ความคิดเห็นที่ 1 นั่งรถบัสคันใหญ่ออกจากกรุงเทพมาเพียงสามชั่วโมงก็มาสุดเขตประเทศไทยแล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 09:53:49 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:52:56

ความคิดเห็นที่ 2 ประตูสู่ประเทศกัมพูชา ตื่นเต้นๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:55:06

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ก่อนจะได้เข้าไปก็ต้องโดนวัดไข้ซะก่อน เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นไข้หวัด (ไม่ว่าจะของปีไหน) แน่ๆค่ะ เจ้าหน้าที่ตรวจโดยเอาเครื่องวัดอุณหภูมิเสียบเข้าไปในหู......(ไม่รู้ใช้ซ้ำกันกี่คน) ถ้าไม่มีไข้ก็จะได้ใบรับรองสีเหลืองมาแบบนี้ เป็นอันว่าเข้าประเทศได้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:56:31

ความคิดเห็นที่ 4 มีข้อควรทราบในการผ่านแดนทางด่านปอยเปตนี้ก็คือ ถ้าต้องการผ่านแดนอย่างสะดวกรวดเร็วไม่ต้องต่อแถวรอนานๆจะต้องเสียค่า Stamp V.I.P. ฝั่งไทย 100 บาท (ไม่งั้นก็ยืนรอต่อแถว...ในห้องแอร์) ฝั่งเขมร 300 บาท (ไม่งั้นก็ยืนรอต่อแถว...ในห้องที่ไม่มีแม้แต่พัดลม) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:57:19

ความคิดเห็นที่ 5 แวะกินข้าวในคาสิโน ดูบรรยากาศซะหน่อย เค้าห้ามถ่ายเครื่องเล่นทุกชนิดค่ะ ดูล็อบบี้สุดหรูกันไปก่อน คนเข้ามาเล่นเยอะเชียวค่ะ ส่วนใหญ่เจ้าของก็คนไทย คนเล่นก็เป็นคนไทยนี่แหละ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:58:11

ความคิดเห็นที่ 6 บรรยากาศผิดกับข้างนอก..... พี่คนขับรถรับจ้างนั่งรอลูกค้ากลางแดดร้อนๆที่ท่ารถ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:58:48

ความคิดเห็นที่ 7 วันไหนฝนตกก็มีแบบนี้ให้เห็น จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 09:59:41

ความคิดเห็นที่ 8 ได้เวลาเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่เสียมเรียบ เมืองแห่งอัปสราและปราสาทหินแล้วค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:00:38

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับคนที่เดินทางมาเองต้องต่อรถจากด่านมาจนถึงท่ารถทัวร์นะคะ เอาราคามาฝากกัน เลือกได้ว่าจะใช้บริการรถประเภทไหน จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:01:18

ความคิดเห็นที่ 10 คราวนี้เราเดินทางกับทัวร์ ก็ขึ้นบัสสบายไปตามระเบียบ โฉมหน้าพี่ไกด์ชาวเขมรที่จะดูแลเราต่อไปอีกสามวัน ไกด์ทุกคนจะแต่งตัวแบบนี้คือเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีส้มอ่อน กางเกงสแล็ก และมีป้ายชื่อติดเรียบร้อย คุณพี่ไกด์ของเราใจดีมาก พูดภาษาไทยได้ค่อนข้างดี เพราะเคยเข้ามาอยู่ไทยมาก่อน แต่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก (พี่เค้าบอกว่าปกติเค้าทำทัวร์ฝรั่งอ่ะ) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:02:25

ความคิดเห็นที่ 11 วิวสองข้างทางจากปอยเปตไปยังเสียมเรียบจะเป็นทุ่งนาซะเป็นส่วนใหญ่ สบายตากับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าไปตลอดทาง อ้อๆ เดี๋ยวนี้ถนนฝุ่นลูกรังที่ต้องนั่งหัวสั่นหัวคลอนไม่มีแล้วนะคะ ใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมงดีก็ถึงเสียมเรียบแล้ว จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:03:00

ความคิดเห็นที่ 12 ทริปนี้เราจะไปโตนเลสาปกันก่อนโดยไม่แวะพักค่ะ ระหว่างทางเจองานแต่งงานพอดีเลย งานแต่งที่นี่จะมีโปสเตอร์หน้างานเป็นรูปบ่าวสาวด้วยล่ะ พี่ไกด์บอกว่าชาวบ้านแถวนี้เค้ารีบแต่งกันก่อนหน้าน้ำ เพราะน้ำในโตนเลสาปจะท่วมเข้ามาในบริเวณนี้ทั้งหมด จะไม่สะดวกในการจัดงานและเชิญแขก ตอนแรกเราก็นึกภาพไม่ออกว่าน้ำจะท่วมขนาดไหน...แบบคิดว่าก็คงท่วมถึงน่องพอเปียกแหละ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:03:38

ความคิดเห็นที่ 13 แต่ก็มาอ๋อ เมื่อถึงที่ท่าเรือ.... พบว่าน้ำจะท่วมที่นี่หมดจนเกือบถึงพื้นบ้าน (ที่ยกสูงมาก) ของชาวบ้านแถวนี้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:04:46

