ความคิดเห็นที่ 1 ซูมเข้าไปที่ขอบฟ้า จะเห็นม่านฝนอยู่ไกลๆ ครับ ดูคล้ายกับก้อนเมฆกำลังสลายตัว ค่อยๆ ไหลลงมาจากฟากฟ้า ในขณะที่ยังมีแสงแดดอยู่ตามกลีบเมฆครับ ธรรมชาตินี้แปลก ให้ความรู้สึกแก่คนสัตว์ ที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่ได้แตกต่างกันมาก  แต่ถ้าหากเราถอยออกมามองไกลๆ เราจะเป็น มุมกว้างของพื้นที่ได้มาก จนทราบว่า ฝนที่ตกก็แค่ลงในพื้นที่แคบๆ ไม่ได้หนักหนาอะไรอย่างที่ คิดครับ  ตกๆ แล้วก็หยุด ไม่ต้องไปตกใจอะไรนัก ปรัชญาชีวิตเลยนะนี่ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 11:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตกลงจบวันนี้แน่...  ชิมิน้องชาย ไว้ต้องตามกันไป   สวยมากเลยอ่ะจ้า จากคุณ : แม่ซากานะ - [ 1 มิ.ย. 52 11:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สวยนะ จากคุณ : สินธร - [ 1 มิ.ย. 52 12:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หวัดดีจ้า คุณแม่ซากานะ คร๊าบ จบแน่ครับ ของดีต้องใจเย็นๆ สวัสดีคุณสินธร ใช่ครับ ไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นของสูง ด้วยครับ จากตอนที่แล้ว ผมกำลังจะพาเข้าไปชมภายในเจดีย์ศรีพุทธคยา ตรงชั้นสอง ซึ่ง มองจากภายนอกจะดูข้างในมืดมาก เพราะวันนั้นแสงแดดจ้ามาก และแสงข้างในจัดให้ดูนุ่มนวล ผมไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง เลยอาจทำให้ ภาพไหวมัวไปบ้างนะครับ รูปนี้คือ พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์ ขนาดหน้าตัก 108 นิ้ว สูง 4 เมตร ครับ  จะเห็นว่าทางผู้สร้างได้ซ่อนบันไดทางขึ้นไว้ค่อนข้างแนบเนียน ถ้าไม่สังเกตุก็จะไม่ทราบครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 15:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองเข้าไปใกล้อีกนิด หลังจากกราบนมัสการแล้ว ขอถ่ายภาพพระองค์ท่านสักภาพ ไว้เป็นที่ระลึกครับ  มีรายละเอียดเกี่ยวกับพระองค์ท่าน คือท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ถัดจาก พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) มีนามเต็มว่า พระศรีอริยเมตไตรยสัมพุทธเจ้า  ที่เชื่อว่าหลังจากปี พ.ศ.5000 ไปแล้วโน้นครับ  แต่บางตำราบอกว่านานกว่านั้น จนไม่ต้องรอ ขอแต่ให้ชาวพุทธยึดมั่นในศีล ทำบุญ คุณความดีไว้มากๆ เราตายเกิดๆ ซ้ำๆ กันไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่ง มาถึงยุคของพระองค์ท่าน เราจะได้อยู่รอด เพราะยุคนั้น คนไม่ดี หรือไร้ศีลธรรมจะฆ่ากันตายหมด ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 15:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อแตกต่างของรูปปั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันกับ พระศรีอริยเมตไตรยฯ ก็คือ เครื่องทรงของพระองค์จะแตกต่างกัน  พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจะทรงห่มจีวรปกติ ไม่สวมสิ่งใดบนพระเกศา (แต่มีพระเกษาสั้นรูปก้นหอยเรียกราย กันอยู่ โดยที่ปลายจะมียอดแหลมบ้างตามศิลปะกรรมของช่างปั้น) แต่รูปปั้นของพระศรีอริยเมตไตรยฯ นี้ พระองค์จะทรงชุดคล้ายเทพยดา บนสวรรค์ มีสวมชฏา นุ่งพระภูษา สวมสายสังวาลย์ กำไลแขน กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า เปรียบเสมือนว่าในยุคของท่าน