ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าพร้อมแล้ว เราออกเดินทางพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ ลุงซูมพร้อมหรือยังคะ พวกเราทำการบ้านมาส่งแล้ว กระทู้ที่ลุงรอดูอยู่ไงคะ ตามไปดูพร้อมๆ กันเลยนะคะ ^__^ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 09:59:41 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:38:50

ความคิดเห็นที่ 2 Press Educational Tour #5 ตรัง & นครศรีธรรมราช Writer หมูอ้วนจ้ำม่ำ (ตุ๊ก) Photographer Mr.Pie (คุณพาย) หมูอ้วนจ้ำม่ำ (ตุ๊ก) ข้อมูลประกอบเรื่อง 1. คำบรรยาย โดย อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ 2. คำบรรยาย โดย มัคคุเทศก์ท้องถิ่น 3. ข้อมูลบางส่วนจาก โปรแกรมการเดินทาง 4. ข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (http://th.wikipedia.org) 5. ข้อมูลบางส่วนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (http://thai.tourismthailand.org) แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:06:17 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 12:58:13 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 09:32:13 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:42:39

ความคิดเห็นที่ 3 29 ก.ย. 2552 วันแรกของการเดินทาง กรุงเทพฯ :: ท่าอากาศยานดอนเมือง – DD7400 BKK/TST ตรัง :: ท่าอากาศยานตรัง – ร้านตรังหมูย่าง – ตุ๊กตุ๊กหัวกบ - วัดประสิทธิ์ชัย – วัดตันตยาภิรม – องค์เจ้าแม่กวนอิมเขาหนองหยวน – น้ำพุแปดล้าน – ศาลเจ้าท่ามกงเยี้ย – อนุสาวรีย์ของพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี – ร้านหรอยจริงจริง – บ้านนาหมื่นสี – วัดภูเขาทอง – อนันตรา สิเกา รีสอร์ท แอนด์ สปา . . . เกริ่นนำ นับจากทราบผลว่าตัวเองจะได้ร่วมทริป Press Education Tour  ครั้งที่ 5 ไปยังจังหวัด “ตรัง & นครศรีธรรมราช” เราก็ทั้งตื่นเต้นและรอคอยทริปนี้อย่างใจจดใจจ่อ แถมตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ไป ก็ยังตุ๊มๆ ต่อมๆ รอลุ้นว่าเจ้านายจะให้ลาพักร้อนไปได้หรือเปล่า เพราะวันที่เดินทางเป็นช่วงกลางสัปดาห์พอดี แต่คงนับว่ายังทำบุญมาดี เพราะในที่สุดเจ้านายก็ใจอ่อนยอมให้ลาจนได้ ^^” ตื่นเต้นกับด่านแรกไปแล้ว ก็ต้องมานั่งลุ้นกับทริปนี้อีก เพราะเราไม่เคยไปทริปแบบนี้มาก่อน พอได้รับโปรแกรมการเดินทางแล้ว ก่อนวันเดินทาง เราก็เลยต้องขออ่าน และหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ตามโปรแกรมกันซะหน่อย เผื่อไปถึงแล้ว ใครถามข้อมูลอะไรจะได้พอตอบได้บ้าง แหม ... ก็งานนี้เด็กออฟฟิศธรรมดาๆ อย่างเรา จะได้ไปร่วมทริปกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ จากสื่อมวลชนหลากหลายแขนง ก็ต้องขอเตรียมตัวให้พร้อมกันซะหน่อยสิ ว่ามั๊ย??? จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:45:15

ความคิดเห็นที่ 4 อย่างที่เคยบอกไว้ว่าวันที่ทราบผลการคัดเลือกสื่ออิสระ เพื่อร่วมทริปสื่อมวลชนในครั้งนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ แล้ว แต่พอถึงวันที่ต้องเดินทางจริงๆ กลับรู้สึกตื่นเต้นกว่ากันเยอะเลยหล่ะ เพราะใครจะคิดว่าพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ที่เป็นแค่ Blogger หรือ นักเขียน Blog ธรรมดาๆ ที่เล่นอยู่ในเวป จะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางในทริปสื่อมวลชน ที่มีแต่พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ที่อยู่ในวงการสื่อมวลชนแบบมืออาชีพแบบนี้ เพราะแม้แต่คนที่อยู่ในวงการนี้เอง ก็อาจจะไม่เคยได้รับโอกาสแบบนี้เลยก็ได้ ถือว่าเป็นโอกาสดีๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เราจะได้ร่วมเดินทางและมีโอกาสได้เห็นการทำงานแบบสื่อมวลชนมืออาชีพ ว่าพวกเค้าเหล่านี้มีการทำงานเบื้องหลังอย่างไร กว่าจะได้ออกมาเป็นข้อมูลและภาพถ่าย ที่อยู่ในคอลัมน์ต่างๆ ในหนังสือแบบที่เราได้อ่านกัน . . เกริ่นมาซะยาว แค่เกริ่นยังยาวขนาดนี้ ว่าแต่เนื้อหาจะยาวขนาดไหนเนี่ย??? ได้ข่าวว่าเนื้อหน่ะมีน้อย แต่ใส่น้ำไปซะเยอะเลยค่ะ อิ อิ เข้าเรื่องเลยดีกว่า แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:05:48 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:45:49

ความคิดเห็นที่ 5 และแล้วก็มาถึงวันเดินทางกันซะที วันแรกของการเดินทาง ทางเรามีนัดกับทางเจ้าหน้าที่นกแอร์เพื่อ check-in ที่สนามบินดอนเมืองในเวลา 06.00 น. ซึ่งในระหว่างที่รอ check-in เราก็ได้พบกับเพื่อนร่วมทีมจาก pantip.com ด้วยไม่ว่าจะเป็น "Mr.Pie" ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น Photographer เพื่อทำงานร่วมกันในการรีวิวทริปนี้ ส่วนอีกคนก็คือ "พี่ติวเตอร์ตู่" ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นขวัญใจกรรมการ และต้องรีวิวทริปนี้ด้วยข้อมูลและรูปถ่ายของตัวเอง นอกจากนี้ก็ยังได้พบกับพบพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ สื่อมวลชนอีกหลายๆ คน ซึ่งในตอนนี้เท่าที่พอรู้จักก็คงจะเป็น “อาหมู-xebec” และ “อาลอง” ค่ะ . . Check-in @ Nok Fan Club Counter แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 09:37:10 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:53:46

ความคิดเห็นที่ 6 ระหว่างรอเดินทาง เราก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเพื่อทำความรู้จักกัน จนถึงเวลา ~06.45 น. ทางเจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง โดยในวันนี้เราจะเดินทางด้วยน้องนกชื่อ “นกสงขลา” เที่ยวบินที่ DD 7400 ซึ่งจะพาเราเหินฟ้าสู่สนามบินตรังในเวลา 07.00 น. และจะใช้เวลาในการเดินทาง ~1 ชม. 20 นาที . . คุณพายบอกว่าลุงซูมชอบรูปนี้มากๆ Fly Me to the moon แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 21:59:43 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:56:55