ความคิดเห็นที่ 14 โตนเลสาปเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก เกิดจากแม่น้ำโขง ซึ่งในฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมถึง 7,500 ตารางกิโลเมตร ลึก 10 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ กำปงธม กำปงซะนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมเรียบ ในโตนเลสาบมีปลาหลายชนิดและชุกชุมมาก เคยได้ยินคนบอกว่าปลาในโตนเลสาปแค่พื้นที่ 1 ตารางเมตร+ลึกลงไป สามารถเลี้ยงคน 1 คนได้ตลอดชีวิต โอ้ววววว อุดมสมบูรณ์ขนาดนั้นเลยทีเดียว พันธุ์ปลาที่มีในโตนเลสาปค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:05:45

ความคิดเห็นที่ 15 ขึ้นเรือกันซะทีดีกว่า จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:06:42

ความคิดเห็นที่ 16 เก้าอี้บนเรือเป็นแบบนี้ มีเบาะรองนั่งแต่ตัวเก้าอี้แค่วางไว้ไม่มีการยึดกับตัวเรือใดๆทั้งสิ้น แพ็กตัวกันครบแล้วก็ออกเดินทางได้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:07:13

ความคิดเห็นที่ 17 วิถีชีวิตของชาวบ้านในโตนเลสาป บ้านมีทั้งแบบถาวรที่ยกพื้นสูงเพื่อหนีน้ำ  บ้านเรือและเรือนแพที่ลอยขึ้นตามน้ำได้เอง (แถมจะย้ายบ้านไปไหนก็ง่ายอีกต่างหาก) เนินดินที่ผุดขึ้นยามน้ำลดก็กลายเป็นล่นกิจกรรมของชาวบ้านทุกเพศทุกวัย กิจกรรมเท่าที่เห็นก็เล่นไพ่ เล่นหมากรุก และรวมไปถึงแบตมินตันกับวอลเลย์บอล นอกจากนี้ ใช้เป็นที่สร้างศาลพระภูมิ (แบบยกพื้นสูง) อีกด้วย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:08:25

ความคิดเห็นที่ 18 ที่เราประทับใจมากคือรูปนี้......อาจจะเห็นไม่ชัดนัก แต่นอกจากการเลี้ยงปลาในกระชังแล้ว ชาวบ้านแถวนี้เค้ายังเลี้ยงหมูกับไก่บนแพลอยน้ำด้วย โดยมีเชือกโยงระหว่างแพบ้านกับแพสัตว์เลี้ยง แบบว่าย้ายไปไหนก็ลากตามไปได้ทุกที่....มันช่างเยี่ยมจริงๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:09:05

ความคิดเห็นที่ 19 นั่งเรือมาประมาณครึ่งชั่วโมงได้เรือก็ออกสู่พื้นน้ำอันกว้างใหญ่ อืม....สุดลูกหูลูกตาจริงๆ เอ๊ะ เหมือนข้างหน้าฝนจะตกอยู่นะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:09:46

ความคิดเห็นที่ 20 หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็ต้องรีบขับเรือกลับ หนีฝนที่กำลังถูกลมพัดไล่มาพอดี หน้าตาเรือที่นั่งชมโตนเลสาปจ้า จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:10:17

ความคิดเห็นที่ 21 กลับมาแล้วหลังจากกินข้าวในภัตตาคารที่ทัวร์จัดให้ (งดรีวิวเรื่องอาหารเพราะกินหมดก่อนได้ถ่ายทุกที อิอิ) ก็มาเดินช็อปปิ้งรอบแรกกันที่ Noon-Night market (กะจะขายทั้งกลางวันกลางคืนเลย ว่างั้น) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:10:54

ความคิดเห็นที่ 22 มีภาพวาดสวยๆ ราคาขึ้นอยู่กับขนาดภาพ แต่ต่อรองได้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:12:11

ความคิดเห็นที่ 23 ของฝากที่นี่ เราว่าแพง ส่วนใหญ่เป็นพวกพวงกุญแจ โปสการ์ด ผ้าไหม และงานแกะสลัก (ขอบคุณคุณเพื่อนสาว นางแบบจำเป็นของทริปนี้) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:12:40

ความคิดเห็นที่ 24 หลังต่อจนหมดแรง ช็อปจนหมดเงินก็กลับมาเช็คอินที่โรงแรม รีวิวนิดนึงกับ Goldiana Angkor Hotel โรงแรมสี่ดาวของเสียมเรียบ ล็อบบี้กับสระว่ายน้ำของโรงแรม จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:13:25

ความคิดเห็นที่ 25 ห้องน้ำสะอาดโอเค ไม่มีกลิ่นอับ มีอ่างอาบน้ำ มีไดร์เป่าผมให้ เซ็ทแจกฟรีประกอบด้วยสบู่ แชมพู ยาสีฟัน แปรงสีฟัน คอตตอนบัด หมวกคลุมผมอาบน้ำ มีดโกน ฯลฯ วิวจากห้องเรามองลงไปเห็นช้างแกะสลัก สวยๆ หลอนๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:14:02

ความคิดเห็นที่ 26 เตียงนุ่มนอนสบาย แอร์เย็นม๊ากกกกก ขนาดปรับอุณหภูมิไปเกินสามสิบก็ยังเย็น สาบานได้ว่าอุณหภูมิจริงต่ำกว่า 20 แน่ๆอ่ะ หัวเตียงเป็นภาพประดับรูปบายน อืม...แอบกลัวนิดหน่อย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:14:35

