Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด เคราทองใจเพชรชื่อริชาร์ด แบรนสัน และ โรงแรม "ลี้แล้วจ้า"

    โคตรใจใครจะเทียบจริงๆ สำหรับมหาเศรษฐีเคราทอง แห่งเกาะอังกฤษนามว่า เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของกลุ่มกิจการ Virgin Group ได้แถลงข่าวถึงการรับช่วงต่อ "การอดอาหารประท้วง" ต่อจาก มีอา ฟาร์โรว์ นักแสดงฮอลลีวู้ด ที่ตอนนี้เป็น ทูตของ UN ในเรื่องการแก้ไขปัญหาความอดอยากในแอฟริกา และการประท้วงของ มีอา ดำเนินมาได้ 2 สัปดาห์ เนื่องจากปัญหาความอดอยากในประเทศซูดาน ริชาร์ด จะรับช่วงต่อในการอดอาหารประท้วงที่ ลอส แอนเจลิส โดยจะเริ่มในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เป็นเวลา 3 วัน ก่อนตัดสินใจต่อไป หาก ไม่มี Reaction ใดๆ เกิดขึ้น

    การแถลงนี้มีเมื่อวานนี้ตามเวลาประเทศไทยครับ

    นอกจากนั้น ริชาร์ด ได้แถลงว่า เขาจะให้ Virgin Atlantic และ Virgin America สองสายการบินที่เป็นของเขานั้น เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในเรื่องการปล่อยของเสียสู่ชั้นบรรยากาศ ตามคำสั่งของ คณะกรรมาธิการกิจการการบินของสหภาพยุโรป หรือ Europa Aviation Commission และตามคำขออาสาสมัครของ FAA และ กระทรวงคมนาคมของอเมริกา ซึ่งนับเป็นสายการบินแรกของทวีปยุโรป และสายการบินอรกของอเมริกาที่เข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ The Climate Registry ซึ่งเป็นองค์กรอิสระของสหประชาชาติที่มีประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบการปล่อยของเสียเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ จนกลายเป็นปัญหาโลกร้อน โดยก่อนหน้านี้ มี Wal-Mart, Ford, Red Bull เข้าร่วมไปแล้ว

    การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวทำให้สองสายการบินจะอยู่ในการควบคุม ดูแล และกำกับกิจการการบินของตนด้วยเช่น หากพบว่าเที่ยวบิน หรือ เส้นทางบินที่ใช้เครื่องบินใด เกิดมีการปล่อยของเสียออกมามากกว่ากำหนด ก็อาจโดนสั่งลด หรือหยุดให้บริการชั่วคราว แน่นอนครับว่า มันจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างใหญ่หลวง แต่ก็ถือว่า ความรับผิดชอบของตาเครานั้น มันพูดไม่ออกครับ

    และตาเครา ก็ยังจะนำผลการทดสอบการใช้พลังงานมะพร้าวห้าวของตนเอง เข้าไปให้คณะกรรมการอิสระดังกล่าวได้ตรวจสอบและพิจารณาอีกด้วยครับ

    ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมาจะจริงหรือเป็น Propaganda แต่ตาเครา เค้าก็กำลังสร้าง Inspiration ใหม่ๆให้กับคนที่เรียกตัวเองว่า Executive ได้เห็นกัน

    อ้อ ฐานปล่อย Virgin Galactic ในรัฐ นิวเม็กซิโก และที่สวีเดน เริ่มสร้างแล้วนะครับ คาดว่า Space Tourism ของเขาคงจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการได้ในปี 2011

    มาต่อกันอีกเรื่อง ที่คนในวงการการท่องเที่ยวต้องพิจารณาครับ

    เพราะกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมขนาดยักษ์ของโลก ประกาศผลกระกอบการที่ติดลบใน Q1 อย่างรุนแรง ด้วยสาเหตุ คนอยู่กับบ้าน โดยเฉพาะยุโรป และอเมริกา และแนวโน้มก็จะอยู่บ้านมากขึ้นด้วย ดังนั้น

    กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมเหล่านี้ก็เลยประกาศลดการให้บริการในภูมิภาคอื่นๆ ลงแล้วเพิ่มการลงทุนใน จีน อินเดีย และตะวันออกกลางมากขึ้น (ขีดเส้นใต้ตรงนี้ไว้ 428 เส้นเลยนะครับ) เช่น

    กลุ่ม Mariott ผู้บริหารโรงแรมในแบรนด์ Ritz Carlton และ Renaissance ของอเมริกา ประกาศจะขยายกิจการเพิ่มในจีน และอินเดียจากที่เคยมีอยู่ ร้อยกว่าสาขา ให้เพิ่มอีก 30 เปอร์เซนต์

