ความคิดเห็นที่ 1 หลังจากช่วงเช้า ทำเวลาไว้ไม่ค่อยดี เพราะไปเสียเวลาอยู่ในตลาดอยู่เป็นเวลานาน ก็ตราบที่เดินตลาดแล้วยังไม่ซื้ออะไร ไกด์ก็จะยังพาเราเดือนแบบนั้น จนกว่าจะซื้ออะไรบ้าง เดินไปเรื่อย ๆ คงโดนเข้าสักชิ้น ถ้าโดนเข้าละก็แจ๊คพ็อตแตก ไกด์ก็ได้ค่าน้ำชา กินหัวคิว เป็นค่าเหนื่อยที่พาเราเดินเสียขาเมื่อย ช่วงเช้า เราเลยทำได้แค่ 3 วัด มิหนำซ้ำ ช่วงบ่าย ไกด์ยังบอกว่า ปกติ กินข้าวเสร็จ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวกลับบ้านนอนได้อีก เราเลยบอก พอเถอะ ช่วงบ่ายต้องทำอีก 11 วัด เรากินข้าวเสร็จแล้ว ลุยต่อกันเถอะนะ เสียเวลามาพอแระ ช่วงเช้านี่ เสียเวลาที่ตลาดเต็ม ๆ ไปแล้ว ถ้าขืนกลับบ้านนอนอีก มาพุกามคราวนี้ คงไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนกับย่างกุ้งเมื่อวานนี้อีกเป็นแน่แท้ ไกด์ถึงยอมพาเราตะลุยพุกามช่วงบ่าย จนกร๊าฟพุ่งปรี๊สสส สนุกสุดขีด เข็มตีหน้าปัทม์แทบแตก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 13:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 น่าไป จากคุณ : สินธร - [ 14 มิ.ย. 52 14:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วัดแรกที่เราเริ่มต้นกันในช่วงบ่าย คือ "วัดอนันดา" เป็นวัด ที่มีวิหารซึ่งนับได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในพุกาม ภายในวิหารเป็นรูป 4 เหลี่ยมจตุรัส มีมุขเด็จยื่นออกไปทั้ง 4 ด้าน แผนผังเหมือนไม้กางเขนแบบกรีก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 14:18:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แผนผังด้านในของวิหารแห่งนี้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็นในภาพด้านล่าง สีเหลือง คือ พระพุทธรูปทั้ง 4 ด้าน สีน้ำเงิน คือ ทางเดินสำหรับกษัตริย์เท่านั้น สีขาว คือ ทางเดินสำหรับพระสงฆ์ สีแดง คือ ทางเดินสำหรับประชาชนทั่วไป ประชาชน ก็จะไม่เข้าไปเดินในทางเดินของพระสงฆ์ หรือของกษัตริย์ เช่นเดียวกัน กษัตริย์ ก็ไม่เดินในทางเดินของพระสงฆ์ หรือประชาชน และพระสงฆ์ ก็จะไม่เดินในทางเดินของกษัตริย์ หรือประชาชน แต่ปัจจุบันนี้ ไม่มีข้อกำหนดในส่วนนี้ ผมเลยเดินในช่องทางสีน้ำเงิน วนจนครบมุขทั้ง 4 ด้านเลยครับ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 15:35:07 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 15:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในเวลาต่อมา วัดอนันดาแห่งนี้ ก็ได้กลายเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกาม และสิ่งที่น่าทึ่งของวิหารแห่งนี้ก็คือ ช่างได้ทำการส่องแสงสว่างเข้าไปในวิหาร เฉพาะให้ตรงองค์พระประธาน เท่านั้น! จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 15:38:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 องค์แรกที่ผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ คือ พระกกุสันธะ เป็นหนึ่งในองค์อดีตของพระพุทธเจ้า (จาก 4 องค์) องค์ต่อมา คือ พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ทางทิศตะวันออก เป็นองค์สร้างขึ้นใหม่ แทนองค์เดิมที่หายไป บ้างก็ว่าถูกไฟไหม้ บ้างก็ว่า ถูกขโมย พระพุทธรูปทั้ง 4 ด้าน 4 องค์ ล้วนทำจากไม้ทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 16:35:05 แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 15:51:15 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 15:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กล้อง 3 ตัดภาพ ซียู ไปที่พระหัตต์ของ พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ปางนี้ เป็นปางที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นไกด์ที่บอก หรืออ่านเจอที่ไหน ว่ากันว่า ในพระหัตต์ของพระพุทธเจ้าปางนี้ กำลูกไฟ เหมือนจะเป็นลูกไฟบรรลัยกรร อะไรสักอย่าง ข้อมูลไม่ค่อยแม่น เอาไว้จะหามาเพิ่มเติม จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 15:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พระพุทธรูปองค์ต่อมา ทางด้านทิศใต้ คือ พระกัสสปะ จะมีเพียงพระกกุสันธะ และ พระกัสสปะ เท่านั้น ที่เป็นองค์เดิม ออริจินัล ส่วนอีก 2 องค์นั้นสร้างขึ้นใหม่ อย่างที่บอกไปว่า เนื่องจากถูกไฟไหม้ หรือถูกขโมยไป ไม่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่า พวกขโมยนั่นแหละ ทำพระพุทธรูปเสียหาย จนต้องสร้างขึ้นใหม่ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 16:32:46 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความพิเศษ ของพระพุทธรูป องค์พระกัสสปะ องค์นี้ ก็คือ รอยยิ้มบนพระพักตร์ของพระพุทธรูป ถ้าหากเรามองระยะใกล้ จะเห็นว่าพระพักตร์บึ้ง และไม่มีรอยยิ้มแบบนี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าหากเราถอยห่างออกไปอีกสักระยะ 2-3 ก้าว เราจะเริ่มเห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก แบบนี้... จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:05:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 และเมื่อเราถอยห่างออกไปสุด ๆ เลย พระพักตร์ของพระกัสสปะ ก็จะทรงยิ้มแฉ่ง แบบนี้ 3 ภาพ 3 มุม 3 action กับรอยยิ้มบนพระพักตร์ ที่แตกต่างกันเลยทีเดียว ไม่ได้ใช้เทคนิค โฟโต้ช็อป แต่อย่างใดทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 16:36:45 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และพระพุทธรูปองค์สุดท้าย พระโคดม ทางทิศตะวันตก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:09:18 ]