ความคิดเห็นที่ 27 เช้าวันรุ่งขึ้นมาเริ่มกันเลยกับการเข้าชมเมืองพระนคร ก่อนอื่นก็ต้องซื้อบัตรเข้าชมกันก่อน จุดขายบัตรเปิดตั้งแต่ตี 5 จนถึงห้าโมงครึ่งในช่วงเย็น ฝากคนอื่นซื้อไม่ได้นะคะ เพราะต้องเข้าไปถ่ายรูป เนื่องจากเมื่อก่อนมีนักท่องเที่ยวหัวหมอซื้อบัตรไม่ครบคนแล้วเวียนกันเข้าไป เลยต้องมีการถ่ายรูปแปะบัตรกันทุกคน จะได้ไม่เอาไปเวียนกันอีก ขั้นตอนการซื้อบัตรเข้าชมก็ประกอบไปด้วยขั้นตอนเดียว (อ้าว...) ก็คือไปยืนยิ้มที่ช่องขายตั๋ว ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกให้เรามองกล้องและถ่ายรูปเราเพื่อติดบัตร เสร็จแล้วบัตรจะออกมาหน้าตาประมาณนี้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:15:11

ความคิดเห็นที่ 28 ของเราเป็นแบบเข้าชมวันเดียว เนื่องจากเวลาที่จำกัด (เสียดายนะเนี่ย อยากอยู่ซักอาทิตย์นึง....) ตั๋วจะรวมค่าเข้าชมและค่าถ่ายรูปแล้ว ราคาตามนี้ค่ะ 1 วัน   20 $    ค่าปรับในกรณีไม่มีบัตรหรือเอาให้คนอื่นยืมใช้   100 $ 3 วัน   40 $    ค่าปรับในกรณีไม่มีบัตรหรือเอาให้คนอื่นยืมใช้   200 $ 7 วัน   60 $    ค่าปรับในกรณีไม่มีบัตรหรือเอาให้คนอื่นยืมใช้   300 $ บัตรนี้ห้ามทำหาย ถ้าเข้าไปแล้วทำหาย เจ้าหน้าที่ขอดูแล้วไม่มีก็ต้องเสียค่าปรับแพงๆ ทริกตรงนี้คือ เราสามารถซื้อบัตรเข้าชมหลัง 17:00 น.ได้ บัตรจะสามารถใช้ได้ตั้งแต่เย็นวันนั้นและรวมถึงเช้าวันรุ่งขึ้นด้วย จะได้ไม่ต้องมารอต่อคิวตอนเช้าซึ่งมักจะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:15:54

ความคิดเห็นที่ 29 ดูแผนที่กันก่อนเที่ยว การเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นสองรอบ คือรอบในกำแพงพระนครกับปราสาทอื่นๆที่อยู่นอกกำแพงพระนคร สำหรับทัวร์ของเราซึ่งมีเวลาจำกัดจึงชมได้แค่ปราสาทที่เด่นๆ สำคัญๆ (โอ๊ย เสียดายยยยยยยย) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:17:08

ความคิดเห็นที่ 30 มีพาหนะหลายแบบให้เลือกใช้ในการเที่ยวชม ทั้ง “ละเมาะโมโต” (รถพ่วงมอเตอร์ไซด์) ช้าง และรถนำเที่ยว ราคาไม่ได้ถามมานะคะ รู้แต่ช้าง (ไปส่งที่บายน) คนละ 15 $ แพง แต่ได้อารมณ์ สำหรับคนที่อยากจินตนาการว่าตัวเองเป็นกษัตริย์เขมรโบราณกำลังชมเมือง จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:17:43

ความคิดเห็นที่ 31 ปราสาทแรกที่เจอแต่ไม่ได้แวะเข้าไปคือที่นี่ค่ะ ปราสาทปักษีจำกรง เป็นปราสาทขนาดเล็กที่บูชาพระศิวะ มีบันทึกชัดเจนว่าสร้างโดยหรรษาวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศให้พระบิดาและพระมารดาเสร็จและสมโภชน์เมื่อพ.ศ. 1491 ถือเป็นปราสาทยุคแรกๆเลยทีเดียว ชื่อปราสาทมาจากตำนานว่า ครั้งหนึ่งเกิดการแก่งแย่งชิงราชสมบัติในหมู่พี่น้อง เจ้าชายองค์หนึ่งถูกพระมารดาพาขึ้นไปซ่อนบนเขา ทหารฝ่ายศัตรูตามมาทัน แต่ทันใดนั้นก็มีพญานกบินมาและกางปีกปกป้องเจ้าชายไว้ ต่อมาเมื่อพระองค์ได้ครองราชย์จึงสร้างปราสาทขึ้นมาเพื่อแสดงกตัญญูต่อพญานก จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:18:39

ความคิดเห็นที่ 32 จากปราสาทปักษีจำกรงหันมาทาด้านขวามือก็เจอทางเข้าสู่กำแพงเมืองพระนครค่ะ กำแพงเมืองพระนครสร้างด้วยศิลาแลงความยาวด้านละ 3 กิโลเมตรโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กำแพงแต่ละด้านมีประตูเข้าออก และมีประตูผีสำหรับนำศพออกจากเมือง กำแพงด้านนี้เป็นกำแพงด้านทิศใต้ ซึ่งมีรูปจำหลักอสูรและเทวดายุดนาคสมบูรณ์ที่สุด จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:19:36

