Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    คนไทยดูถูกกันเอง...โรงแรมมโนราห์ ถ.สุรวงศ์

    ออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องที่จะเขียนขึ้นนี้เกิดจากเรื่องจริงที่ดิชั้นได้ประสบมา อาจจะมีความยาวมากอยู่ซักหน่อย แต่อยากให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกันเป็นประสบการณ์ค่ะ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (26 ม.ค. 2552) เพื่อนคุณแม่ซึ่งเป็นชายชาวเนเธอร์แลนด์ อายุประมาณ 60 ปี ได้เข้าพักที่โรงแรมมโนราห์ ถ.สุรวงศ์ ซึ่งเพิ่ง Check in เข้าในโรงแรมเมื่อช่วงเช้า ซึ่งในการ Check in คุณแม่ได้รูดบัตรเครดิตและทิ้งนามบัตรของคุณแม่ไว้ (ในนามบัตรระบุ ชื่อ-นามสกุลและตำแหน่งเจ้าของกิจการร้านจิวเวลรี่) และแจ้งความจำนงค์ว่าจะเข้าพักถึงวันที่ 29 ม.ค. หลังจากนั้นคุณแม่ได้พาเพื่อนออกมาทานข้าวและพากลับไปส่งที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน
    เวลาประมาณ 17:00น. เพื่อนคุณแม่ได้มาหาที่บ้าน และขอความช่วยเหลือในการโทรกลับไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยต้องการที่จะซื้อซิมโทรศัพท์จากเมืองไทยและนำไปใช้กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่นำมา แต่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องพัก คุณแม่จึงให้ดิชั้นตามเพื่อนคุณแม่ไปที่โรงแรมเพื่อจัดการเปลี่ยนซิมและเติมเงินโทรศัพท์ฯให้ ดิชั้นได้เข้าลิฟท์และไปที่ห้องพักพร้อมกับเพื่อนคุณแม่ ขณะที่กำลังจัดการกับโทรศัพท์อยู่นั้น ได้มีโทรศัพท์เข้ามาที่ห้องพัก เพื่อนคุณแม่รับสายและพูดโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งและเรียกให้ดิชั้นไปพูด ซึ่งนี่คือบทสนทนาระหว่างดิชั้นกับพนักงานโรงแรมท่านนั้น
    ดิชั้น: ฮัลโหล
    พนักงานโรงแรม: ถ้าคุณค้าง ทางโรงแรมต้องคิดเงินเพิ่ม 530 บาทนะครับ
    ดิชั้น: ดิชั้นไมได้ค้างนะคะ แขกพักคนเดียวค่ะ
    พนักงานโรงแรม: แล้วคุณขึ้นไปทำอะไร
    ดิชั้น: ขึ้นมาเอาของค่ะ
    พนักงานโรงแรม: คุณขึ้นไปเอาของงั้นหรือ แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะลงมา
    ดิชั้น: คงไม่น่าจะเกิน 10 นาทีน่ะค่ะ
    พนักงานโรงแรม: 10 นาทีนะ ถ้าเกิน 10 นาที ทางโรงแรมจะ Auto Charge เข้าไปใน Account เลยนะ

    ดิชั้นวางหูและเล่าให้คุณลุงฟังว่าเกิดอะไรขึ้น คุณลุงก็เล่ากลับมาว่าตอนที่รับโทรศัพท์ พนักงานโรงแรมท่านนี้ก็ได้บอกว่า We are going to charge 530 Baht for your girlfriend. ซึ่งคุณลุงก็ได้บอกไปล้วว่าดิชั้นเป็นหลาน แต่ทางพนักงานท่านนั้นยืนยันอยู่อย่างเดิม

    ดิชั้นได้กลับมาบ้านและเล่าให้ที่บ้านฟังว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแม่จึงได้โทรไปที่โรงแรมและขอพูดกับผู้จัดการโรงแรม ซึ่งได้รับคำตอบว่าขณะนั้นไม่มีผู้จัดการท่านใดอยู่ในโรงแรมเลย ไม่ว่าจะเป็น Front Manager, Night Manager แม้แต่ Restaurant Manager ก็ไม่อยู่ คุณแม่จึงได้เล่าเหตุการณ์ให้กับผู้รับสายฟังซึ่งคิดว่าน่าจะเป็น Receptionist เรื่องนี้น่าจะจบลงด้วยดี ถ้าคุณแม่ไม่บังเอิญขอทราบชื่อพนักงานโรงแรมท่านนั้นที่ได้พูดกับดิชั้น ซึ่งที่ Receptionist บอกนั้นคือชื่อคุณวิชัย คุณแม่ได้ขอสายคุณวิชัยเพื่อที่จะทำการต่อว่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    คุณแม่: คุณวิชัยเหรอคะ
    คุณวิชัย: ครับ
    คุณแม่: คุณวิชัยเป็นคนโทรขึ้นไปที่ห้อง 500 และได้บอกว่าจะคิดเงินเพื่ม 530 บาทใช่มั้ยคะ
    คุณวิชัย: ใช่.... มันเป็น Policy ของ Hotel

    คุณวิชัยไม่ได้มีน้ำเสียงหรือคำพูดที่ต้องการจะแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทางครอบครัวดิชั้นและคุณลุงตกลงใจแล้วว่าเราจะย้ายคุณลุงออกจากโรงแรมฯและไปเข้าพักที่อื่น ขออธิบายเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ด้านหน้า Front หรือหน้าลิฟท์ไม่ได้มีป้ายใดๆที่จะบ่งบอกว่าห้ามนำคนนอกเข้ามาที่ห้องพัก ทางครอบครัวเราได้ทำการติดต่อกับลูกค้าและเพื่อนๆซึ่งเป็นชาวต่างชาติมาตลอดและได้เข้าพักที่โรงแรมมีชื่ออย่าง Shangrila หรือ Hilton และเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

    ดิชั้นไม่อยากให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกเลย เราคงจะไปโทษคนต่างชาติไม่ได้ที่เค้าดูถูกผู้หญิงไทย เพราะเราคนไทยด้วยกันเองยังดูถูกกันเองแบบนี้

    จากคุณ : horizia - [ 27 ม.ค. 52 08:56:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com