนื่อง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:49:04 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ยุค “เหล็ก” แม่เหล็กดึงดูดความเจริญ ในยุคล่าอาณานิคม ใครครอบครองทะเล ผู้นั้นครอบครองโลก ยุคต่อมา ใครคุมทรัพยากรน้ำมัน ผู้นั้นย่อมมั่งคั่ง ยุคนี้ ใครคุมข้อมูลข่าวสาร ผู้นั้นควบคุมโลก แต่เราย้อนเวลากลับไป ๓,๐๐๐ ปี ในยุคสุวรรณภูมิ ผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร คือ ผู้ครอบครองแหล่งเกลือและแร่โลหะ การถลุงเหล็กเป็นเทคโนโลยีที่เหนือชั้นกว่าการผลิตสำริด เพราะต้องควบคุมระดับอุณหภูมิที่สูงกว่า และต้องใช้ความชำนาญพิเศษในการตีแบบขึ้นรูป เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่า ชุมชนผู้ผลิต “เหล็ก” ส่วนใหญ่ได้พัฒนาทักษะความรู้ สืบเนื่องมาจากการผลิต “สำริด” นั่นเอง เครื่องสำริดให้ความสวยงาม แต่เหล็กมีความแข็งแกร่งทนทาน ใช้ประโยชน์ได้มากกว่า เหตุที่เหล็กมีบทบาทสำคัญในสังคมมนุษย์ ก็เพราะเป็นอุปกรณสำคัญในการทำเครื่องมือ การเกษตร ขุดคูน้ำคันดิน ทำอาวุธ และสร้างศาสนสถาน อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างเมือง เมื่อมีเหล็ก ก็มีแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ สร้างบ้านสร้างเมืองครอบครองขุมทรัพย์หายากและมีค่านี้ ผู้คนต่างถิ่นพากันหลั่งไหลเข้ามาทำกิน ตั้งหลักแหล่งอยู่อย่างถาวร กลุ่มพ่อค้า นักเดินทางจากแดนไกลก็แวะเวียนกันมามากขึ้น เกิดการสร้างสรรค์ถ่ายเททางวัฒนธรรมและวัตถุไปพร้อม ๆ กัน ชุมชน “เหล็ก” กลายเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศ จากชุมชนขนาดใหญ่ ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเป็นเมือง จากเมืองก็เติบโตขึ้นเป็นแคว้น เป็นรัฐในที่สุด แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 16:50:26 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เหล็กสร้างเมือง ๑. สิ่วเหล็กเครื่องมือสกัดหิน ประสิทธิภาพทวีคูณเมื่อเทียบกับสิ่วสำริด ๒. นำเหล็กมาหล่อเป็นรูปตัวยู เพื่อยึดหินแต่ละก้อน ๓. สลักลวดลายด้วยเครื่องมือเหล็ก *** เมื่อเอามือจับที่จับ (ลูกศรสีฟ้าชี้) เลื่อนขึ้นทีละขั้น จะปรากฎภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นถึงแต่ละขั้นตอนการก่อสร้างเมืองด้วยเหล็ก สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยทีเดียว*** แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 09:47:49 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 60 วิธีการหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ สูตรหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ที่ชาวสุวรรณภูมิอาจเคยใช้ ๑. ตัดไม้ไผ่ ๑ ท่อน ใช้ข้อของปล้อง ๒ ข้ออยู่ระหว่างกลาง ๒. เอียงปลายกระบอกทั้งสองข้างให้เป็นร่องสำหรับตั้งรับเสาเมื่อก่อไฟ ๓. แบ่งปล้องตรงกลางเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน แล้วเจาะส่วนกลางเพื่อเป็นปากหม้อ ๔. กรอกข้าวสารในช่องที่เจาะตรงกลาง ในปริมาณหนึ่งในสามของปล้อง ๕. วางกระบอกไม้ไผ่ในแนวนอน ใส่น้ำจนเต็มปล้อง ๖. ตั้งไฟ แล้วรอประมาณ ๔๕ นาที ข้าวจะสุกพอดี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 07:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 61 แวะมาทักทายตอนเช้าจ๊ะ  มาหาความรู้ในรีวิวด้วย   ผู้ก่อตั้งมิวเซี่ยมสยามรู้ว่ามีคนรีวิวละเอียดอย่างนี้ คงดีใจมากๆเลย จากคุณ : ปตัญชลี - [ 12 ธ.