มีแต่ชาวสวรรค์ ไม่ใช่ชาวมนุษย์ธรรมดาแล้ว ตามตำนานยังเล่าว่า ในยุคนั้นผู้คนไม่ต้องมาแก่งแย่งหากิน กันแล้ว หน้าตาเหมือนกัน ฯลฯ ฟังๆ ไปนั่นก็คือ ไม่ใช่มนุษย์ คือโลกทิพย์ แล้วละครับ  ถ้าหากคนเราไม่หมั่นทำบุญ อยู่ในศีล ทำสมาธิ จะขึ้นไปอยู่ในโลกของพระองค์ไม่ได้เด็ดขาดครับ จากรูปข้างล่างก็คือตัวอย่างพระพุทธรูป(ตรงสามเหลี่ยมทองคำ) ที่เรากราบไหว้ อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน(พระศรีศากยมุนีโคดมฯ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มองไปทางซ้ายมือ ที่ผนัง จะเห็นศิลปะปูนปั้นเล็กๆ ประดับที่ผนัง เพื่อบ่งบอกถึง วิมานชั้นฟ้า  ตรงผนังด้านหลังจะมีโมเดลย่อของเจดีย์ลอยอยู่บนก้อนเมฆ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ซูมกล้องไปที่ โมเดลย่อเจดีย์บนสรวงสวรรค์ดูนะครับ ทางผู้สร้างมีไอเดียที่ดี ในการจัดวาง โดยมีแสงสว่างใต้ฐานพระเจดีย์ (บังด้วยก้อนเมฆ) และรัศมีทอง ที่ปลายเจดีย์ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:25:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไปยืนใต้โมเดลเจดีย์ย่อ (ด้านหลังซ้ายของ องค์พระ) หันกลับมาดู ประตูทางเข้า จะเห็นว่ามีทางเดินอยู่ข้างหน้าห้อง ซึ่งมีช่องหน้าต่าง มองออกไปที่ระเบียงด้านหน้าได้ครับ (ตรงนี้ เข้ามาใหม่ๆ จะงง เหมือนกันว่าจะไปทางไหนได้บ้าง  ถ้าหากไม่เห็นคนเดินนำไปก่อน จะไม่ทราบเลยครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แหงนขึ้นไปข้างบนจะเห็น แนวบันไดซ่อนอยู่บนซุ้มประตูด้านหน้าอย่างกลมกลืน นับเป็นความเก่งของผู้สร้าง ที่ซ่อนบันไดไว้ อันจะทำให้ไม่เกิดความรู้สึก ไม่ดีงาม ยามมีคนเดินขึ้นไปข้างบน และไม่รู้สึกอันตรายด้วย จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเดินมาอยู่ด้านหลังองค์พระด้านขวา (อีกด้านหนึ่ง) ฝั่งเชิงบันไดขึ้นไปชั้น 3 แล้วครับ แหงนขึ้นไปจะเห็นบันไดทางขึ้นชัดเจนครับ  ซึ่งปกปิดไม่ให้เห็นคนที่กำลังขึ้นลงบันไดได้ และยังเป็นบันไดที่ขึ้นแล้วรู้สึกปลอดภัย แม้จะสูงชันพอควร (บวกกับการที่เดินมาจากลานจอดรถข้างล่าง หลายคนอาจปวดขา อ่อนเปลี้ยไปแล้วก็ได้ครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 16:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แพนกล้องไปทางองค์พระอีกครั้ง จะได้เห็นในมุมด้านหลังบ้าง ซึ่งก็มีความงดงามมากไม่แพ้ด้านหน้าครับ (ตรงนี้ภาพชัด เพราะมีแสงสว่างมากกว่าด้านหน้าครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้ ผมจะพาเพื่อนๆ ขึ้นไปนมัสการ  แบบจำลอง พระคันธกุฎี ที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จัดวางไว้บนชั้น 3  ยอดสูงสุดของ เจดีย์ศรีพุทธคยาแห่งนี้ ครับ บอกได้เลยว่า......ตื่นเต้นครับ เพราะบันไดทางขึ้นสูงชันเล็กแคบ คดเคี้ยว ดูให้รู้สึกผจญภัยเหมือนกัน ว่าข้างบนน่าจะมีอะไรน่าชม ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:08:50 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตรงจุดพักกลางบันไดนี้ ผมมองย้อนลงไป ก็รู้สึกเสียวๆ เหมือนกัน ครับ ผู้เป็นโรคหัวใจไม่แนะนำให้ขึ้นนะครับ...