ความคิดเห็นที่ 7 ~08.10 น. เราก็เดินทางถึง “สนามบินตรัง” ซึ่งเที่ยวบินนี้กัปตันพาเราถึงที่หมายก่อนกำหนดเวลา ~10 นาที ลงจากเครื่องแล้วผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็เดินเข้าไปรอกระเป๋าใน Terminal แต่ก็มีบางส่วนรวมทั้งเราด้วย ก็ขอใช้เวลาระหว่างนี้ เพื่อทำการเก็บภาพน้องนกสงขลาและสนามบินตรังกันซะก่อน . . จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน พักถ่ายรูปเดี๋ยวนึงสิคะ ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:01:18

ความคิดเห็นที่ 8 ขออนุญาตปาดนะคะ ด้วยโรคประจำตัวนอนดึกนักไม่ได้ เลยขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าและขอเป็นกำลังใจให้คุณหมูอ้วนจ้ำม่ำ ขอขอบคุณ Mr.Pie สำหรับรูปด้วยค่ะ จากคุณ : เตี้ยอ้วนชวนไถล เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:02:06

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาติดตามทริปแห่งความทรงจำครับ จากคุณ : Yukung เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:02:09

ความคิดเห็นที่ 10 ขอต้อนรับสู่ "ท่าอากาศยานตรัง" จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:02:56

ความคิดเห็นที่ 11 ตามอ่านนะคะ....ลุงซูมคงตรวจการบ้านคุณตุ๊กกะคุณพายอยู่เนอะ จากคุณ : หมูอ้วนจอมพลัง เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:05:19

ความคิดเห็นที่ 12 สนามบินตรังมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก . . นี่คือบรรยากาศด้านในอาคารผู้โดยสารขาเข้า กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ร่วมทริปในครั้งนี้ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:06:42

ความคิดเห็นที่ 13 เข้ามาอ่านเรื่องดีๆ กับดูรูปสวยๆ ค่ะ จากคุณ : gagayear เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:07:33

ความคิดเห็นที่ 14 จากนั้นเมื่อกระเป๋าสัมภาระของผู้ร่วมทริปครบแล้ว พวกเราจึงออกเดินทางโดยรถโค้ชเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองตรังกัน จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:09:15

ความคิดเห็นที่ 15 ขออนุญาต แสดงตัวให้กำลังใจคุณตุ๊ก และคุณพายค่ะ ไม่เศร้าค่ะ ไม่เศร้า เด๋วลุงแกจะเคืองเอา ดูรีวิวนี้ต้องเบิกบานค่ะ จากคุณ : prettyguide เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:10:47

ความคิดเห็นที่ 16 ขึ้นรถเลือกที่นั่งได้  ก็ถึงช่วงแนะนำตัว ขอบอกว่า “อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ หรือ อาจารย์แพน” หล่อมากๆ เลยค่ะ แล้วขอบอกว่าอาจารย์เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนูต้องพยายามลางาน เพื่อให้ได้มาทริปนี้เลยนะคะเนี่ย ^___^ เข้าเรื่องการเรื่องงานกันบ้างดีกว่า เดี๋ยวคนเค้าจะว่ามัวแต่กรี๊ดอาจารย์แพน จนเสียการเสียงานจะแย่เอา . . ระหว่างการเดินทาง อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้นำทริปของเราในครั้งนี้ ก็ได้บรรยายข้อมูลประวัติความเป็นมาของจังหวัดตรังให้พวกเราได้ทราบกัน . . “ตรัง หรือ เมืองทับเที่ยง เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีพระมหากษัตริย์เสด็จมาประพาสซักเท่าไหร่ โดยนับตั้งแต่ในสมัยรัชกาล 1 ที่ทรงเสด็จมาตั้งค่ายแล้ว พอมาถึงในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 2-4 ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จมาอีกเลย จวบจนกระทั่งถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงปรากฎว่ามีพระมหากษัตริย์คือพระองค์ทรงเสด็จมาประพาสเมืองตรังอีกครั้ง และในครั้งนั้นพระองค์ทรงเห็นว่าเมืองตรังอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม นอกจากนี้เนื่องด้วยราษฎรชาวตรังได้ยื่นฎีกาถวายความว่า เจ้าเมืองตรังคนก่อน (พระยาตรังคภูมิภาบาล (เอี่ยม ณ นคร) กดขี่ข่มเหงราษฎรทั้งที่สภาพเศรษฐกิจก็ไม่ดี พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ผู้ว่าราชการเมืองกระบุรี มาดำรงตำแหน่งในเจ้าเมืองตรัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2433 เป็นต้นมา ซึ่งตั้งแต่พระยารัษฎาฯ มาเป็นเจ้าเมืองตรังนั้น เมืองตรังก็เจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปมากจากนโยบายต่างๆ ของท่าน เช่น การตัดถนน (จนได้รับการยกย่องให้เป็น “ขุนถนน”) หรือการให้ชาวบ้านหันมา “ปลูกข้าว” แทนอาชีพทำ “ตับจาก” (สำหรับมุงหลังคา) เพราะว่าในสมัยนั้นชาวบ้านไม่นิยมทำนา “ข้าว” จึงขาดแคลนจนต้องซื้อข้าวจากเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย แต่เนื่องจากมาเลเซียเป็นแค่พ่อค้าคนกลาง จึงทำให้ราคาข้าวที่เราซื้อมานั้นมีราคาแพงมาก การให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวจึงเป็นการช่วยลดปริมาณการซื้อข้าวลงไป นอกจากให้ชาวบ้านหันมา “ปลูกข้าว” แล้ว ท่านก็ยังมีโครงการให้ทำการเกษตร เช่น เลี้ยงสัตว์และปลูกผักผลไม้อีกด้วย โดยมีชื่อโครงการว่า “ไก่ 5 ตะไคร้ 5 มะละกอ 5” ด้วยนโยบายต่างๆ นี้ ท่านก็ใช้เวลาแค่ 2 ปี ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านจากที่ติดลบ จนกลายมาเป็นบวก นอกจากนี้การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ แล้ว หลังจากวิถีชีวิตของชาวบ้านอยู่ดีกินดีแล้ว ท่านก็ได้นำกฎหมายต่างๆ มาใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งเริ่มใช้กฎหมาย “เจ้าภาษีนายอากร” เพื่อให้มีการกระจายภาษีออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ท่านก็ยังเป็นผู้นำพันธุ์ยางพารามาจากมาเลเซียมาปลูกที่ตรังเป็นจังหวัดแรก จนกลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยต่อมาจนถึงปัจจุบัน” เห็นพระยารัษฎาฯ ท่านมีความสามารถขนาดนี้แล้ว พวกเราทราบกันหรือไม่ว่า ท่านมิได้เรียนหนังสือจึงมีความรู้หนังสือเพียงแค่เซ็นชื่อตนได้เท่านั้น แต่กระนั้นท่านกลับมีความสามารถพูดได้ถึง 9 ภาษา คือ ไทย, อังกฤษ, มาลายูถิ่นปาตานี่, จีน และอื่นๆ อีก 5 ภาษา” ... หันมาดูข้อมูลที่จดมา ... ทำไมยาวจังเลยนะเนี่ย ... (แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นข้อมูลที่ถ้ารู้แล้ว ก็จะทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนในตรังมากขึ้นนะคะ) จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:11:22