ความคิดเห็นที่ 33 การจะเข้าสู่เมืองพระนครจะต้องข้ามคูน้ำที่ล้อมรอบอยู่เข้าไปโดยเดินผ่านสะพานหิน ราวสะพานเป็นหินแกะสลักรูปพญานาคเจ็ดเศียร โดยพญานาคด้านซ้ายมือถูกฉุดรั้งโดยเหล่าเทวดา ส่วนด้านขวาเป็นเหล่าอสูร ด้านละ 54 ตนเท่าๆกัน ซึ่งน่าจะจำลองมาจากพิธีกวนเกษียรสมุทรตามความเชื่อในศาสนาฮินดู โดยปราสาทบายนซึ่งอยู่ศูนย์กลางของนครธมน่าจะเปรียบเป็นเขามันทระที่ใช้กวนทะเลน้ำนมนั่นเอง ส่วนบริเวณเหนือซุ้มประตูเป็นภาพแกะสลักหน้าคนที่เรียกว่าเป็นใบหน้าแห่งบายน แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 10:20:58 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:20:29

ความคิดเห็นที่ 34 ติดตามชมค่ะ  เคยไปเมื่อ 5 ปีก่อน เห็นแล้วอยากไปอีกจังเลยค่ะ จากคุณ : JAIDEE111 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:20:38

ความคิดเห็นที่ 35 สวัสดีค่ะคุณ JAIDEE111 มีเพื่อนแล้ว ^^ เราเพิ่งกลับมาก็ยังอยากไปอีกเลย หลังจากผ่านกำแพงเข้ามาแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่ปราสาทบายน ซึ่งอยู่ไกลจากประตูทางเข้านี้ประมาณกิโลเมตรกว่าๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:22:29

ความคิดเห็นที่ 36 ปราสาทบายนเป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธซึ่งสร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ประมาณช่วงปีพ.ศ. 1650-1750 นักท่องเที่ยวมากมายมาเยือนที่นี่เพื่อดู “รอยยิ้มแบบบายน” แต่จริงๆแล้วบายนมีอะไรมากกว่านั้น สิ่งที่น่าสนใจมากๆก็คือภาพสลักหินบนระเบียงชั้นนอก ที่บันทึกประวัติศาสตร์และชีวิตประจำวันของชาวเขมรโบราณเอาไว้ ต่างจากปราสาทอื่นๆที่มักสลักเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานและศาสนามากกว่า ระเบียงชั้นนอกผุพังไปมาก แต่ก็ยังคงเค้าความสวยงาม สิงห์ที่เฝ้าประตูอย่างซื่อสัตย์มาเกือบพันปี จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:23:29

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายเลยค่ะ ภาพจะเริ่มกล่าวถึงการรบของทหารเขมร (หัวเกรียนๆ ไม่ใส่เสื้อ นุ่งเตี่ยว) กับทหารจาม (ใส่เสื้อใส่หมวก) ศัตรูคู่แค้นในสมัยนั้น โดยมีทั้งการรบทางบกและทางน้ำในโตนเลสาป ทัพเรือของเขมร จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:24:03

ความคิดเห็นที่ 38 แรกๆฝ่ายเขมรดูจะเพลี่ยงพล้ำต่อมาเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เข้ากู้เมืองฝ่ายจามก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด นี่ค่ะพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของขอมโบราณทรงช้างนำทัพสู้ศึก และรูปขวามืออัปสราแห่งบายน แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 12:28:48 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:25:08

ความคิดเห็นที่ 39 ต่อมาก็เป็นชีวิตประจำวันของชาวบ้านในสมัยนั้น ผู้หญิงเมื่อมีเวลาว่างก็หาเหาให้กัน ตรงนี้คุณไกด์บอกว่าตามชนบทก็ยังมีให้เห็นอยู่ เรายืนยันว่าจริง เห็นมาที่โตนเลสาปอ่ะ ส่วนผู้ชายก็มีกีฬาชนไก่ กัดหมู จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:25:48

ความคิดเห็นที่ 40 เจอแล้วพระปรางค์ด้านใน เชื่อว่าแต่เดิมมี 54 ยอด ปัจจุบันเหลืออยู่ 37 ยอดค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:26:20

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าต้องการชมรอยยิ้มแบบบายนใกล้ๆต้องปีนขึ้นไปชั้น 2-3 ค่ะ โดยชั้น 3 จะสามารถเดินได้โดยรอบ ไม่ว่าอยู่มุมไหนก็จะเห็นใบหน้าที่ยิ้มมุมปากดูมีเมตตาและอ่อนโยนนี้อยู่ตลอด ส่วนจะเห็นได้กี่หน้าก็ขึ้นอยู่กับมุมที่มอง ใบหน้านี้ถูกตีความไปต่างๆกัน บางคนบอกว่าเป็นพระพรหม (เพราะมีสี่หน้าบนหนึ่งปรางค์) บางคนบอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (หรือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั่นเอง--เพราะพระองค์ทรงถือว่าตนเองเป็นพุทธราชาซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:27:18

ความคิดเห็นที่ 42 เค้าว่ากันว่าใบหน้านี้ยิ้มสวยและอ่อนโยนที่สุดค่ะ จริงไม๊เอ่ย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:28:21

ความคิดเห็นที่ 43 พระพุทธรูปที่นี่ยังมีชาวเขมรมาสักการะบูชาอยู่เสมอ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:29:02

ความคิดเห็นที่ 44 สวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:29:33

ความคิดเห็นที่ 45 ออกจากบายนทางทิศเหนือเดินตรงไปจะผ่านลานช้าง ลานพระราชวัง และลานพระเจ้าขี้เรื้อน เป็นลานต่อเนื่องกันยาวราว 300 เมตร คาดว่าเป็นลานที่ตั้งพลับพลาให้กษัตริย์และขุนนางนั่งในพระราชพิธีต่างๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:30:22

ความคิดเห็นที่ 46 นั่งรถออกจากเมืองพระนครทางทิศตะวันออก เพื่อไปชมปราสาทตาพรม ปราสาทตาพรมมีชื่อเดิมตามจารึกว่า “ราชวิหาร” ส่วนชื่อตาพรมน่าจะเป็นชื่อคนเฝ้าปราสาทสมัยยุคสำรวจมากกว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างปราสาทนี้อุทิศให้พระมารดาคือพระนางชัยราชจุฑามณี โดยมีเทวรูปนางปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นเทพีแห่งปัญญาแทนองค์พระมารดา ทางเข้าปกคลุมด้วยไม้ใหญ่มากมาย ปราสาทบางส่วนที่พังลงมาแล้วยังมีหลงเหลือให้เห็น ระหว่างทางมีวงดนตรีคนพิการเนื่องจากผลของสงครามกับเขมรแดงเล่นอยู่ รอรับเงินบริจาคและขาย CD ให้คนที่ผ่านไปมา จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:31:31

ความคิดเห็นที่ 47 มาถึงทางเข้า เป็นสะพานไม้ข้ามบริเวณที่เมื่อก่อนน่าจะเป็นบาราย (ซึ่งปัจจุบันไม่มีน้ำแล้ว) เข้าไปสู่บริเวณปราสาท จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:32:14

ความคิดเห็นที่ 48 ปราสาทตาพรมเป็นวัดในพระพุทธศาสนาที่มีขนาดใหญ่มาก คือมีปราสาท 24 หลัง ตามจารึกกล่าวว่ามีหมู่บ้านในสังกัด 3,140 หมู่บ้าน แรงงานข้าวัด 79,365 คน พระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป พนักงานประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วย 2.202 คน นางรำ 615 คน*.........(โม้ป่าวเนี่ย) สันนิษฐานว่าปราสาทนี้นอกจากเป็นพระอารามหลวงแล้วยังเป็นอโรคยาศาลาและมหาวิทยาลัยสำหรับสอนภาษาบาลีสันสกฤตอีกด้วย *ข้อมูลจากหนังสือคู่มือนำเที่ยวนครวัด-นครธม โดยศรัณย์ บุญประเสริฐ และยอด เนตรสุวรรณ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 12:31:51 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:32:59

ความคิดเห็นที่ 49 แต่ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เมื่อมาถึงยุคเสื่อม ปราสาทตาพรมก็ถูกทอดทิ้งเช่นเดียวกับปราสาทที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในเมืองพระนคร จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:33:31

ความคิดเห็นที่ 50 อัปสราแห่งตาพรมจะอวบกว่าอัปสราที่นครวัดหน่อย ภาพกลาง อัปสราถูกปกคลุมโดยรากไม้ เห็นเฉพาะใบหน้าแย้มยิ้มที่ดูลึกลับ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:34:19

ความคิดเห็นที่ 51 ทางเดินชมปราสาทตาพรมทำขึ้นโดยใช้ไม้กระดานเรียงต่อกันเป็นสะพานยกพื้นเล็กน้อย ดีสำหรับการอำนวยความสะดวกและกำหนดทิศทางคร่าวๆให้นักท่องเที่ยว จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:35:47

ความคิดเห็นที่ 52 ฝรั่งเศสเข้ามาบูรณะปราสาทแห่งนี้โดยคงภาพตามธรรมชาติดั้งเดิมไว้มากที่สุด กลายเป็นจุดเด่นและเสน่ห์ รากของต้นสะปงยักษ์ยึดอยู่ตามปราสาท และปรางค์ต่างๆดูลึกลับ จนตาพรมได้เป็นฉากสำคัญฉากหนึ่งใน Tomb Raider จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:36:28

ความคิดเห็นที่ 53 ต้นนี้ไกด์และชาวบ้านแถวนั้นเรียกกว่า “ต้น Tomb Raider” ไปเลย แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 12:33:44 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:37:03

ความคิดเห็นที่ 54 ออกจากตัวปราสาทก็มีชาวบ้านเอาสินค้าพื้นเมืองมาขายด้วยราคาที่ต่อรองได้ และตามมาส่งเราถึงรถเลยด้วย คุณพี่ใจดีสองท่านนี้ก็อุดหนุนผ้าไหมกันไปนิดหน่อย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:37:42

ความคิดเห็นที่ 55 ออกเดินทางสู่อีกหนึ่งปราสาทไฮไลท์..............บันทายสรี บันทายสรีหรือบ็อนเตียชเร็ยในภาษาเขมรมีความหมายว่าปราสาทสตรี หรือปราสาทศรี แต่ตามจารึกพบว่าชื่อของปราสาทแห่งนี้คือ “ตรีภูวนมเหศวร” สร้างโดยคุรุยัญชวราหะพราหมณ์ใหญ่ในสมัยราเชนทรวรมัน เพื่ออุทิศถวายแด่พระศิวะ ทางเข้าดูเล็ก แคบ และไม่มีอะไร จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:38:43

ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อเดินผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปก็จะเจอกับเทวาลัยที่มีขนาดค่อนข้างเล็กแต่สวยงามล้อมรอบด้วยบารายที่ยังคงมีน้ำอยู่ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:39:19

ความคิดเห็นที่ 57 ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพูเนื้อละเอียด การจำหลักลายบนเนื้อหินงดงามประณีตอ่อนช้อย จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “รัตนชาติแห่งศิลปะเขมร” ซึ่งไม่ได้เกินจริงเลย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:39:54

ความคิดเห็นที่ 58 บริเวณโคปุระชั้นนอกสุดได้ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ยังเหลือร่องรอยของสิ่งที่เคยมีอยู่ให้เห็นบ้าง อย่างเช่น ฐานโยนีที่เมื่อก่อนน่าจะมีศิวลึงค์ตั้งอยู่ และเสาหน้าต่างที่สลักเสลาได้กลมกลึงมากๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:40:31

ความคิดเห็นที่ 59 หน้าบันและทับหลังของที่นี่ยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก และแกะสลักขึ้นมาได้อย่างละเอียด วิจิตรบรรจง เริ่มกันที่หน้าบันรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ อยู่ที่โคปุระชั้น 1 (ตรงทางเข้า) ซึ่งเป็นทิศตะวันออก เพราะพระอินทร์เป็นเทพแห่งแห่งบูรพาทิศนั่นเอง จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:41:30

ความคิดเห็นที่ 60 หน้าบันเรื่องรามเกียรติ์ตอนพิราพลักนางสีดา ชิ้นนี้วางอยู่ก่อนถึงโคปุระที่ 2 สังเกตนางสีดาตกใจหันมามองพระรามอย่างอาวรณ์ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:42:03

ความคิดเห็นที่ 61 โคปุระที่ 3 มีหน้าบันตอนสมโภชพระลักษมีซึ่งได้จากการกวมเกษียรสมุทร พระนารายณ์จะอภิเษกเป็นชายาจึงต้องทำพิธีสมโภชกันก่อน จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:42:41

ความคิดเห็นที่ 62 หน้าบันของเทวาลัยองค์เหนือเป็นเรื่องกฤษณาวตาร ตอนพระกฤษณะประลองฤทธิ์กับพระอินทร์ โดยพระอินทร์บันดาลให้ฝนตก ส่วนพระกฤษณะกับอรชุนช่วยกันยิงธนูจำนวนมหาศาลขึ้นฟ้า บังไม่ไห้ฝนตกลงมาบนพื้นได้ (เมพขิงๆ เอ๊ย เทพจริงๆ) จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:43:21

ความคิดเห็นที่ 63 หน้าบันของเทวาลัยองค์ใต้ เป็นภาพทศกัณฐ์โยกเขาไกรลาสเพื่อทดสอบความเพียรของพระศิวะขณะเข้าฌาน ฝูงสัตว์วิ่งหนีกันอลหม่าน พระอุมาก็ตกใจจนต้องโดดขึ้นไปนั่งตักพระศิวะ (แอบน่ารัก) แต่พระศิวะยังคงหลับตาอยู่ในฌานสมาธิ แต่ละลายละเอียดมากๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:44:27

ความคิดเห็นที่ 64 เทวาลัยสามองค์ของบันทางสรี ปัจจุบันมีเชือกล้อมกั้นไม่ให้เข้าแล้ว จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:45:09

ความคิดเห็นที่ 65 ทวารบาลประดับปรางค์ด้านใน แกะสลักเป็นรูปอมนุษย์ โดยตัวเป็นคนแต่หัวเป็นอสูรและสัตว์ต่างๆ ของจริงถูกทำลายไปเกือบหมด ที่เหลือก็เก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ของที่เห็นอยู่นี้เป็นแบบจำลองจ้า จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:45:47

ความคิดเห็นที่ 66 อัปสราแห่งบันทายสรี งดงามจนได้รับการยกย่องว่าเป็นโมนาลิซ่าแห่งเอเชีย เมื่อก่อนเคยถูกนักเขียนฝรั่งเศสชื่ออ็องเดร มาลโรซ์ขโมยไป 4 รูป แต่ไปถูกจับได้ที่ไซ่ง่อน ปัจจุบันของกลางก็ยังถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกรุงพนมเปญ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:46:35

ความคิดเห็นที่ 67 หลังจากออกจากบันทายสรี และกินข้างกลางวันกันแล้ว ก็ได้เวลาไปชมสุดยอดปราสาทอันยิ่งใหญ่อลังการ.......นครวัด หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกซึ่งสร้างโดยสุริยวรมันที่ 2 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของขอมโบราณ นครวัดเป็นปราสาทแห่งเดียวในเมืองพระนครที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดังนั้นจึงควรไปเที่ยวชมตอนบ่ายเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเข้าด้านหน้ามีสะพานนาคทอดเข้าไปสู่ตัวปราสาท โดยข้ามบารายซึ่งยังคงกว้างใหญ่และเก็บน้ำไว้ได้จนถึงปัจจุบัน จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:47:24