ความคิดเห็นที่ 13 วัดอนันดา มาจากภาษาบาลีว่า อนันตปัญญา แปลว่า มีพระปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด ผมว่า ปางต่าง ๆ ของพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์นั้น เราไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นบ่อยในบ้านเราเท่าไหร่นักนะครับ พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์นั้น สูง 9 เมตรครึ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นองค์อดีต ของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 องค์ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 16:34:25 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มีเรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในช่วงประมาณ คศ 1084-1113 ในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตตา มีพระอรหันต์ 8 องค์ (บ้างก็ว่า พระสงฆ์จากอินเดีย) เดินทางมาจากภูเขาคันธมาทน์ (บางตำราบอกว่า พระอรหันต์ทั้ง 8 นั้น อาศัยอยู่ในถ้ำนันทมูล ในเทือกเขาหิมาลัย) พระทั้ง 8 นั้น ได้พรรณนาถึงถิ่นที่เดินทางมา จนพระเจ้าจันสิตตา ผู้ทรงชื่นชอบพุทธชาดกเป็นอย่างมาก ได้ทรงอุปัฏฐากพระอรหันต์ช่วงระหว่างเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน พูดให้ฟังง่ายเข้า จะได้เข้าใจก็คือ พระองค์ได้นิมนต์ให้พระอรหันต์ทั้ง 8 องค์นั้น มารับบาตรที่พระราชวังทุกวันตลอดช่วงฤดูฝน ก็เพื่อจะได้ทรงสดับรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของดินแดนแห่งนั้นให้เต็มอิ่มตลอด 3 เดือนเต็ม ๆ จนพระองค์ทรงเลื่อมใสมาก และพระสงฆ์ทั้ง 8 นั้น ก็ได้ใช้ฌานวิเศษ บันดาลให้พระองค์ทรงเห็นวัดแห่งนั้น พระองค์ทรงปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับมีบัญชาให้สร้างวัดเลียนแบบวัดที่ทรงทอดพระเนตรเห็น เมื่อวัดสร้างเสร็จตามคำพรรณานั้น ในปี พ.ศ. 1633 (ค.ศ. 1090) วัดอนันดาแห่งนี้ ก็งดงามเสียเหลือเกิน จนพระองค์เกรงจะมีใครนำไปสร้างเลียนแบบ ก๊อปเกรดเอ เป็นวัดอนันดาเซิ่นเจิ้นขึ้นมา จึงมีรับสั่งประหารช่างทั้งหมด ตามพิธีกรรมของพวกพราหมณ์ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เศร้าเลยครับพี่น้อง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:29:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สวัสดีค่ะ ตามมาเที่ยวพม่าอีกนะคะ จากคุณ : สาวหน้าใส - [ 14 มิ.ย. 52 16:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นี่ครับสภาพภายในวัด สวยงาม แต่มืดไปนิสส จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:40:54 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สวยและเย็น ราวกับติดแอร์ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ้าว รุปหาย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 19 นี่เป็นช่องทางเดิน ที่ผมทำแผนผังเอาไว้เป็นสี ๆ ให้ดูก่อนหน้านี้อ่ะครับ แต่ละช่อง แต่ละทาง สามัญชน ไม่ปะปน กับพระ และกษัตริย์ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:43:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตามทางเดิน เราก็จะพบกับสิ่งนี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 21 วัดแทบจะทุกแห่งที่เราไป ล้วนแล้วแต่มืดและเย็น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับค้างคาว เรียกว่า ทุกวัน บินโฉบเฉี่ยวกันไปมา ราวกับผมเป็นชอลิ้วเฮียง (ไปถล่มวังค้างคาว) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ยังคงอยู่กับสภาพภายในวัด จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 และประตูวิหาร จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เดินพ้นประตูวัดออกไป อากาศร้อนสุด ๆ และที่สำคัญคือ เราเดินกันเท้าเปล่า วัดในพม่านี้ พอเข้าเขตพัทธสีมาปุ๊บ ต้องถอดรองเท้ากันทันที ถุงเท้าอะไร ก็ใส่ไม่ได้ เดินกันเท้าพองเลยครับ ตรงจุดนี้ ก็ต้องเตรียมตัวกันไว้ให้ดี ๆ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:52:34 ]