ความคิดเห็นที่ 17 นั่งฟังไปเพลินๆ ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมายแรกของเรานั้นก็คือ ร้านหมูย่างชื่อดังกลางเมืองตรัง @ ร้านตรังหมูย่าง @ ถนนห้วยยอด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง มีโอกาสมาเยือนเมืองตรังทั้งทีต้องไม่พลาดอาหารเช้าแบบชาวตรัง ซึ่งได้แก่ หมูย่าง แตะเตี๊ยม(ติ่มซำ) และ น้ำชา ซึ่งเป็นอาหารรสเลิศนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดี จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “หากไม่ได้มากินอาหารเช้าแบบตรัง ไม่ได้กินหมูย่างเมืองตรังนั้น ถือว่าเหมือนยังมาไม่ถึงเมืองตรัง” ขนาดนั้นเลย (เย้ๆๆๆ งั้นแปลว่าพวกเรามาถึง “ตรัง” แล้วสิ งั้นกินเสร็จก็กลับกรุงเทพฯ กันได้แล้ว ... ฮี่ ฮี่) จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:12:53

ความคิดเห็นที่ 18 หน้าร้าน "ตรังหมูย่าง" ไม่รู้ว่าหมูที่เห็นอยู่ตอนนี้มันกี่ตัวกันนะเนี่ย ดูหมูไป ตาก็พร่าไป อยากกระโดดเข้าไปหม่ำให้หมดเลย ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:15:44

ความคิดเห็นที่ 19 สำหรับ “ติ่มซำ” เป็นเมนูอาหารเช้าคู่กับกาแฟ-หมูย่างมานาน แรกเริ่มเมนูติ่มซำก็มีไม่เยอะ แต่หลังๆ ก็พัฒนาจนเป็นติ่มซำชุดใหญ่เต็มโต๊ะ อย่างที่เห็นในร้านกันอยู่ในปัจจุบัน ส่วน “หมูย่าง” ของตรังจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยต้องย่างหมูทั้งตัวซึ่งจะทำให้หนังกรอบตามแบบโบราณ และรสชาติกลมกล่อมด้วยเครื่องเทศที่เป็นสูตรเฉพาะ นอกจากจะมีวิธีการปรุงและการย่างแล้ว ก็ยังต้องมีวิธีการกินหมูย่างและติ่มซำที่ถูกวิธีอีกด้วย โดยวิธีการกินต้องนำปาท่องโก๋หรือที่ชาวตรังเรียกว่า “จาโก๋ย” มาฉีกออกให้เป็นช่องตรงกลาง จากนั้นเอาหมูย่างหรือติ่มซำมาใส่แล้วราดด้วยน้ำจิ้ม โดยน้ำจิ้มที่เห็นจะมีส่วนผสมของ “น้ำส้มเจื่อง” ซึ่งเป็นเคล็ดลับความอร่อยตัวจริง สูตรชาวตรังโดยแท้หาที่อื่นไม่ได้ สำหรับที่มาของการกินอาหารเช้าแบบมื้อใหญ่ของชาวตรังนี้ ก็มาจากที่อาชีพหลักของชาวบ้านในสมัยก่อนคือทำการประมง และชาวประมงมักจะออกหาปลากันตอนกลางคืนและกลับมาในตอนเช้า จึงต้องมาหาของกินที่เป็นมื้อใหญ่ๆ แบบนี้เพื่อเพิ่มพลังนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:15:27 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:16:37

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นขวดน้ำจิ้มตอนแรกคิดว่าเป็นซอสมะเขือเทศซะอีก พอจิ้มกินถึงได้รู้ว่ารสชาติน้ำจิ้มจะออกรสส้มนิดๆ เลยใช้น้ำจิ้มนี้กินคู่กับทั้งหมูย่างทั้งติ่มซ้ำ รสชาติอร่อยเหาะไปเลย กินไป คุยไป ... รู้ตัวอีกที หมูย่างชิ้นสุดท้ายก็ถูกพี่ตู่จิ้มไปกินซะแล้ว อิ อิ . . สำหรับราคาหมูย่างและติ่มซำที่นี่ก็ราคาไม่แพง เวลายกมาก็จะยกมาทุกอย่างทุกจานที่มี แต่เวลาคิดเงินเฉพาะที่กินไปเท่านั้น ไม่ว่าจะคิดเป็นลูก ชิ้น ตัว หรือจาน ก็แล้วแต่ประเภทไป เช่น หมูย่าง จานเล็กก็ 50.- บ. จานใหญ่ 80.- บ. ขนมจีบ-ไข่ ลูกละ 5.- บ., ขนมชิ้น ชิ้นละ 5.- บ., ปาท่องโก๋ ตัวละ 3.- บ. หรือ ซาลาเปากับบะชั่ง ก็ลูกละ 6.- บ. เป็นต้น พูดถึงอาหารไปแล้วก็จะขาดเครื่องดื่มไปไม่ได้เลย และเครื่องดื่มที่อยู่คู่เมืองตรังมานานกว่า 50 ปีก็คงหนีไม่พ้น “ชา หรือ กาแฟ” ซึ่งมีทั้งร้อนและเย็น และมีชื่อเรียกตามชนิดของการชง ไม่ว่าจะเป็น “โกปี้” หรือ กาแฟร้อนใส่นม “โกปี้อ้อ” หรือ กาแฟใส่น้ำตาลไม่ใส่นม หรือ กาแฟดำ “แซ่ล้อง” หรือ ชาร้อนใส่นมข้นหวาน และ “แต้โอเลี้ยง” หรือ ชาดำเย็น นั่นเอง ปกติก็ไม่เคยทานอาหารคู่กับ ชาหรือกาแฟ มาก่อนเหมือนกัน รสชาติแปลกๆ แต่ก็อร่อยดี ใครมีโอกาสผ่านไปตรังอย่าลืมไปลองให้ได้ บอกได้เลยว่า “หรอยอย่างแรง” จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:17:51

ความคิดเห็นที่ 21   ขอตามมาชมด้วยคนค่ะ จากคุณ : pao_nowara เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:18:47

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาชมและเป็นกำลังใจให้ครับ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:21:01

ความคิดเห็นที่ 23 อิ่มหมีพีมันกันแล้วก็ได้เวลาเที่ยวกันซะที โปรแกรมต่อไปของเราก็คือ @ นั่งรถชมเมืองตรัง @ เนื่องจาก “เมืองตรัง” เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุย้อนหลังไปหลายร้อยปี แถมยังเป็นเมืองท่าที่มีชาวต่างชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำอาชีพค้าขายอยู่เป็นจำนวนมาก ร่องรอยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจึงปรากฏให้เห็น ด้วยตึกรามบ้านช่องหลากหลายสไตล์ผสมผสานกันอยู่ และวิธีการเดินทางชมเมืองที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ “นั่งรถตุ๊กตุ๊กหัวกบ” สัญลักษณ์เมืองตรังเพื่อชมเมืองนั่นเอง . . อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ได้เล่าว่า ที่เรียกว่า “ตุ๊กตุ๊กหัวกบ” ก็เพราะหน้าตาของรถคล้ายกับกบนั่นเอง นอกจากนี้แล้วอาจารย์ยังบอกต่อไปอีกว่าเจ้าตุ๊กตุ๊กหัวกบที่เห็นอยู่ที่เมืองตรังเนี่ย มีวิวัฒนาการมากว่า 50 ปีเลยทีเดียวนะ แถมยังเป็นต้นตำรับของรถตุ๊กตุ๊กในจังหวัดต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ หรือ อยุธยา ก็นำต้นแบบจากที่นี่แล้วนำไปดัดแปลงด้วยกันทั้งนั้น . . เห็นมั๊ย??? ว่า "อาจารย์แพน" หน่ะหล่อแค่ไหน ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:21:06

