ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อถึงสนามบิน ชารล์ เดอ โกลล์ ก็ต้องรอกระเป๋า..เพราะหอบถุงกอล์ฟไปด้วย เนื่องจากมีคำเชิญมาให้ร่วมก๊วน..(ในฤดูหนาวเนี่ยนะ..ท่าคนเชิญมันจะบ้า..) แต่ก็ต้องตามใจเจ้าภาพเขาหน่อย..เอามาด้วยค่ะ แต่ว่า..ตัวมาถึง..กระเป๋ามิได้มาด้วย (อีกแร๊ะ...อีไฟล์ยุโรปเนี่ยย..อย่างนี้ทุกทีเลย..คราวที่แล้วก็ทีนึงแร๊ะ)  พนักงานของสายการบินบอกว่าจะมาเที่ยวต่อไปในอีกหนึ่งชั่วโมง..ทำไงได้ล่ะคะ..ก็ต้องออกไปคอยข้างนอก เพราะเกรงว่าคนมารับจะตกอกตกใจ ว่า..หายไปไหน.. เขาให้เอกสารมาหนึ่งแผ่น..เพื่อเป็นการยืนยันว่ากระเป๋าสัมภาระของเราจะมากับเครื่องเที่ยวต่อไป..ดิฉันจึงนำเอกสารนี้ไปยื่นให้กับหน่วยรักษาความปลอดภัยว่า..จะออกไปคอยข้างนอกนะ..เดี๋ยวจะกลับมารับของ.. เนื่องจากประตูนั้นเป็นการเปิดออกทางเดียว จากคนข้างใน..ดิฉันจึงถามให้แน่ใจว่า..ฉันจำเป็นเดินสวนเข้ามาตอนที่คนเดินออกมา..จะเป็นอะไรไหม หรือมีทางเข้าทางอื่น.. เจ้าการ์ดนั่น..ตอบหน้าตายว่า..ก็รอให้คนเดินออกไปแล้วยูก็เดินเข้ามาอย่างที่คิดนั่นแหละ..ไม่เป็นไรหรอก..แต่ขอให้นำเอกสารนั้นมาแสดงด้วย ดิฉันก็เลยเดินออกไปพบกับเพื่อนที่มารอรับ..และชวนกันไปนั่งจิบกาแฟให้หายหงุดหงิด..ตาเหลือบไปเห็นที่แลกเงินเข้า..ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะแลกเงินยูโรติดตัวไว้เสียเลย..เพราะเราจะไปชนบท..ไม่ได้ไปอยู่ในปารีส เท้าไวเท่าความคิด..ไปแลกสองพันดอลล่าร์..พอได้ยูโรมา.. แทบเป็นลมมมมม....ได้มาแค่พันสองร้อยยูโรนิดๆเอง..เพราะดอลล่าร์นั้นแสนอ่อนปวกเปียก..ไปใช้ที่ไหนก็รังแต่จะเสียเปรียบ.. แต่นี่หายไปต่อหน้าต่อตา..แปดร้อยเชียว... กลับมาจิบกาแฟต่อ...คราวนี้ดูเหมือนจะหงุดหงิดหนักไปกว่าเดิม...5555555 แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 53 15:51:34 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 15:14:31

ความคิดเห็นที่ 2 แวะมาชิมคนแรกเลย จากคุณ : Uncle Tee เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 15:25:55

