ความคิดเห็นที่ 14
นาคานคร
หนองคายหรือที่ได้รับขนานนามกันว่าเป็นเมืองแห่งพญานาค ด้วยเหตุที่เมืองส่วนใหญ่ติดกับลำน้ำโขงที่มีความเชื่อมาเนินนานเกี่ยวกับพญานาค หนองคายเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองสวยงามน่าอยู่ติดอันดับโลกมาแล้ว ( ตัวชี้วัดด้าน ภูมิอากาศ , ค่าครองชีพ , ที่พัก , ศิลปวัฒนธรรม , ระบบการขนส่ง , บริการสาธารณสุข , สิ่งแวดล้อม , กิจกรรมทางเลือกพักผ่อนหย่อนใจ , บริการทางการแพทย์ , ความปลอดภัย , ความมั่นคงทางการเมืองและเทคโนดลยีที่เข้าถึงไดเอย่างเพียงพอ ) จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมาเยือนหนองคายครั้งนี้เราจะพบ ชายชรา หญิงชรา ชาวตะวันตก ชาวตะวันออกไกลจำนวนมากเดินเตร็ดเตร่ ซื้อจับจ่ายข้าวของอยู่ในตลาด บ้างก็ปั่นจักรยานไปมาภายในตัวเมือง สอดแทรกกับคนไทยสำเนียงภาคกลางชัดเจนแทรกตัวอยู่ในชุมชน นั่นน่าจะหมายความว่าหนองคายได้เป็นจุดพำนักยามบั้นปลายของหลายชีวิต ที่เลือกจะอยู่กับความสงบในบรรยากาศที่ดี และในขณะเดียวกันสีสันของเมืองหนองคายเมืองท่าชายแดนที่มีสีสันก็ไม่เคยเหงา แม้ว่าชาวลาวส่วนใหญ่เมื่อข้ามมาเที่ยวประเทศไทยแล้ว มักจะมุ่งตรงเข้าสู่ จ.อุดรธานี และจ.ขอนแก่น เป็นหลักก็ตาม แต่ในท้ายที่สุด หนองคายก็จะเป็นเมืองสุดท้ายที่จะทำกิจธุระก่อนข้ามกลับไปเสมอ อีกทั้งทุกวันนี้ความสะดวกสบายในการเดินทางท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศซึ่งถือเป็นเพชรเม็ดงามของ อุษาคเนย์มีความสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาด้วยความชาวอาเซียนที่ถือหนังสือเดินทางสัญชาติภูมิภาคอาเซียน จะสามารถเดินทางเข้าออกประเทศเพื่อนบ้านได้เลยอย่างสะดวกโดยไม่ต้องขอ visa โดยจะสามารถอยู่ได้นานถึง 30 วัน ขณะที่ผู้ไม่สะดวกและอยากตัดความรำคาญในการเข้าออกโดยใช้หนังสือเดินทาง ก็สามารถขอใบผ่านแดนได้อย่างสะดวกง่ายดายโดยมีหลากหลายรูปแบบและใช้เวลาไม่นาน เช่นการไปขอเองที่สำนักงานศูนย์สินค้า( ตรงข้ามโรงเรียนปทุมเทพ ก่อนเข้าตัวเมือง ) ซึ่งเพียงแต่มีบัตรประจำตัวประชาน 1 ใบไปยื่น พร้อมค่าธรรมเนียม 30 บาทกับเวลา อีก 5 นาที ( ขึ้นกับจำนวนนักท่องเที่ยวว่าเยอะหรือไม่ ) ในขณะที่หากต้องการความสะดวกสบายก็เพียงติดต่อ บ.ทัวร์ ที่มีหลากหลายหน้าด่านชายแดนมิตรภาพไทย ลาว คอยให้บริการในเวลาไม่นานพร้อมค่าใช้จ่ายหลักร้อย หรือใครชอบที่จะขับรถก็สามารถทำหนังสือเดินทางสำหรับรถยนต์ ขับข้ามไปได้เลย หรือจะฝากรถก็มีที่ฝากรถที่แสนสะดวก ปลอดภัย และมีร่มเงาให้บริการในอาคารบริษัททัวร์ต่างๆ ในราคาที่ไม่แพงนัก หรืออีกทางเลือกคือการ นั่งรถไฟข้ามแม่น้ำโขง ก็มีให้เลือกตามอัธยาศัย ดังนั้นการไปมาของชาวไทย ลาว ทุกวันนี้แสนสะดวกภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่แสนจะผ่อนปรนสำหรับทั้ง 2 ชาติและชาวอาเซียนมากว่าเดิน แต่บางครั้งอาจจะมีข้อขัดข้องบ้างตามวาระ และระบอบระเบียบการดูแลของแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจรวมทั้งใส่ใจก่อนเดินทางเข้าประเทศนั้นๆอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ภายในตัวเมืองหนองคายมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย แต่บังเอิญทริปนี้เราเลือกที่จะใช้เวลากับการปล่อยความคิดและชีวิตไปกับสายน้ำโขง จึงเลือกที่จะเอ้อระเหยและลอยชาย ให้มากที่สุดริมฝั่งแม่น้ำโขง ในสถานการณ์วันหยุดยาว และนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยือนหนองคายเช่นนี้ ที่พักขึ้นชื่อต่างๆล้วนแต่ถูกจับจองเต็มหมด สำหรับเราที่แผนถูกเปลี่ยนไปมาหลายครั้งจากที่เคยจะแวะนอนที่ อ.ท่าบ่อ แต่ก็เปลี่ยนแผนมานอน ตัวเมืองหนองคายแทนนั้น แทบจะหาที่พักสำหรับค่ำคืนไม่ได้ ที่พักรูปแบบต่างๆเต็มเกือบหมดจึงหลายเป็นว่าการมาหนองคายรอบนี้ของเรา เป็นการสำรวจที่พักต่างๆในหนองคายไปในตัว ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากและมีสถานที่พักใหม่ๆน่าสนใจเกิดขึ้นมาหลายแห่ง เช่น หนองคายรีสอร์ต ที่พักสไตล์รีสอร์ต ในราคาเหมาะสม มีหลากหลายรูปแบบของการพักผ่อนให้เลือก ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟ จ.หนองคายแห่งใหม่ ซึ่งสะดวกสบายในการที่จะเดินทางข้ามไปลาวด้วยรถไฟ และด้านหน้าที่พักมีจุดท่องเที่ยว คือห้องสมุดรถไฟ ซึ่งสร้างจากโบกี้รถไฟเก่าสีครีมสวยงามให้บริการ , อีสานรีสอร์ต ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามวัดศรีคุณเมือง ติดกับริมแม่น้ำโขงและตลาดท่าเสด็จ เป็นที่พัก แบบเกสเฮาส์ ที่ร่มรื่น น่านอนน่าพักผ่อนเป็นอย่างยิ่งด้วยรูปแบบห้องพักที่เป็นเรือนแถวไม้ เสมือนมานอนเล่นบ้านญาติในต่างจังหวัด ที่นี่อาจจะไม่สะดวกมากนักในการนำรถยนต์เข้ามาเพราะที่จอดน้อยและซอยคับแคบ แต่ก็สามารถจอดริมถนนทั้ง 2 ฝั่งได้ ในที่สุดเราก็มาตกผลึกกับที่พักสำหรับค่าคืนนี้ หลังจากดั้นด้นมาตามเส้นทางสาย 211 มาตลอดทั้งวันแล้ว ด้วยความบังเอิญและโชคดี ที่ได้พักในโรงแรมชื่อดังริมโขงขนาดใหญ่ของหนองคาย ( ที่ตอนแรกเราคิดว่าเต็มแน่นอน แต่ลองเสี่ยงดวงที่จะโทรเข้าไปสอบถามดู ซึ่งปรากฎว่าว่างอยู่จำนวนหนึ่งพอดี ) และที่นี่เอง โชคชะตาและลำน้ำโขงก็ดลบันดาลให้เราพานพบกับมิตรต่างวัยที่เจอกันที่เชียงคานอีกครั้ง
หนองคายคืนนี้ฝนตกปรอยปราย สร้างความชุมฉ่ำและบรรยากาศริมฝั่งโขงได้อย่างดี เราทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ไปยังอีกฝั่งของเพื่อนบ้านในเวลาดึกสงัดแล้ว พลางนึกไปว่าเพียงสายน้ำโขงกั้นขวางกับประสบการณ์อดีตของ 2 ชาติกลับทำให้ความเหินห่างและหมางเมินลึกๆในใจปรากฏอยู่ในคนทั้ง 2 เชื้อชาติ แม้ว่าหากสาวชาติพันธุ์ไปลึกๆแล้ว ล้วนแล้วแต่มาจากรากและเหง้าของ ปู่ยา ย่าเยอเช่นเดียวกันทั้งนั้น สะพานมิตรภาพวันนี้ได้ทำให้มิตรภาพของ 2 พี่น้องกระชับกันมากยิ่งขึ้น แต่อีกนานแค่ไหนที่ คน 2 ชาติจะสามารถเดินทางไปมา หาสู่ทำมาค้าขายและท่องเที่ยว ไปหย่ามไปเยือนกัน โดยไม่ต้องมีตราประทับและขั้นตอนพิธีการต่างมากั้นขวางมากมายนัก เราได้แต่หวังไว้ในใจว่าในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้าน่าจะเป็นเช่นนั้นได้
จากคุณ :
spras77
- [
17 พ.ค. 52 21:19:32
]
|
|
|