(หลอกเล่นนะ)   ผู้ที่ขึ้นมาสักการะข้างบนนี้  ทางวัดขอเพียง ให้สัจจะว่าจะถือศีลบริสุทธิ์อย่างน้อย 1 ข้อต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้นครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขึ้นมาปุ๊บ ก็เจอ แบบจำลองของพระคันธกุฎี อันเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงหน้าทันที  เนื่องจากเป็นสถานที่แคบ จึงไม่สะดวกต่อการถ่ายภาพมุมกว้างเลย  จำต้องถ่ายทีละด้านมาให้ชมกันครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ด้านขวามือของ พระคันธกุฏี จะเป็นรูปถ่ายของจริง มาแสดงให้ดู (เป็นภาพแบบมีแสงสว่างส่องมาจากด้านหลังภาพ คล้ายแผ่นสไลด์) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:23:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนผนังด้านซ้ายมือ นั้นก็เป็นรูปถ่ายพระคันธกุฏีของจริง โดยมองจากระยะไกลกว่ารูปด้านขวามือ ครับ  และป้ายชื่อวัดเดิม โดยไม่ได้ตัดคำว่า เสนาสนะออก (เติมคำว่าวัดเข้าไปเท่านั้น) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แหงนขึ้นไปดูเพดาน ซึ่งจากทรงเจดีย์ยอดแหลม จึงเหลือเพดานกว้างเท่าที่เห็น และมีช่องลมระบายอากาศร้อนขึ้นไปข้างบนด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:36:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เนื่องจากลักษณะห้องเป็นทรงปิรามิดสี่มุม จึงทำให้การออกแบบต่างๆ เช่นบานประตูก็ต้องมีลักษณะเฉียง ดังที่เห็นครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:50:00 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตอนนี้ผมกลับลงไปถึงบันไดที่จะลงชั้น 1 ตรงประตูทางเข้าด้านหน้าเจดีย์ศรีพุทธคยาแล้วครับ  ลาดชันไม่น้อย แถมค่อนข้างมืด เพราะแสงข้างนอกสว่างจ้ามาก แต่...ดูเป็นศิลป์เหมือนกันครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 17:58:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ออกมาที่ประตูด้านหน้าเจดีย์ศรีพุทธคยา คุณพ่อท่านขอภาพไว้เป็นที่ระลึก ผมเลยจัดให้ท่าน 1 ภาพครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 18:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 รั้วรอบๆ เจดีย์ส่วนบน จะมีการทำเป็นห้องเล็กๆ อาจเพื่อให้คนมานั่งพัก หรือ เจ้าหน้าที่วัด เวลามีงาน จะได้ใช้เป็นซุ้มที่นั่งให้บริการต่างๆได้ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 18:08:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ก่อนลงมา คุณพ่อและคุณแม่ท่านขอรูปคู่อีก จากรูปนี้จะเห็นสิงห์โตคู่ สีขาวและสีเทาดำ ด้านหน้าด้วย  ดูแล้วก็เหมือนกับสิงห์โตบนหัวเสาอโศก จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 18:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สำหรับสิงห์โตสีเทาดำ นั้นผมลองเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวเดียวกับ ที่เคยอยู่บนยอดเสาอโศก หรือเปล่านะครับ (จากกระทู้ที่แล้ว ในคห.85  ที่กล่าวถึง คุณธานินท์ ที่บอกว่า สิงห์โตบนยอดเสาอโศกตัวก่อนเป็นไฟเบอร์กลาสสีเทา ดำนะครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 18:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบพระคุณมากๆครับผม ให้กิ๊ฟรวบยอด 3 ดวงไปเลย หุหุ ปล. รบกวนถามนิดครับว่า หากไม่มีรถส่วนตัวนั้น จะไปถึงวัดอย่างไรครับ ที่ บขส ตาคลี ผมเห็นมีรถสองแถวไปท่าตะโก แต่จาก ท่าตะโกจะไปวัดต่อนั้น มีรถประจำทางผ่านหรือไม่ครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 1 มิ.