ความคิดเห็นที่ 25 นี่ครับ บรรยากาศรอบ ๆ วิหารที่เราเข้าชมมาแล้วเมื่อครู่นี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 16:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สวยงามมาก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:00:25 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ก่อนจากวัดอนันดาแห่งนี้ไป ที่หน้าวัด มีช่างภาพฝีมือดีอยู่ท่านหนึ่ง ที่เคยได้รับรางวัลต่าง ๆ จากทั่วโลกมานับ 10 รางวัล ถ่ายภาพมาแล้วกว่า 40 ปี (เริ่มถ่ายรูปประมาณ 1970 กว่า ๆ) ปัจจุบัน แสดงผลงาน และขายสมุดภาพ อยู่หน้าวัดอนันดาแห่งนี้ ท่านผู้นี้ ก็คือ อูเมาเมา ไปคราวนี้ จะขอคุกเข่า บอกอาจารย์ครับ โปรดรับข้าน้อยเป็นศิษย์ด้วยเถิด ฝีมือการถ่ายภาพของ อูเมาเมา นี่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมในการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก (หลังจากนั้น ผมก็แอบถ่ายรูปแบบ ครูพักลักจำ มาจากอูเมาเมา ที่เน้นแสงสาดส่องเข้ามาจากรูเล็ก ๆ) ว่าง ๆ ก็แวะไปชมภาพของ อูเมาเมา กันได้นะครับ พอดีเค้าไม่ให้ถ่ายภาพผลงานของเค้าอ่ะครับ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อย่าลืมนะครับ ช่วงประมาณเดือน มกราคม ของทุกปี ที่วัดอนันดา จะมีงานสมโภชวัด เป็นงานบุญประเพณีหาเงินเพื่อทำนุบำรุงวัด เป็นประจำทุกปี ภายในงาน ก็มีการแสดง การละเล่น และมีการออกร้านขายของมากมาย ถ้าสนใจ จดไว้ในปฎิทิน แล้วหาโอกาสไปช่วงเดือนมกราคมดูบ้างนะครับ ด้านล่างนี้เป็น "ประตูตาระป่า" มันคือแนวกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ถ้าหากเราเข้าเมืองมาตามถนนจากเมืองเยาน์อู เราต้องผ่าน "ประตูตาระป่า" อันนี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ที่เห็นในรูป จะมีรูปสลักมหาคีรีนัต ตั้งอยู่ในซุ้ม เป็นเทพ 2 พี่น้อง คือ งะติ้นแด่ หรือ เทพรูปงาม กับที่เห็นเป็นหน้าทอง ๆ เป็นประกายมาแต่ไกล คือ เฉว่เมี๊ยดนา หรือนางหน้าทอง รูปสลักมหาคีรีนิตทั้ง 2 นี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ผู้เป็นใหญ่แห่งเขาหลวง" ชาวพม่า เชื่อกันว่า เทพทั้ง 2 นี้ สิงสถิตอยู่บนเขา ปุ๊บป่า ถือเป็นเทพสำคัญอันดับ 2 รองจาก "ตะจามิน" หรือพระอินทร์ นั่นเอง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แนวกำแพงเมืองนี้ ทางการบูรณะขึ้นใหม่ เป็นช่วงกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยกษัตริย์ ปหยิ่นปยา กำแพงเมืองช่วงอื่น ๆ ตอนนี้พังทลายลงด้วยกาลเวลานับพันปี ตอนนี้ก็เหลือแค่กองอิฐเท่านั้น แต่ช่วงของกำแพงเมืองช่วงนี้ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี จึงมีสภาพอย่างที่เห็น จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:36:27 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ประตูเมือง ตาระป่า แห่งนี้ เป็นประตูเมือง ด้านตะวันออก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:37:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 จากนั้น taxi ของเราก็มุ่งหน้า ไปยังวัดที่ 5 วัดต่อไปทันที เบื้องหน้าของเราเป็นวัดสัพพัญญู หรือตั๊ดปยิ่นยูพยา วัดสัพพัญญู เป็นวัดที่มีเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกาม มีความสูงถึง 61 เมตร ตั้งอยู่ถัดจากวัดอนันดามาทางตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 500 เมตร วัดแห่งนี้ ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ที่เล่าให้ฟังไปก่อนหน้านี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:40:58 ]

ความคิดเห็นที่ 33 นี่ครับ วัดสัพพัญญู จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 17:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 พระเจ้าอลองสิตูสร้างวัดตั๊ดปยิ่นยูขึ้นกลางศตวรรษที่ 12 รูปทรงคล้ายวัดอนันดา แต่แผนผังภายในไม่ได้เป็นรูปกากบาทด้านเท่า เพราะซุ้มประตูด้านตะวันออก ทำเป็นมุขยื่นออกมาจากตัววิหาร ยาวกว่าด้านอื่น ๆ เห็นวัดรูปทรงแบบนี้ รู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่แบบสถาปัตยกรรมแบบพม่าแน่นอน (อันนี้ก็บอกแบบนี้ ตั้งแต่วัดอนันดาแล้ว) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 18:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 35 กลับเข้ามารอดูรูปอีกค่ะ จากคุณ : สาวหน้าใส - [ 14 มิ.ย. 52 19:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 36 สวยจังเลยครับ จะไปเดือน พ.ย. อีกรอบ  แต่คงได้แค่ย่างกุ้ง กับ พระธาตุอินแขวน แต่เห็นพุกามแล้ว..คงต้องเสียตังค์อีกรอบแน่ ครับ จากคุณ : ฮิมดอย - [ 14 มิ.ย. 52 20:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เพิ่งเคยได้ยินว่าไปพม่ามาแล้วสนุก ส่วนใหญ่จะว่า สงบ เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่น่าชื่นชมของคนพุทธที่นั่น ยังไม่เคยไปพม่าเลย เพื่อนก็ชวนกันหลายหนแล้ว ถ้าจะไปสัก 4 - 5 คน  ทัวร์ที่น่าสนใจ แนะนำด้วยค่ะ จากคุณ : สะหวอย7 - [ 14 มิ.ย. 52 21:09:21 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ไปกันต่ออย่างเร็ว ๆ เลยดีกว่าครับ เพราะตอนนี้ ดูรูปแล้ว ชักไม่แน่ใจแล้วว่า วัดนี้ชื่อวัดอะไร เพราะไปมาเกือบจะครบเดือนแล้ว ตอนนี้ ความจำชักจะเลอะเลือนแล้ว สำหรับท่านที่มาใหม่ ก็อย่าลืม bookmark เอาไว้ก็แล้วกันนะครับ แล้วก็อย่าลืมดู ตอนเก่า ๆ ด้วยนะครับ ถ้าหากเค้ายังไม่ลบไปเสียก่อน save เก็บไว้เลยได้ยิ่งดี จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พระมหาเจดีย์สัพพัญญูเป็นพระธาตุสูงที่สุดในพุกาม สูงถึง 201 ฟุต ในปี พ.ศ. 1687 (ค.ศ. 1144) ทางเดินเข้าข้างบนเพื่อขึ้นไปกราบไหว้พระพุทธรูปประธานถูกปิดโดยคณะสำรวจโบราณคดี เราเลยถ่ายภาพนี้มาให้ดู สวยดี เป็นภาพที่ถ่ายจากภาพถ่ายอีกทีนึง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 40 พระพุทธรูปที่อยู่ภายใน จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมอยากให้ดูอันนี้ครับ เป็นลวดลายบนเพดาน ที่งดงามมาก ๆ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:27:18 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อีกทั้งลวดลายที่ผนัง ก็สวยงามไม่แพ้กันเลย แต่เสียดายอยู่นิดนึง ที่ลวดลายต่าง ๆ ก็แทบจะเลือนลาง ผ่านกาลเวลา จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:28:54 ]