ความคิดเห็นที่ 3 พอได้เวลาก็ไปรับกระเป๋า..มาตามนัดหมายค่ะ..ทุกอย่างเรียบร้อยดี บ่ายสามโมงเศษ..เพื่อนพาออกเดินทางต่อไปที่เมืองรีนส์..ที่อยู่ห่างออกไปจากปารีสประมาณร้อยกว่ากิโล อยู่ทางทิศตะวันออกฉียงเหนือ ใกล้กับชายแดนของประเทศเบลเยี่ยม..อากาศกำลังสบาย..เย็นนิดๆ นั่งคุยกันจ้อกแจ้กๆไปตลอดทาง..ดิฉันน่ะคุย..ภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาเท่าไหร่เอามาใช้หมด.. ส่วนคนที่มีกรรมต้องมานั่งฟังนั้น..กลายเป็นครูคอยแก้และสอนให้อย่างจำยอมในที่สุด..แต่เนี่องจากภาษาอังกฤษของเขาใช้การได้ดี.. ดิฉันเลยลอยตัวไป...งานนี้ ระหว่างทางนั้น..สังเกตดูว่า..เป็นถนนสองเลนแบบถนนสู่ชนบททั่วไป.. แต่ในบางช่วงจะเห็นมีผู้หญิงสามสี่คนยืนอยู่ข้างทาง..ซึ่งดูแล้วออกแปลกๆ เนื่องจากไม่ใช่ป้ายรถ..และอีกทั้งไม่มีเมืองหรือชุมชนอยู่ใกล้ๆ มองไปทางไหนก็เวิ้งว้างไปหมด..เมื่อเจอถี่ๆเข้า..ก็เลยถามสารถี..ว่าเขามายืนทำอะไร กัน.. ผู้ตอบตอบอย่างขำๆว่า..เขามาคอยรถบรรทุก คอยทำไม..เพื่อหวังโดยสารรึ? ปล่าว..เขามาคอยให้"บริการ"กับคนขับรถบรรทุกต่างหาก เนื่องจากพอใกล้ค่ำ..คนขับจะจอดพัก นอนพักผ่อน..ผู้หญิงพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซี่ยน อ้อ...อาชีพเก่าแก่นี่เอง..แหม..ประเทศไหนๆก็เหมือนกันหมดเชียว.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 15:34:54

ความคิดเห็นที่ 4 เคยตีกอล์ฟที่ปารีสครั้งนึงจำไปจนชั่วชีวิต แต่งตัวยังกับหมีขั้วโลกมันยังหนาวจนสั่นไปหมด กรีนฟีแพงแสนแพง ครั้งเดียวก็เกินพอครับ จากคุณ : Uncle Tee เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 15:37:28

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีค่ะ ลุงที มาเร็วจัง  คิดถึงเสมอนะ ตะเอง จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:26:02

ความคิดเห็นที่ 6 มาถึงวัน แรกก็สลบเหมือน..ทานอาหารค่ำเสร็จก็เข้านอนทันที..วันรุ่งขึ้นต้องไปตีกอล์ฟ ที่สนามกอล์ฟชื่อว่า..Gueux Golf Course (Gueux อานว่า เกอ ) ที่ไปที่นี่เพราะว่าเป็นอาณาเขตที่ประทับหรือปราสาทพระตำหนักของพระธิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้า.. ไอ้เราก็แสนจะสลึมสลือ ไปเจอน้ำสองขวดราคาแปดยูโรเข้า..หายมึนไปเลย..แต่ก็โอเชเพราะค่าสนามก็ไม่ค่อยโหดเท่าไหร่แค่ 45 ยูโรเอง จะว่าไปก็เลือดออกซิบๆนะ เพราะว่า..ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยนนั้นสาหัสสากรรจ์นัก จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:28:59

ความคิดเห็นที่ 7 ติดตามอ่านด้วยครับ อาวิ จากคุณ : jerry-t เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:35:34

ความคิดเห็นที่ 8 เอา รูปมาฝาก..ถ่ายหน้า Notre-Dame Cathedral พระวิหารที่ทำพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์ฝรั่งเศสทุกพระองค์อันเป็น ธรรมเนียมแต่ช้านาน.. ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเยอรมันได้เข้ามาทางเส้น ทางนี้..พระวิหารถูกบอมบ์จนแทบไม่เหลือซากเดิม..แต่ด้วยความอุตสาหะและ ศรัทธา..พระวิหารได้ถูกกอบกู้ขึ้นมาปะติดปะต่อใหม่ด้วยซากอิฐหินดั้งเดิมใน ตำแหน่งเดิมอย่างสวยงาม.. แจกภาพโดยรอบนะคะ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:46:21

ความคิดเห็นที่ 9 ด้านข้าง..จะมีช๊อตที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุด นั่นคือ นางฟ้ายิ้ม...มีอยู่นางเดียวเอง..นอกนั้นขรึมหมด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:48:36

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพหมู่..นางฟ้าและหนึ่งมนุษย์ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:49:57

ความคิดเห็นที่ 11 อีกข้างหนึ่ง.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:51:58

ความคิดเห็นที่ 12 ด้านหลัง.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:53:07