    กลุ่ม Accor ของฝรั่งเศส ก็ตัดสินใจลงทุนเพิ่มกิจการใน จีน อินเดีย และตะวันออกกลางเพิ่มอีก เช่นในจีน จะเพิ่มอีก 25 สาขาในอีก 4 ปีข้างหน้า และอีกประมาณสิบสาขาในอินเดีย

    รวมไปถึงกลุ่ม Oriental Mandarin ของอังกฤษ ก็เช่นกัน

    แต่.......... เอาที่ผมให้ขีดเส้นใต้มาคิดอีกที คือ
    จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง

    ไม่มีใครเชื่อว่า การขยายตลาดในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จะสามารถสร้าง Yield ที่คุ้มค่าให้แก่เจ้าของกิจการเหล่านั้นได้ เพราะ.....

    เมื่อต้นปี จีนเพิ่งประกาศลงทุนในการพัฒนากิจการโรงแรม และรีสอร์ท ในเมืองต่างๆทั่วประเทศ ที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ เป็นมูลค้า 4.5 พันล้านหยวนในอีก 4 ปีข้างหน้า และอินเดียเอง ก็ลงทุนในเรื่องเดียวกัน พร้อมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ ทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านเหรียญ

    เพราะงั้น กลุ่มพวกนี้ ออกมาสร้างโรงแรม ให้คนของตัวเองมาพักถูกมั้ยครับ แต่คนของเค้าไม่ออกมา ในขณะเดียวกัน คนในประเทศนั้นๆ จะเอาปัญญาที่ไหนไปจ่ายเงินเพื่อพักในโรงแรมของพวกเค้า จริงอยู่ว่ามี แต่จำนวนมันมากแค่ไหนล่ะ

    มันก็คือการล่อให้เข้าไปอยู่ที่ที่ควรจะได้ ด้วยจำนวนคน แต่จะกลายเป็นจุดอับต่อรายได้ และแน่นอนในเมื่อรัฐบาลของประเทศดังกล่าว เพิ่งเอาเงินไปลงทุนให้กับกิจการของคนในชาติตัวเอง นั่นเท่ากับ สัดส่วนการให้เงินกู้สำหรับต่างชาติย่อมลดลง และกลุ่มกิจการเหล่านี้ เขาไม่เคยเอาเงินสดไปลงทุน เขาเอาตัวเลขไปขอกู้ แล้วสถาบันการเงินในประเทศนั้นๆ ก็ดันให้ไปอีก คราวนี้ก็เช่นกัน

    อีกทางหนึ่ง ในเมื่อคนในประเทศที่เป็นเจ้าของกิจการ เพิ่งจะได้รับการดูแลจากรัฐ พวกเขาจะยัง "จำเป็น" ที่จะต้องไปหุ้นกับกลุ่มทุนเหล่านี้หรือไม่ครับ การร่วมหุ้น สิ่งที่ได้กลับมา คือ รูปแบบการบริหาร ที่สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็น "การออสโมซิส" ทางวัฒนธรรมได้ตลอดเวลา และกลุ่มเป้าหมายจากต้นทาง ที่แต่นี้ไป "มันไม่มี"

    และหากกลุ่มทุนเหล่านี้ทำแบบนี้ นั่นจะทำให้เขาต้องไปลด "งาน" ในประเทศของตน หรือในภูมิภาคที่อ่อนแอลง เอาแค่เฉพาะในประเทศหรือภูมิภาคของตนเอง ตอนนี้ก็ พินาศสันตะโร อยู่แล้ว ก็จะยิ่งแย่เข้าไปอีก และประเทศของตนก็ย่อมต้องเรียกร้องความรับผิดชอบของกลุ่มกิจการดังกล่าว สุดท้าย กลุ่มพวกนี้ เค้าก็ต้อง "กลับบ้าน" ไปรับผิดชอบคนของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ ต้องกลับไป "รับผิดชอบ" ใน "สิ่งที่ตนเองได้ทำเอาไว้"

    นี่คือ Consequences ที่สำคัญของไข้หวัดตะกละตะกราม ที่ทำให้ แคริบเบียน ต้องโดนปิดตาย กลุ่มพวกนี้ โดนชี้เป้า ชี้มูลความผิด ปลายทางของตนเองถูกปิด เค้าก็ต้องหาที่เพื่อเอาตัวเลขที่เค้ายังคงปั่นอยู่ มาหาที่แปลงเป็นเงินสดอยู่วันยังค่ำ ทุกอย่างก็เข้าแก๊ป เรียบร้อย