ความคิดเห็นที่ 43 องค์พระพุทธรูปเองก็งดงามเหลือเกิน จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 44 นี่ก็ใช่ แอบมีแสงเงา (เพราะจำมาจาก อูเมาเมา จากวัดอนันดา ที่ถ่ายภาพให้เห็นแสงเงา) แต่คงต้องไปขอความรู้จาก อูเมาเมา ให้ท่านรับเป็นศิษย์แน่ ๆ คราวหน้าถ้ามีโอกาส จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:32:00 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เดินเล่นภายใน มีลมเย็น ๆ พัดผ่านช่องต่าง ๆ ที่ทำไว้ตามทาง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:32:55 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เดินเล่นได้แป๊บเดียว เราก็นั่งพัก ถึงตอนนี้ไกด์ของเราเหนื่อยหอบแฮ่ก ลิ้นห้อย เจอนักท่องเที่ยวจอมอึดอย่างผมเข้าไป จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:34:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แอบดูเวลาแล้ว นึกในใจ บ่าย 2 ครึ่งแล้ว ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:35:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เราเลยพักโฆษณาแป๊บนึง ด้วยนี่ครับ ช่วงนี้สนับสนุนโดย สตาร์ โคล่า ขวดนึงตกประมาณ 300 จั๊ตได้ 2 ขวดเลี้ยงไกด์ด้วย ก็อยู่แถว ๆ 21 บาท (ขวดนึง 10 บาท 50) รสชาดคล้าย ๆ เป๊ปซี่บ้านเรา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ใช่รสชาด แต่เป็นความพิเศษ ที่บ้านเราไม่มี ก็ตรงยี่ห้อที่เป็นของตัวเองนี่แหละ สตาร์ โคล่า แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 52 23:39:30 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:38:43 ]

ความคิดเห็นที่ 49 วัดต่อมาเป็นวัดที่ 7 แล้ว (ครึ่งทางพอดี) คือ วัดเฉว่กูจี เป็นวัดแบบพม่าที่เก่าแก่ที่สุดวัดหนึ่ง วัดนี้มีหน้าต่างบานใหญ่ ทำให้โถงและระเบียงทางเดินสว่าง วัดนี้สร้างขึ้นในปี คศ. 1131 โดยพระเจ้าอลองสิตู จารึกด้านในวิหารระบุว่าใช้เวลาสร้างเพียง 7 เดือน (สมกับเป็นวัดที่ 7 ที่เรามาเยี่ยมชม) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:45:15 ]

ความคิดเห็นที่ 50 พระพุทธรูปภายใน งดงาม มาก ในขณะที่วัดพุทธอื่น ๆ ส่วนใหญ่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แต่เฉว่กูจี เลือกที่จะแตกต่าง ทำไมต้องเหมือนใคร! วัดนี้หันหน้าไปทางทิศเหนือ คือเลือกที่จะหันหน้าเข้าหาวังหลวง ทางทิศเหนือ แทนที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เหมือนวัดพุทธอื่น ๆ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 51 พระเจ้าอลองสิตู เสด็จสวรรคตที่เฉว่กูจี เมื่อพระชนมายุได้ 81 พรรษา เรื่องราวลึกลับซับซ้อนมาก แต่ผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้คือ (อันนี้จดมาจากไกด์ส่วนหนึ่ง แล้วก็หาอ่านเพิ่มด้วยอีกส่วนหนึ่ง) ขณะที่พระเจ้าอลองสิตู ทรงพระประชวรหนัก อยู่ในพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังนั้น พระราชบุตร นรตู (ผู้โหดเหี้ยม) รัชทายาท ลำดับที่ 2 ได้ลอบนำเสด็จพระบิดามาที่วัดนี้ ปลงพระชนม์ หรือพูดง่าย ๆ คือ ฆ่าพ่อ! เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กำจัดรัชทายาทลำดับที่ 1 คือพระเชษฐา หรือพี่ชายตัวเอง แล้วก็ประกาศตน ขึ้นครองราชย์ทันที! จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 14 มิ.ย. 52 23:55:25 ]