ความคิดเห็นที่ 13 อ้าว..คุณ jerry-t ก็มาด้วย..สวัสดีค่ะ...อาหยิบเรื่องการเดินทางนี้มาเล่าใหม่ในเวอร์ชั่นของนักท่องเที่ยว..ไม่เน้นของมึนเมาค่ะ...อิอิอิอิอิ ภาพ..พิพิทธภัณฑ์ Palace de Tao ที่อยู่เยิ้องๆไปหน่อย.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:57:03

ความคิดเห็นที่ 14 ที่หน้าพาลาซ เดอ โต จะเห็นว่ามีรูปปั้นของผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งบนหลังม้า.. นั่นคือ วีรสตรี โจนส์ ออฟ อาร์ค ค่ะ... เพราะที่นี่..ณ. ตรงนี้..ที่โจนส์ได้จัดทัพชาวบ้านออกมาต่อสู้ รบพุ่งกับทหารอังกฤษที่พยายามไม่ให้ขัดขืนไม่ให้พระเจ้าชารลส์ที่เจ็ดเข้าไปกระทำพิธีราชาภิเษกในพระวิหาร.. และในที่สุด เธอก็ได้พาพระองค์เข้ารับการพรมน้ำมนต์ศักสิทธิ์จากพระสังฆราชและได้กระทำพิธีถวายมงกุฏตามพระราชประเพณีได้จนสำเร็จ.. ในขณะที่ข้างนอกพระวิหารกำลังต่อสู้กันอย่างสุดฤทธิ์.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:10:31

ความคิดเห็นที่ 15 ทีนี้มาชมกันข้างในพระวิหาร... ก่อนอื่นต้องแหงนไปถ่ายภาพของซุ้มเชิงทางเข้าก่อน..สวยงามและใหญ่โตมาก ลายปูนปั้นเล็กๆนั้นคือ เหล่าเทวดาที่เรียงกันเป็นแถว... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:13:01

ความคิดเห็นที่ 16 ข้างในก็เหมือนกับพระวิหารทั่วๆไป..หากแต่มีขนาดที่สูงมาก..และน่าทึ่งเพราะสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสาม..และถือว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยแรงมนุษย์ล้วนๆ.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:16:18

ความคิดเห็นที่ 17 มีการบรรยายด้วยภาพไว้หมดทุกจุด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:19:35

ความคิดเห็นที่ 18 และ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:20:38

ความคิดเห็นที่ 19 ตามด้วย.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:21:40

ความคิดเห็นที่ 20 อีกอัน.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:22:38

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเพ่งตาอ่านก็จะทราบได้ว่า..พระวิหารแห่งนี้ได้ถูกเยอรมันบอมบ์อย่างหนักเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..สภาพเป็นอย่างนี้ค่ะ.. ชาวฝรั่งเศสและชาวแชมเปญนั้น..หัวใจสลายไปตามอิฐหินที่เห็น.. แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 53 17:26:17 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:25:44

ความคิดเห็นที่ 22 และถ้าอ่านเรื่อยลงมา..ก็จะพบว่าเขาเก็บดินทุกก้อนมาประกอบใหม่.. ทุนที่ได้ีรับนั้นมาจากหลายๆองค์กร และจากมหาเศรษฐีอเมริกันตระกูลร๊อคกี้เฟลเล่อร์ที่สมทบด้วยทุนมหาศาล.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 17:28:43

ความคิดเห็นที่ 23 รออ่านต่อนะคะ เคยไป Reims สองหน ดิฉันชอบที่เที่ยวเมืองนี้นะ มีอะไรให้ดูไม่เบื่อดี ครั้งล่าสุดที่ไปเมื่อสามปีก่อน Notre-Dame ก็ปิดบูรณะด้านหน้าเหมือนกันค่ะ จากคุณ : ตรีนุช3903 เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 20:55:27

ความคิดเห็นที่ 24 กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ จากคุณ : ว่านน้ำ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 23:30:39

ความคิดเห็นที่ 25 ก็จริงอย่างที่คุณ ตรีนุช3903 ว่ามาค่ะ...เพราะเขาจะต้องใช้โครงเหล็กยึดไว้อย่างนั้นตลอด ทำมานานเป็นสิบปีแล้วค่ะ ผลัดพยุงไว้ทีละข้าง..(เจ้าถิ่นเขาเล่าให้ฟัง) อ้าว...คุณว่าน...กรี๊ดปานว่าดูคอนเสิร์ตเลยนะ ตะเอง...คิดถึงจ้าาาา... จุ๊บ จุ๊บ.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 12:41:03

