ความคิดเห็นที่ 1 อลังการกรุงศรี กรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงของราชอาณาจักร ในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด มีกำแพงเมืองและป้อมปราการยาวกว่า ๑๒ กิโลเมตร ป้อมปืน ๒๒ ป้อม ประตูใหญ่น้อย ๙๙ ประตู มีถนนหนทางและคลองที่เชื่อมเป็นเครือข่ายคมนาคมถึงกันทั่วทั้งเมือง ทัศนียภาพของตัวเมืองงดงามอร่ามเรืองด้วยเจดีย์วัดวาอารามมากกว่า ๓๐๐ แห่ง ชีวิตประจำวันคึกคักขวักไขว่ด้วยผู้คนพลเมืองชาวสยาม และชาวต่างชาติเกือบ ๒๐๐,๐๐๐ คน ในกำแพงเมืองมีทั้งตลาดบกและตลาดน้ำมากกว่า ๓๐ แห่ง ผู้ได้พบเห็นถึงกับบันทึกไว้ว่า ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในแถบนี้ของโลก ที่จะมีเมืองหลวงใหญ่โตมโหฬารวิจิตรพิสดาร และสมบูรณ์พูนสุขทัดเทียมเมืองหลวงของราชอาณาจักรนี้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 15:47:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 รออ่านกระทู้ลาวข้างล่างไม่ไหว นานเกิน แวะมาปาด กบ เขียด กระทู้คุณภาพของสาวคนดี ก่อนดีกว่า ตามไปเที่ยว ภาค 2 ด้วยคน จากคุณ : ปตัญชลี - [ 18 ธ.ค. 51 15:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นกระบวนเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำที่เป็นราชประเพณีไทยที่มีมาแต่โบราณ โดยมีหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สมัยอยุธยา เรือในกระบวนมีการสลักโขนเรือเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย มีการจัดกระบวนหลายแบบ ที่รู้จักกันดีก็คือ "กระบวนพยุหยาตราเพชรพวง" ดังปรากฏใน ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง ลิลิตพรรณนากระบวนเรือ ประพันธ์โดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๓๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยยึดถือตามแบบแผนเดิมแห่งกรุงศรีอยุธยา ประเภทของการเห่เรือ สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภทคือ การเห่เรือหลวง (การเห่เรือในงานพระราชพิธี) และ การเห่เรือเล่น (การเห่เรือเล่นของชาวบ้านในงานต่างๆ) ในปัจจุบันการเห่เรือ ยังคงอยู่เฉพาะ การเห่เรือหลวง ที่ใช้ใน กระบวนพยุหยาตราชลมารค จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 15:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุณปตัญชลี - แย้ หายไปไหนแล้วเจ๊อิ๋ว 555+ เห็นรีวิวก่อนยังมีแย้ตามมาด้วย คาดว่ารีวิวของฟินก็คงจะนานพอกัน อ่านตาลายหน่อยนะจ๊ะ เรือในกระบวนพยุหยาตราชลมารค มีดังนี้ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ เรือเอกไชยเหินหาว เรือเอกไชยหลาวทอง เรือพาลีรั้งทวีป เรือสุครีพครองเมือง เรืออสุรวายุภักษ์ เรืออสุรปักษี เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือเสือทยานชล เรือเสือคำรณสินธุ์ เรืออีเหลือง เรือทองขวานฟ้า เรือทองบ้าบิ่น เรือแตงโม เรือดั้ง เรือแซง เรือตำรวจ ป.ล. ฟินถ่ายรูปเรือในกระบวนพยุหยาตราชลมารคบางส่วนมาให้ดูกันนะคะ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 19:44:09 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 15:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรือสำเภา เป็นเรือที่มีลักษณะ ท้ายเรือสูงและยื่นออกไป หัวเรือต่ำ มีจุดเด่นที่ใช้ใบแขวนชนิดที่มีพรวนใบ (ก้างใบ) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพัดขนาดใหญ่ ใบแขวนแบบจีนนี้มีใช้กับเรือต่าง ๆ หลายชนิดในแถบเอเชียอาคเนย์ แต่บางเรือสำเภาบางลำที่มีการติดเครื่องยนต์จะไม่ใช้ใบ ส่วนเรืออื่น ๆ ใช้ใบแขวนชนิดตั้ง (ขอบล่างของใบข้างหนึ่งผูกยึดกับโคนเสา) ป.ล. ฟินถ่ายรูปเรือสำเภาบางส่วนมาให้ดูกันพอหอมปากหอมคอ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 16:06:26 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:05:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เตรียมใส่แว่นรอแล้ว พร้อมน้ำแข็งประคบตอนอ่านรีวิวเสร็จ จากคุณ : ปตัญชลี - [ 18 ธ.ค. 51 16:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณปตัญชลี - อย่าว่าแต่คนอ่านเลย คนเขียนปวดนิ้วเวลาพิมพ์ไม่พอ แถมยังปวดตาอีกต่างหาก มีการตัดแว่นบ้างล่ะคราวนี้ หุ ๆ ยุคทองแห่งวรรณศิลป์ ชาวสยามมีอารมณ์ศิลปิน เจ้าบทเจ้ากลอน ชอบร้องรำทำเพลงอยู่ในสายเลือด บ้างก็ฝากฝีไม้ลายมือไว้ถึงระดับรัตนกวีแห่งกรุงศรีอยุธยา น่าเสียดาย ต้นฉบับวรรณกรรมจำนวนมากสูญหาย และถูกเผาทำลายไปเมื่อตอนเสียกรุง แต่เฉพาะส่วนที่ยังเหลืออยู่ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้ชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ว่า กรุงศรีอยุธยา คือ ยุคทองแห่งวรรณศิลป์         อยุธยายศโศกฟ้า         ฟากดิน ผาดคืนพิภพ                     ดอกฟ้า แสนโกฏิบ่ยลยิน                หยากเยื่อ ไตรยรัตนเรืองเรืองหล้า       หลากสวรรค์ ฯ     อยุธยาไพโรจน์ได้         ตรีบูร ทวารรุจีรุยงหอ                   สรหล้าย อยุธยายิ่งแมนสูร                สุรโลก รงงแฮ ถนัดดุจสวรรค์คล้ายคล้าย     แก่ตา ฯ โคลงกำสรวลสมุทร แต่งในสมัยอยุธยาตอนกลาง ๑. มหาชาติคำหลวง กัณฑ์กุมาร (มหาชาติกลอนเทศน์) สมุดไทยดำ วรรณกรรมสมัยอยุธยา เรื่อง “มหาเวสสันดรชาดก” หรือ “มหาชาติกลอนเทศน์” เป็นคำประพันธ์ชนิดร่ายยาว เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กาพย์มหาชาติ” หรือ “มหาชาติกลอนเทศน์” พระราชนิพนธ์ในพระเจ้าทรงธรรม เพื่อใช้สำหรับเทศน์ ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการแต่งมหาเวสสันดรขึ้นแล้ว และจัดเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยาที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แต่งเป็นคำประพันธ์คละกันมีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ ร่าย เรียกว่า “มหาชาติคำหลวง” ๒. “สมุทรโฆษ” บทนมัสการ สมุดไทยดำ วรรณกรรมสมัยอยุธยา เรื่อง “สมุทรโฆษ” เป็นคำประพันธ์ประเภทฉันท์ แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยพระมหาราชครู เนื้อหาเป็นการดัดแปลงมาจากสมุทรโฆษชาดก ใน ปัญญาสชาดก ถือเป็นวรรณกรรมเรื่องแรก ๆ ของกรุงศรีอยุธยาที่มีขนบการเล่าเรื่องที่ละเอียด คล้ายกับบทละคร และยังเป็นวรรณกรรมอิงธรรมะ แต่งด้วยถ้อยคำอันไพเราะ มีคติธรรม ๓. “พระรถคำหวน” บทนางเมรีคร่ำครวญถึงพระรถ สมุดไทยดำ วรรณกรรมสมัยอยุธยา เรื่อง “พระรถ” เป็นคำประพันธ์ประเภทฉันท์ เล่านิทานพื้นบ้านสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ๔. สมุดภาพประวัติผสมกับทศชาติชาดก เขียนสมัยอยุธยาตอนปลาย แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 19:46:53 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เชิงช่าง ชาวกรุงศรี ชาวสยามทุกคนเกิดมาเป็นช่าง ไม่ว่าหญิงชาย ทุกสิ่งสรรพ นับจากของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในครัวเรือน ไปจนถึงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ล้วนสะท้อนความเป็นคนช่างประดิดประดอยไปเสียทั้งสิ้น ฝรั่งต่างชาติมักกล่าวถึงช่างกรุงศรีว่า เป็นนักลอกเลียนแบบชั้นเอกอุ ซึ่งมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย หากแต่ช่างกรุงศรีรู้จักดัดแปลง เพิ่มเติม ผสมผสาน ระหว่างต้นแบบพื้นบ้านพื้นเมือง กับศิลปะจากเขมร จีน ยุโรป อินเดีย เปอร์เซีย และอื่น ๆ จนได้รูปแบบเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์เชิงช่างชาวกรุงศรีที่โดดเด่น ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของ “ภูมิปัญญาไทย” คือ การเลือกรับ ปรับ ใช้ และสืบทอดศิลปวัฒนธรรม โดยไม่หยุดนิ่งตายตัว การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทำให้เกิดพลังขับเคลื่อน ราชธานีกรุงศรีอยุธยาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ๑. สถูปจำลองทองคำ ๒. เครื่องประดับศีรษะหญิงทองคำ ถักสานด้วยเส้นทองคำขนาดเล็ก เป็นลวดลายดอกไม้ ต้องใช้ฝีมือและความประณีตบรรจงเป็นอย่างมาก ๓. เครื่องทองคำ จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ปัจจุบันอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔. พระคชาธารทองคำ ช้างหมอบทรงเครื่องประดับอัญมณี กำลังยกงวงขึ้นชูพวงอุบะหรือดอกไม้ ๕. กรองคอทองคำประดับอัญมณี ทำจากแผ่นทองแผ่นใหญ่ประดับด้วยอัญมณี แยกเป็นชิ้น ๆ ต่อกันได้ ส่วนที่เป็นแผ่นทองใหญ่ปลายแหลม เป็นลายดอกจันทน์ฝังอัญมณี ๖. บานประตูมุก วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นแทนบานประตูเดิม