ความคิดเห็นที่ 24 หลังจากจับกลุ่มกันได้คันละ 4-5 คนแล้ว พวกเราก็พากันกระโดดขึ้นรถตุ๊กตุ๊กหัวกบ เตรียมตะลุยเที่ยวเมืองกันเลย . . เบื้องหลังการทำงานของตากล้องแต่ละคน ดูแล้วรู้หรือเปล่าว่าแต่ละคนต้องเหนื่อยมากแค่ไหน กว่าจะได้ผลงานซักชิ้น แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 10:21:26 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:23:57

ความคิดเห็นที่ 25 ทั้งตากล้อง ทั้งคนขับ ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีเลยว่ามั๊ย??? . . พี่คะๆ อย่ามัวแต่ยิ้มใส่กล้อง ดูทางด้วยนะคะพี่ ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:26:32

ความคิดเห็นที่ 26 จุดหมายแรกของเราคือ @ วัดประสิทธิ์ชัย หรือ วัดท่าจีน @ ถนนท่ากลาง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:28:54

ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อรถตุ๊กตุ๊กเข้ามาจอดที่ลานวัดเรียบร้อยแล้ว มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ก็ได้บรรยายให้เราฟังว่า เดิมที่ตรงนี้เป็นท่าเรือที่ชาวจีนในละแวกนี้ใช้ในการสัญจรขึ้นลงเรือกัน จึงมีการเรียกชื่อท่าเรือนี้ว่า “ท่าจีน” ต่อมาเมื่อมีการสร้างวัดขึ้นมาตรงจุดนี้ก็เลยเรียกว่า “วัดท่าจีน” ไปด้วย และต่อมาในภายหลังจึงได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า “วัดประสิทธิ์ชัย” ซึ่งถือว่าวัดนี้เป็นวัดไทยพุทธแห่งแรกของเมืองตรัง ปัจจุบันก็มีอายุเก่าแก่กว่า 200 ปีแล้ว . . "ตุ๊กตุ๊กหัวกบ" กับเงาบนน้ำเจิ่งนองหลังฝนตก แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:06:50 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:31:29

ความคิดเห็นที่ 28 โดยภายในบริเวณวัดเราจะพบกับ “ศาลยายไอ” ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนในย่านนี้มานมนาน โดยชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะมาที่นี่เพื่อบนบานศาลกล่าว ให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:32:17

ความคิดเห็นที่ 29 ยายไอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:33:48

ความคิดเห็นที่ 30 ถัดมาใกล้ๆ กันก็จะเป็นพระอุโบสถ ซึ่งเมื่อเข้าไปด้านในก็จะพบกับรูปหล่อของ “หลวงพ่อวัน มะนะโส” พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของเมืองตรัง เนื่องจากท่านเป็นพระนักปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนืองนิตย์ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:34:55

ความคิดเห็นที่ 31 ติดตามชมอยู่นะคะ จากคุณ : Talay&Me เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:34:58

ความคิดเห็นที่ 32 .. คุณหมูอ้วนจ้ำม่ำ ....  เต็มที่ไปเลยครับ เรื่องสำนวนการเล่าเรื่องที่แฝงความสนุกสนานนั้น ผมเชื่อว่า นั่นเป็นความสุขที่คุณลุงซูม อยากจะเห็น ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ  และขอบคุณ น้าพาย สำหรับภาพถ่ายที่ไม่เคยผิดหวังครับ .. จากคุณ : POGGHI เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:36:07

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ้าน หรือแขกผู้มาเยือนต่างก็ศรัทธาในหลวงพ่อเช่นเดียวกัน จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:37:45

ความคิดเห็นที่ 34 จุดหมายต่อไปคือ @ วันตันตยาภิรม หรือ วัดต้นตอ หรือ วัดต้นสะตอ @ ถนนน้ำผุด ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ เล่าให้พวกเราฟังว่า “วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันมีอายุกว่า 120 ปี เดิมมีชื่อว่า “วัดต้นตอ” หรือ “วัดต้นสะตอ” เนื่องจากเดิมมีต้นสะตอขนาดใหญ่อยู่ภายในบริเวณวัด (แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดออกไปแล้ว) จุดสำคัญคือที่หน้าบรรณประตูด้านตะวันออก จะพบ “พระพรหม 4 หน้า 8 มือ ทรงหงษ์” และเหนือพระพรหมทรงหงษ์ขึ้นไป เราก็จะพบพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. จึงถือว่าวัดนี้เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองตรังเลยก็ว่าได้ ต่อมาในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็ได้ทรงพระราชทานยกฐานะของวัดนี้ขึ้นเป็น “พระอารามหลวง” ซึ่งทางวัดจะได้รับนิจปัจจัยรายเดือน นอกจากนี้ก็ยังจะได้รับผ้าพระกฐินพระราชทานอีกด้วย” แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 10:56:13 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:39:53

ความคิดเห็นที่ 35 ใกล้ๆ กับพระอุโบสถเราก็จะพบกับ “พระเจดีย์ทรงบาตรคว่ำ” ซึ่งเราจะสามารถพบ “ภาพจิตรกรรมฝาผนัง” ประวัติของพระพุทธเจ้า ได้ที่ชั้นล่างของพระเจดีย์ ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันพระเท่านั้น . . พอดีวันที่เราไปที่วัด ไม่ตรงกับวันพระ พวกเราเลยไม่มีโอกาสได้ชมภาพพุทธประวัติของพระพุทธเจ้ากันเลย น่าเสียดายจริงๆ ไว้มีโอกาสกลับไปตรังอีกเมื่อไหร่ ต้องแวะไปชมให้ได้ เพราะมัคคุเทศก์บอกว่า ด้านในเป็นภาพที่สวยงามและน่าเสียดายถ้าไม่มีโอกาสได้ชมเลยเชียว แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:07:35 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 10:32:22 แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 22:42:17 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:40:25

ความคิดเห็นที่ 36 เกาะล้อเครื่อง ตามมาด้วย คน ชอบสไตร์การเล่า ครับคุณ หมูอ้วนจ้ำม่ำ ข้อมูลแน่น เลย ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้รู้ อิอิ ส่วนการถ่ายภาพของ พี่พาย  ก็ คริคริ  สวยจนบรรยายไม่ได้ ฮ่าฮ่า จากคุณ : นายฟ้าใส เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:41:41

ความคิดเห็นที่ 37 แวะมาร่วมให้กำลังใจน้องๆ ทั้งสองท่านครับ พี่ตู่ จากคุณ : ติวเตอร์ตู่ (CEOTHAI42) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:42:28

ความคิดเห็นที่ 38 ติดตามชมและร่วมให้กำลังใจค่ะ จากคุณ : Nordlys เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:45:08

ความคิดเห็นที่ 39 แวะมาเที่ยวด้วยคน อ้าวจบแล้วเรอะ แล้วนครศรีฯบ้านผม จะมาตอนไหนล่ะค้าบ จากคุณ : ป้อม (ppomp2003) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:46:59

ความคิดเห็นที่ 40 ถัดจากพระเจดีย์ออกไปจะเป็น “พระวิหาร 200 ปี” ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” มีหน้าตักขนาดศอกเศษ เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย สร้างในประเทศศรีลังกาตั้งแต่ พ.ศ. 700 และเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่ปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์องค์ที่เราเห็นอยู่นี้ เป็นองค์จำลองที่สร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากองค์เดิมสูญหายเพราะถูกขโมยไป 20 กว่าปีแล้ว โดยปัจจุบันนี้ชาวตรังก็ยังคงตามหาพระพุทธรูปองค์เดิมเพื่อนำกลับคืนสู่วัด ไม่ได้ละเลยหรือเพิกเฉย โดยคาดว่าองค์พระน่าจะอยู่ในบ้านเศรษฐีที่ชอบสะสมของเก่าของโบราณคนใดคนหนึ่งในตรังนั่นแหล่ะ มาช่วยกันภาวนาขอให้ชาวตรังได้องค์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกลับมาโดยไวนะคะ . . โดยพระพุทธสิหิงค์ที่พบในเมืองไทย มีศิลปะแตกต่างกันออกไปดังนี้ (1) พระพุทธสิหิงค์ เมืองพระนคร – ศิลปะแบบสุโขทัย (2) พระพุทธสิหิงค์ เมืองเชียงใหม่ – ศิลปะแบบล้านนาน (3) พระพุทธสิหิงค์ เมืองนครศรีธรรมราช – ศิลปะแบบขนมต้ม (มีลักษณะ อวบ ล่ำบึก) (4) พระพุทธสิหิงค์ เมืองตรัง – ศิลปะแบบขนมต้มเช่นเดียวกับองค์ที่เมืองนครศรีฯ แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 22:52:25 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:47:47

ความคิดเห็นที่ 41 รีบมาลงชื่อก่อนค่ะมาให้กำลังใจรีวิวแห่งประวัติศาสตร์ internet เน่ามากๆ ช้าสุดๆ แต่ก็จะรอชม จากคุณ : สาวสวนยาง เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:49:04

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาชมพร้อมให้กำลังใจอีกหนึ่งแรงใจนะคะ ^_^ ยิ้มสู้เข้าไว้ค่ะ .. ลุงซูม จะได้ยิ้มไปด้วยน๊าคะ จากคุณ : เมื่อไหร่จะมีความรักดีๆซะทีนะ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:49:16

ความคิดเห็นที่ 43 ยังไม่จบนะคะ เดินทางต่อกันเลยดีกว่าค่ะ วันนี้แดดไม่ออก แต่ขอบอกว่าอากาศร้อนอบอ้าวมากๆ เอ ... หรือจะเป็นเพราะว่าเข้าวัด เลยทำให้ร้อนนะเนี่ย อิอิ . . พาหนะคันเก่งที่พาเราเที่ยวทั่วเมืองตรัง สีสันสวยสดงามตา ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:51:16

ความคิดเห็นที่ 44 จุดหมายต่อไปคือ @ องค์เจ้าแม่กวนอิม @ เขาหนองหยวน ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง . . เดินขึ้นเขากันไปได้แค่ครึ่งทาง พอมองลงมาที่ลานจอดรถ ... ทำไมช่างสูงแบบนี้เนี่ย ทางเดินขึ้นเขาค่อนข้างชัน ถ้ามีเด็ก คนแก่ หรือคนอ้วน(อย่างเราๆ) ก็ช่วยกันดูแลหน่อยนะคะ เพราะอาจจะเป็นลมได้ ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:55:25

ความคิดเห็นที่ 45 มาที่นี่ต้องไม่พลาดที่จะสักการะ องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งอยู่ในปางประทานพร องค์สีทองอร่าม สวยงามยิ่งนัก จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:57:39

ความคิดเห็นที่ 46 มุมกว้างๆ วันนี้ท้องฟ้าช่างไม่เป็นใจซะจริงๆ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:58:53

ความคิดเห็นที่ 47 นอกจากจะได้สักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว จุดชมวิวบนเขาหนองหยวนนี้ ก็ยังถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองตรัง ที่สามารถชมวิวได้ในแบบ 360 องศาอีกด้วยนะจะบอกให้ . . ถ้าวันนี้ฟ้าเปิดคงได้วิวที่สวยกว่านี้ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 22:08:33 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 22:06:38 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:00:23

ความคิดเห็นที่ 48 จุดหมายต่อไปคือ @ น้ำพุแปดล้าน @ ถนนพัทลุง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง น้ำพุนี้อยู่ตรงบริเวณหน้าเรือนจำเก่า ทางขึ้นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง โดยมัคคุเทศก์ท้องถิ่นได้บอกว่า สาเหตุที่เรียกชื่อว่า “น้ำพุแปดล้าน” ก็เนื่องจากว่าน้ำพุนี้ใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง 8 ล้านบาทนั่นเอง (อืม ... แพงไปมั๊ยนั่น???) โดยตัวน้ำพุแบ่งออกเป็น 4 ชั้นโดย ชั้นบนสุด เป็นรูปพรานบุญจับกินรี จากเรื่องพระสุธนมโนราห์ ชั้นที่ 3 เป็นรูปนางเงือก จากเรื่องพระอภัยมณี ชั้นที่ 2 เป็นรูปม้านิลมังกร จากเรื่องพระอภัยมณี ชั้นล่างสุด เป็นรูปพะยูน ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์อนุรักษ์ เนื่องจากฝนตกลงมาปรอยๆ เราก็เลยใช้เวลาอยู่กันที่นี่ไม่นานก็เดินทางกันต่อ แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:08:22 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:01:22

ความคิดเห็นที่ 49 ตามเป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ครับ จากคุณ : <<Jay Nuu>> เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:01:26

ความคิดเห็นที่ 50 จุดหมายต่อไปคือ @ ศาลเจ้าท่ามกงเยี้ย @ ถนนเพลินพิทักษ์ ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:02:50

ความคิดเห็นที่ 51 ศาลเจ้าท่ามกงเยี้ย นับเป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องชาวตรังอย่างแท้จริง โดยชาวบ้านจะมีความเชื่อกันว่า เมื่อคลอดลูกออกมาเป็นชายและมีอายุได้ 1 เดือน พ่อแม่ก็จะพาลูกชายมาไหว้ที่ศาลเจ้านี้ เพื่อถวายและขอให้พระท่ามกงกงเยี้ยรับลูกชายของตนไว้เป็นลูก โดยในการนำลูกชายมาถวายนั้นจะต้องนำหมูย่างมาถวายด้วยเป็นจำนวน 1 ตัว นอกจากเรื่องการถวายลูกชายแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็เพื่อขอพรให้ได้โชคลาภ โดยในการขอพรก็มักจะใช้หมูย่างทั้งตัวมาถวายเช่นเดียวกัน จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:03:46