ค. 51 08:00:11 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เกษตรกรรมสร้างเมือง มนุษย์ถ้ำยอดนักล่า มนุษย์ยุคแรก ๆ ของสุวรรณภูมิ อยู่ในสภาพร่อนเร่หาอาหาร เก็บของป่าล่าสัตว์เลี้ยงชีวิต เหตุที่ต้องร่อนเร่ก็เพราะต้องหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ ซึ่งเปลี่ยนไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ การย้ายแหล่งหากินแบบค่ำไหนนอนนั่น จึงต้องอาศัยถ้ำ เพิงผา หรือแหล่งน้ำลำธาร เป็นที่พักพิง ร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ยุคนี้ จึงมักปรากฎในถ้ำ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือหินกะเทาะอย่างหยาบ ๆ ประมาณอายุได้ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ถึง ๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว สาเหตุที่นักล่าต้องเป็นนักล่าต่อไปก็คือ มนุษย์ยังมีขีดจำกัดในการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ และดัดแปลงธรรมชาติเพื่อการอยู่รอดอย่างยั่งยืนนั่นเอง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:02:27 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณปตัญชลี - เป็นรีวิวที่น่าเบื่อไปสักนิดนะคะเจ๊อิ๋ว แหะ ๆ เพราะข้อความในรูป ฟินอยากให้ทุกคนได้รับรู้ว่า แต่ละภาพมีที่มาอย่างไร? เกี่ยวข้องยังไง? และทำไมต้องเอามารีวิวละเอียดยิบขนาดนี้? พออ่านครบหมดแล้ว จะเข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของความเป็น "ไทย" อย่างแท้จริง “ข้าว” ของนักล่า ไขตำนานการเกษตร มนุษย์ถ้ำนักล่าแห่งสุวรรณภูมิ ได้ทิ้ง “เบาะแส” สำคัญอย่างหนึ่งไว้ให้คนรุ่นหลังค้นหาคำตอบ คือ ข้าว และ เครื่องมือเก็บเกี่ยวข้าว อายุเก่าหลายพันปี นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วสรุปว่า ข้าวที่พบในแหล่งอาศัยของมนุษย์ถ้ำนั้น เป็นข้าวป่า ไม่ใช่ การปลูก ทำให้ได้คำตอบว่า มนุษย์ถ้ำนักล่า “กินข้าว” โดยได้เก็บข้าวป่ามากินพร้อมกับพืชอื่น ๆ แต่ยังปลูกข้าวไม่เป็น นี่คือตำนานบทแรกของ เกษตรกรรมในสุวรรณภูมิ เหมือนกับที่อื่น ๆ ในโลกนี้ ข้าวเหนียว ต้นตระกูลข้าวปลูกในสุวรรณภูมิ มนุษย์ถ้ำรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเคลื่อนย้ายหาแหล่งอาหารอยู่ตลอดเวลา ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้นับพันปี ก่อนจะพัฒนาขึ้น จนในที่สุดก็เรียนรู้ว่า หากนำพืชมาปลูกก็จะมีกินไม่ขาดแคลน หากนำสัตว์มาเลี้ยงก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตออกล่าอีกต่อไป หลักฐานการปลูกข้าวเมื่อ ๔,๐๐๐ ปีก่อน ส่วนใหญ่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีทั้ง เมล็ดข้าว เคียว ใบมีด และกระดูกข้อเท้าควาย ที่มีลักษณะแตกต่างจากควายป่า โดยเมล็ดข้าวที่พบนั้นเป็นข้าวเหนียว เกษตรกรรม ก่อร่างสุวรรณภูมิ หลักฐานการเกษตรบอกอะไรเราบ้าง นอกจากว่า คนสุวรรณภูมิกินข้าวเหนียวเป็นหลัก คิดดูง่าย ๆ เมื่อคนเรารู้จักเรี่มเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ก็จำเป็นต้องรอเฝ้าผลผลิตจนกว่าจะเก็บกินได้ ต้องรู้จักการจัดการน้ำให้พอเพียง ต้องหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และสร้างที่อยู่อาศัย เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนหยุดร่อนเร่ หันมาปักหลักตั้งถิ่นฐาน สร้างบ้านเรือนแล้ว เมื่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมกัน จึงเกิดเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน จนในที่สุดก็กลายเป็นเมือง รัฐ และอาณาจักร สุวรรณภูมิ เกิดและเติบโตขึ้นอย่างง่าย ๆ แบบนี้เอง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ๑. เคียวเหล็ก สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีไว้ “เกี่ยวข้าว” พบที่อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ๒. ใบมีดขนาดเล็ก เครื่องมือเหล็กยุคแรก พบที่บริเวณบ้านสระโบสถ์ อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ๓. ใบมีดขนาดเล็ก เครื่องมือเหล็กยุคแรก พบที่บริเวณบ้านสระโบสถ์ อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ๔. ขวาน “ปากนกแก้ว” เครื่องมือเครื่องใช้สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบที่อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี ๕. ภาชนะดินเผารูปวัวกระทิง สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบที่จังหวัดลพบุรี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 65 การค้าในโลกแผ่นดินทอง กำเนิดชุมชนการค้า ราว ๓,๐๐๐ ปีก่อน เมื่อชุมชนสุวรรณภูมิได้ตั้งหลักแหล่งเป็นที่มั่นคงแล้ว จึงมีเวลาเหลือพอที่จะสร้างสรรค์ “สินค้า” และสิ่งต่าง ๆ อันมีลักษณะเฉพาะถิ่นขึ้น นำไปสู่การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและทรัพยากร ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนหมู่บ้าน พร้อมกันนั้นก็มีการถ่ายโอน หยิบยืม และแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาการระหว่างวัฒนธรรมไปด้วย แกะรอยกลองมโหระทึก สายสัมพันธ์สุวรรณภูมิ กลองมะโหระทึกขนาดใหญ่และงดงามจำนวนมากที่พบในประเทศไทย บอกอะไรกับเราบ้าง ที่แน่ ๆ เราไม่ได้สร้างขึ้เอง แล้วกลองมโหระทึกเหล่านี้มาจากไหน มาอย่างไร มาเพื่ออะไร ? กลองมโหระทึกจำนวนมาก มีที่มาจากแหล่งวัฒนธรรมดองซอน ในภาคเหนือของเวียดนาม ได้กระจายส่วนหนึ่งสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทางแม่น้ำโขง แล้วส่งต่อโดยใช้ลำน้ำภายในดินแดนสุวรรณภูมิ อีกส่วนหนึ่งอาศัยเส้นทางเดินเรือเข้าสู่อ่าวไทยทางภาคใต้ แล้วส่งต่อเป็นทอด ๆ มายังดินแดนที่อยู่เหนือขึ้นไป นี่คือหลักฐานชิ้นเอกของการอยู่ร่วมกัน เชื่อมสายสัมพันธ์ของชาวสุวรรณภูมิเมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:14:06 ]

ความคิดเห็นที่ 66 กลองมโหระทึก มีการค้นพบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์รูปกบบนเพิงผาและผนังถ้ำหลายแห่ง ตั้งแต่มณฑลกวางสีลงมาจนถึงประเทศไทย ที่หน้ากลองสำริดหรือกลองมโหระทึก ที่ใช้ประโคมตีในพิธีกรรมขอฝน ยังมีรูปกบปรากฎอยู่บนหน้ากลอง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:15:41 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เครือข่ายการค้าและวัฒนธรรม ระบบแฟรนไชส์ยุคโบราณ การแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างดินแดนที่ห่างไกลกันนับร้อยนับพันกิโลเมตรเมื่อหลายพันปีก่อนทำได้อย่างไร? ชาวสุวรรณภูมิ ได้สร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนต่อชุมชน ในลักษณะ “เครือข่าย” สินค้าต่าง ๆ เช่น กลองมโหระทึก ลูกปัด เครื่องปั้นดินเผา ได้ถูกส่งต่อเป็นทอด ๆ จากชุมชนหนึ่งไปสู่อีกชุมชนหนึ่ง จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ได้เกิดจากการขนส่งแบบรวดเดียวถึงเพียงอย่างเดียว สุวรรณภูมิโกอินเตอร์ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในทะเล ทำให้เป็นจุดตัดของเส้นทางการค้าของซีกโลกตะวันตกและตะวันออก ที่นี่จึงมีฐานะเป็นชุมชนทางการค้าที่สำคัญ คึกคักด้วยกิจกรรมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ทั้งสิ่งของ สินค้า และวัฒนธรรม แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 08:30:03 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ของแถมจากการค้า แม้จะมี “สินค้านอก” หลั่งไหลเข้ามามากมาย แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ “ของแถม” ที่มากับสินค้า คือ รูปแบบศิลปวัฒนธรรม ภาษา ความเชื่อ และค่านิยม รวมทั้งกลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาตั้งหลักแหล่ง ผู้ที่เดินทางมากับเรือสินค้าไม่ได้มีแต่พ่อค้าเท่านั้น ยังมี พราหมณ์ พระ นายช่าง และผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ บุคคลเหล่านี้ได้นำ ศาสนา ความเชื่อ เทคโนโลยี ศิลปะ วรรณคดี อาหารการกิน และอื่น ๆ มาเผยแพร่ยังดินแดนสุวรรณภูมิ การเดินทางค้าขายกับสุวรรณภูมิไม่สามารถทำได้ตลอดปี พ่อค้าและนักเดินทางทั้งทางบก ทางทะเล ต้องพำนักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เพราะการเดินทางบกต้องรอให้สิ้นฤดูฝน ส่วนการเดินเรือก็ต้องรอจดหมดฤดูมรสุม ชาวต่างแดนเหล่านี้ส่วนหนึ่งจึงได้เผยแผ่ทัศนคติ ความรู้ ปักหลักสร้างครอบครัวกับคนท้องถิ่น ทำให้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม มากขึ้นเรื่อย ๆ การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเครือข่ายการค้า และเป็น “ของแถม” จากสินค้าที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ ๑. ไหราชวงศ์ถังร่วมสมัยทวารวดี พบในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ๒. คนเราเดินทางไปไหนก็มักจะนำอาหารถูกปากเป็นเสบียงไปด้วย หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า มีภาชนะบางอย่างที่น่าจะบรรจุอาหารมา ๓. เศษภาชนะดินเผาเปอร์เซีย ส่วนที่ขุดพบจากนักโบราณคดี พบในจังหวัดพังงา เปรียบเทียบกับภาชนะดินเผาเปอร์เซียในสภาพสมบูรณ์ ๔. ตราสัญลักษณ์ ๕. ธรรมจักรโบราณ พบที่จังหวัดนครปฐม ๖. สิ่งที่มาพร้อมกับการค้าคือศาสนา แต่สิ่งที่มากับศาสนามีมากมาย เช่น ความเชื่อ ศิลปะ อักษร และภาษา เป็นต้น ๗. ตัวอักษรจารึกคาถา เย ธมฺมา ๘. ลูกปัดแก้วรูปหน้าคน เป็น “เครื่องประดับ” นำเข้ามาพร้อมกับผู้คนต่างถิ่น ๙. สร้อยลูกปัดแก้วโมเสคและหินแบบต่าง ๆ ๑๐. เหรียญทองคำโรมัน มีคนนำเข้ามา ซึ่งน่าจะเป็นชนเผ่าชาติพันธุ์อื่น ๆ ๑๑. อาจมีชาว “ยิว” เข้ามาในแถบนี้ ตุ๊กตาหน้าเหมือนชาวยิว พบที่อำเภอพุมเรียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:21:26 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ๑. ภาชนะดินเผาชิ้นนี้บอกอะไรเรา หม้อใบนี้เขียนสีแดงและขึ้นรูปจากเครื่องจักสาน เห็นได้ลวดลายบนผิวของดินเผา ลองคิดดูว่าการสร้างสรรค์ปั้นหม้อ เมื่อ ๓,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วจะยุ่งยากขนาดไหน พบที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพที่ ๒. ๒.๑ ลูกปัดแก้วโมเสค พบที่พุมเรียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒.๒ ลูกปัดแก้วชนิดใสและสีต่าง ๆ พบที่ภูเขาทอง บางกล้วยนอก จังหวัดระนอง ๒.๓ ลูกปัด “น้ำค้าง” ทำจากหินเขี้ยวหนุมานใส พบที่คลองท่อม จังหวัดกระบี่ ภาพที่ ๓. ๓.๑ ตุ้มหูทองคำ (๓ ชิ้น) พบที่บางกล้วยนอก จังหวัดระนอง อายุประมาณ ๑,๕๐๐ – ๑,๙๐๐ ปี ๓.๒ กำไลทองคำ พบที่บางกล้วยนอก จังหวัดระนอง อายุประมาณ ๑,๕๐๐ – ๑,๙๐๐ ปี ๓.๓ กำไลข้อมือทองคำถักลวดลาย พบที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร อายุประมาณ ๑,๕๐๐ – ๑,๙๐๐ ปี แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 08:25:34 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:24:06 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เกษตรกรรมสร้างเมือง เมื่อคนเราเริ่มรู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ก็จำเป็นต้องรอเฝ้าผลผลิตจนกว่าจะเก็บกินได้ ต้องรู้จักการจัดการน้ำให้พอเพียง ต้องหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และสร้างที่อยู่อาศัย เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนหยุดร่อนเร่ หันมาปักหลักตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านเรือนแล้ว เมื่อหลาย ๆ ครอบครัวรวมกัน จึงเกิดเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน จนในที่สุดก็กลายเป็นเมือง รัฐ และอาณาจักร สุวรรณภูมิเกิดและเติบโตขึ้นอย่างง่าย ๆ แบบนี้เอง ๑. ที่ห้อง "สุวรรณภูมิ" แห่งนี้ พวกเราจะเห็นจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ยักษ์ที่แสดงภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ๒ และ ๓. เมื่อเอาฝ่ามือแตะไปที่ตัวละครแต่ละตัว จะมีไฟสีเขียวปรากฎอยู่ใต้ตัวละครนั้น ๆ ๔. จะมีคำอธิบายขยายความที่เกี่ยวข้องกับตัวละครนั้น ๆ ๕. แสดงขึ้นที่จอคอมพิวเตอร์จอใหญ่อีกครั้งหนึ่ง สร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้กับเด็กและผู้ใหญ่ไม่ใช่น้อย แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 08:37:54 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ผี พราหมณ์ พุทธ รากเหง้าแห่งความเชื่อ ผี พิธีกรรมความเชื่อเพื่อชีวิต “ผี” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงภูตผีปีศาจตามความหมายสมัยใหม่ แต่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรากฐานความเชื่อดั้งเดิมของชาวสุวรรณภูมิ “ผี” ของชาวสุวรรณภูมิปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตผู้คน โดยเฉพาะการทำมาหากิน การเซ่นไหว้สังเวยผีจะช่วยบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เช่น ผีฟ้า (แถน) ให้ฝน ผีดิน (แม่ธรณี) ให้ที่เพาะปลูก ผีข้าว (แม่โพสพ) ให้ความมีอยู่มีกิน และยังมีผีอีกมากมายตามความเชื่อประจำถิ่น เช่น ผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีเมือง ผีป่า ฯลฯ ชาวสุวรรณภูมิยังให้ความเคารพต่อสัตว์ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ เช่น กบ ตะกวด จระเข้ งู หรือนาค เป็นต้น ความเชื่อเรื่องผีสืบทอดต่อมานับพันปี ทุกวันนี้พิธีกรรมต่าง ๆ ยังปรากฏร่องรอยของการนับถือผีของเราอยู่อย่างมากมาย พราหมณ์ ผู้สร้างสถาบันกษัตริย์ กลุ่มพราหมณ์ในศาสนาฮินดู ได้เดินทางมาเผยแผ่ความเชื่อต่อชาวสุวรรณภูมิตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อน ชนชั้นสูงเป็นกลุ่มแรกที่เลือกรับปรับแต่ง เพื่อเสริมสร้างสถานภาพ “กษัตริย์” ในฐานะผู้ทรงอำนาจบารมีสูงสุด ตั้งแต่สุวรรณภูมิเริ่มมีสถาบันพระมหากษัตริย์สืบมาจนถึงปัจจุบัน ก่ารพระราชพิธีราชาภิเษก หรือการสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ ต้องมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี เพราะ พราหมณ์ คือ ผู้เชื่อมโยงพระมหากษัตริย์กับพระเป็นเจ้า ความเชื่อนี้เป็นลัทธิธรรมเนียมแบบเทวราชา ซึ่งถือว่ากษัตริย์เป็นองค์อวตารของพระเป็นเจ้า มาปราบยุคเข็ญ สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่มนุษย์ แต่ถึงกระนั้นชาวสุวรรณภูมิ ก็เลือกรับเฉพาะคติความเชื่อเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนระบบวรรณะในระบบศาสนาฮินดูได้ถูกทิ้งไป นอกจากนั้น แบบแผนการสร้างเมือง การปกครอง ภาษา ศิลปวิทยาการต่าง ๆ จากชมพูทวีป ล้วนมีอิทธิพลต่อการสร้างบ้านแปลงเมืองในยุคต่อมาเป็นอย่างมาก พุทธศาสนา ในสุวรรณภูมิ พทธศาสนาเริ่มต้นเผยแผ่เข้ามาในสุวรรณภูมิ บริเวณเมืองอู่ทอง ปรากฎหลักฐานเป็นศาสนสถาน และศาสนวัตถุ อยู่ทั่วบริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง – ท่าจีน พุทธศาสนาถือว่าพระมหากษัตริย์ คือ พระสมมุติราช เป็นผู้มีบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ต้องทรงยึดมั่นตามหลักธรรมและบำรุงพระศาสนา อันเป็นลักษณะของธรรมราชา นครรัฐที่พุทธศาสนาลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในสุวรรณภูมิ แบ่งเป็น ๒ นิกายใหญ่ ๆ คือ ฝ่ายที่นับถือพุทธศานาเถรวาท ได้แก่ ศรีเกษตร (เมียนม่าร์) นครชัยศรี (นครปฐม) ทวารวดี (ลพบุรี) ส่วน ศรีวิชัย (ชายฝั่งทะเลภาคใต้) อิสานปุระ (กัมพูชา) จามปา (เวียดนาม) นับถือพุทธศาสนามหายาน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:42:02 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ๕. พุทธิปัญญา สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหัวใจของพุทธศาสนา ซึ่งมี คาถา เย ธมฺมา (อ่านว่า เย – ทำ – มา) แปลว่า สิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด คาถายอดนิยมแห่งสุวรรณภูมิ มูลเหตุแห่งความใจกว้างและสันติ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 74 พุทธิปัญญา พุทธศาสนาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ พุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่ออกนอกประเทศอินเดีย เมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำตติยสังคายนา แล้วอาราธนาให้พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ คัดเลือกพระอรหันต์ ออกไปสั่งสอนพระพุทธศาสนายังนานาประเทศ มีหลักฐานกล่าวถึงพระอรหันต์ ๒ รูป ฉายาพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ถูกเลือกให้เป็นสมณฑูตสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๓ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แผนผังห้อง ๑. พุทธศาสนาคืออะไร ๒. หัวใจพุทธศาสนา ๓. ถอดรหัสคาถา เย ธัมมา ๔. กรณีศึกษา ๕. ธรรมบรรยายกับ พุทธทาสภิกขุ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เพลงฝนเอยทำไมจึงตก จะบอกเล่าว่าเกี่ยวข้องกับหลักธรรมะและพุทธศาสนาอย่างไร? จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 นิทานตายายปลูกถั่วงาให้หลานเฝ้า ให้แง่คิดอะไรกับเราบ้าง ในเรื่องของธรรมะและพุทธศาสนา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ๖. กำเนิดสยามประเทศ นำเสนอด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อให้เห็นนานแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่เริ่มก่อตัวเป็นนครรัฐ และสืบสานเรื่องราวของวีรบุรุษผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาจากตำนานท้าวอู่ทอง เรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงความผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 79 กำเนิดกรุงศรี นานาแว่นแคว้นก่อนกำเนิดสยามประเทศ ชุมชนในสุวรณณภูมิค่อย ๆ เติบโตขึ้นจากบ้านสู่เมือง จากเมืองเป็นนครรัฐใหญ่น้อยกระจายอยั่ทั่วไป ทั้งบริเวณชายฝั่งทะเล และที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ แต่หลังพุทธศักราช ๑,๕๐๐ เป็นต้นมา จีนสามารถเดินเรือออกสู่ทะเลใหญ่ ทำการค้าขายโดยตรงกับดินแดนไกลโพ้น ส่งผลให้บางนครรัฐในสุวรรณภูมิที่เคยมั่งคั่งรุ่งเรืองมาแต่เดิม ถึงคราวล้าหลังเสื่อมโทรมลง เนื่องจากทำเลอยู่ห่างไกลทะเล ส่วนเมืองท่าที่มีโอกาสติดต่อค้าขายกับจีน ก็เติบโตขึ้นแทนที่ จาก ละโว้ – สุพรรณภูมิ สู่ กรุงศรีอยุธยา ราวพุทธศักราช ๑,๗๐๐ เกิดศูนย์อำนาจที่รวมตัวกันขึ้นด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มละโว้ ในลุ่มน้ำลพบุรี – ป่าสัก ซึ่งภายหลังได้ย้ายศูนย์กลางมาอยู่ที่ “อโยธยาศรีรามเทพนคร” มีศูนย์กลางการปกครองอยูทางฝั่งตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยาปัจจุบัน และกลุ่มสุพรรณภูมิ มีชื่อปรากฎในเอกสารจีนว่า “เสียม” หมายถึง “สยาม” มีอำนาจอยู่ในลุ่มน้ำท่าจีน – แม่กลอง ต่อมากลุ่มละโว้ ได้สร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกลุ่มสุพรรณภูมิ จึงได้รวมตัวกันและพัฒนามาเป็น “กรุงศรีอยุธยา” โดยย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่ บริเวณเกาะเมืองอยุธยาปัจจุบัน ศูนย์อำนาจแห่งนี้มีบทบาทในการรวบรวมรัฐใหญ่น้อยทั่วดินแดน “ขวานทอง” ในเวลาต่อมา ในยุคเดียวกันยังมีรัฐขนาดใหญ่เกิดขึ้นอีกทั่วแผ่นดินสุวรรณภูมิ เช่น รัฐสุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง ศรีโคตรบูร นครศรีธรรมราช ปัตตานี เป็นต้น ๑. ปูนปั้นหน้าคนในอารมณ์ต่าง ๆ ประดับตกแต่งพระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ อาจ “ถ่ายแบบ” มาจากหน้าคนในสมัยนั้น? ๒. ปูนปั้นรูปเทพหรือบุคคลชั้นสูง พบที่แหล่งโบราณคดีบ้านเนินทางพระ จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แสดงความรุ่งเรืองของ “กลุ่มสุพรรณภูมิ” ๓. พระพักตร์พระพุทธรูปหรือพระสาวกสำริดรมดำ ศิลปะอู่ทอง พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ อยู่ในช่วงเวลาก่อสร้างกรุงศรี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 08:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แผนที่แสดงอาณาจักรต่าง ๆ ในสมัยนั้น ตัวเลขที่ปรากฎอยู่ขวามือด้านบน บอก พ.