แสดงลวดลายเป็นรูปวงกลมเรียงต่อกัน ภายในประดับรูปสัตว์หิมพานต์ เป็นลักษณะพิเศษประการหนึ่งของ “ภูมิปัญญาไทย” ๗. พระประธานภายในอุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพระนามว่า “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีตรีธรรมบรมไตรโลกนาถ” เป็นพระพุทธรูปสำริดทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง สะท้อนให้เห็นฝีมือที่ประณึต ละเอียด และการสร้างสรรค์ของช่างชาวกรุงศรี ฯ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กรุงศรี กรุงศิลป์ ภูมิศาสตร์กรุงศรี ที่มาแห่งอำนาจ ความมั่งคั่ง และศิลปวิทยาการ ราชอาณาจักรอยุธยาเติบโตและยิ่งใหญ่ เพราะมีชัยภูมิที่ได้เปรียบ ทั้งทางเศรษฐศาสตร์และยุทธศาสตร์ ด้วยจุดที่ตั้งของพระนคร เป็นจุดรวมของแม่น้ำถึง ๓ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้กรุงศรีอยุธยาสามารถควบคุมการค้าทางบก ทางแม่น้ำ จากทางตอนเหนือได้ทั้งหมด แม้แต่กรุงศรีอยุธยาเอง ก็มีความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดิน เหมาะแก่การเพาะปลูก ด้วยการค้าทางทะเล กรุงศรีอยุธยาถือเป็นจุดนัดพบกึ่งกลาง ระหว่างซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออก ทำให้เรือสินค้าจากนานาชาติ ใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่เปลี่ยนถ่ายซื้อสินค้า ความมั่งคั่งอันเกิดจากการค้านี้ ยังได้รับการปกป้องจากชัยภูมิทางการศึกสงคราม ที่มีแม่น้ำเป็นปราการธรรมชาติรอบด้าน ยากแก่การเอาชนะด้วยการศึกสามัญ การเป็นจุดศูนย์กลางนี้เอง ทำให้การไหลบ่าของอำนาจ ความมั่งคั่ง และศิลปวิทยาการ จากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในราชอาณาจักรแห่งนี้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:14:29 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พระราชวัง เพชรน้ำเอกแห่งกรุงศรี ในฐานะที่ประทับขององค์สมมติเทพ พระราชวังจึงเปรียบประดุจเมืองสวรรค์ นอกจากความงดงามอลังการอันน่าอัศจรรย์แล้ว พระที่นั่งต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวโยงกับเมืองสวรรค์ทั้งสิ้น หมู่พระที่นั่งองค์สำคัญ ที่งดงามเป็นพิเศษ อยู่ในส่วนพระราชฐานชั้นกลาง มีนามคล้องจองกัน คือ วิหารสมเด็จ สรรเพชญ์มหาปราสาท สุริยาสน์อมรินทร์ เป็นพระที่นั่งมีเรือนยอด หลังคาดีบุกปิดทอง ภายในพระที่นั่งแต่ละองค์ล้วนประดับประดาด้วยสิ่งของอันวิเศษทั้งสิ้น ดังเช่น ท้องพระโรง พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท มีการประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง มุขโถงท้องพระโรงมีแท่นมณฑปบุษบกทองคำ สำหรับเสด็จออกรับราชฑูต กลางพระที่นั่งมีพระแท่นปัญญงคกาญจนเนาวรัตน์สามชั้น ไม่มีมณฑป มีพระมหาเศวตรฉัตรปักที่หลังแท่น  ทำด้วยทองคำนพคุณเนื้อเก้า ประดับเพชรพลอยสีต่าง ๆ สูงสามศอก ทองคำหุ้มหนักเก้าสิบชั่ง ลงยาราชาวดี ประดับเพชรพลอยครบทุกสี ที่พื้นเบื้องหน้าพระแท่นปูด้วยหนังราชสีห์ พระที่นั่งองค์อื่น ๆ ในพระราชวังแห่งนี้ เช่น หมู่พระราชมณเฑียร พระตำหนัก เรือนหลวง และส่วนราชการอื่น ๆ จำนวนมาก ทุกอาคารล้วนปิดทอง ประดับกระจก งานสลักไม้งดงามไม่แพ้กัน ๑. ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ศิลปะอยุธยา สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง เสาทุกต้นเป็นเสาแปดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้า ใบระกา ประดับกระจก ผนังผาปะทน เชื่อกันว่าเดิมเป็นพระตำหนักอยู่ในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา ต่อมาพระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ โปรดเกล้า ฯ ให้รื้อถวายสมเด็จพระสุวรรณมุนี พระสังฆราชแห่งกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้น ซึ่งเป็นชาวเพชรบุรี พระตำหนักนี้จึงถูกรื้อมาไว้ยังวัดใหญ่สุวรรณาราม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอาศัยเล่าเรียน และนำมาประกอบใหม่ใช้เป็นศาลาการเปรียญ ๒. ตู้พระไตรปิฎกไม้จำหลักลายและเขียนสี เรื่องทศชาติ สะท้อนให้เห็นรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่สูญหายไปจากทัศนียภาพปัจจุบัน ๓. บานประตูทางเข้าศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ศิลปะอยุธยาตอนปลาย จำหลักลายก้านขดปิดทอง เป็นงานสลักไม้ที่มีความงดงาม บานประตูขวาด้านบนมีรอยโชว์ เชื่อกันว่าเป็นรอยที่พม่าใช้ขวานจามเพื่อที่จะเข้าไปภายใน เมื่อคราวพม่ามาตีเมืองเพชรบุรี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สหประชาชาติในกรุงศรี การเป็นเมืองท่าสำคัญทำให้กรุงศรีอยุธยา มีคนต่างชาติต่างภาษามาอาศัยอยู่ถึง ๔๐ ชนชาติ ลาว มอญ จีน เขมร ญวน พม่า อินเดีย เปอร์เซีย ฝรั่ง ญี่ปุ่น มลายู มัวร์ และชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ชาวต่างชาติแต่ละกลุ่มจะมีถิ่นที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นย่าน และประกอบอาชีพแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัด ทั้งค้าขายหรือรับราชการ ชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม คลุกเคล้าเป็นสยามประเทศ ความหลากหลายทางเชื้อชาติในกรุงศรีอยุธยา ส่งผลให้เกิดการหยิบยืมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ผสมผสานจนกลายเป็น “เอกลักษณ์” ของสยามประเทศ นั่นคือ งดงามด้วยความหลากหลายและลงตัว ๑. ญี่ปุ่น ๒. ดัตช์ ๓. มอญ ๔. ฝรั่งเศส ๕. มลายู ๖. แขกมักกะสัน ๗. ญวน ๘. โปรตุเกส ๙. สยาม ๑๐. จีน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เมืองท่าค้าขาย ใครร่ำรวยที่สุด? ระบบพระคลังสินค้าทำให้พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนพ่อค้ารายใหญ่ที่สุดในกรุงศรีอยุธยา ถึงกับมีคำกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่สามัญชนจะกลายเป็นเศรษฐีด้วยการทำมาค้าขาย ทั้งนี้เพราะพระคลังสินค้าเป็นผู้ผูกขาดสินค้า “ขายดี” ทั้งหมด เมื่อมีเรือสินค้าเข้ามา ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร รัฐบาลมีสิทธิ์เลือกก่อน โดยเฉพาะสินค้า “ต้องห้าม” และ “ยอดนิยม” ก่อนที่พ่อค้าจะสามารถนำสินค้าที่เหลือไปขายได้ บางครั้ง สินค้าที่พระคลังสินค้าสั่งซื้อขายแก่ราษฎรเกิดค้างสต็อก เช่น ผ้าทอ ทางราชการต้องออกประกาศ ให้เด็ก ๆ นุ่งห่มผ้าก็มี การค้าแบบผูกขาดนี้เองทำให้รัฐบาลมีกำไรมหาศาล สามารถบริหารปกครองราชอาณาจักรให้รุ่งเรือง เข้มแข็ง และมั่นคงที่สุดยุคหนึ่ง ๑. ปืนและอาวุธต่าง ๆ ๒. เครื่องประดับ ๓. ทองแดง ๔. ดีบุก ๕. เขาควาย ๖. สินค้า “ต้องห้าม” ผูกขาดโดยรัฐ คือ ข้าว และ เกลือ ๗. สินค้า “ยอดนิยม” คือ เหล็ก และ ผ้าแขก ๘. สินค้าส่งออก คือ งาช้าง และ รังนก แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 16:23:48 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 16:23:28 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:22:51 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตลาดโลกในกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญ เรือสินค้านานาชาติต่างนำสินค้าแปลกตาสารพันมาขาย และซื้อสินค้าพื้นเมืองกลับไป บางครั้งพ่อค้าชาวกรุงศรีก็รับหน้าที่เป็น “คนกลาง” นำสินค้าจากโลกตะวันตก ไปขายยังประเทศที่ไม่ต้องการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกโดยตรง เช่น ญี่ปุ่น สินค้าแขก พ่อค้าอินเดีย และเปอร์เซีย จะแล่น “เรือสลุบแขกเสาเดียว” ถึงเมืองท่าสยามในช่วงเดือนตุลาคม โดยเทียบท่าด้านมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ มะริด ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช จนถึงเมืองตรัง แล้วจ้างคนแบกสินค้าผ่านช่องเขาด้านกุยบุรี เพื่อนำสินค้าลงเรือเลียบฝั่งเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยาอีกทอดหนึ่ง สินค้าส่วนใหญ่เป็นผ้าชนิดต่าง ๆ ส่วนขากลับก็จะนำสินค้าจากกรุงศรีอยุธยาไปขาย โดยเฉพาะเครื่องเทศ ของป่า เขาสัตว์ และช้าง สินค้าจีน ฤดูเดินเรือในทะเลจีนใต้ แตกต่างกับทางด้านมหาสมุทรอินเดีย “เรือสำเภาสองเสา” จากจีนสามารถเข้าถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรงก่อนสิ้นเดือนเมษายน แต่บางครั้งพ่อค้าจีนก็แวะขายสินค้าตามเมืองใหญ่ ๆ ไล่ขี้นมาจากทางใต้ก่อนมาถึงกรุงศรีอยุธยา เช่น เมืองปัตตานี นครศรีธรรมราช สินค้าจีนยอดนิยมในกรุงศรี คือ เครื่องถ้วย ผ้าแพร ใบชา ส่วนขากลับ พ่อค้าจีนมักจะซื้อ พริกไทย ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ติดเรือกลับไปขาย สินค้าญี่ปุ่น เป็นจำพวกทองแดงแท่ง เครื่องตกแต่ง ไหมดิบ ส่วนสินค้าส่งออก คือ หนังกวาง หนังปลากระเบน หนังวัว น้ำตาล ดีบุก ไม้ฝาง และรัก สินค้าฝรั่ง เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หรูหรา อาวุธ สุรา ส่วนสินค้าที่ฝรั่งต้องการ คือ ข้าว เครื่องเทศ ไม้สัก ของป่า ความรุ่งเรืองของการค้าทางทะเล ทำให้นครรัฐที่เป็นเมืองท่า เช่น กรุงศรีอยุธยา ปัตตานี พุกาม เติบโตขึ้น ส่วนนครรัฐที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินอย่าง สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง ค่อย ๆ ลดอำนาจและความสำคัญลง ๑. แขก เครื่องเทศ เครื่องประดับ เครื่องดนตรี ๒. จีน ผ้าไหมจีน เครื่องถ้วยจีน ใบชา ๓. ญี่ปุ่น ดาบญี่ปุ่น เหรียญญี่ปุ่น กระจก ๔. ยุโรป ปืน เหล้า ถ้วย จาน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ^ ^ ^ ^ มันเป็นสมุดใบลาน อธิบายเป็นหน้าๆ ในเล่มเดียวกันเลยหรอ จากคุณ : ปตัญชลี - [ 18 ธ.