ความคิดเห็นที่ 52 นี่ผมแกะจากที่จดมาเป็น family tree เริ่มกันตั้งแต่ พระเจ้าอะนอระทา ตามมาด้วย พระเจ้าจันสิทธา (ผู้เป็นบุตร ของพระเจ้าอะนอระทา) แล้วก็ต่อมายังไงไม่แน่ใจ แกะจากลายแทงที่จดมาไม่ค่อยได้ เพราะรีบจดมาก จนมาถึงพระเจ้าอลองสิตู ที่ผมเขียนวงเล็บว่า (father) แล้วก็มาถึง พระเจ้านรตู เรื่องราวทั้งหมด เอาไว้หาอ่านจากหนังสือจริง ๆ หรือพงศาวดาร จะดีกว่า ตอนนี้ ต้องปีนขึ้นไปบนยอดวิหารกันแล้ว เกือบลืมไปว่า พระเจ้านรตู ทรงครองราชย์อยู่ได้แค่ 3 ปี (สั้นมาก) ระหว่างปี คศ. 1167-1170 เท่านั้น ตอนนี้ จดจำความโหดเหี้ยมเข้าไว้ก่อนนะครับ เพราะวัดสุดท้ายที่เราจะไป ยังมีความโหดเหี้ยมของ พระเจ้านรตู รออยู่ที่นั่น โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อเดินตามช่องทางแคบ ๆ เล็ก ๆ ชัน ๆ ภายในวิหารเฉว่กูจี จนขึ้นไปถึงด้านบน จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เราก็จะพบโลกใบใหม่ (กรุณาร้องตามทำนอง A whole new world ไปด้วย จะได้อารมณ์มาก ๆ) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ข้างบนวิหารเฉว่กูจี นี่ อยู่สูงพอที่จะเห็นตั๊ดปยิ่นยู ที่เราไปมาเมื่อกี๊ ได้เหมือนอยู่ข้าง ๆ กันเลย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แอบเห็น วัดนั้น วัดนี้ เต็มไปหมด แต่จำไม่ได้ว่า รูปทรงแบบนี้ เรียกว่าวัดอะไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อกี๊แหม๊บ ๆ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ไกด์ก็ยังอุตส่าห์ชี้ชวนให้ดูวัดนั้นสิ วัดนี้นี่ไง เราก็เหว๋อไปประมาณ 10 วินาที โอ๊ย ใครจะไปรู้ ชื่อวัดที่เอ่ยมาแต่ละชื่อ เรียกยาก ๆ ทั้งนั้น เปิด lonely planet ตามแทบไม่ทัน ต้องสอบกันด้วยหรือป่าวเนี่ย กว่าจะผ่านเป็นไกด์ได้ใบเซอร์มา เราแอบนึกในใจ ถ้าจำได้หมดทุกวัดแบบไกด์ คงมาเป็นมักคุเทศแถวนั้นแล้วแหละ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:11:12 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เดินไปดูภาพรอบ ๆ บนยอดวิหาร เฉว่กูจี กันดีกว่า จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ไกล ๆ นันคือวัดที่ 8 ที่เรากำลังจะไป ตอนนี้ฉายให้ดูกันก่อนเป็นหนังตัวอย่าง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แถมให้อีกหน่อย ก่อนเดินลง ทางแคบ ๆ ชัน ๆ สูง ๆ สำหรับคนธรรมดา มันธรรมดามาก แต่สำหรับคนกลัวความสูงอย่างผมแล้ว มันหนักหนาสาหัส เอาการ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อีกสัก 3 รูป ก็แล้วนะ แล้วจะลงไปวัดต่อกัน ...สาม จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ...สอง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ...หนึ่ง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 64 แล้วก็มาถึงขาลง ผมไม่รู้จะแนะนำสำหรับท่านที่อยากจะมาเที่ยววัดต่าง ๆ ในพุกาม อย่างสงบ ๆ ยังไงดีนะ เพราะตอนที่นั่งเขียนรีวิวอันนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกรบกวนตลอดเวลา ยังตามมาหลอกหลอน บรรดาเด็ก ๆ จะมาขายของอยู่รอบ ๆ วัดเต็มไปหมด มันไม่ใช่ร้านค้าที่ตั้งขายกันแบบปกติ แต่มันเป็นเด็กที่ แบบยังไงดี เหมือนเด็กที่แบบว่า กวนใจตลอดเวลา จะดูอะไร จะเสพอะไรอย่างสุขใจหน่อย เสียงเด็กพวกนี้ ก็เอาละ มาเป็นสารพัดภาษาเลยนะ งัดมา ทั้ง อันยองฮาเซโย ทั้งสวัสดีครับ 2 อัน พันจั๊ต อะไรพวกนี้ ตลอดเวลา พูดได้คำเดียวว่า พอนึกถึงแล้ว มันยังจี๊ด ถ้าหากต้องซื้อหมดทุกอย่าง ที่เค้ามาขายกันทุกวัด ผมว่า กระเป๋าคงหนักขึ้นอีก 10 โลเป็นอย่างน้อย ก็ของที่ขายแต่ละอย่าง ภาพวาดเอย เสื้อเอย กางเกงเอย โปสเตอร์ และอีกสารพัด ไม่ซื้อ ขอลูกอม ก็ยังดี เฮ้อ พูดแล้วเหนื่อยมากประเทศนี้ ไม่อยากรำคาญ คราวหน้าซื้อฮอลล์ไปสัก 15 ห่อ ตามจำนวนวัดเลย ไปถึงแล้วแจกเลย บอกเอาฮอลล์ไปอมแล้วช่วยไปไกล ๆ หน่อยได้ไหม อยากขอเวลาเงียบสงบเป็นส่วนตัว แบบที่ไปฮ่องกง สิงคโปร์ ถ่ายรูปกันอย่างเมามัน จมอยู่ในความงาม เสพงานศิลป์กันแบบชิว ๆ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:23:37 ]