ศ. ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรยุคนั้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 09:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 81 จากกรุงศรีอยุธยา สู่ สยามประเทศ ปฐมการแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เกิดจากการผนึกกำลังของกลุ่มละโว้ – อโยธยา กับกลุ่มสุพรรณภูมิ ผ่านการอภิเษกสมรสระหว่าง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทองแห่งละโว้ – อโยธยา กับพระราชธิดาแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เมื่อพระเจ้าอู่ทอง เสด็จสวรรคต สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ แต่ถูกพระปิตุลาฝ่ายพระราชมารดา คือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ชิงราชบัลลังก์ สมเด็จพระราเมศวรต้องเสด็จกลับไปอยู่เมืองลพบุรี กรุงศรีอยุธยาจึงตกอยู่ในอำนาจของราชวงศ์สุพรรณภูมิ ต่อมาขุนหลวงพะงั่ว เสด็จสวรรคต เจ้าทองลั่น พระราชโอรสเสด็จขึ้นสืบราชสมบัติได้เพียง ๗ วัน สมเด็จพระราเมศวร ก็กรีฑาทัพลงมาจากเมืองลพบุรีเข้ายึดอำนาจ นำอยุธยากลับคืนสู่ราชวงศ์อู่ทองอีกครั้ง ฝ่ายสุพรรณภูมิ เมื่อเสียราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยาไป ก็ซุ่มเงียบรอโอกาสเหมาะอยู่ในที่มั่นเมืองสุพรรณ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ละทิ้งโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งและมั่นคง ด้วยการติดต่อค้าขายสร้างความสัมพันธ์กับราชสำนักจีน และความสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัฐสุโขทัย ในที่สุดสมเด็จพระนครอินทร์แห่งสุพรรณภูมิ ก็ชิงราชสมบัติจากราชวงศ์อู่ทอง นำกรุงศรีอยุธยากลับสู่ราชวงศ์สุพรรณภูมิอีกครั้ง ภายใต้การนำอันเข้มแข็งของสมเด็จพระนครอินทร์ ไม่นานกลุ่มสุพรรณภูมิมีอำนาจเหนืออโยธยาศรีรามเทพนคร สุโขทัย นครศรีธรรมราช และรวมตัวเป็น “ราชอาณาจักร” หนึ่งเดียว โดยมี กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เป็นราชธานี ปกครองดินแดนเหนือใต้ที่เรียกว่า สยามประเทศ ตำนานท้าวอู่ทอง ปริศนาเร้นลับของปฐมกษัตริย์กับตำนานชาติพันธุ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือ พระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา ในปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ แต่พระราชประวัติก่อนหน้านี้ว่า “พระองค์เป็นใคร?” “มาจากไหน?” ยังคงเป็นปริศนา บางตำนานเล่าว่าพระองค์ทรงเป็นชาวจีน บ้างว่าทรงเป็นมอญ เป็นเขมร และก่อนที่จะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยานั้น บางตำนานกล่าวว่าทรงเสด็จลี้ภัยมาจากเมืองจีน บ้างก็ว่ามาจากเมืองอู่ทองในจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งตำนานที่กล่าวถึงการเสด็จมาจากเมืองเชียงแสน ลพบุรี และเพชรบุรี เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง ใน “ตำนานท้าวอู่ทอง” แต่ถ้าพิจารณาความนัย ก็จะเห็นภาพสะท้อนของสังคมบ้านเมืองในยุคนั้น ทั้งแนวความคิดเรื่องการก่อร่างสร้างเมืองแต่ครั้งโบราณ การอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชน การผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และภาพการติดต่อสัมพันธ์กับเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาค ๑. ตุ๊กตาช้างเคลือบสีเขียว ศิลปะแบบสุโขทัย ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ในยุคที่กรุงศรีอยุธยามีอำนาจเหนือสุโขทัย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 09:07:22 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ตามมาอยู่เป็นเพื่อน จากคุณ : ปตัญชลี - [ 12 ธ.