ค. 51 16:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จุดนัดพบอารยธรรมโลก เหนือ ใต้ ออก ตก ใคร ๆ ก็มาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดกลางสำหรับเมืองอื่น ๆ ในราชอาณาจักร เช่น ๑. หัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้แก่ วิเศษไชยชาญ ลพบุรี เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ เมืองสวรรค์ เมืองสุพรรณ ข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวได้จะบรรทุกใส่เรือมาขาย ให้โรงสีข้าวและโรงเหล้า เมืองพิษณุโลก ก็ส่งอ้อย ยาสูบ มาขาย ๒. จากหัวเมืองริมทะเล มีชาวมอญ นำมะพร้าว ไม้แสม เกลือ ใส่เรือมาจอดขาย ๓. หัวเมืองตะวันออก มีพ่อค้าเกวียนเมืองโคราช นำขี้ผึ้ง เนื้อเค็ม มาขายเป็นฤดู ๔. ชาวใต้ ชาวทะเล นำสินค้าอาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ผ้าพิมพ์ มาใส่เรือขาย ๕. ชาวเมืองเพชรบุรี นำน้ำปลา ปูเค็ม ปลาแห้ง ใส่เรือมาขายเช่นกัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:31:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณปตัญชลี - เป็นสมุดใบลานทำเลียนแบบเล่มใหญ่มากกกกก !!! อ่านง่าย ไม่ตาลายเลยค่ะเจ๊อิ๋ว กฎหมายห้ามกินปลา ชาวกรุงศรีอยุธยาบริโภคปลาเป็นอาหารหลัก ไม่นิยมกินเนื้อสัตว์ เนื่องจากราคาแพงและเป็นบาป ตลาดขายเนื้อหมูและตลาดเป็ดไก่ มีเฉพาะตลาดในย่านชาวจีนเท่านั้น ไม่เฉพาะไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเท่านั้นที่ชอบกินปลา พระมหากษัตริย์ก็โปรดการเสวยปลาเช่นกัน ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ มีการออกกฎหมายห้ามราษฎรกินปลาตะเพียน เพราะเป็นของโปรดของพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงินถึง ๕ ตำลึง บางรัชสมัย มีกฎหมายห้ามตกเบ็ดทอดแหจับสัตว์น้ำ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรุณาแก่สัตว์ ผู้ละเมิดให้ปรับเงินมาซื้ออิฐ สร้างกำแพงเมือง หากไม่มีเงินให้คุมตัวมาทำกำแพงเมืองจนกว่าจะเสร็จ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:34:26 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อยู่กับน้ำ ต้องเสียค่าน้า อาหารหลักของชาวกรุงศรีอยุธยาคือ ข้าวกลับปลา ทุกบ้านเรือนต้องมีเครื่องมือจับสัตว์น้ำติดบ้าน ตลาดสดแทบทุกแห่ง มีปลาสดขายตลอดปี ราชการจึงหาช่องทางทำรายได้เข้ารัฐด้วยการเปิดประมูล “ค่าน้ำ” เป็นรายปี ผู้ประมูลได้จะรั้งตำแหน่ง นายอาการค่าน้ำ มีหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม “เครื่องมือจับสัตว์น้ำ” จากราษฎร ตามอัตราที่รัฐกำหนด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ค้าขายกับสายน้ำ กรุงศรีอยุธยา เป็นจุดบรรจบของสายน้ำสำคัญ ที่นึ่จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ มีสินค้าเกษตรหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ด้านการค้ากับต่างแดน กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญระหว่างซีกโลกตะวันตกและตะวันออก พ่อค้าจากแดนไกล นิยมเข้ามาตั้งตัวแทนทางการค้าและใช้อยุธยาเป็น “คนกลาง” ในการซื้อขายสินค้ากัน คนกรุงศรี กินอยู่ ค้าขาย กับสายน้ำ รอบเกาะกรุงศรีอยุธยามีเรือนแพเป็นที่พักอาศัยและค้าขายประมาณ ๒๐,๐๐๐ หลัง ชาวกรุงศรีส่วนใหญ่อาศัยกินนอน ค้าขาย อยู่กับสายน้ำ ไม่เฉพาะแต่เรือนแพที่เรียงรายรอบกรุงเท่านั้น บ้าน เรือน วัด วัง ต่างตั้งอยู่ริมแม่น้ำลำคลองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อใช้ประโยชน์จากสายน้ำ ทั้งกิน อาบ หาอาหาร เดินทาง และการเกษตร วิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำอย่างแนบแน่น ทำให้มีประเพณีพิธีกรรมที่แสดงความเคารพต่อสายน้ำ ในฐานะต้นธารแห่งชีวิต ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:37:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 งานพระเมรุครั้งกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีพระบรมศพของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง เป็นงานพระราชพิธีที่ทวยราษฎร์ต่างน้อมถวายความเคารพและจงรักภักดีอย่างสูงสุด พิธีทางศาสนาดำเนินเนื่องไปเป็นเวลาแรมเดือนจวบจนวาระแห่งการถวายพระเพลิง มีการสร้างพระเมรุมาศสูง ประหนึ่ง “เขาพระสุเมรุ” เพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ณ ศูนย์กลางของจักรวาล ตามคติเทวราช รายล้อมด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ (เขา ๗ ทิวล้อมรอบเขาพระสุเมรุ) พร้อมกับจัดแสดงมหรสพ การละเล่น อาทิ โขน หุ่น ละคร ไต่ราว หกสูง ให้ราษฎรได้มาเที่ยวชม คลายความโศกเศร้า จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:39:59 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กรุงศรีอยุธยา หลากหลาย ผสมผสาน กรุงศรีอยุธยามีชาวต่างชาติต่างภาษาอาศัยอยู่มาก มีทั้งผู้คนที่อพยพหนีร้อนมาพึ่งเย็น ทั้งที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อยามสงคราม และพวกที่เข้ามาค้าขายในอาณาจักรเมืองท่าแห่งนี้ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ มิได้ก่อให้เกิดความแตกแยกทางความเชื่อหรือวัฒนธรรม แต่กลับเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและผสมผสาน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ซูมกันให้เห็นชัด ๆ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตลาดน้ำบางกะจะ ตลาดขนาดใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาหน้าป้อมเพชร อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอยุธยา ชาวบ้านร้านถิ่น และพ่อค้าจากหัวเมืองใกล้ไกล ตลอดจนพ่อค้าต่างชาติต่างภาษา นำสินค้าท้องถิ่นนานาชนิดจากหลากหลายท้องที่ เข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างคับคั่ง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:44:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โมเดลจำลองพระเมรุมาศ - สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:47:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ๘. สยามยุทธ์ เหตุแห่งสงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีมูลเหตุใหญ่ ๆ คือ ความต้องการแสดงพระองค์กษัตริย์ ในฐานะ “จักรพรรดิ์” เหนือพระเจ้าแผ่นดิน และเพื่อกวาดต้อน “คน” อันเป็นแรงงานและกำลังรบ รวมถึงการครอบครองสินค้าสำคัญของรัฐอื่น สงครามจึงไม่ใช่เรื่องของรัฐต่อรัฐ หากเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์รัฐหนึ่งกับพระมหากษัตริย์อีกรัฐหนึ่ง และนอกจากการสู้รบแล้ว ยังมีการสแดงถึงภูมิปัญญา การวางกลยุทธ์ กลุ่มชาติพันธ์ และศิลปกรรมอีกด้วย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:48:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 พลเดินเท้าแบกสัมภาระ เช่น อาหารแห้งต่าง ๆ ยารักษาโรค และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ปั๊กกั๊ก เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ในยามออกศึก ไม่ว่าจะใช้ตัดต้นไม้ การถากถางทาง หรือสร้างป้อมค่าย และยังสามารถใช้เป็นอาวุธในการป้องกันตัว และต่อสู้ยามศึกสงครามได้อีกด้วย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ทหารและช้างในสงคราม จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สาเหตุสงคราม ทำไมต้องรบกัน คติความเชื่อเรื่อง “ธรรมราชา” หรือ “เทวราชา” ล้วนเป็นแรงผลักดันให้พระมหากษัตริย์แห่งรัฐหนึ่ง ต้องการแสดงพระองค์เป็น “พระจักรพรรดิราช” เหนือพระเจ้าแผ่นดินอื่น หรือเป็น “เอกราช” คือ มีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในแว่นแคว้นเท่าที่จะสามารถแผ่อำนาจไปถึง การสงครามยังมีจุดหมายเพื่อครอบครองกำลังคน แหล่งผลิตสินค้า ทรัพยากร เมืองท่า ชายทะเล หรือเพื่อควบคุมเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ การสงครามในยุคก่อน มิได้มุ่งเน้นการขยายดินแดน เพราะการมีอาณาเขตกว้างขวางเกินความจำเป็น ย่อมยากแก่การควบคุมดูแลเมืองที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจมักแข็งเมือง สร้างปัญหาแก่ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักร เกมอำนาจ ประวัติศาสตร์ “ไทยรบพม่า” สงครามระหว่างสองราชอาณาจักร แท้จริงแล้วคือสงครามระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์ ระหว่าง กรุงศรีอยุธยา กับ หงสาวดี หรือ อังวะ ไม่ใช่ระหว่าง “ประเทศ” ไทย กับ “ประเทศ” พม่า ด้วยสำนึกแห่งความเป็น “ชาติ” ยังไม่ได้ก่อเกิดขึ้นในสมัยนั้น เห็นได้จากการเดินทัพของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้ส่งกองหน้าไปสักเลก เกณฑ์เสบียงตามรายทาง โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือพรมแดน สาเหตุสำคัญที่เกิดการพุ่งรบระหว่าง กรุงศรีอยุธยา กับ หงสาวดี หรือ อังวะ กว่า ๒๐ ครั้งนั้น เนื่องมาจากความพยายามกำหราบบ้านเล็กเมืองน้อย ซึ่งก่อกวนความมั่นคงของรัฐใหญ่อย่างหงสาวดีหรืออังวะ ครั้นเมื่อรัฐเล็กน้อยอย่าง ล้านนา มอญ ไทยใหญ่ ถูกรุกราน ก็หันมาเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ทำให้กรุงศรีอยุธยาเข้มแข็งขึ้น กษัตริย์แห่ง หงสาวดี หรือ อังวะ จึงยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ แล้วลุกลามมาถึง “พี่ใหญ่” กรุงศรีอยุธยา ดังที่บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 16:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ศึกอลองพญา สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงปลายสมัยอยุธยา (ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕) แสดงให้เห็นประเด็นสำคัญ ๒ ประการ คือ กองทัพอังวะมีกำลังทัพที่แข็งแกร่ง รวบรวมชนกลุ่มน้อยและขยายพื้นที่ในการปกครองได้กว้างขวาง และในขณะเดียวกัน กรุงศรีอยุธยา ต้อนรับชาวมอญที่ถูกคุกคามจากอังวะ เป็นเหตุให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองฝั่งฟาก ศึกอลองพญาในครั้งนั้นแสดงให้เห็นมิติที่แตกต่างในเชิงตำราพิชัยสงคราม ศึกครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาเลือก “รบด้วยการรับ” คือ การใช้เมืองเป็นตัวรบ ให้ข้าศึกบุกเข้ามาประชิดเมือง เนื่องจากไม่ต้องการเสียไพร่กำลังพลมากเกินไป *** เป็นตู้กระจกที่แสดงภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ของภาพยนตร์ที่ฉายด้วบ ตัวละครที่แสดงโดยคนจริง ๆ กับฉากโมเดลเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะและกลมกลืน ตื่นตาตื่นใจทั้งภาพและเสียงมาก ๆ เลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 17:08:45 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:08:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 พิชัยสงคราม ศาสตร์และศิลป์แห่งการศึก การทำสงครามเป็นเรื่องใหญ่และ “แพง” สำหรับทุกอาณาจักร จึงมีการคิดค้นแบบแผนกลศึกต่าง ๆ เพื่อนำทัพไปสู่ชัยชนะโดยเร็ว ชัยภูมิเหมาะ แม่ทัพเก่ง กำลังพลพร้อม กลศึกดี คือเงื่อนไขสำคัญในการเผด็จศึก ประสบการณ์ ความรู้จากการทำศึกสงคราม ได้รับการถ่ายทอดสืบมาในตำราพิชัยสงคราม ตำราคชลักษณ์ สำนักดาบ ตลอดจนโหราศาสตร์ และเลขยันตร์วิชาอาคมต่าง ๆ ต่อมาในสมัยหลัง เริ่มมี “ตัวช่วย” คือ เทคโนโลยี อาวุธ ป้อมปราการ รูปแบบการรบจากต่างชาติ รวมทั้งการจ้างกองกำลังต่างชาติเข้าประจำการด้วย สินค้านำเข้าจากต่างแดนอันดับต้น ๆ ในสมัยอยุธยาจึงได้แก่ “นักรบและอาวุธ” ยุทธวิธีป้องกันตัวเองของกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาได้วางกลยุทธ์ทางการศึกไว้แต่เริ่มสร้าง โดยอาศัยทำเลที่ลุ่มน้ำท่วมากถึง ๔ – ๕ เดือน คือตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม ถึงเดือนมกราคม ทำให้ข้าศึกมีเวลาล้อมกรุงได้เพียง ๘ เดือน หักลบกับระยะทางเดินทัพจากหงสาวดีถึงกรุงศรีอยุธยา ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือน จึงเหลือเวลาทำศึกล้อมกรุงเพียง ๖ เดือน เมื่อถึงฤดูน้ำหลากก็ไม่อาจตั้งหลักอยู่ได้ต้องยกทัพกลับ ปัญหามีอยู่ว่า เมื่อน้ำท่วมแล้ว สภาพในเกาะกรุงศรีอยุธยาจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ พระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงวางแผนป้องกันไว้แต่แรกสร้างกรุง โดยให้ถมเชิงเทินสูงกว่าระดับดินธรรมดาเป็นกำแพงกั้นน้ำ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มีเกมให้เล่นและให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การทำศึกสงครามด้วยค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ปืนใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กระสุนปืนใหญ่ขนาดต่าง ๆ และ ลูกกระสุนปืนใหญ่ชนิดเล็ก อาวุธในห้องนี้ทำขึ้นใหม่เลียนแบบของจริง เพื่อการเรียนรู้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:16:18 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ๙. แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ ผืนดินตามธรรมชาติ คงไม่มีเส้นแบ่งใด ๆ มาขวางกั้นผู้คน แต่เส้นพรมแดนก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ล่าอาณานิคมเพื่อแบ่ง “เขา” สร้าง “เรา” และรวมไปถึงการสร้าง “ชาติ” ให้มีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ มูลเหตุที่ทำให้เกิดการตัดแบ่งชุมชนเชื้อชติญาติพี่น้องออกจากกัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ภาพรวมทั้งหมด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อโลกยังแบนอยู่ แต่เดิมนั้น แนวความคิดเรื่องแผนที่ภูมิศาสตร์ไม่ค่อยมีความสำคัญต่อราชอาณาจักรสยาม เพราะไม่จำเป็นต้องกำหนดอาณาเขตชัดเจนในพื้นที่อันกว้างใหญ่ และมีประชากรเบาบาง แม้จะมีหลักฐานการทำแผนที่รุ่นแรก ๆ ในสมัยอยุธยา แต่ก็เป็นแผนที่ลายแทง อันเกิดจากจินตนาการความเชื่อ หรือประสบการณ์เดินทาง โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วนที่ถูกต้องหรือสภาพภูมิศาสตร์ที่แท้จริง แผนที่โบราณบางฉบับแสดงที่ตั้งของอินเดียอยู่ติดกับล้านนา มีศรีลังกาอยู่ปลายแหลมมลายู หรือไม่มีอีสานในแผนที่ยุคแรก ๆ เนื่องจากคนทำแผนที่ไม่เคยเดินทางไปถึง สรุปได้ว่าผู้คนในสยาม ไม่มีขนบธรรมเนียมมาแต่เดิมในการกำหนดอาณาเขตดินแดนชัดเจนอย่างถาวร และไม่สนใจด้วยว่าไกลออกไปจากถิ่นที่อยู่ของตนจะมีลักษณะอย่างไร จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีชาวสยามไม่กี่คนที่เริ่มรู้ว่า “โลกกลม” จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:19:35 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แผนที่ประเทศไทยสมัยก่อน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 37 สยามใหญ่แค่ไหน? ผู้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเขตดินแดนที่แน่ชัดของราชอาณาจักรสยาม คือ “ฝรั่ง” ที่เข้ามาในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ปัญหาเรื่อง “เขตแดน” ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของชาวสยาม แม้ทางราชสำนักก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอันใด คำตอบที่ฝรั่งได้รับจึงเป็นเพียงว่า หากต้องการรู้ก็ให้ไปถามชาวบ้านแถวนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเส้นแบ่ง “อาณาเขตประเทศ” ระหว่างอาณานิคมของพม่าของอังกฤษ กับประเทศราชเชียงใหม่ของสยาม ถูกกำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยนายพรานจับช้าง และหาของป่าที่อยู่อาศัยบริเวณนั้น กำเนิดแผนที่ในรูปโฉนดประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามและดินแดนใกล้เคียง ต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ แข่งขันกันขยายอำนาจไปทั่วโลก และลุกลามเข้าสู่ภูมิภาคนี้ หลังจากพม่าตอนล่าง กัมพูชา และเวียดนาม ถูกยึดครอง ราชสำนักกรุงเทพ ฯ ก็เริ่มตั้งหลักเตรียมรับมือ ด้วยการปรับแนวคิดเรื่องอำนาจรัฐและอาณาเขต ให้เท่าทันกับแผนการของชาติตะวันตก แผนที่สมัยใหม่ฉบับแรกของ “ประเทศ” สยาม จัดพิมพ์ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ ภายหลังการสำรวจภาคสนาม โดย พระวิภาคภูวดล (James McCarthy) นับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำแผนที่ในฐานะ “โฉนดประเทศ” เพื่อยืนยันสิทธิเหนือดินแดนของรัฐบาลสยาม จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:22:46 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จากแผนที่สู่รัฐชาติและพลเมือง การทำแผนที่กำหนดอาณาเขตเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอกับความเป็นเอกภาพของประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงดำเนินการปฏิรูปการปกครองขนานใหญ่ เพื่อสถาปนาพระราชอำนาจเหนือดินแดนประเทศราชที่ปกครองตนเองมาแต่เดิม โดยรวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ภายใต้ราชสำนักกรุงเทพ ฯ ในรูปแบบ “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” และปวงประชาราษฎรที่อาศัย อยู่ในเขตแผนที่ประเทศ ถือเป็นพลเมืองแห่งราชอาณาจักร แผนที่ประเทศสยามจึงเป็นเอกสารแสดงขอบเขตของอำนาจรัฐสยาม เหนือดินแดนบ้านเมืองทั้งหมดที่ถูกขีดเส้นรวมไว้ด้วยกัน และเป็นจุดเริ่มของกระบวนการสร้าง “ชาติ” ทั้งในทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การศึกษา และการปกครอง จนในที่สุดพื้นที่รูป “ขวานทอง” บนแผนที่ก็กลายมาเป็น “ประเทศไทย” ที่มีความหมายและตัวตนชัดเจน เสียดินแดน ใครได้ ใครเสีย? ในช่วงแรกของการสำรวจดินแดนเพื่อทำแผนที่ รัฐกึ่งอิสระและดินแดนชายขอบต่าง ๆ ยังเป็นเสมือน “พื้นที่ไม่มีโฉนด” บางครั้งก็อ่อนน้อมยอมรับอำนาจของราชสำนักกรุงเทพ ฯ บางครั้งก็ยอมรับอำนาจรัฐใหญ่อื่น ๆ จึงเกิดความคลุมเครือ ว่าดินแดนเหล่านี้ “เป็นของใคร” กันแน่ ดังเช่นในกรณีกลุ่มหัวเมือง สิบสองจุไท สิบสองปันนา หรือประเทศราชลาว และล้านนา แม้ราชสำนักกรุงเทพ ฯ จะยอมรับความคลุมเครือเช่นนี้ แต่จำเป็นต้องอ้างสิทธิครอบครองดินแดนชายขอบที่ “ไม่มีโฉนด” เหล่านั้นไว้ เพื่อต่อกรกับการรุกรานของชาติตะวันตก ทั้งนี้ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสยาม ต่างอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ที่แว่นแคว้นเหล่านี้ เคยส่งบรรณาการให้ศูนย์อำนาจฝ่ายตน การอ้างสิทธิเหนือดินแดนจึงทับซ้อนสับสน และในบางกรณีการเจรจาต้องจบลงด้วยการใช้กำลัง ยุคแห่งการต่อสู้ช่วงชิงสิทธิเหนือดินแดนต่าง ๆ ระหว่างราชสำนักกรุงเทพ ฯ กับมหาอำนาจฝรั่งเศสในอินโดจีน และมหาอำนาจอังกฤษในพม่า จบลงด้วยชัยชนะของชาติตะวันตกในที่สุด ในที่สุด ผู้ที่ “เสียดินแดน” จึงไม่ใช่ประเทศสยาม ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ แต่เป็นผู้คนในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งถูก “แผนที่” ขีดวงล้อมให้อยู่ในโลกใหม่ ถูก “เส้นอาณาเขตประเทศ” ตัดแบ่งจากชุมชนเชื้อชาติญาติพี่น้อง เพียงแค่อยู่บนแผนที่คนละแผ่นเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 17:27:06 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:25:21 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ๑๐. กรุงเทพ ฯ ภายใต้ฉากอยุธยา เรื่องราวเมื่อครั้งสิ้นกรุงศรีอยุธยา ชาวกรุงศรีก็สร้างเมืองของพวกเขาขึ้นมาใหม่บนผืนดิน “บางกอก” ซึ่งพวกเขาได้จำลองแนวคิดและสืบสานวัฒนธรรมมาจากเมืองเก่ามากมาย อีกทั้งเมื่อเริ่มสร้างกรุงใหม่ จึงได้เกณฑ์ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาช่วยกัน จนเมื่อสร้างเสร็จจึงลงหลักปักฐาน กลายเป็นชาวกรุงเทพ ฯ ในที่สุด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:26:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ^ ^ รูปนี้เป็นรูปของ คห. 38 ค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 สงครามใหญ่อยุธยาพ่าย พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คองบอง มีชัยเหนือกลุ่มมอญรวบรวมพม่าเป็นปึกแผ่น และเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดินทั้งปวงตามแนวคิด “จักรพรรดิราช” จึงคิดเปิดศึกเพื่อยึดกรุงศรีอยุธยา แต่ทำการไม่สำเร็จ ครั้นถึงสมัย พระเจ้ามังระ ราชโอรส ก็คิดทำศึกกับกรุงศรีอยุธยาเช่นพระราชบิดา จึงตระเตรียมวางแผนใช้ทัพใหญ่เข้าตีเมืองทั้งเหนือใต้ หวังชัยชนะขั้นเด็ดขาด ทัพพม่ค่ายใหญ่ ๑๖ ค่าย ล้อมกรุงศรีอยุธยาชักปีกกาถึงกัน ใช้เวลาปิดล้อมและเข้าตี นาน ๑๔ เดือน จนกรุงศรีอยุธยาแตก ในวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ ๑. การจัดกระบวนทัพ ตามตำราพิชัยสงครามพม่า ถ้าข้าศึกตั้งกองทัพเป็นริ้วขบวน วิชะกะพะหุยะ คือการเคลื่อนทัพดุจรูปก้านแมลงป่อง ให้เคลื่อนทัพเข้าตีด้วยขบวน ภุชะกะพะหุยะ คือการตั้งทัพดุจรูปงูเลื้อย ๒. การจัดกระบวนทัพ ตามตำราพิชัยสงครามพม่า ถ้าข้าศึกตั้งกองทัพเป็นริ้วขบวน นทีจะระพะหุยะ คือการเคลื่อนทัพดุจรูปลำน้ำ ให้เคลื่อนทัพเข้าตีด้วยขบวน วารีเวคะพะหุยะ คือการเคลื่อนทัพดุจน้ำไหลมิได้ขาด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กรุงธนบุรี ปะดาบกู้แผ่นดิน ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก พระยาตาก ได้นำกำลังไพร่พลตีฝ่าทัพพม่าไปทางตะวันออก รวบรวมผู้คนเข้าตีเมืองที่แข็งขืน คือ ระยอง จันทบุรี และธนบุรี จนสามารถยึดพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างไว้ได้ แล้วตั้งมั่นอยู่ที่ธนบุรี ก่อนจะเข้าตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ซึ่งมี สุกี้พระนายกอง เป็นนายทัพ จนกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากอำนาจพม่าสำเร็จ แล้วทรงปราบดาภิเษกเป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสถาปนา กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร เป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงรวบรวมบ้านเมืองที่แตกเป็นก๊กเป็นเหล่าหลังจากเสียกรุง และฟื้นฟูทำนุบำรุงบ้านเมือง กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร สถาปนาอยู่ได้ ๑๕ ปี ก็สิ้นสุดลง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ใครสร้างกรุงเทพ ฯ ? เมืองหลวงใหม่ มีทั้งคน “บางกอก” ดั้งเดิม อยู่ปะปนกับหลายเชื้อชาติ ทั้ง ลาว ญวน จีน แขก ฝรั่ง มอญ และคนจาก “กรุงเก่า” อยุธยาที่เพิ่งมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน โดยเรียกขานชื่อบ้านนามเมืองของตนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังอยู่กรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ ยังมี “คนนอก” จำนวนนับหมื่นที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นแรงงานสร้างพระนครแห่งใหม่ เช่น เขมร ๑๐,๐๐๐ คน ขุดคลองรอบกรุง ลาวเวียงจันทน์ ๕,๐๐๐ คน สร้างกำแพงเมือง คนเหล่านี้เมื่อเสร็จงานก็ไม่ได้กลับบ้านเมืองของตน กลายเป็น “คนกรุงเทพ ฯ” ไปในที่สุด ๑. ชาว ‘พะม่า’ ๒. ชาว ‘มะลายู’ ๓. ชาวจาม ๔. ชาวจีนมุสลิม (ซินเกียง) ๕. ชาว ‘ดอตชิ’ (ดัทช์) ๖. แขกมุสลิม (อินเดียใต้) ๗. ชาว ‘หรูชะปีตะสนาก’ (รัสเซีย) ๘. ชาวมอญ ๙. ชาวสยาม ๑๐. ชาวเงี้ยว (ไทใหญ่) ๑๑. ชาว ‘ยี่ปุ่น’ ๑๒. ชาว ‘อาฟริกัน’ ภาพเขียนจากบานหน้าต่างในวิหารทิศ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม แสดงให้เห็น “ภาพเหมือน” ของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่ใช้ชีวิตปะปนกัน ครั้งตั้งกรุงเก่า และเพิ่มมากขึ้นครั้งตั้งกรุงใหม่ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:40:51 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ภาพเขียนจากบานหน้าต่าง แสดงให้เห็น “ภาพเหมือน” ของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่ใช้ชีวิตปะปนกัน ครั้งตั้งกรุงเก่า และเพิ่มมากขึ้นครั้งตั้งกรุงใหม่ เมื่อเปิดบานหน้าต่างออก จะเห็น "ข้าวของเครื่องใช้" ของชนเชื้อชาติเหล่านั้น เมื่อมองไปทางทีวีจอเล็กด้านบน จะเห็นภาพและได้ยินเสียงอธิบายเป็นภาษาของชาตินั้น ๆ อีกด้วย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 17:56:32 ]