ย. 52 18:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนนี้ก็ได้เวลาลงแล้วครับ  มองไปข้างหน้า (ด้านหน้า เจดีย์ศรีพุทธคยา) ก็จะเห็น ซุ้มประตูหิน และเสาอโศกอยู่ตรงกัน พร้อมทั้งวิวขอบฟ้ามัวๆ อยู่ไกลๆครับ  สมาชิกทุกคนนั่งรถสองแถวลงหมด ยกเว้นผมคนเดียว ยังเดินดุ่มๆ ถ่ายภาพ ท่ามกลางแดดร้อนๆ และเมื่อยขาอยู่ครับ  (ก็เพื่อเก็บภาพมาให้เพื่อนๆ ในห้องนี้ชมนั่นแหละครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 18:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณ คุณอุ้ย (digimontamer) ครับ ที่ได้ให้กิ๊ฟแบบทริปเปิ้ล 3 แก่ข้าพเจ้า... ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะผมนำรถส่วนตัวไปเอง และได้พยายามค้นหาทางเน็ตให้แล้วไม่พบข้อมูล  แต่จากที่ได้ไปมาคิดว่า น่าจะมีรถสองแถววิ่งบริการจาก ตัว อำเภอท่าตะโก มายังวัดนี้นะครับ    บางที ถ้าจะให้สะดวก ผมแนะนำให้ไปพักที่ นครสวรรค์ แล้วหารถมอเตอร์ไซด์เช่าขับมาเที่ยวจะสะดวกกว่า (ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีให้เช่าหรือไม่)   หรือไม่ก็เหมารถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง จาก อ.ท่าตะโก ให้พามาที่วัดนี้ แล้วให้เขารอรับกลับ จะสะดวกกว่าครับ ตอนนี้ ผมได้ลงมาถึงเสาอโศกแล้ว จะเห็น หัวบันไดที่จะลงต่อไป เป็นรูป เทพธิดาที่มีพญางู 9 หัวแผ่แม่เบี้ยคลุมอยู่ด้านหลังเช่นกันกับตอนที่ขึ้นมาครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 19:11:42 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ลงมาอีก ตรงระเบียงข้างบ่อน้ำ จุดนี้จะมองเห็นยอดเจดีย์ศรีมหาราช ชัดเจนที่สุด และไม่เห็นมีใครขึ้นมาข้างบนนี้นะครับ (คงจะห้ามขึ้น) ลำพังแค่ชั้น 2  ยังหาทางขึ้นไม่ได้เลย ในอันที่จริง ผมเองอาจไม่ทราบทางขึ้นไปชั้น 2 ก็ได้ เพราะเพิ่งเห็นในเว็บ http://travel.sanook.com/trip/trip_09735.php ว่ามีห้องประวัติศาสตร์ เช่น สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระสุริโยทัย ห้อง  ห้องสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรังสี) ด้วย แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 52 19:36:11 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 19:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ลงมาอีก หันไปทางซ้ายก็จะเป็น พระภควัมบดี ในมุมมองด้านข้างชัดๆ เลยครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 19:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อยู่ๆ ได้ยินเสียงอะไรจ๊อกแจ๊กอะไรข้างบน  หันกลับขึ้นไปดู   อ้อ...หนุ่มสาวเขาแกล้งหยอกล้อกันครับ  มุมตรงนั้นเป็นมุมนั้นคือมุมที่ผมเพิ่งถ่ายภาพยอดเจดีย์ศรีมหาราช มาในคห.28 ครับ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 52 19:46:06 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 19:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เอาล่ะเกือบถึงเชิงบันไดแล้ว แฮ่กๆ ร้อนนะครับ ไม่ใช่เหนื่อย เดี่ยวลงไปหลบแดดข้างล่างก็เย็นสบายแล้วครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 19:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ร้อนมากกกกกกกกกกกกกกก จากคุณ : แม่ซากานะ - [ 1 มิ.