ความคิดเห็นที่ 26 วันนั้นก็ได้แค่เที่ยวชมเมืองพอประปราย เนื่องจากฝนตกในตอนบ่ายเลยไปหาซื้อกับข้าว ผักปลามาตุนในตู้เย็น  ดิฉันเป็นคนที่ชอบทานอะไรง่ายๆก็เลยสะดวกมาก วันต่อมา..ตื่นตั้งแต่เช้า..เตรียมตัวไว้จะไปเที่ยวชม แชมเปญเฮ้าส์แห่งแรกในโปรแกรมที่วางไว้ คือ Pommery ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น  Vranken-Pommery ไปแล้ว เนื่องจากถูกบริษัททุนหนาจากเบลเยี่ยม Vranken มาซื้อกิจการไป..หากแต่ยังคงเป็นทีมบริหารทีมเดิมที่เคยทำมาแต่ไหนแต่ไร จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:14:34

ความคิดเห็นที่ 27 จากหน้าประตู..ข้างในมองเห็นตัวอาคารอันแสนโอ่อ่าที่มาดามหม้าย พอมเมอรี (ความจริงอ่านว่า พอมมุยอี)ได้ก่อตั้งมาด้วยน้ำพักน้ำแรงกับหุ้นส่วนคนหนึ่งนามว่านาย Greno ร่วมกันสร้างไว้ ตั้งแต่ ปี 1836 ต่อมาหุ้นส่วนขอถอนตัวออกไปเมื่อครั้งสงครามฟรังโก-ปรัสเซียน  มาดามก็หาได้ย่นท้อไม่..กลับสร้างเสริมธุรกิจให้ใหญ่โตขึ้นมาอีก รวมทั้งขยายอาณาเขต และทำการก่อสร้างตึกขึ้นใหม่ให้โอ่อ่าตระการตาดังที่เห็นในปัจจุบัน.. ถ้ำที่เก็บแชมเปญนั้น..มีความนับร้อยๆกิโลเมตร แต่ว่า..เป็นการแบ่งสันปันส่วนกันระหว่างบริษัทแชมเปญต่างๆ ถ้า หรือที่เรียกว่า Cave หรือ Crayere นั้น ได้ถูกสร้างไว้สมัยโรมันเข้ามาครองเมือง และเนื่องจากพื้นดินของแชมเปญนั้นเป็นหินชอล์คที่อุ้มน้ำได้มาก การขุดนำดินขึ้นมาสร้างตึกอาคารจึงสะดวกทั้งๆที่ถ้านั้นมีความลึกหลายร้อยเมตร เมื่อได้เห็นด้วยตา..จึงได้ทราบว่าคนสมัยโบราณนั้นมีความสามารถและมีมันสมองเป็นเลิศ การขุดทะลวงเป็นถ้ายาวไปนั้นได้ประโยชน์หลายอย่าง ได้ดินมาทำถนนหาทาง..และได้ที่หลบซ่อนเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำศึกสงครามอีก ดังที่ชาวแชมเปญได้ใช้อุโมงค์ถ้ำนี้..เป็นที่อาศัยและหลบภัยมาในทุกสงคราม แม้กระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองที่ผ่านมา พอเข้าไปในตัวอาคารก็จะเห็นถังไวน์ไม้ขนาดเท่ากับตึกสองชั้นตั้งตะหง่านอยู่ ..มีการแกะสลักเป็นภาพหน้าของอินเดียนแดง และ มีคาวบอยอีกต่างหาก เนื่องจาก ถังไม้นี้ที่มีขนาดบรรจุแชมเปญได้แสนขวดนี้เป็นของขวัญจากสหรัฐอเมริกาค่ะ..รายละเอียดอ่านได้ในภาพ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:18:37

ความคิดเห็นที่ 28 จากนั้นก็ได้เวลาเข้าเยี่ยมชม..ประตูได้เปิดออก..เบื้องหน้านั้นคือบันไดจำนวนร่วมสองร้อยขั้นที่จะพาพวกเราไปสู่ Crayere พอเดินไปได้นิดก็แหงนคอไปมองปล่องข้างบน..เพราะเผอิญว่า..มีภาพศิลปสลักอันเป็นสิ่งที่มาดามโปรดปรานหนักหนา ประดับเอาไว้ให้เห็นเป็นสง่า ต่อไปอีกนิดหนึ่งก็เห็นแชมเปญที่กำลังนอนนิ่งสงบ..รอการบ่มตัวอยู่นับล้านๆขวดแบบ แบ่งแยกเป็นกองอย่างมีระเบียบ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:19:47