ความคิดเห็นที่ 68 ทำไมหน้ากลมจัง ว๊ะ!! จากคุณ : kyojaa เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:47:48

ความคิดเห็นที่ 69 ชาวเขมรมีความเชื่อที่ลึกซึ้งผูกพันกับพญานาค โดยเชื่อว่าปฐมกษัตริย์ของเขมรสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์กับนางนาค นอกจากนี้ยังมีจารึกว่ากษัตริย์ขอมโบราณจะต้องสมสู่กับนางนาคก่อนเข้านอนด้วย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:48:08

ความคิดเห็นที่ 70 คุณ kyojaa อย่ากวนมากเดี๋ยวมีเรื่องค่ะ หุหุ เมื่อเดินไปจนสุดสะพานนาคก็จะพบกับโคปุระชั้นกลาง ซึงบริเวณนี้ก็มีอะไรให้ดูหลายอย่าง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 12:38:21 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:49:33

ความคิดเห็นที่ 71 เจอนางอัปสราแล้ว อัปสราที่นครวัดดูจะอ้อนแอ้นผอมบางกว่าอัปสราของบายน อัปสราตนนี้อยู่ใกล้มือคนเลยโดนจับจนมันเลื่อมเลย -_-‘ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:50:10

ความคิดเห็นที่ 72 ทางด้านขวาของโคปุระป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปแปดกรขนาดใหญ่ราวสองเท่าของตัวคน คาดว่าเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรศิลปะบายน ซึ่งเป็นยุคหลังจากนครวัด จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:50:47

ความคิดเห็นที่ 73 ออกจากโคปุระเดินไปทางเดินเลาะไปทางขวาตามขอบหินจะเจออัปสรายิ้มเห็นฟัน แตกต่างกับอัปสราตนอื่นที่ยิ้มมุมปากเท่านั้น จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:51:38

ความคิดเห็นที่ 74 เดินออกจากโคปุระจะพบสะพานหินซึ่งทอดตรงไปสู่ตัวปราสาทชั้นใน จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:52:26

ความคิดเห็นที่ 75 บรรณาลัยหรือหอสมุดอยู่ระหว่างทาง จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:53:01

ความคิดเห็นที่ 76 ชานชาลารูปกากบาทที่พญานาคทอดตัวขวางอยู่ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:53:32

ความคิดเห็นที่ 77 นครวัดมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างราว 1,300 เมตร และยาวประมาณ 1,500 เมตร มีบารายหรือคูน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน นครวัดถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระวิษณุ ดังปรากฏชื่อในจารึกว่า “พระวิษณุโลก” เนื่องจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงนับถือพระวิษณุ ต่างจากกษัตริย์องค์ก่อนๆที่มักจะนับถือพระศิวะมากกว่า และยังเชื่อว่าพระองค์เองเป็นอวตารของพระวิษณุอีกด้วย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:54:14

ความคิดเห็นที่ 78 ใกล้เข้ามาแล้ว จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:54:44

ความคิดเห็นที่ 79 ระเบียงคดชั้นแรกแกะสลักภาพนูนต่ำซึ่งยาวที่สุดในโลกไว้ พื้นที่รวมทั้งหมดราว 1 ตารางกิโลเมตร ภาพขนาดมหึมานี้ไม่ได้แกะเสร็จภายในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แต่มีบางส่วนที่ไม่เสร็จและมาแกะต่อในสมัยของนักองค์จัน กษัตริย์ยุคต่อมา แต่ว่ากันว่าความสวยงามสู้ฝีมือช่างในยุคแรกไม่ได้เลย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:55:17

ความคิดเห็นที่ 80 วิธีเดินชมภาพควรเริ่มจากทิศตะวันตกโดยเดินทวนเข็มนาฬิกา ภาพแรกจะเป็นเรือง “การยุทธที่ทุ่งกุรุเกษตร” จากมหากาพย์เรื่องมหาภารตยุทธ ในศาสนาฮินดู ภาพนี้เป็นตอนภีษมะนอนตายเพราะถูกยิงจนไม่มีที่เหลือให้ธนูปักอีก แต่ธนูค้ำไว้ร่างจึงไม่ตกต้องพื้นดิน จริงๆตำนานมียาวกว่านี้ ฉะนั้นถ้าจะเที่ยวนครวัดให้สนุกควรศึกษาตำนานฮินดูไว้คร่าวๆด้วยค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:55:49

ความคิดเห็นที่ 81 ต่อมาเป็นภาพกองทัพของขอมและเมืองขึ้นในสมัยโบราณ ภาพนี้คือสุริยวรมันที่ 2 กษัตริย์ผู้สร้างนครวัดประทับบนยอดเขาศิวบาทค่ะ สังเกตว่ามีฉัตรมากมายในภาพ บ่งบอกฐานะของบุคคลในภาพได้ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:56:25