ย. 52 20:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอนนี้เหลือจุดท่องเที่ยวสุดท้ายแล้วคือ ตู้รถไฟอนุสรณ์ ซึ่งจะอยู่ชั้นรองจาก เชิงบันไดขึ้น เจดีย์ศรีพุทธคยา ครับ (จากรูปข้างล่างแสดงบันไดด้วยเส้นสีแดง)  ให้เดินตามแนวเส้นสีเหลืองลงมา เลี้ยวขวา ก็จะพบตู้รถไฟคู่ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 20:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แม่ซากานะ มาให้กำลังใจตอนขาลงด้วย ชื่นใจขึ้นเป็นกองครับ  ตู้รถไฟอนุสรณ์ ที่เห็นก็เป็นดังในรูปข้างล่างนี้ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 20:36:39 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตู้รถไฟที่เห็น มี 2 ชนิดคือ ตู้สินค้าขนาดใหญ่ ที่เราเคยเห็นอักษรย่อข้างตู้ว่า ต.ญ.  กับ ตู้สัมภาระ ที่มักมาต่อตอนท้ายขบวนของรถสินค้า มีอักษรย่อว่า พ.ห. ซึ่งทางการรถไฟได้มอบให้แก่วัด พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อวันที่ 25 กค. 2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ที่ทรงได้พระราชทานให้กำเนิดกิจการรถไฟ เมื่อวันที่ 26 มีค. 2439  ซึ่งทางวัดได้นำมาปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่สวยงาม อย่างที่เห็น แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 29 ตค.2550 ครับ (ข้อมูลนี้อ่านมาจากแผ่นประกาศตรงด้านหน้านั่นแหละ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 21:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 36 กำลังจะก้าวขึ้นไป ก็สะดุดตา สิ่งนี้ครับ   เขาเรียกว่า "เครื่องพ่วงโบกี้รถไฟ"  ครับ หลายคนคงเคยเห็นมาแล้ว เพราะในปัจจุบันก็ยังมีใช้กันอยู่ทั่วไป  สิ่งนี้มีความหมายเชิงธรรมะเหมือนกันนะครับ ท่าน พระเทพโมลี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม เจ้าคณะเขตดุสิต (ธรรมยุต) ได้ให้ข้อคิดไว้ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 21:14:43 ]

ความคิดเห็นที่ 37 โดยท่าน ให้ใส่กรอบคำอธิบายดังกล่าว แขวนไว้ด้านหน้า เพื่อเตือนสติคนไทยให้ลดทิฐิ รักสามัคคีต่อกัน จับมือให้เหนียวแน่น ดุจดังเครื่องพ่วงรถไฟนี้ เพื่อนำพาประเทศสงบสุข รุ่งเรือง วันนี้ขอพัก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อให้จบอีกนิดเดียวครับ (พอดีผมเพิ่งทำรีวิวรถจักรไอน้ำ เลยได้รู้เรื่องรถไฟ จะได้มีเวลาพูดในรายละเอียด นะครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 1 มิ.ย. 52 21:24:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ....ตามมาเที่ยวด้วยคนนะคะ วัดสวยและวิวก็สวยมากเลยค่ะ^-^ จากคุณ : ปลายฟ้าที่ภูตะวัน - [ 1 มิ.ย. 52 23:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตามมาเที่ยวด้วยครับวัดสวยงามมาก คงได้มีโอกาสไปชมบ้าง... จากคุณ : Red Fox - [ 2 มิ.