ความคิดเห็นที่ 52 ภายในบริเวณศาลเจ้า จะมีจุดไหว้และปักธูปทั้งหมด 7 จุดคือ จุดที่ 1 – เทวดาฟ้าดิน, จุดที่ 2 – เทวดาประจำศาล, จุดที่ 3 – เทพท่ามกงเยี้ย, จุดที่ 4 – เจ้าพ่อหมื่นราม, จุดที่ 5 – เจ้าที่ จุดที่ 6 – เจ้าพ่อเสือ, จุดที่ 7 - ปักกุง โดยในแต่ละจุดจะใช้ธูป 3 ดอกเท่ากันทุกกระถาง จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:04:48

ความคิดเห็นที่ 53 มาร่วมชม และเป็นกำลังใจให้ครับ... ขอบคุณ สำหรับรีวิว และข้อมูลดีๆ ดูไปก็อดที่จะคิดถึงลุงซูม ไม่ได้เนาะ..สู้ๆครับ จากคุณ : tr_lastsuper เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:06:13

ความคิดเห็นที่ 54 อาซ้อนั่งรอผู้มีจิตศรัทธามาทำบุญที่วัด จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:07:12

ความคิดเห็นที่ 55 ศรัทธา ที่ไม่สามารถบอกปริมาณได้ด้วยคำพูด จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:08:12

ความคิดเห็นที่ 56 อนาคตที่ไม่ได้อยู่ที่ไม้อันเดียวเป็นตัวชี้ แต่มีโอกาสก็ขอเสี่ยงดูซะหน่อย ^^ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:10:34

ความคิดเห็นที่ 57 ภาพงามเนื้อเรื่องแน่น...จะตามชมจนจบนะคะ เอาใจช่วยค่ะ ด้วยความระรึกถึงคุณ xoomer ด้วยคนนะคะ จากคุณ : Keya5 เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:12:51

ความคิดเห็นที่ 58 ก่อนออกจากวัด อย่าลืมว่ามาขออะไรกันไว้ คราวหน้ากลับมา อย่าลืมหมูย่าง 1 ตัวนะคะ . . ตุ๊กเข้าใจเองว่านี่คือ กุศโลบายอย่างหนึ่งในการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ศาลเจ้าจะอยู่ได้ ก็ด้วยพลังศรัทธาของชาวบ้านหรือแขกผู้มาเยือน แต่การมาไหว้ก็ยังต้องมีปัจจัยบ้างเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคนส่วนใหญ่ที่มาไหว้ขอพร มาขอเรื่องโชคลาภ เมื่อได้สมพรที่ขอแล้ว ก็ไปอุดหนุนช่วยซื้อ "หมูย่าง" ซึ่งเป็นอาหารขึ้นหน้าขึ้นตาและเป็นอาชีพหนึ่งของชาวบ้านใน จ.ตรัง นำมาแก้บน ชาวบ้านที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าก็ได้รายได้จากการขาย ศาลเจ้าก็ได้ปัจจัยจากพลังศรัทธาของทั้งพ่อค้าแม่ค้าและแขกผู้มาเยือน แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:22:39 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:19:49

ความคิดเห็นที่ 59 จุดหมายต่อไปคือ @ อนุสาวรีย์ของพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี @ ตั้งอยู่บนถนนตรัง-พัทลุง บริเวณที่เป็นสวนสาธารณะเทศบาลเมืองตรัง ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหรือใครที่ผ่านไปเมืองตรัง มักจะแวะเข้าไปไหว้ทำความเคารพท่านอยู่เสมอ . . เข้าตามตำรา "ไปลา มาไหว" ใครๆ ก็เอ็นดู จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:21:27

ความคิดเห็นที่ 60 ขอเกาะปีกนกตามไปด้วยคนค้าบบบบ.... เข้ามาให้กะลังใจ Dream Team ค้าบ ลุงซูมต้องไม่ผิดหวังที่เลือกทั้งน้าพายและคุณตุ๊กไปแน่นอนครับ ยิ้มเข้าไว้ๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:23:25 จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:21:57

ความคิดเห็นที่ 61 จุดหมายต่อไปคือ @ ร้านหรอยจริงจริง @ ตะลอนเที่ยวกันมากว่าครึ่งค่อนวัน รถตุ๊กตุ๊กหัวกบก็พาพวกเราชาวคณะมาแวะทานอาหารกลางวันกันที่ ร้านหรอยจริงจริง (หรืออร่อยจริงๆ นั่นเอง) ซึ่งเป็นร้านอาหารใต้แท้ๆ แสนอร่อย จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:23:57

ความคิดเห็นที่ 62 แค่ฟังชื่อร้านก็พอรู้แล้วว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหน แต่แค่คิดก็ยังไม่พอ เพราะบริเวณผนังด้านหนึ่งของร้าน ไม่เพียงแต่บอกเกี่ยวกับรายการอาหารของทางร้านเท่านั้น แต่ยังมีป้าย “เชลล์ชวนชิม” และกรอบที่ใส่คอลัมน์ชวนชิมในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ทางร้านเคยได้เป็นร้านแนะนำไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็น “มติชน”, “บ้านเมือง”, “สยามบันเทิง” แม้แต่ “ต่วย-ตูน” ก็ยังมี แค่นี้ก็คงการันตีความอร่อยได้แล้วว่า อาหารที่นี่ “หรอยจังฮู้” แค่ไหน แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 13:09:15 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:25:17

ความคิดเห็นที่ 63 อาหารของที่ร้านนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นลูกค้ามาทานกันก็จะเป็น “ขนมจีน” โดยทานคู่กับแกงหรือน้ำยาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยา, น้ำพริก, แกงไตปลา หรือแกงเขียวหวาน ก็มีหมด กินขนมจีนแล้ว ที่ขาดไม่ได้ก็คือผักต่างๆ ที่ยกมากันเป็นถาดๆ มีครบทั้งแตงกวา ผักบุ้ง กระหล่ำปลี หรือผักกาดดอง ฯลฯ ส่วนราคาของแกงและน้ำยาต่างๆ สนนราคาก็ไม่แพง เพราะตกอยู่ที่ถ้วยละ 15-20 บ. เท่านั้น ส่วนผักต่างๆ ก็ ฟรี!!! จ้ะ นอกจากขนมจีนแล้วก็ยังมีข้าวยำ, ตำผลไม้, แกงเลียง และอีกมากมาย สนนราคาอาหารรวมๆ ที่ร้านนี้ก็ไม่แพง เรียกได้ว่าอิ่มอร่อยได้ในราคาประหยัด แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:33:06 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:28:23

ความคิดเห็นที่ 64 แต่ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเราแล้วต้องบอกว่า “มื้อนี้อิ่มอร่อยจัง ตังค์อยู่ครบ” จ้ะ ^^” จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:29:13