ความคิดเห็นที่ 65 โอวววว น่าไปจังอ่ะค่ะ แต่ชวนใครไปก็ไม่มีใครไปด้วยซะที ไอ้ครั้นจาไปเองก็กลัวอยู่ เดี๋ยวชวนเพื่อนมาดูกระทู้นี้ดีกว่าาา อิ อิ เผื่อเพื่อนจาเปลี่ยนใจ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : toontile - [ 15 มิ.ย. 52 00:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 66 bookmark ไว้เลยครับ คุณ toontile ยังมีเรื่องที่ต้องบ่นอีกเยอะเลย ได้บ่นออกไปแล้ว ค่อยสบายใจหน่อย เราไปต่อกันวัดที่ 8 เลยดีกว่าครับ เห็นแบบนี้ แล้วคุ้น ๆ ไหม จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 67 วัดนี้ชื่อวัดมหาโพธิ์ (หรือที่เราคุ้นเคยว่า วัดพระศรีมหาโพธิ์ ในอินเดีย) กว่าจะเดาชื่อได้ถูก ก็อึ้งอยู่นาน จนเห็นองค์เจดีย์นั่นแหละ อ๋อเลย วัดพระศรีมหาโพธิ์นี่เอง วัดมหาโพธิ์ ที่ที่ชาวพม่าเรียกว่า วัดมาฮาโบดี ตอนแรกนึกว่า มหาบอดี ก็เดาไปต่าง ๆ นานา เห็นจากมุมนี้ เริ่มคุ้นแล้วใช่ไหมครับ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 68 วัดมหาโพธิ์ จำลองแบบมาจาก วัดพระศรีมหาโพธิ์ ในรัฐพิหาร ของอินเดีย ยอดทำเป็นทรงปรางค์ อย่างที่นิยมกันในสมัยคุปตะ ของอินเดีย รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของวัดนี้ จึงแตกต่างไปจากวัดต่าง ๆ ที่เราเห็นกันในพม่า จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 00:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 69 วัดมหาโพธิ์ สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้านันต่าวมะยา ราวปี คศ. 1210-1234 ได้รับอิทธิพลจากอินเดียมาเต็ม ๆ เรียกว่า ตามยุคสมัย แบบที่เด็กไทยตอนนี้ได้รับอิทธิพลจากเกาหลีมาเต็ม ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ก๊อปอินเดียมา ก๊อปเกรดเอ กลายเป็นวัดพระศรีมหาโพธิ์เซิ่นเจิ้นกันไป จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 07:57:52 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ย้อนหลังกลับไปประมาณ 100 ปีก่อนหน้านี้ พระเจ้าจันสิตตา ได้เคยบริจาคพระราชทรัพย์ และส่งคนไปบูรณะวัดพุทธคยา ที่อินเดีย มาแล้ว ต่อมากลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 พระเจ้าอลองสิตตู ก็มอบหมายให้เจ้าเมืองยะไข่ (ระไคน์) ไปปฏิบัติภารกิจเดียวกันนี้ อีกครั้งหนึ่ง (คือไปบูรณะวัดพุทธคยา ที่อินเดีย) ซ้ำเป็นรอบ 2 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 08:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ก่อนที่เราจะไปต่อกันเป็นสถานที่ 9 (วัดที่ 8 ก่อนหน้านี้ นับวัดผิด กลับไปนับใหม่แล้ว เป็นวัดที่ 8) เรามาดูข้อมูลวัดมหาโพธิ์เพิ่มเติมกันนิดนึง เจดีย์วัดมหาโพธิ์ที่พุกาม ทำฐานเป็นทรง 4 เหลี่ยมจตุรัส รองรับปรางค์ ยอดทรงปิระมิต ส่วนปลายสุด ทำเป็นสถูปองค์เล็ก ๆ องค์ปรางค์ เจาะเป็นซุ้มพระเล็ก ๆ จำนวนมาก ถ้าหากไม่นับ สถูปจำลอง บนลานเจดีย์ในเฉว่ตะโกง ในย่างกุ้งแล้ว วัดมหาโพธิ์ในพุกาม ก็คือวัดเดียวในพม่า ที่มีสถูปเจดีย์ เป็นทรงนี้ ปี คศ 1975 เกิดแผ่นดินไหว จนเจดีย์เสียหายพังยับเยิน แต่ไม่กี่ปีต่อมา ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่ จนปัจจุบันมีความสวยงามอย่างที่เห็นแหละครับท่านผู้ชม จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 08:08:11 ]

ความคิดเห็นที่ 72 แผ่นดินไหวในปี คศ 1975 หรือประมาณ พศ 2518 ไม่ได้ทำความเสียหายเฉพาะวัดมหาโพธิ์เท่านั้น แต่วัดที่ 8 ที่เราไป ก็คือ เจดีย์ภูพญา ก็ได้รับความเสียหาย พังยับเยิน จนต้องสร้างองค์ใหม่ขึ้นมา เจดีย์ภูพญา เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม แต่ชาวพม่ามองเป็นเจดีย์ทรงผลไม้ แปลเป็นไทยได้ประมาณ ลูกน้ำเต้า หรือลูกบวบอะไรสักอย่าง ผมไม่แน่ใจ แต่ผมพยายามจะบอกว่า อันนี้ คนไทยเรียกทรงดอกบัวตูม แต่ไกด์ก็พยายามไม่เข้าใจ และเถียงใหญ่ว่าเป็นทรงผลไม้ ผมก็ขี้เกียจเถียง ผลไม้ ก็ผลไม้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 08:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ดูยังไงเป็นทรง ลูกน้ำเต้า นะ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 08:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ไกด์เถียงแบบเสียงสูงมากเลยนะ น้ำเต้า! ลูกน้ำเต้า! (หรือลูกบวบ) โอเค ผมพยายามจะบอก ดอกบัวตูม ไกด์ก็เถึยงอีก ผมขี้เกียจต่อปากต่อคำ โอเค! น้ำเต้า มันเป็นลูกน้ำเต้ามั่ก ๆ! ผมตอบไป จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 15 มิ.ย. 52 08:17:58 ]