ย. 52 09:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หวัดดีครับ คุณปลายฟ้าที่ภูตะวัน เชิญติดตามต่อได้ครับ สวัสดีคุณ Red Fox ถ้ามีเวลาผ่านไปแถวนครสวรรค์ ขอเชิญไปทำบุญได้เลยครับ ได้ทั้งความสวยงาม และความรู้ทางประวัติศาสตร์ ครับ (ควรเตรียมค้นหาล่วงหน้าไปก่อนก็ดีครับ) มาต่อกันครับ ใกล้จบแล้วละครับ  ตอนนี้ผมพาท่านมาชมพิพิธภัณฑ์รถไฟ ขนาดจิ๋ว (Mini - Museum) กันนะครับ  ทางวัดได้นำตู้รถไฟสองตู้มาวางสองด้าน โดยตรงกลางปรับพื้นที่ให้สูงพอจะเดินถึงกันได้สะดวก แล้วมีเก้าอี้นั่งพักผ่อน ในแบบรถไฟ(ม้านั่งแบบไม้) ให้ระลึกถึงการเดินทางโดยรถไฟวันวาน (ปัจจุบันเป็นเบาะหนัง) แล้วที่ลืมไม่ได้ก็คือ "เครื่องตราทางสะดวก" ดังรูปข้างล่างนะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 10:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ เป็นตัวจักรสำคัญที่ทำให้การเดินรถไฟไม่ชนกัน ทั้งๆ ที่ใช้รางเดียวกัน กล่าวคือ  ในแต่ละสถานีรถไฟ จะต้องมี เครื่องแบบนี้ 2 ตัว คือ 1 เครื่องต่อ สถานี 1 คู่ ดังรูปข้างล่างนี้ แล้วมีการเชื่อมต่อสัญญาณความปลอดภัยทั้งสองด้าน สมมติว่า มีรถไฟจากสถานีเรา กำลังจะไปทางขวา  นายสถานีต้องติดต่อไปยัง สถานีขวา แล้วรอคำตอบว่า ทางสะดวก ซึ่งเมื่อเครื่องยืนยันมา ก็จะมี ลูกเหล็กกลมๆ ตอกตราว่าอนุญาต หล่นออกมาให้แก่นายสถานีเพื่อเป็นการยืนยันทางหลักฐานครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 10:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบพระคุณมากๆครับผม จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 2 มิ.ย. 52 11:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 นี่คือลูกตราทางสะดวกครับ  ซึ่งเมื่อได้แล้วก็ต้องนำไปใส่ในกระเป๋าเล็กๆ ของห่วงทางสะดวก เพื่อนำไปส่งให้กับ พนักงานขับรถไฟต่อไป จากรูปข้างล่างเป็นตัวอย่าง ลูกตราทางสะดวก ที่ได้ตอกบันทึกว่า  จากสารภีไปเชียงใหม่ ทางสะดวกครับ (คือเส้นทางว่าง ผ่านไปได้) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 44 รูปข้างล่างนี้ก็คือ ห่วงทางสะดวก ที่มีกระเป๋าเล็กๆ อยู่ปลายห่วง ใช้บรรจุลูกตราทางสะดวกครับ  การนำไปให้กับ พนักงานขับรถไฟมี 2 วิธีคือ ยืนให้ที่มือ กับ ไปเสียบไว้ที่เสา รอให้ พนักงานขับรถไฟเอื้อมมือไปจับเอามา สำหรับกรณีรถไฟไม่จอดที่สถานีเรานี้ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:13:00 ]

ความคิดเห็นที่ 45 จากรูปข้างล่าง นำมาจากเว็บ http://www.thaitransport-photo.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=528&view=next แสดงวิธีการนำห่วงทางสะดวกไปเสียบรอไว้ให้ รถไฟที่ผ่าน(ไม่จอด) รับห่วงนี้ไป สังเกตุดูตรงเสา รับส่งห่วงทางสะดวกนี้ จะมีเหมือน ช่องเสียบ ห่วงทางสะดวกไว้หลวมๆ  พอ พนักงานขับรถไฟ ซึ่งปกติ จะใช้ ช่างเครื่อง ที่ว่างไม่ได้ขับรถ เอื้อมมือมาจับ   บางทีรถไฟวิ่งเร็วมาก ความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตร คนจับก็เจ็บมือไม่น้อยครับ  ซึ่งถ้าพลาด จับแล้วหลุดมือ  รถไฟจะต้องหยุด ให้คนเอื้อมจับวิ่งลงมาหยิบไป (น้อยครั้งที่รถไฟจะถอยหลังให้ เพราะอันตรายมาก อาจมีรถไฟอีกขบวนที่วิ่งตามมา กำลังเข้าสถานีได้)  หรือไม่ก็ใช้โทรศัพท์ วิทยุสื่อสารบอก สถานีปลายทางล่วงหน้าแทน  ซึ่งก็เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ถ้าหากพลาดรถไฟชนกัน พนักงานขับรถไฟต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ครับ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 