ความคิดเห็นที่ 65 อิ่มแล้วไปเที่ยวกันต่อดีกว่า จุดหมายต่อไปคือ @ กลุ่มทอผ้านาหมื่นศรี @ บ้านควนสวรรค์ ตำบลนาหมื่นศรี อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง บ้านนาหมื่นศรี เป็นชื่อตำบลหนึ่งในอำเภอนาโยง ที่มีชื่อเสียงด้านผ้าทอพื้นเมืองของจังหวัดตรัง และมีการจัดตั้งกลุ่มสตรีทอผ้านาหมื่นศรี เพื่อสืบสานการทอผ้าพื้นเมืองไม่ให้สูญหายไป จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:30:08

ความคิดเห็นที่ 66 โดยผ้าของที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากการทอด้วยวิธียกดอก หรือ การสร้างลวดลายโดยการเพิ่มด้ายพุ่ง ซึ่งอาจจะทอด้วยกี่พื้นบ้าน (ภาษาถิ่นใต้ เรียกว่า โหก) หรือกี่กระตุก เพื่อทำให้ได้ผืนผ้าตามวัตถุประสงค์การใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งผืนผ้านั้นอาจจะทอจากฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ หรือฝ้ายผสมเส้นใยสังเคราะห์ย้อมสีเคมี ทั้งนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้นิยมใช้ผ้าทอมือกันอย่างกว้างขวาง (ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:31:07

ความคิดเห็นที่ 67 โดยในวันนั้นเรามีโอกาสได้พบกับ “คุณยายนาง ช่วยรอด” ชาวบ้านดั้งเดิมของหมู่บ้านผู้ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง "กลุ่มทอผ้านาหมื่นศรี" ขึ้นมา เพื่อฝึกอบรมการทอผ้าให้กับสมาชิกที่สนใจอีกด้วย โดยในปัจจุบันทางกลุ่มทอผ้านาหมื่นศรีมีลายผ้าอยู่ทั้งหมดประมาณ 30 กว่าลาย และในแต่ละลายก็จะมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะลายของตัวเอง เช่น ลายแก้วชิงดวง เป็นลายดั้งเดิมที่ได้รับสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ลายลูกแก้ว เป็นลายพื้นฐานของการทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง เป็นต้นสกุลของลายลูกแก้ว และสามารถดัดแปลงเป็นลายอื่นๆ ได้ ลายแก้วกุหลาบ เป็นลายใหม่ ที่คิดดัดแปลงมาจากลายลายโบราณ เป็นต้น จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:31:35

ความคิดเห็นที่ 68 เข้ามาเก็บข้อมูลครับ จากคุณ : Civict2003 เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:34:04

ความคิดเห็นที่ 69 ฟังประวัติการก่อตั้ง และที่มาของลายผ้ากันไปแล้ว ก็เดินไปดูวิธีการทอผ้าที่ด้านหลังกันบ้างดีกว่า จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:34:15

ความคิดเห็นที่ 70 กว่าจะผ้ามาซักผืน คิดดูสิว่าต้องใช้ความตั้งใจและความปราณีตในการทำมากแค่ไหน จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:36:59

ความคิดเห็นที่ 71 รูปสวย เนื้อหาละเอียด สุดยอดของการรีวิวค่ะ เป็นกำลังให้นะค่ะ คุณหมูอ้วนจ้ำม่ำ รอดูต่อค่ะ จากคุณ : ps_2a เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:37:16

ความคิดเห็นที่ 72 ลายผ้าที่ผ่านความพิถีพิถันในการทำ ทุกๆ จุดของลายที่เกิดขึ้นบนผืนผ้า ต้องเกิดจากความตั้งใจทำทั้งสิ้น ถ้าลงเท้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว ผ้าผืนนั้นๆ ก็จะใช้ไม่ได้ และคงต้องเริ่มทอใหม่กันอีกครั้ง แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 10:52:43 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:40:19

ความคิดเห็นที่ 73 ต้องหมดด้ายไปกี่หลอด??? แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:43:35 แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:41:40 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:41:11

ความคิดเห็นที่ 74 หลังจากที่ติวเตอร์ตู่มาเกริ่นนำเรียกน้ำย่อยจนอยากเห็นรีวิวมากๆ ขอบคุณคุณตุ๊กมากครับสำหรับคำบรรยายที่ทำให้ทั้งได้ความรู้และยิ่งอินไปกับภาพ โจทย์การถ่ายภาพลักษณะนี้ถือว่ายากและท้าทาย อย่างแรกคือไม่สามารถใช้เวลากับที่ใดที่หนึ่งหรือมุมใดมุมหนึ่งได้นานๆ เพราะการเดินทางมีกำหนดการณ์ที่แน่นอนและไปกันเป็นกลุ่ม อย่างที่สองคือสภาพอากาศที่ไม่ค่อยมีแดดท้องฟ้าครึ้มเป็นส่วนมาก ต้องขอชื่นชมคุณพายที่ถ่ายทอดภาพออกมาเยี่ยมในสภาวะที่มีข้อจำกัดอย่างนี้ หามุมได้ไวมากๆครับ ชื่นชมกับดรีมทีมทั้งสามท่าน รอดูผลงานตอนต่อๆไปครับ จากคุณ : ชานไม้ชายเขา เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:43:24

ความคิดเห็นที่ 75 ต้องผ่านกี่กระตุกกี่ครั้ง??? แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:46:52 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:44:49

ความคิดเห็นที่ 76 เห็นด้วยกับพี่ชานไม้มากครับ... ว่าโจทย์ในการไปถ่ายนี้ถือว่ายากมากจริงๆครับ... แต่น้าพายก็สามารถเก็บมาได้ทุกเม็ดจริงๆครับ... จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:45:50

ความคิดเห็นที่ 77 ต้องอดทน หลังขดหลังแข็ง และเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน??? จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:46:24

ความคิดเห็นที่ 78 กว่าจะได้ผ้ามาซักผืน นี่แหล่ะคือสาเหตุที่ทำไมผ้าไทยที่เราเห็นจึงมีราคาแพง แต่ "ความแพง" ที่เห็น ก็ยังเทียบไม่ได้กับ "กว่า" จะมาเป็นผ้าแต่ละผืน ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมอุดหนุนผ้าไทยกันนะคะ นอกจากจะเป็นการอุดหนุนสินค้าไทยแล้ว ยังเป็นการต่อลมหายใจให้กับ "มรดกทางวัฒนธรรม" ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ รุ่นปู่ย่าตายาย ของเรา ให้อยู่คู่ลูกหลานไทยไปอีกนานเท่านาน . . ด้วยความที่ผ้าของที่ทอของที่นี่สวยและคุณภาพดี หลายๆ คนเลยได้ผ้าติดไม้ติดมือกันไปคนละหลายผืน ได้ข่าวว่ากระเป๋าเบากันไปหลายคนเลยเชียว เราก็เลยได้เห็น "รอยยิ้ม" แบบนี้เป็นของแถมกลับบ้านไปด้วยเลย ^^" แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 23:55:39 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:55:15

ความคิดเห็นที่ 79 จุดหมายต่อไป และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดท้ายของวันนี้ก็คือ @ วัดภูเขาทอง @ ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:56:20