ความคิดเห็นที่ 29 ....เลขที่เขียนไว้..คือจำนวนของขวดที่เรียง..ของแต่ละช่องเก็บ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:21:53

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้ำดินชอล์คในฤดูนี้นั้น ประมาณว่า 8-12 องศา..หนาวชะมัด ที่พอมเเมอรี ..เราขอเข้าอยู่สังกัดของภาคภาษาอังกฤษ..ที่ผู้บรรยายนั้นคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญมาก.. ถามว่า.. ขวดที่กองอยู๋นั้นรอวันขายหรือ? เขาตอบว่า..ตอบว่า..รอนานเชียวสำหรับ vintage Champagne อันหมายถึง ชั้นสุดยอดที่เลือกเอาองุ่นจากเขต Cote des Blancs ที่ ถือว่าปลูกองุ่นชาร์ดอนเนย์ได้เลิศที่สุด..มาทำแชมเปญที่เขาจะต้องเลือก องุ่นที่สมบูรณ์ที่สุด (ด้วยมือมนุษย์)จากปีเดียวกัน มาหมักจากน้ำองุ่นคั้นให้เป็นไวน์(ขาว)..และให้มันนอนนิ่งรออากาศเปลี่ยน แปลง จากเย็นเป็นอุ่น..จากอุ่นเป็นร้อน ปล่อยให้น้ำตาลกลายเป็นยีสต์ ..จากยีสต์กลายเป็นฟอง..จากนั้นก็ทำการ Ridding คือการวางขวดในระดับคอทิ่มลงเจ็ดสิบห้าองศา และต้องคอยหมุนให้ตะกอนลงมารอที่คอขวด เพื่อที่จะทำการ Degorging คือการเปิดขวดที่แคปเอาไว้ให้ ตะกอนพุ่งออกมา (จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป..ตื่นเต้นมากค่ะ) แล้วก็เติมส่วนที่หายไป อาจจะด้วยน้ำตาลในอัตราส่วนที่ต้องการให้แชมเปญนั้นมีรสดรายน้อยหน่อย (Brut) หรือหวานมากหน่อย(Doux) ตามระดับดรายมาก (Ultra Brut) ก่อนที่ จะปิดขวดด้วยจุกก๊อก และนำไปนอนรอการบ่มตัวอีก 8-12 ปี ก่อนที่จะออกมาขาย..บางบริษัทบ่มนานถึง เก้าปี กว่าจะทำการ Degorging ก็มีค่ะ นี่คือแชมเปญระดับสุดยอด ส่วนแชมเปญที่นำมาออกมาขายที่ เห็นส่วนมาก เราเรียกว่า non-vintage (NV) อันนี้ค่อนข้างจะเข้าใจยากสักหน่อย เนื่องจากอยู่ในความพินิจของผู้ผลิตแชมเปญที่จะนำน้ำไวน์จากปีต่างๆกันมาผสม และทำการหมักให้เป็นแชมเปญตามที่เล่ามาข้างต้น ที่เราเรียกว่า..เป็นวิธีการเฉพาะถิ่น หรือ Method Champagnois ทาง พอมเมอรีเขาก็ใจป้ำพอที่จะให้เราไปชมในกรุมหาสมบัติของเขา..พร้อมทั้งโชว์ แชมเปญขวดของรุ่นแรกๆที่ผลิดที่เหลืออยู่เพียงขวดเดียว ปี 1874..วางให้เห็นตรงหน้า แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 53 13:27:17 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:26:14