11:33:27 จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อรถไฟไปถึงสถานที ขวาแล้ว อาจไม่ต้องจอดก็ได้ ก็ใช้วิธีส่งห่วงดังกล่าว โดยโยนห่วงไปคล้องกับเสารับส่งห่วง อีกที ครับ (ซึ่งแน่นอน ในสถานนีนั้นๆ พนักงานขับรถไฟต้อง รับห่วงอีกอันให้ได้ก่อนที่จะพ้นสถานีแห่งนั้น โดยใช้เสารับส่งอีกต้น ซึ่งปกติเสานั้นจะมี 2 อัน ต่อ 1 สถานี ครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 47 และนี่เป็นเสารับส่งห่วงทางสะดวกและห่วงทางสะดวก ที่นำมาแสดงให้ดูกันที่นั่นครับ (วันที่ไปผมไม่ได้สังเกตุว่ามีห่วงทางสะดวกด้วยครับ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ใกล้ๆกัน ก็ยังมี เครื่องตราทางสะดวกอีกเครื่อง ดูทันสมัยกว่า เพราะใช้แทนเครื่องรุ่นเก่า 2 เครื่องได้  สถานีหนึ่ง มีเพียงเครื่องเดียวก็พอ ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ตอนนี้ คุณพ่อและคุณแม่ ท่านก็นึกสนุก ขอโหนรถไฟ รำลึกสมัยหนุ่มๆ หน่อย  ถ้าเป็นรถไฟจริง ท่านบอกว่าอย่าลอกเลียนแบบนะครับ อันตรายเปล่าๆ...ฮา จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ผมก็ขอสักรูปครับ ภายในตู้สัมภาระท้ายขบวนครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 11:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 51 นี่เป็นสภาพภายในตู้สัมภาระ ที่ปรับปรุงแล้ว ดูสะอาดน่านอนจริงๆ...ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 12:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณแม่เดินไปท้ายตู้ ขอสักภาพนึงไว้เป็นที่ระลึก  ครับยืนยันว่า เป็นตู้ท้ายขบวนจริงๆ และปลายตู้ด้านนี้ก็คือ ส่วนที่อยู่ท้ายที่สุด ไม่นิยมไปต่อกับใครอีก ทำให้พนักงานรถไฟที่มายืนตรงนี้ มองเห็นสภาพโดยรอบของรางรถไฟได้กว้างกว่าจุดอื่น (เหมือนหัวขบวน) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 12:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ส่วนอีกตู้หนึ่งเป็นตู้สินค้า นั้นเขาปิดประตูล๊อค คงมีไว้สำหรับต้อนรับแขกพิเศษนะครับ เห็นติดฟิล์มดำทึบครับ จากรูปนี้ก็จะเห็นส่วนต่างๆ โดยรอบครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 12:26:48 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เกือบลืมไป ยังมีกล่องบอกทิศทาง ที่เรามักคุ้นตาเวลานั่งรถไฟผ่านไปแถวๆ สถานีรถไฟครับ  มักจะอยู่ตรงประแจ คือ จุดเปลี่ยนรางรถไฟครับ ซึ่งจะถูกหมุนให้ด้านที่แสดงทิศทางที่สอดคล้องกับ รางที่ถูกสับมาให้รถไฟที่กำลังจะวิ่งผ่านได้ทราบครับ ดังรูปข้างล่างนี้ครับ  (ตอนเด็กๆ ผมชอบเรียกว่า ตัวสป๊อกสแป๊ก เพราะเวลารถไฟวิ่งผ่านแถวๆที่มีตัวนี้ เช่น บริเวณหัวลำโพง ก็จะได้ยินเสียง ป้อกๆ แป๊กๆ ครับ...ฮิฮิ) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 13:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เจ้าตัวกล่องบอกทิศทางนี้ ยังมีอีกแบบนะครับ (เชื่อว่าหลายคนอาจไม่ทราบ....) คือเป็นตัวบอกห้ามมิให้รถไฟวิ่งไป ถ้าไปแล้วจา...ตกรางนะจะบอกให้...  ไม่เชื่อลองดูซีครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 14:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นี่แหละครับ ที่เขาเรียกว่า "เครื่องตกราง" (De-rail)  มีไว้ป้องกันรถวิ่งเลยไปชน สิ่งที่อยู่ถัดไปจากตรงนั้นครับ  ถ้าเป็นรถยนต์ก็คือ เรือใบ หรือไม่เหล็กป้องกันรถวิ่งย้อนศร ครับ การควบคุมมี 4 แบบคือ  1.