ความคิดเห็นที่ 82 ส่วนนี่คือภาพของทหารในกระบวนทัพซึ่งมีทหารละโว้ (ภาพบน) และเสียมกุกหรือสยาม (ภาพล่าง) อยู่ด้วย อืม....ดูไม่มีระเบียบอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆด้วย -_-‘ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:57:12

ความคิดเห็นที่ 83 กำแพงด้านต่อาเป็นเรื่องราวของนรก สวรรค์ค่ะ คนทำดีได้ขึ้นสวรรค์เสวยสุข ส่วนคนชั่วก็ต้องตกนรกและโดนลงทัณฑ์ด้วยวิธีต่างๆ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:57:57

ความคิดเห็นที่ 84 ระเบียงด้านถัดมาเป็นพิธีกวนเกษียรสมุทรซึ่งกำลังปิดซ่อมอยู่ มีแต่ภาพถ่ายให้ดูแบบนี้....เสียดายจัง พิธีการกวนเกษียรสมุทรนี้เป็นเรื่องเดียวกับประติมากรรมที่ทางเข้าผู้โดยสารขาออกที่สุวรรณภูมินะคะ จำกันได้ไม๊เอ่ย ตำนานการกวนเกษียรสมุทรมีอยู่ว่าครั้งหนึ่ง มีเหตุที่ทำให้เหล่าเทวดามีฤทธิ์ลดน้อยลง ถูกอสูรรังแกจึงพากันไปร้องเรียนกับ พระนารายณ์ พระองค์แนะนำให้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้ได้น้ำอมฤตดื่ม แล้วจะทำให้เป็นอมตะมีฤทธิ์มาก เหล่าเทวดา จึงได้ชวนพวกอสูรมาร่วมมือด้วยเพราะเป็นพิธีใหญ่ ลำพังเทวดาฝ่ายเดียวจะทำไม่สำเร็จ ในการกวนเกษียรสมุทรนี้ ได้ยกเอาภูเขามันทระมาวางจมลงในสมุทร โดยมีพระนารายณ์อวตารมาเป็นเต่าใหญ่รองรับภูเขาให้มั่นคง เอาพญานาควาสุกรีมาพันรอบภูเขา ให้เทวดาดึงทางหาง อสูรดึงทางหัว พวกอสูรจึงถูกพญานาคพ่นไฟร้อนใส่ แต่ก็ต้องจำทนเพื่อจะได้ดื่มน้ำอมฤต พอน้ำอมฤตผุดขึ้นจากสมุทร พระนารายณ์ทรงจำแลงกายเป็นนางอัปสร มาหลอกล่ออสูรไปอีกทางหนึ่ง เหล่าเทวดาจึงพากันมาดื่มน้ำอมฤตจนหมด พวกอสูรพอรู้ว่าพวกตนถูกหลอกก็โมโห แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพวกเทวดามีฤทธิ์มากขึ้น สรุปว่าเทวดาโกงอสูรนั่นเอง......-_-‘ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 12:42:15 จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:59:02

ความคิดเห็นที่ 85 พระสงฆ์มากมายมาชมนครวัดเหมือนกันค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 10:59:40

ความคิดเห็นที่ 86 เข้าสู่ตัวปราสาทด้านใน ยิ่งใหญ่อลังการ บันไดทางขึ้นชันมากๆ ไกด์บอกว่าเคยมีนักท่องเที่ยวตกลงมาบาดเจ็บและบางคนถึงตายด้วย แต่ตอนนี้ห้ามปีนขึ้นไปด้านบนพระปรางค์แล้วค่ะ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:00:22

ความคิดเห็นที่ 87 อยากไปมานานมาก ค่าเครื่องบินตอนนี้ก็โอเค อยากให้กลับมาเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ที่มีแต่ความรัก จะได้ไปเที่ยวจริงๆ จังสักที ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ จากคุณ : Special Force เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:00:49

ความคิดเห็นที่ 88 นางอัปสราบริเวณกำแพงรอบพระปรางค์ที่งดงามอ่อนช้อยราวกับมีชีวิต อัปสราแต่ละนางมีใบหน้า เครื่องแต่งกาย ทรงผม และกิริยาแตกต่างกันไป ถือว่าช่างแกะสลักต้องมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูงมากจึงสามารถออกแบบอัปสราที่แตกต่างกันได้กว่า 1,500 ตน ที่ดังๆก็เช่นอัปสราเซเลอร์มูน เซ็กซี่อัปสราที่นุ่งมินิสเกิร์ต  อัปสราลิ้นสองแฉก ฯลฯ ซึ่งเราก็ยังหาเจอไม่หมดเลย จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:01:15

ความคิดเห็นที่ 89 สวัสดีค่ะ คุณ Special Force นั่นสิคะ เราก็อยากให้กลับมาดีๆต่อกัน ยังไงก็ บ้านใกล้เรือนเคียงเนอะ ขอให้คุณ Special Force ได้ไปเที่ยวเร็วๆนะคะ ^^ ห้องพระพันมีพระพุทธรูปและเทวรูปองค์ใหญ่ๆตั้งอยู่หลายองค์ ชาวบ้านยังมาสักการบูชากันอยู่ จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:04:45

ความคิดเห็นที่ 90 ด้านข้างเป็นสระน้ำซึ่งมีสี่ด้าน นัยว่าเป็นมหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือปรางค์ประธานด้านในนั่นเอง จากคุณ : เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:05:30