ความคิดเห็นที่ 45 กรุงเทพ ฯ ถอดแบบมากจากกรุงศรีอยุธยา? เมื่อเอานิ้วจิ้มไปที่แผนที่ส่วนใดของฝ่ายกรุงศรีอยุธยา หรือ กรุงเทพ ฯ จะมีลูกศรเชื่อมโยงไปยังฝั่งตรงข้าม เพื่อแสดงภาพหรือสถานที่สำคัญ ๆ ให้ทราบว่าสิ่งใดที่เหมือนกันบ้าง เช่น เสาชิงช้า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือ การวางผังเมือง ที่เหมือนกันของทั้ง 2 ฝ่าย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ความเปลี่ยนแปลง ความคิดที่จะสร้างกรุงเทพ ฯ ให้เหมือนกรุงศรีอยุธยา ทำให้บ้านเมืองและผู้คน ต่างยึดติดอยู่กับต้นแบบกรุงศรีอยุธยาที่ผูกพันมานานกว่า ๔๐๐ ปี จนเมื่อเวลาผ่านไป ๔ ทศวรรษ ผลัดแผ่นดิน ๒ รัชกาล ความทรงจำแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาก็เริ่มเลือนลบไป คน “กรุงเทพ” เริ่มสร้างเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ เมืองกรุงเทพ ฯ ไม่ได้เติบโตด้วยจำนวนประชากรในพื้นที่ แต่เกิดจากการอพยพเข้ามาของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ โดยฉพาะชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนผลพลอยได้จากการทำสงครามกับเพื่อนบ้านคือ “กำลังคน” ชาวลาวญ มอญ เขมร ญวน ไทยดำ และลาวพวน ถูกกวาดต้อนเข้ามาตั้งชุมชนอย่างถาวรรอบเขตพระนครและหัวเมือง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งพระราชวงศ์จักรี กรุงเทพ ฯ พัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบ้านเมืองว่างเว้นศึกสงคราม เศรษฐกิจการค้าเติบโต จนกลายเป็นราชธานีที่มั่งคั่งและยิ่งใหญ่ มีการสร้างวัด วัง และบ้านเรือนมากมาย ทำให้พื้นที่ตัวเมืองขยายกว้างออกไป ลักษณะตัวตนแบบ “คนกรุงเทพ” ปรากฎชัดขึ้นเรื่อย ๆ และภาพ “เมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี” สมัยกรุงศรีอยุธยาค่อย ๆ เลือนหายไป จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ๑๑. ชีวิตนอกกรุงเทพ ฯ สื่อให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น และความลาดหลักแหลม ไม่ว่าจะเป็นของเล่น อุปกรณ์ การดักสัตว์ เครื่องมือทำกิน ความเชื่อ และพิธีกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ และ วิถีเกษตรที่ผูกพันกับชาวสยามมาจนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ของเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 49 หุ่นไล่กา ก็ยังมีให้เห็น จำลองบรรยากาศให้เหมือนอยู่ในท้องทุ่งนา และเรียนรู้การทำนา เกษตรกรรมได้ที่นี่ด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 18:21:19 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ๑๒. แปลงโฉมสยามประเทศ การติดต่อกับโลกตะวันตก ทำให้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ในสังคมสยามหลายด้าน การเริ่มสร้างถนน ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการคมนาคมเท่านั้น หากยังเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนที่คุ้นชินกับสายน้ำและความแช่มช้า นับจากนี้ ถนนจะเร่งกงล้อแห่งความเปลี่ยนแปลงให้สยามเปลี่ยนโฉมไปตลอดกาล แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 18:23:06 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:22:42 ]

ความคิดเห็นที่ 51 แปลงโฉมสยามประเทศ สยามใหม่ใต้เงาตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกเริ่มลุกลามมาถึงสยาม อังกฤษได้ครอบครองดินแดนตะวันตกและใต้ของสยาม คือ อินเดีย พม่า มลายู ทั้งยังเป็นฝ่ายชนะในสงครามฝิ่นกับ จีน มหาอำนาจที่สยามเคารพยำเกรงเสมอมา ในช่วงเวลาเดียวกัน ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยึดครอง เวียดนามใต้ กับ กัมพูชา และพยายามรุกคืบขยายอิทธิพลต่อไป เมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ สยามจึงตกอยู่ใต้ห้วงอันตรายอย่างเห็นได้ชัด สองมหาอำนาจตะวันตกเริ่มต้นการแข่งขันในภูมิภาคนี้ โดยมุ่งหวังเปิดเส้นทางการค้า จากเมืองท่าชายฝั่งทะเลเข้าสู่ “ประตูหลัง” ของจีนอันดับแรก เมื่อพบว่า “กำลังซื้อ” ในจีนมิได้มีมากมายอย่างที่คิด ทั้งยังมีอุปสรรคทางภูมิศาสตร์มากมาย จึงหันมาให้ความสนใจต่อดินแดนและทรัพยากรที่ได้พบเห็นระหว่างการสำรวจเส้นทาง ข้ออ้างประการหนึ่งของนักล่าอาณานิคมก็คือ น่าเสียดายที่แผ่นดินและทรัพยากรอันมีค่า ต้องตกอยู่ในการครอบครองของชุมชนป่าเถื่อนล้าหลัง ชาติตะวันตกจึงต้องรับภารกิจ ในการนำแสงสว่างแห่งอารยธรรมมาสู่ชนป่าเถื่อนเหล่านี้ ด้วยการยึดครองแล้วจัดระบบบริหารปกครองเสียใหม่ เพื่อรับมือกับข้ออ้างและการรุกรานของชาติตะวันตก ถึงเวลาแล้วที่สยามต้องปรับตัวเข้าสู่ “โลกใหม่” และรับรู้ว่า ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีในภูมิภาคนี้กำลังสั่นคลอน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:25:41 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 53 บอกลาสายน้ำและความแช่มช้า สู่โลกใหม่ ในแผ่นดินเดิม เมื่อสยามปรับตัวเข้าหา “โลกตะวันตก” ก็เกิดปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ขึ้นในสังคมอย่างไม่ขาดสาย “ตะวันตก” และ “วิทยาศาสตร์” เริ่มให้คำตอบใหม่แก่สังคมสยาม หลายสิ่งหลายอย่างถึงจุดอวสาน สงครามกับเพื่อนบ้านหายไปอย่างสิ้นเชิง ชีวิตริมน้ำเคลื่อนย้ายขึ้นสู่แผ่นดิน ถนนมีความสำคัญมากกว่าลำน้ำ รถม้าและรถยนต์เริ่มมีบทบาทแทนที่เรือ เรือใบถูกแทนที่ด้วยเรือกลไฟ กลุ่มชนชั้นนำในสยามได้ประจักษ์แล้วว่า ฝรั่งรบเก่งกว่าพม่าและจีน; วิทยาศาสตร์ให้คำตอบได้มากกว่าศาสนา; ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ช่วยเปิดความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในประเทศสยาม จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 54 วิวัฒนาการการสื่อสารที่เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เช่น โทรศัพท์ เครื่องพิมพ์ดีด ไปรษณีย์ เป็นต้น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ในห้องเดียวกันนี้ มีหีบสมบัติบรรจุ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ย้อนอดีตในสมัยรัชกาลที่ ๕ ให้ผู้เข้าชมได้แปลงโฉม ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 56 มาย้อนอดีตด้วยกันนะเจ้าคะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ๑๓. กำเนิดประเทศไทย จากสยาม ทำไมกลายเป็นไทย ห้องนี้จะกระตุ้นให้เกิดการค้นหาคำตอบว่า “วันเกิดประเทศไทยคือวันที่เท่าไหร่” และ “กรมโฆษณาการมาเกี่ยวอย่างไร” อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การศึกษา และวัฒนธรรม ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ขึ้นคือ “ปัญญาชน” ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “นักเรียนนอก” ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากโลกตะวันตก มีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชนชั้นปกครองรุ่นเก่า และไพร่บ้านพลเมืองทั่วไป คนกลุ่มนี้คือพลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองในเวลาต่อมา ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ กลุ่มปัญญาชนคนรุ่นใหม่และนายทหารหนุ่ม รวมตัวกันเป็น “คณะราษฎร” เข้ายึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ “การปฏิวัติ ๒๔๗๕” คือจุด “อวสาน” ของการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการสร้าง “รัฐประชาชาติ” ซึ่งมีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ๑. “วิสัยหนังสือพิมพ์ก็ต้องพูดจาในสิ่งที่เป็นการเมือง ประเทศทั้งหลายย่อมต้องการฟังความเห็นในหนังสือพิมพ์ในเรื่องการเมือง เพื่อเป็นเครื่องเตือนสำหรับดำเนินการในทางรัฐประศาสโนบาย แต่ส่วนหนังสือพิมพ์ของคนไทยนั้น จะติเตียนรัฐบาลในสิ่งที่เห็นว่ารัฐบาลทำไม่ดี หรือเห็นว่าไม่เป็นยุติธรรมแล้ว ก็ต้องระวังตัวจงหนัก” ๒. “รัฐบาลท่านก็ทราบอยู่เต็มอก การกสิกรรมเป็นกำลังสำคัญที่สุดของประเทศ แล้วยังจะชินปล่อยให้การกสิกรรมคลานต้วมเตี้ยมอยู่เช่นนี้ ดูประหนึ่งว่าจะปล่อยไปตามบุญตามกรรม เป็นการสมควรอยุ่หรือ? พวกอำมาตย์ซื้อของที่ใช้ในราชการแพงเกินไป แล้วไปแบ่งผลกับผู้ขาย คงยังทำกันอยู่ทุกกระทรวงก็เกือบจะว่าได้ ขอให้ท่านทั้งหลายพิเคราะห์ดูว่า เงินที่รัฐบาลต้องเสียหายไปในทางนี้ ปีละสักี่ล้านบาท” ๓. “ปีนี้ข้าวของเราท่วมลาน ... โรงสีจะซื้อให้ได้ถูก ชาวนาก็ยอมกินเกลือดีกว่า ถ้ารัฐบาลชำเลืองดูวิธีที่รัฐลาลพม่า ภายในปกครองอังกฤษช่วยชาวนาของเขาในปีนี้ และคลำหาเงื่อนสำคัญให้เหมาะ เชื่อว่าเราจะล้อมคอกก่อนวัวหายในคราวต่อไป ได้ทันท่วงทีเป็นแน่” ๔. “สาเหตุที่ทำให้กำลังของชนบททรุดโทรม ก็น่าจะเนื่องมาแต่การวางอำนาจราชศักดิ์ของบุคคลบางจำพวก ซึ่งทำให้ชาวบ้านนอกรู้สึกเกรงกลัวเป็นอันมาก” แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 51 18:45:33 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ๑. “การที่ราษฎรทั้งหลายเห็นการที่จะพบปะกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ปกครองท้องที่ เป็นการเบียดเบียนเขาฝ่ายเดียวดังนี้ ก็น่าจะเห็นได้ว่าบรรดาท่านผู้ปกครองเหล่านี้ มิได้กระทำตนให้เป็นผู้บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับเรา หรือมิได้คิดเห็นว่าพลเมืองเป็นลูกเป็นหลานของท่าน ท่านคงจะไปพบกับเขาต่อเมื่อมีกิจราชการบังคับให้ท่านไปเท่านั้น” ๒. “ค่าที่ลักษณะการปกครองของเมืองเรา ได้ให้อำนาจสิทธิขาดแก่ข้าราชการจัดทำไปฝ่ายเดียว บรรดาราษฎรพลเมืองหาได้มีสิทธิเสียงเกี่ยวข้องกับทางราชการด้วยไม่ เมื่อเช่นนี้แล้ว ก็ต้องนับว่า สยามประเทศอันสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยังเดินล้าสมัยอยู่” ๓. “สยามควรดำริให้มีสภาราษฎร ... เพราะราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของชาติ จึงควรจะต้องรับรู้ความได้เสียของชาติ โดยสิทธิอันสมควรบางอย่าง ดุจดังประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับเรานั้น” ๔. “ทำไมประเทศจึงวิ่งเร็ว พลเมืองจึงเดินช้า ถ้าไม่ใช่เพราะต่างฐานะกันแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่น ประเทศทำอะไรทำได้ด้วยอำนาจเงินเป็นกำลัง แต่พลเมืองสิท่านเอ๋ย! ผอมโกโร จะเรียน จะศึกษา จะอบรมตนเอง ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ชักหลังไม่ถึงหน้า เพราะคนจนมากกว่าคนมี ผู้ดีมากกว่าคนไพร่” จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เครื่องมือ “สร้างชาติ” เพื่อให้ “ประเทศไทย” มีความเป็นชาติภายใต้แนวคิดใหม่นี้ รัฐบาลได้ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสร้างสำนึกร่วมกันของคนในชาติ ทั้งเหนือ กลาง อีสาน ใต้ ด้วยต้องรับบท “คนไทย” อยู่ภายใต้กรอบกฎ “ความเป็นไทย” เหมือนกันทั้งสิ้น เครื่องมือสร้างชาติในครั้งนี้ มีทั้ง ภาษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี การแต่งกาย ความเป็นอยู่ แม้แต่นิสัยใจคอ สิ่งเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐ แบบเรียน บทละคร บทเพลง ใบปิด รายการวิทยุ คำขวัญ งานรื่นเริง ตราสัญลักษณ์ อนุสาวรีย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่เว้นแม้การพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาล “เพลงชาติ” ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน มีอิทธิพลสูงสุดในการสร้างกระบวนการสำนึกแห่งชาติ ได้มาจากการประกวดบทเพลงชาติใหม่ เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อประเทศ ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ โดยมีเนื้อร้องแสดงความรักชาติ และสะท้อนว่า “ประชาชน” คือเจ้าของประเทศ ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย ***น้อง ๆ 2 คนนี้กำลังเป็นเพลิดเพลินกับการเป็นพิธีกร ในห้องออกอากาศจำลอง ช่อง 4 บางขุนพรหม จึงถ่ายรูปเก็บบรรยากาศมาให้ชมค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 18:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60 จาก “สยาม” กลายเป็น “ไทย” สมัยก่อน การอาณาจักรสยามเป็นการรวบรวมผู้คนและดินแดนมาอยู่ภายใต้อำนาจรัฐส่วนกลาง โดยไม่มีอาณาเขต รูปแบบการปกครอง และฐานพลเมืองที่แน่นอน “ชาติ” เป็นนิยามของนครรัฐสมัยใหม่ ซึ่งนอกจากจะกำหนดเขตแดนและอธิปไตยอย่างถาวรแล้ว ยังต้องสร้างสำนึกร่วมกันของคนในชาติด้วย กระบวนการ “สร้างชาติ” เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เข้มข้นขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ และเป็นจริงเป็นจังในสมัยรัชกาลที่ ๘ โดยรัฐบาล จอมพลป. พิบูลสงคราม รัฐบาล “ชาตินิยม” ได้ออกประกาศ “รัฐนิยมในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ ระบุให้ใช้ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ว่า “ไทยแลนด์” ให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก เท่ากับเป็นการกำหนดชาติพันธุ์ “ไทย” มีความสำคัญเหนือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่มีอยู่หลากหลายในขอบเขตแผนที่ประเทศสยาม ประกาศฉบับนี้ยังได้เปลี่ยนชื่อ “ประเทศสยาม” เป็น “ประเทศไทย” และกำหนดให้เรียกผู้ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในประเทศว่า “ไทย” จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:00:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ๑๔. สีสันตะวันตก เป็นห้องที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์โลกใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ภายหลังความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในทศวรรษ ๑๙๔๐ เศรษฐกิจรุ่งเรือง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เสียงเพลงแห่งความหวัง และสนุกสนาน กล่อมให้ผู้คนลืมความเจ็บปวดจากสงครามไปได้หมดสิ้น และประเทศไทยก็โกย “ดอลล่าร์” จากการเปิดอ้ารับวัฒนธรรมอเมริกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สีสันตะวันตก เบ่งบานหลังสงคราม หลังจาก “นิยมไทย” อยู่ได้ไม่นาน ภาวะสงครามเย็นและการเลือกสังกัดค่ายโลกเสรี ส่งผลให้ประเทศไทยเปิดประตูต้อนรับ “ตะวันตก” อีกครั้ง วัยรุ่นยุคกึ่งพุทธกาล นิยมคลั่งไคล้ในเสียงเพลง การแต่งกาย และรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบตะวันตก “ยุคฟิฟตี้” ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวแทนวัยรุ่นที่โด่งดังสมัยนั้นมีฉายานามว่า “โก๋หลังวัง” ชุมนุมย่านวังบูรพาภิรมย์ “โลกใหม่” เกิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา หลังผ่านความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เศรษฐกิจไทยเริ่มตั้งหลักก้าวสู่ยุคพัฒนา ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เสียงเพลงแห่งความหวังและความสนุกสนาน กล่อมผู้คนให้ลืมฝันร้ายจากยุคสงครามโลกจนหมดสิ้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายยังต้องต่อสู้เพื่อพิทักษ์เอกราช และเผชิญกับสงครามกลางเมือง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ๑๕. เมืองไทยวันนี้ ผ่านกาลเวลามากว่า ๓,๐๐๐ ปี มีสิ่งใดบ้างที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนฝังตรึงเป็น “ดีเอ็นเอ” ของความเป็นไทย มีสิ่งดี ๆ ใดบ้างที่ยังอยู่กับเรา และมีสิ่งดี ๆ ใดบ้างที่หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย ภาวะอันสับสนของคนรุ่นปัจจุบันน่าจะแก้ไขได้ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:12:51 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หากทุกคนเรียนรู้ “ความเป็นไทยที่แท้จริง” “ความเป็นไทยที่อยู่บนพื้นฐานของความหลากหลาย” “ความเป็นไทยที่รุ้จักเลือกรับและปรับใช้” นั่นคือ การผสมผสานสิ่งดีงามจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ๑๖. มองไปข้างหน้า เป็นห้องที่ตอกย้ำว่า “วันพรุ่งนี้ของประเทศไทยจะเป็นเช่นไร คนรุ่นปัจจุบันเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้” ห้องนี้ ผู้เข้าชมสามารถเขียนแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ได้ ที่จอคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ หลังจากเขียนเสร็จ ไปยืนรอที่บอร์ดสีขาว ข้อความที่เราเขียนจะปรากฎให้เห็น จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เป็นเรื่องดีที่ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่ดีแบบนี้ แต่...ก็มีเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับมารยาทในการเยี่ยมชม "มิวเซียมสยาม" เช่นกัน อยากให้คนที่เข้าชม ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ ในส่วนที่จัดวางให้ผู้เข้าชมจับต้อง สัมผัส เรียนรู้ได้ กันสักนิด โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ น้อง ๆ วัยเรียน วัยรุ่น นักศึกษา บางกลุ่ม ที่นิยมไปถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว มากกว่าการสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ หรือข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อย่างแท้จริง จากการที่ไปชม "มิวเซียมสยาม" มา 2 รอบ มักจะเจอเหตุการณ์เหล่านี้เสมอ ทำให้ไม่มีโอกาสได้อ่านข้อมูลได้อย่างที่ต้องการ รีวิวนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่ได้ไป หรือไปแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้อ่านข้อมูลอย่างเต็มที่ ด้วยปัจจัยที่บอกไปตั้งแต่ต้นหลายประการ ขอบคุณที่ไปเที่ยว "มิวเซียมสยาม" ทั้ง 2 ภาคด้วยกันจนจบ ผิดพลาดหรือบกพร่องประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 18 ธ.