ใช้ไฟฟ้าควบคุม ดังเช่นในรูปข้างบน (คห.55) ทันสมัยที่สุด  2.ใช้สายลวดดึง  3.ใช้คนไปดึงคันโยกตรงนั้น ตามรูปข้างล่างนี้ 4.ใช้การล๊อคด้วยน๊อตไปเลย ในกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เหมือนเป็นการกันขโมยรถยนต์ ครับ ในรูปข้างล่าง ก็อยู่ตำแหน่งห้ามผ่านไป นะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 14:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แบบนี้ใช้สายลวดดึงนะครับ และตอนนี้กำลังอยู่ในตำแหน่งเปิด ยอมให้รถผ่านไปได้ครับ เครื่องมือตัวนี้จะพบมาก ที่บริเวณอู่ซ่อมรถครับ ซึ่งปกติหัวรถจักรที่เข้าซ่อม จะถูกล๊อคด้วยตัวตกรางนี้ทั้งหมด เพื่อป้องกันมิให้รถจักรวิ่งออกมาทำความเสียหาย  จนครั้งหนึ่งเคยมีพลาด ที่อู่บางซื่อ  ตอน เช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2529  มีหัวจักรคันหนึ่ง ถูกติดเครื่องทดสอบในตำแหน่งล๊อคเบรคไว้ อยู่ๆ เบรคก็หลุด รถก็วิ่งออกมาเอง ผ่านตัวตกราง ที่มิได้ปิด เพราะกำลังจะมีรถจักรคันอื่น วิ่งเข้าไปซ่อม ผลคือ หัวรถจักรนั้น ได้พาหัวรถจักรอื่นๆ (ที่ดับเครื่อง) รวมแล้ว 6 คัน ไปถล่มหัวลำโพง จนมีคนเสียชีวิตบาดเจ็บ เสียหายนับล้านบาท ซึ่งถ้าหากวันนั้นตัวตกรางได้ทำงาน หัวรถจักรจะตกราง ล้อฟรีอยู่แถวๆ อู่บางซื่อนั่นแหละครับ (แต่นี่วิ่งได้โดยไม่มีคนขับไปทำความเสียหายได้ไกลถึง 15 กิโลเมตร!) จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 14:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 58 มองออกไปทางถนนโน้น ก็มองเห็นเสาสัญญาณรถไฟ ใช้บอกพนักงานขับรถไฟล่วงหน้าไกลๆ ก่อนเข้าหรือออกจากสถานีครับ จากรูปจะเห็นว่ามีแสดงอยู่ 2 อัน ในตำแหน่งแตกต่างกันครับ  ตำแหน่งวางขวางตรงๆ ก็ห้ามไป กับ ตำแหน่งวางเอียงเฉียง 45 องศา ก็คือให้ผ่านไป ครับ ส่วนสัญญาณไฟข้างล่าง ก็ตามสีที่เห็นครับ ในสมัยก่อนยังไม่มีการใช้ไฟฟ้า  ทางการรถไฟจึงใช้ตะเกียง แล้วแผ่นกรองแสงสีแดง สีเขียว มาบังแทนครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 15:36:03 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ก่อนกลับ ผมเกือบลืมนำภาพวิหารพระมาให้ชมกัน ซึ่งที่จริงผมเดินผ่านไปก่อนที่จะเข้า ห้องกุหลาบ (เพราะเป็นอาคารเดียวกัน) ซึ่งมุขจั่วด้านหน้าเป็นดังนี้ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 15:41:54 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ส่วนด้านใน ก็จะมีพระพุทธรูปหลายองค์ ให้กราบไหว้สักการะ นะครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 15:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สรุปตำแหน่งอาคารต่างๆ ในวัดตามแผนผังข้างล่างนี้อีกครั้งนะครับ จะได้ไม่งง ครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 15:47:24 ]

ความคิดเห็นที่ 62 นี่เป็นรูปปิดกระทู้นะครับ  ผมถ่ายจากทางเดินลอยฟ้าฝั่งแนวจอดรถ มองไปที่ ตู้รถไฟอนุสรณ์ ครับ  ใครมีข้อสงสัยประการใด สอบถามไปได้  สวัสดีครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 2 มิ.ย. 52 15:56:20 ]