ความคิดเห็นที่ 80 วัดภูเขาทอง เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดตรัง เดิมทีครั้งโบราณมีการหักร้างถางพงสร้างอุโบสถวิหาร ราว พ.ศ. 1493 มีการสร้างพระพุทธรูปไสยาสน์ขึ้น โดยพระนางเลือดขาว ชายาของเจ้าเมืองพัทลงผู้เลื่อมใส องค์พระมีความยาว 9 หลา หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีการนำทรัพย์สินที่ตั้งใจจะนำไปร่วมบูรณะพระธาตุเมืองนครฯ ในครั้งนั้น แต่ไปเข้าร่วมไม่ทันมาเก็บไว้ในถ้ำ และสร้างพระพุทธไสยาสน์สวมเทริดหรือชฏาของมโนราห์ครอบพระเศียรไว้ที่ปากถ้ำ กาลเวลาผ่านมาทรัพย์สินเหล่านี้ถูกขุดขโมยไป เหลือไว้แต่พระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นดินให้ชำรุดทรุดโทรม ภายหลังจึงมีการบูรณะด้วยการโบกปูนปั้น และทาเป็นสีทองทั้งองค์ และนับว่าเป็นพระพุทธรูปนอนปางปรินิพพานองค์เดียวในประเทศไทย ที่มีพระเศียรสวมเทริดมโนราห์ จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:57:05

ความคิดเห็นที่ 81 อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า องค์พระนอนมโนห์รานี้ ตามประวัติพบว่ามีการสร้างในสมัยศรีวิชัย ราว พ.ศ. 1300 แต่ในความเป็นจริง น่าจะสร้างในสมัยอยุธยา โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศศรีลังกามากกว่า จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 23:59:31

ความคิดเห็นที่ 82 นอกจากนี้อาจารย์ยังได้อธิบายอีกว่า ถ้าสังเกตให้ดีพระนอนองค์นี้จะมี 2 ปาง คือ (1) เศียรพระสวมเทริดหรือชฏาของมโนราห์ แสดงว่าเป็น ปางทรมาณพญามหาชมพู ซึ่งมีเรื่องราวปรากฎอยู่ในพุทธประวัติ ตอน ทรงแก้ทิฏฐิมานะของพญามหาชมพูว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระมหากษัตริย์ผู้ร่ำร่วยและเรืองอำนาจอยู่พระองค์หนึ่ง ปกครองเมืองปัญจาลราษฐ ทรงพระนามว่า "พญามหาชมพู" และเนื่องด้วยพญาชมพูบดี ทรงมีอาวุธวิเศษ 2 อย่าง คือ “ฉลองพระบาทแก้ว” ซึ่งเมื่อสวมเข้าไปแล้วก็จะพาพระองค์เหาะไปในที่ต่างๆ ได้ ทั้งยังใช้อธิษฐานแปลงเป็นนาคราชเข้าประหัตประหารศัตรูได้อีกด้วย อย่างที่สอง คือ “วิษศร” ซึ่งเป็นศรวิเศษใช้ต่างราชทูต หากกษัตริย์เมืองใดไม่มาอ่อนน้อมขึ้นต่อพระองค์ วิษศรนี้ก็จะไปร้อยพระกรรณพาตัวเข้าเฝ้าพระองค์จนได้ ทำให้กษัตริย์ทั้งหลายพากันยำเกรงในพระเดชานุภาพแห่งพญาชมพูบดี ด้วยอาวุธคู่พระวรกาย พระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นจึงมีพุทธฎีกาตรัสใช้ให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูต และไปพาพญาชมพูบดีมาเข้าเฝ้า แต่พญามหาชมพู ตรัสตอบว่าใครก็ตามที่จะมาเชิญพระองค์ จักต้องเป็นผู้ที่ร่ำรวยกว่าเท่านั้น พระพุทธเจ้าทราบดังนั้น จึงเดินทางไปเชิญพญามหาชมพูด้วยพระองค์เอง โดยขณะที่ไปเชิญนั้น พระองค์ทรงเนรมิตองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงมงกุฎ พร้อมเครื่องราชาภรณ์ ประกอบด้วยทรัพย์ศฤงคารเต็มพระองค์ เมื่อพญามหาชมพูเห็นดังนั้นแล้วก็คลายทิฏฐิมานะลงและยอมฟังธรรมแต่โดยดี พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพญาชมพูบดี และพญาชมพูบดี ก็ซาบซึ้งในรสพระธรรมจนเข้าอรหันตผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา เราจึงเรียกปางสวมเทริดนี้ว่า ปางทรมาณพญามหาชมพู นั่นเอง (2) พระนอนเท้าเสมอกัน แสดงว่าเป็น ปางปรินิพพาน . . 2 ปางใน 1 องค์ ถือเป็นความรู้ใหม่ที่ได้รับจากอาจารย์แพนเลยทีเดียว เพราะจากข้อมูลที่หาได้จากเวปไซต์ทั่วไปจะบอกแต่เพียงว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระนอนปางปรินิพพานเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 00:02:57 จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:00:54

ความคิดเห็นที่ 83 ชาวตรังยิ้มหวานอยู่เสมอเลยว่ามั๊ย??? จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:06:26

ความคิดเห็นที่ 84 หลังจากชมความงามที่วัดนี้กันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางเข้าสู่ “โรงแรมอนันตรา สิเกา รีสอร์ท แอนด์ สปา” ซึ่งจากจุดนี้จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง . . ขอยกยอด รีวิว “โรงแรมอนันตรา สิเกา รีสอร์ท แอนด์ สปา” ไว้ตอนต่อไปนะคะ . . "ลุงซูม" อ่านไปก็แอบอมยิ้มไปใช่มั๊ย รีวิวแรกที่ทำมาส่ง สมกับความรอคอยหรือเปล่าคะ ขอบคุณเพื่อนๆทุกๆ คนด้วย ที่เข้ามาติดตามและเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กัน โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^" จากคุณ : หมูอ้วนจ้ำม่ำ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:06:52

ความคิดเห็นที่ 85 มาให้กำลังใจ และชมรีวิวที่ทั้งสวย ให้ความรู้ และสนุก ไปในตัวด้วยครับ... ปล. ระหว่างดูรีวิวนี้ ผมก็ขอแว่บไป book ตั๋ว นกแอร์ไปตรัง ตามรอยทริปนี้ด้วยคนครับ... จากคุณ : ผู้ก่อการร้ายทางความคิด เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:11:40

ความคิดเห็นที่ 86   ข้อมูลแน่นมากเลยค่ะ ภาพก็สวยมากเช่นกัน รอชมตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณทั้งคุณตุ๊ก คุณพาย และลุงซูม นะคะ จากคุณ : pao_nowara (pao_nowara) เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:12:14

ความคิดเห็นที่ 87 เป็นรีวิวที่ให้ข้อมูลและรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆครับ รูปถ่ายก็สวยมากๆเช่นกัน มุมมองหลากหลาย ต้องขอขอบคุณในความตั้งใจและความเสียสละของทุกๆท่านที่มีต่อผลงานชิ้นนี้มากๆครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวและจะรอชมในตอนต่อไปนะครับ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:17:43