ความคิดเห็นที่ 75 พอกลับมาบ้าน มาเปิดตำรา ก็ เอ๋า! ไม่น่าไปเถียงไกด์เลยจริง ๆ เรื่องมันมีอยูู่ว่า กาลครั้งหนึ่งมาแล้ว นานมาก! ราว ๆ ปี คศ 162-243 กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งพุกาม นาม พระเจ้า ปะยูชอตี ทรงคิดค้นวิธีการกำจัดไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง เป็นพืชตระกูลเดียวกับน้ำเต้า เรียกชื่อว่า บู (หรือ พู หรือ ภู ที่เป็นที่มาของชื่อวัด ภูพยา หรือ บูพยา นั่นเอง) แล้วไง พระเจ้าปะยูชอตี กำจัดต้นน้ำเต้าได้ แล้วไง เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมามากมายในสมองน้อย ๆ ของผม ก็น้ำเต้าพวกนี้ ชอบขึ้นรถอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี หรือ เอยาวดี พระเจ้าตะหมุดตะหริด หรือ พระเจ้าสมุทรฤทธิ์ (บอกแล้วคนพม่า ออกเสียง ส เสือ เป็น ต เต่า หมดเลย) พระเจ้าสมุทรฤทธิ์ กษัตริย์องค์แรกแห่งพุกาม จึงยกพระธิดาให้ และยังแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทอีกด้วย เรียกว่า จั่วทีเดียว ก็เจอ 2 เด้งแต่แรก โดยไม่ต้องเสียเวลาจั่วเพิ่มเลย จากการคิดหาวิธีกำจัดน้ำเต้าเนี่ยนะ พระเจ้าปะยูชอตี จึงสร้างเจดีย์ ภูพยา หรือ บูพยา หรือ พูพยา แห่งนึ้ขึ้น เพื่อเป็นที่รำลึกถึงน้ำเต้า หรือบวบ ทั้งหลายทั้งมวล และองค์เจดีย์ ก็กลายเป็นต้นแบบ ของเจดีย์อื่น ๆ ที่สร้างในเวลาต่อมาอีกมากมาย องค์สถูปเป็นทรงน้ำเต้า คล้ายเจดีย์ทิเบต ฐานทำเป็นแนวกำแพงซ้อนกันหลายแนว (ดังที่เห็นในภาพ) ขนาดนี่ใหญ่โต เรียกว่าตระหง่านอยู่บนฝั่ง เหนือลำน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล กลายเป็นเครื่องหมายใช้นำร่องของชาวเรือ เรียกว่า จะเป็นรองก็แต่ GPS ในสมัยนี้ ก็ใช้นี่แหละ เจดีย์ทรงน้ำเต้า เป็นเครื่องหมายมาร์คจุดกันเลย ด้านล่างนี่เป็นแท่นบูชา มูนไต้นัต หรือ เทพเจ้าแห่งพายุ ที่อยู่ภายในศาลาทรงเก้าจั่ว (จั่วสวยมาก ๆ) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไปต่อกันวัดที่ 9 และ วัดที่ 10  (ป๊อก 9  2 เด้ง) นั่นคือ วัดมนูหะ และ วัดนันพยา ที่เชื่อมต่อกัน วัดมะนูหะ สร้างโดยพระเจ้ามะนูหะ กษัตริย์มอญที่รบแพ้กษัตริย์พม่า พระเจ้าอะนอระทา พระเจ้ามะนูหะ จึงถูกจับมาเป็นเชลยศึก พร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่วัดนันพยา จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ไปถึงก็บ่ายคล้อยแล้ว ผู้คนกำลังกินข้าว ไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้าวเย็น หรือมื้อบ่ายแก่ ๆ เพราะมันคงเช้าไปที่จะเป็นมื้อเย็น แต่มันก็บ่ายเกินกว่าจะเป็นมื้อกลางวัน เค้ากินข้าวกันตามปกติ ไม่ใช่จากบาตรอันใหญ่ยักษ์อันนี้ บาตรอันนี้ เดิมเคยเอาไว้ใส่ข้าว แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใส่ข้าวกันแล้ว (คงใส่ข้าวสารบ้าง) แต่ตอนที่เราไป ข้างใน เค้าไว้ใส่เงิน ที่เป็นเงินทำบุญ ของบรรดาศาสนิกชนทั้งหลาย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ดูป้ายยินตีต้อนรับที่พื้นเสียก่อน เห็นแล้วไม่กล้าเหยียบกันเลย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:17:10 ]

ความคิดเห็นที่ 79 วัดมะนูหะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่บ้านมะยินกะบา พระเจ้ามะนูหะ ทรงมีประสงค์ที่จะสั่งสมบุญไว้ชาติภพหน้า ถึงกับขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดทั้งมวลที่มี (บางส่วน) แล้วสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อปี คศ 1059 โดยสร้างให้โครงสร้างวิหาร ภายในแคบมาก คือแคบมากขนาดที่มีช่องแคบ ๆ ให้พอเดินลอดผ่านแบบลำบากนิดนึง คนอ้วน ๆ ผมว่าหมดสิทธิเข้าไปดูแน่ ๆ ภายในวิหารแบ่งออกเป็น 3 คูหา ประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์ เรียกว่าเต็มพื้นที่กันเลย เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก ๆ 3 องค์ เบียดเสียดกันอยู่ภายใน จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คนไทยเรียก "พระอึดอัด" แต่ผมว่า คนก็อึดอัดไม่แพ้กันนะครับ ต้องเดินเบียดผ่านช่องแคบ ๆ อึดอัดน่าดูเลย อันนี้ ก็เพราะว่า พระเจ้ามะนูหะ ทรงต้องการแสดงให้เห็นถึงความคับแค้นใจ ที่ถูกจับมาขังเป็นเชลยที่พุกาม จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ใครจะคิดขโมยนี่คงคิดหนักหน่อย เพราะไม่รู้จะเอาออกจากประตูวิหารยังไง องค์ใหญ่มาก! จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:27:09 ]

ความคิดเห็นที่ 82 วัดมะนูหะ แตกต่างจากวัดมอญทั่วไป ตรงที่วิหารสร้างซ้อนกันเป็น 2 ชั้น แต่ว่าชั้นบนพังลงมาทับพระพุทธรูปในชั้นล่าง เพราะแผ่นดินไหว ปี 1975 และเพิ่งจะบูรณะเสร็จในปี 1981 จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:30:08 ]

ความคิดเห็นที่ 83 นอกจากจะมีพระพุทธรูป 3 องค์ ที่ประดิษฐาน หรือนั่งเบียด ๆ กันแล้ว เดี๋ยวจะพาไปดูพระนอนอีกองค์ ที่ท่าทางจะนอนอึดอัดไม่แพ้กัน จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 84 นี่ครับ อีกมุม ที่อึดอัดไม่ใช่น้อย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:33:19 ]

ความคิดเห็นที่ 85 และองค์สุดท้าย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:33:59 ]