ค. 51 09:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 83 คุณปตัญชลี - ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาตลอดค่าเจ๊อิ๋ว พี่สาวที่น่าร้ากกกกก โดเรฟินขอจบรีวิว "มิวเซียมสยาม" ภาคแรกแต่เพียงเท่านี้ แล้วจะแตกประเด็นเป็นภาคจบในคราวหน้า ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามรีวิวอันเยิ่นเย้อ น่าเบื่อ หรือเต็มไปด้วยข้อมูลทางวิชาการมากมาย แต่เมื่อได้อ่านแล้วจะเข้าใจถึงความเป็นมาที่เชื่อมโยงถึงกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 51 09:11:52 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 12 ธ.ค. 51 09:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : หมูอ้วนจอมพลัง - [ 12 ธ.ค. 51 12:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ถูกใจ ให้ give ค่ะ ดีและเป็นประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ จากคุณ : hamper - [ 12 ธ.ค. 51 13:25:40 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เคยไปเที่ยวมาเหมือนกัน ยังไม่ได้รายละเอียดเท่านี้เลยค่ะ ตรงด้านนอกก็ไม่รู้ว่ามีหลุมขุดค้นให้ดูด้วย เดี๋ยวไว้มีโอกาส จะไปใหม่ ขอบคุณมากนะคะสำหรับรีวิวดี ๆ จากคุณ : inga - [ 12 ธ.ค. 51 15:07:32 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ไปมาเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ  แต่เจอคนเยอะและมีนักเรียนมาอีก  จะถ่ายรูปหรืออ่านหรือดูอะไรนานๆแทบไม่ได้เลย   วันนี้เลยดูของคุณฟินซะเลย   ขอบคุณมากๆค่ะ จากคุณ : Red-Rose-14Feb - [ 12 ธ.ค. 51 21:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาอ่านได้ความรู้กลับไปเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : สาวหน้าใส - [ 14 ธ.ค. 51 12:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 89 *** ขอโทษที่ตอบทุกคนช้านะคะ ฟินเพิ่งกลับมาจากงานคอนเสิร์ต Banana music on the beach 2 ที่ หัวหินค่ะ ตอนนี้กำลังเขียนรายละเอียดข้อมูลของรีวิวภาคจบให้เรียบร้อย แล้วจะรีวิวอีกครั้งไม่เกินวันอังคารนี้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่สนใจรีวิว มิวเซียมสยาม ทำให้ฟินมีกำลังใจในการนำเสนอต่อและจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ คุณหมูอ้วนจอมพลัง - ด้วยความยินดีค่ะ ถ้าได้ไปเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยมือ จะตื่นตาตื่นใจกว่านี้อีกค่ะ คุณhamper - ขอบคุณค่ะ ตอนแรกยังหวั่น ๆ ใจว่า จะมีใครอ่านหรือสนใจไหม? ได้รับการตอบรับที่ดีแบบนี้ ทำให้มีแรงใจในการทำภาคจบต่อไปค่ะ คุณinga - จะไปดูซ้ำ ๆ อีกกี่ครั้งก็ไม่เบื่อค่ะ ทุกห้องมีอะไรที่น่าสนใจให้เราได้เรียนรู้และค้นหาอีกเยอะเลยล่ะ คุณRed-Rose-14Feb - รอบแรกที่ฟินไปก็มีเด็กนักเรียนเยอะเหมือนกันค่ะ พยายามถ่ายรูปให้ครบทุกจุด แต่แบตกล้องหมดซะก่อน จึงต้องไปอีกครั้งเพื่อเก็บตกในส่วนที่เหลือ เพราะอยากรีวิวเพื่อเป็นประโยชน์ให้คนที่ยังไม่ได้ไป หรือไปมาแล้วแต่ไม่ได้อ่านรายละเอียด เพราะสาเหตุแบบนี้แหละ อิ ๆ คุณสาวหน้าใส - ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ ดีใจที่คุณสาวหน้าใสชอบค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 14 ธ.ค. 51 16:11:13 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ติดตามชมรีวิว "มิวเซียมสยาม" ภาคจบตามลิงค์ที่แตกประเด็นนี้เลยค่ะ จากคุณ : Finyah - [ 18 ธ.ค. 51 15:45:27 ]