ค. 51 19:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 67 อยู่ที่ไหนครับเนี้ยอยากไปบ้างครับ ขอบคุณ จากคุณ : เลือดไทยใจเต็มร้อย - [ 19 ธ.ค. 51 06:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ^ ^ ^ ^ ^ มิวเซียมสยาม ชื่อกระทู้บอกอยู่แล้วว่าที่ไหน ลองแวะไปอ่านกระทู้แรกที่แตกประเด็นมาสิคะ น้องเค้าอธิบายละเอียดยิบ  รับรองกระจ่าง http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E7310533/E7310533.html ถ้าได้ไปเที่ยวขอให้สนุกอย่างที่น้องเค้าไปนะคะ จากคุณ : ปตัญชลี - [ 19 ธ.ค. 51 08:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณเลือดไทยใจเต็มร้อย - อยู่ใกล้ ๆ วัดโพธิ์, โรงเรียนตั้งตรงจิตรพาณิชยการ, ปากคลองตลาด หรือแถว ๆ ท่าเตียนน่ะค่ะ ดูรายละเอียดแผนที่ได้ในภาคแรกแล้วตามลิงค์ที่คุณปตัญชลีบอกได้เลยค่ะ คุณปตัญชลี - ขอบคุณที่ช่วยให้ความกระจ่างค่ะเจ๊อิ๋ว นุ้งฟินลงรูปโมเดลในส่วนต่าง ๆ ที่รวมไว้แต่แรก แยกเป็นส่วน ๆ มาให้ชมตามคำขอจ้า ของจริงสวยกว่านี้อีก โมเดลงานพระเมรุครั้งกรุงศรีอยุธยา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:21:40 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พระเมรุมาศ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ถ่ายแบบมาโคร เจาะให้เห็นรายละเอียดกันชัด ๆ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จัดแสดงมหรสพ การละเล่น อาทิ โขน หุ่น ละคร ไต่ราว หกสูง ให้ราษฎรได้มาเที่ยวชม คลายความโศกเศร้า จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาดูโมเดลแบบมุมสูงกันบ้าง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ภ.สำเภากางใบ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ภายในโมเดลเรือสำเภา จะเห็นวิถีชีวิตผู้คนในเรือแบกหามสินค้า จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อยากจะให้ใจเยอะะกว่านี้นะ แต่ตอนนี้มันเหลือน้อย เดี๋ยวจะไม่พอให้เด็กๆ ห้องแมว เอาใจนี้ไปแทนละกัน     จากคุณ : ปตัญชลี - [ 19 ธ.ค. 51 09:32:22 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ทำรายละเอียดโมเดลตัวเล็ก ๆ ได้ยอดเยี่ยมเลยค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ซูมกันจะๆ เน้นๆ จากคุณ : ปตัญชลี - [ 19 ธ.ค. 51 09:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 79 โมเดลกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารคแบบต่าง ๆ แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 51 12:53:04 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:37:31 ]

ความคิดเห็นที่ 80 รายละเอียดงดงามตระการตา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:39:07 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เรือกระบวนเสด็จ ฯ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:41:28 ]

ความคิดเห็นที่ 82 คุณปตัญชลี - เน้น ๆ เพราะของจริงสวยมาก เลือกถ่ายแบบมาโครไม่ถูกเลยเจ๊อิ๋ว น่าถ่ายไปหมดเลยค่ะ กรุงศรีอยุธยามีชาวต่างชาติต่างภาษาอาศัยอยู่มาก มีทั้งผู้คนที่อพยพหนีร้อนมาพึ่งเย็น ทั้งที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อยามสงคราม และพวกที่เข้ามาค้าขายในอาณาจักรเมืองท่าแห่งนี้ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ มิได้ก่อให้เกิดความแตกแยกทางความเชื่อหรือวัฒนธรรม แต่กลับเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและผสมผสาน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 83 โบสถ์คริสต์จักร จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:53:56 ]

ความคิดเห็นที่ 84 อยากนอนในเรือแบบนี้บ้างจัง เย็นสบายดี จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:55:22 ]

ความคิดเห็นที่ 85 บ้านตึกแบบฝรั่งเริ่มมีให้เห็นในสมัยนั้นแล้ว จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 86 โมเดลตลาดน้ำบางกะจะ ตลาดขนาดใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาหน้าป้อมเพชร อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอยุธยา จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:58:05 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ชาวบ้านร้านถิ่น และพ่อค้าจากหัวเมืองใกล้ไกล ตลอดจนพ่อค้าต่างชาติต่างภาษา นำสินค้าท้องถิ่นนานาชนิดจากหลากหลายท้องที่ เข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างคับคั่ง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 09:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ซื้อข้าวสารสักกระสอบไหมจ๊ะ? จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ฟินชอบเรือเป็นพิเศษ เพราะชีวิตผูกพันกับสายน้ำ อยากกลับไปบ้านเกิดริมน้ำ ที่ จ. สุราษฎร์ธานี จัง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 90 มาดูตลาดน้ำบางกะจะแบบมุมสูงกันบ้าง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ชีวิตที่เรียบง่ายในสมัยนั้น คงสุขใจไม่น้อย จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แถมรูปเรือสำเภาอื่น ๆ ที่ลืมเอามาลงอีก ๑ รูป จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ชอบตู้นี้เป็นพิเศษ แสดงให้เห็นถึงการทำนาของเกษตรกร มาดูรายละเอียดในรูปถัดไปว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ด้านข้างตู้ขวามือสุดจะมีที่หมุน เมื่อเราหมุนขึ้น - ลง ชาวนาจะขยับทำนา สีข้าว ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:28:25 ]

ความคิดเห็นที่ 95 กระดูกสันหลังของชาติ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 96 บูชาพระแม่โพสพ - รับขวัญท้องข้าว แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 51 10:32:18 จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 97 มาดูด้านข้างกันบ้างค่ะ ชาวนาต้องเหน็ดเหนื่อย เสียหยาดเหงื่อแรงกายมากมายเพียงใด กว่าจะปลูกข้าวได้แต่ละเม็ด มาให้คนไทยอย่างเรา ๆ ได้กินกัน จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ย้อนกลับมาดูที่ห้อง "ไทยแท้" ว่ามีอะไรที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยกันบ้าง? อย่างแรกเลยคือ ส้มตำ ไก่ย่าง จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 99 แม่ค้าหาบเร่ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 100 รถตุ๊ก ตุ๊ก จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:40:43 ]

ความคิดเห็นที่ 101 มวยไทย มรดกไทย มรดกโลก จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 102 และแน่นอนที่ขาดไม่ได้เลยคือ งานวัด จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:45:19 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ไอศครีมโบราณ แบบนี้ด้วยเเช่นกัน ขอบคุณที่ยังสนใจและติดตามรีวิว "มิวเซียมสยาม" กันบ้าง ทริปหน้ามีอะไรที่น่าสนใจ จะนำมารีวิวให้ชมกันอีกค่ะ สวัสดีค่ะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 10:47:40 ]

ความคิดเห็นที่ 104 .. แวะมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ครับ   ได้ความรู้มากมาย ^^ .. จากคุณ : POGGHI - [ 19 ธ.ค. 51 18:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แล้วทำมัยเธอไม่เข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์มั่งอ่ะฟิน อิอิ จากคุณ : เอสซึ... - [ 19 ธ.ค. 51 19:56:25 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คุณPOGGHI - ขอบคุณที่แวะมาเที่ยวค่ะ อย่าลืมไปเที่ยวของจริงด้วยน๊า คุณเอสซึ... - บ้าเหรอแก พิพิธภัณฑ์ ไม่รับช้านย่ะ ไม่ผ่านอ.ย. เฟ้ยยย ! จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 19 ธ.ค. 51 21:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ตามมาเที่ยวอีกแล้วค่ะ รูปเยอะข้อมูลแยะ มีประโยชน์มากๆค่ะ จากคุณ : Red-Rose-14Feb - [ 19 ธ.ค. 51 22:47:55 ]

ความคิดเห็นที่ 108 คุณRed-Rose-14Feb - ว้าว ! ดีใจจังที่ตามมาเที่ยวด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ และดีใจที่คุณRed-Rose-14Febชอบค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : เจ้าฟินตัวอ้วน (Finyah) - [ 20 ธ.ค. 51 08:28:45 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ตามไปเที่ยวค่ะ รีวิวได้มีสาระมากเลยค่ะ ไว้จะหาโอกาสไปมั่ง จากคุณ : BeeVee' - [ 5 เม.ย. 52 15:36:38 ]