ความคิดเห็นที่ 86 อึดอัดกันพอหรือยัง (ร้องเป็นเพลงของพี่กี้ร์ อริสมันต์ อมฮอลล์ กันเลย) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 นี่ครับ พระเจ้ามะนูหะ และพระเมหสี นีนกะละเทวี คิดว่าน่าจะใช่นะ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:36:34 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ระหว่างทางเดินเล็ก ๆ เราพบกับนี่ครับ เทพวิชาการ ก็ดูจากตำรับตำราที่ถือในมือเสียก่อน ไม่รู้วิชาอะไร แต่เก่าน่าดูเลย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แล้วก็ยังมีเทพ 3 องค์นี้อีกด้วย จำไม่ได้จริง ๆ ว่าเทพอะไรบ้าง เพราะตอนนี้ ข้อมูลในสมองอัดแน่นจนแทบจะล้นออกมาแล้ว แต่ว่า กล้อง 3 ช่วงตัดภาพ cu ไปที่หน้าของเทพผู้ชายด้านซ้ายและขวาหน่อยครับ ผมจะให้ดูอะไร จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เหมือนจะเป็นเทพเห็นเงิน แบบ ฮก ล๊ก ซิ่ว หรือไงไม่ทราบ เห็นกำเงินอยู่ ที่ผมอยากให้ดูครับ คุณผู้ชม โปรดสังเกตุ เทพ (ผู้ชาย) นะครับ แต่ขนตาแอบปัดโปรลองมาสคาร่า จากเมย์เบอร์ลีน ยาวและงอน ขึ้น 2 เท่า! จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ปากก็แด๊งแดง คงจะไม่ใช่ยาอุทัยทิพย์แล้วมั๊ง แบบนี้ น่าจะมิสทีน แต่นัมเบอร์อะไร ไม่ค่อยชัวร์ ดูขนตาเสียก่อน ยังยาวได้อีก สาว ๆ เห็นแล้วยังอาย จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 92 นี่ครับ พระนอน อีกองค์ ที่พูดถึง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:48:26 ]

ความคิดเห็นที่ 93 งดงามครับ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ปิดท้ายกันภาพสุดท้าย แล้วเราจะไปดูวัดนันพยา กันต่อ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 95 อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้า ว่าวัดนันพยา เติมเป็นที่ใช้คุมขังพระเจ้ามะนูหะ กษัตริย์มอญ ที่รบแพ้กษัตริย์พม่า นั่นก็คือ พระเจ้าอะนอระทา (วัดนี้จึงเป็นวัดที่รำลึกถึงพระมะนูหะ) แต่วัดมะนูหะนี่ พระเจ้ามะนูหะสร้างขึ้น ด้วยทรงหวังว่า ชาติหน้าหนใด คงจะมีบุญวาสนาด้วยผลบุญที่สร้างวัด แต่ก็แอบนิดสนึง ระบายความอึดอัด ผ่านพระพุทธรูปใหญ่ยักษ์ 3 องค์ที่เบียดเสียดกันภายในวิหารขนาดเล็ก จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ผมอยากให้ดูอันนี้ครับ ร้านรวงภายในวัด ผู้คนนี่ปิดร้านรวง ร้างเสียยิ่งกว่าหนีตายไข้หวัดมรณะ 2009 อย่างที่ผมบอก ทั่วทั้งพุกาม ช่วงที่ผมไปนี่ (กลางพฤษภาคม) แทบจะหานักท่องเที่ยวไม่ได้เลย ราวกับมีผมคนเดียว ที่เป็นคนต่างชาติในพุกามนั่นเลย ลัลลา น่าดู! หรือผู้คนจะกลัวไข้หวัดมรณะจริง ๆ (ช่วงนั้น เริ่มระบาดแล้วด้วยเหมือนกัน แต่ไม่แร๊งส์ เท่าตอนนี้) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 97 วัดนันพยา ครับ! ภายในมีศิลปะนูนต่ำเรื่องทศชาติ ที่งดงามมาก แสงภายในค่อนข้างน้อย ภาพเลยออกมาได้เท่านี้ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 16 มิ.ย. 52 23:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ภายในสะท้อนอิทธิพลพราหมณ์ ที่ปะปนอยู่กับพุทธศาสนาเถรวาท แบบมอญ​ (ผสมกันหลายสัญชาติมาก) วัดนี้มีแผนผังรูป 4 เหลี่ยมจตุรัส พร้อมระเบียงยาว จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 99 อันนี้ก็เล๊ว เ ลวนะ มีคนมาแอบเจาะช่องด้วย คงคิดว่าข้างใน จะมีใครแอบซุกสมบัติเอาไว้กระมัง จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ผมอยากให้ดูหัวเสาครับ เอาเท่าที่กล้องจะถ่ายได้ในความมืด เสาทั้ง 4 ต้น มีลวดลายหัวเสา และสลักลวดลายนูนต่ำ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ต้องเข้าใจนิดนึงว่ามันค่อนข้างมืด ภาพอาจมีสั่นไหว เป็นภาพถ่ายวิญญาณ ก็มีบ้างอ่ะครับ ต้องเข้าใจ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:08:12 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ความงดงามและเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ ก็คือ พระพรหม ผมเข้าใจว่า จะเป็นรูปสลักอันนี้ (ไม่แน่ใจ) จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:09:42 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ดูภาพรวม ๆ ไปก่อนนะครับ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:10:39 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ถ้าหากชอบใจ ก็ส่งเสียงทักทายกันหน่อย อย่าเพิ่งผ่านเลยไป จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 105 พรุ่งนี้ผมจะมาโพสต่อ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เห็นคุณตาที่โผล่หัวมารูปข้างบนนั่นไหมครับ ผมให้เศษ ๆ เหรียญจากเมืองไทย ไป 10 กว่าบาทได้มั๊ง พอผมเดินออกมายังไม่ทันพ้นประตู คุณตาเอาเหรียญบาทมาคืนแทบไม่ทัน คุณตาบอก ไม่เอาเหรียญ ค่ามันน้อย หนอย! 3 บาท นี่มันก็ 100 จั๊ตแล้วนะคุณตา! (สตาร์โคล่า เค้าขวดนึง 300 จั๊ต) ตอนหลังเลยต้องควักแบงก์ 20 ให้ไปใบนึง ส่วนเหรียญ ๆ อีก 10 กว่าบาท ผมไม่เอาคืน เบ็ดเสร็จ ค่าเข้าวัดนี้ หมดไปร่วม ๆ 30 บาท หมดไป พันจั๊ตเชียวนะคุณ พันจั๊ตมันก็ 1 USD พอดิบพอดี โดยปกติวัดนี้จะปิด ไม่ค่อยให้ใครเข้า แต่ถ้าอยากเข้าจริง ๆ ผมว่าเหรียญ 10 สวย ๆ สัก 2 อันให้คุณตา ที่เป็น gate keeper ก็น่าจะพอ จากคุณ : เกษม พุฒเรืองศรี - [ 17 มิ.ย. 52 00:17:57 ]