    ไปดูอีกทีนะครับ พี่เข้ม ลูกพี่ผม เพิ่งจะออกกฎสำหรับผู้ว่างงานมาใหม่ เมื่อสองวันก่อน คือ "Back to School" คือให้ไปเรียนวิชาชีพ เป็นเวลา 2 ปี ห้ามหางานทำ แล้วรัฐจะดูแล จนถึงวันที่คนเหล่านั้นจะสามารถไปประกอบวิชาชีพสำหรับตนเองได้ เพื่อดัดนิสัย Wait & See ของคนอเมริกัน และยุโรป

    ในอีกทาง ไข้หวัดปลอม เนี่ย ทำให้ รัฐบาลของลูกพี่ผมสามารถกระทุ้งปัญหาสุขภาพที่แท้จริงของประชาชนทั้งในอเมริกา และยุโรปได้อย่างชัดเจน คือ ปัญหาอยู่ที่การกิน มันคือจุดเริ่ม

    ดังนั้น การที่ มิเชล ซ้อใหญ่ ปลูกผักในทำเนียบขาวก็จะวกมา "ตอกย้ำ" เพราะพืชเหล่านั้นที่ปลูก รวมทั้งต้นไม่ที่ลูกพี่ผมปลูก ล้วนเป็นพืชอาหารสมุนไพร ทั้งสิ้น

    ถูกต้องครับ ก็แก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนวิธีบริโภคซะ ร่างกาย สุขภาพก็ดีขึ้น
    ท่านทราบมั้ยครับว่า ประเทศอเมริกันจะเป็นไง

    การเก็บภาษีก็จะต่ำ เพราะคนที่ตกงาน ไปเรียน รัฐดูแล ไม่ต้องจ่ายภาษี 2 ปี

    การชำระหนี้ ก็จะไม่เกิด เพราะคนเหล่านี้ ไม่ต้องจ่ายหนี้ ห้ามชำระหนี้ หากคุณเข้าโปรแกรมฝึกวิชาชีพ จนเมื่อพ้น 2 ปี เค้าทำงาน เขาถึงเริ่มจ่ายใหม่ นอกจากนั้น ดอกเบี้ย เงินต้น หยุดทันที เมื่อคุณสมัครเข้าโครงการ แล้วค่อยไปคิดดอกเบี้ยในอัตราใหม่ที่จะเกิดในอีก 2 ปีข้างหน้า และธนาคารเจ้าหนี้ ไม่มีสิทธิทวงหรือ คิดค่าปรับหรือยึดทรัพย์ได้ด้วย

    ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ครอบครัวของคนเหล่านี้บางส่วนก็จะไปขอล้มละลายมากขึ้น ระบบการเงินก็เสียหมด ระบบทุกอย่างจะพังพินาศหมด และนี่แหล่ะคือ เหตุผลที่ลูกพี่ผมต้องประกาศงบประมาณล่วงหน้าของปีหน้าว่าจะต้องใช้เงินถึง 3.15 ล้านล้านเหรียญ

    ลูกพี่ผมจะเอามาจากไหนถ้าไม่ใช่ การยึดทรัพย์สินและหนี้สินของธนาคารสถาบันการเงิน การรีดภาษีจากแคริบเบียน และการยึดกิจการธุรกิจขนาดยักษ์ทั้งรถยนต์ ประกันภัย โรง'ยาบาล บริษัทยา และตลาดหุ้น รวมทั้งการกู้ทองคำแท่งของประชาชน

    เมื่อถึงวันนั้น ลูกพี่ ผมก็จะเหลือวิธีเดียว คือ "ปิดประเทศ" แบบที่ มาเลเซียทำตอนปี 40 โดยจะกลับมาใช้ ไข้หวัดหมู นี่แหล่ะ เป็นประเด็น เพราะมันก็จะยังไปของมันเรื่อยๆ อย่าลืมนะครับว่า WHO บอกว่าไม่มีวัคซีน และจะมีคนทั่วโลกติดเชื้อกว่า 3 พันล้านคน ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี และบริษัทยา ก็ไม่ผลิตยา ทั้งๆ ที่เขาจะได้ประโยชน์โคตรๆ แล้วทำไมเค้าไม่ผลิต พวกเขาประกาศเองว่าไม่ R&D และไม่ผลิต เพราะไม่คุ้ม เนื่องจากเป็นไวรัสชนิดใหม่

    คุณคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ อเมริกา มีทองคำแท่ง ไปค้ำประกันระบบการเงินของตัวเอง และ "ปิดประเทศ" ครับ

    วิธีการที่ตาเคราทำนั้น จะมีให้ได้เห็นมากขึ้นจาก นายทุน และผู้บริหารที่คิดได้

    การใส่ผ้าปิดปาก คือ Symbolic ชั้นดีเลยครับ แปลว่า ไม่เอา

    แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 52 16:39:48

    จากคุณ : เด็กคน - [ 11 พ.ค. 52 16:34:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com