ความคิดเห็นที่ 31 เล่าเรื่องของหญิงแกร่ง มาดามพอมเมอรี..ต่ออีกนิด  เพราะว่าผู้หญิงคนนี้นับว่าเป็นยอดมนุษย์คนหนึ่ง..หลังจากที่ได้ก่อสร้าง คฤหาสน์อย่างสวยงาม ดังที่เห็น พอสร้างเสร็จใหม่ๆ..ก็เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซียน ที่เรียกว่าเป็นยุค second empire ในสมัยของนโปเลียนที่สาม เป็นการลองของระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมันอีกตามเคย..เมือง Reims ก็ตกอยู่ในกลียุคเพราะเป็นเมืองหน้าด่าน แม้ว่า..นโปเลียนที่สามได้เลือกเอาอัลซาส-ลอเรน เป็นสนามรบก็ตาม เพราะฝรั่งเศสเชื่อมั่นมากว่า สงครามคราวนี้จะต้องมีชัยเหนือข้าศึก การจัดแจงแต่งทัพจึงเป็นไปด้วยความครึกครื้น ไชโยโห่ฮิ้ว.. แต่มาดามพอมเมอรี..หาได้คิดเช่นนั้นไม่..เพราะเธอไม่ค่อยเชื่อในน้ำยาของท่านผุ้นำอย่างนโปเลียนที่สามสักเท่าไรนัก เพราะข่าววงในของการค้าไวน์มักจะมีแพลมมาให้รู้ให้เห็นเสมอว่า..ท่านผู้นำอยู่ในสภาพเมาเละเทะ หมดสภาพให้ชาวบ้านเห็นออกบ่อยๆ เธอ จึงรีบกั้นกำแพงปิดอุโมงค์ ทำการซ่อนแชมเปญอย่างมิดชิด และ ทำตึกที่สร้างใหม่นั้นให้ดูเหมือนกับว่ายังสร้างไม่เสร็จ ยังมีอิฐหินดินทรายกองระเกะระกะ.. และก็เป็นตามที่คาด..นโปเลียนที่สามได้แพ้สงครามให้แก่พระเจ้าวิลเฮล์ม ที่มีบิสมาร์คเป็นเสนาบดีคู่ใจ.. การ แพ้ครั้งนี้เรียกว่ายับเยิน อับอายขายหน้านัก เพราะนโปเลียนที่สามได้ตกไปเป็นเชลยศึก และได้วางอาวุธให้กับเยอรมันแต่โดยดีพร้อมกับน้ำตาของชายชาติทหาร การ หลั่งไหลเข้าสู่แชมเปญของชาวเยอรมันจึงเปรียบดังกระแสน้ำที่มาจากเขื่อนทำนบ แตก..ใครๆก็อยากมาลองลิ้มชิมรสแชมเปญของเด่นของดีด้วยกันทั้งนั้น ไหนจะเสียงลือเสียงเล่าอ้างของแชมเปญชั้นดีอย่างพอมเมอรีและอื่นๆอีกเล่า.. บิสมาร์คต้องการที่จะใช้พระวิหาร Palace de Tau,Reims เป็นที่จัดเลี้ยงดินเนอร์แห่งชัยชนะเพื่อเป็นพระเกียรติยศให้แก่พระเจ้าวิลเฮล์ม เพราะ ที่พระวิหารแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับพระจักรพรรดิ์ชารล์มาญที่ได้เคยใช้ให้ เป็นที่พำนักของกองทัพของพระองค์มาเมื่อครั้งศตวรรษที่เก้า (หมาย เหตุ..พระจักรพรรดิ์ชารล์มาญ Charlemagne เป็นกษัตริย์เยอรมันที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงมีแสนยานุภาพเข้ามาครอบครองถึงใน ฝรั่งเศสและยุโรปตะวันตกแทบทั้งหมด) ภาพ..มาดามปอมเมอรี จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:55:28

ความคิดเห็นที่ 32 ทันที่ที่ชนะสงคราม..เยอรมันก็เริ่มทำธุรกิจทันที โดยประกาศให้แคว้นแชมเปญอยู่ในภาวะของการถูกครอบครองอย่างหมดจด โดยแต่งตั้งให้ เจ้าชาย von Hohenlohe เป็นเจ้าเมืองที่คอยบริหารสอดส่องดูแล..เจ้าชาย ฟอน โอเอนโลห์ ท่านก็ทำหน้าที่อย่างเต็มสตีม โดยการเลือกเอาคฤหาสน์ใหม่เอี่ยมที่แสนโอ่โถงของพอมเมอรีเป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองรวมถึงเสนาบดีชั้นอ๋อง แต่ ท่านเป็นชายชาติทหารอย่างเต็มตัว..จึงได้ให้คำมั่นสัญญากับมาดามว่า จะมาขอแค่ใช้สถานที่เท่านั้น จะไม่มีการแตะต้องแชมเปญของรักของหวงแต่อย่างใด และท่านได้มีบัญชาให้ทหารลูกน้องไม่ให้มีการแตกแถวไปทำให้ข้าวของเสียหายด้วย.. แต่นั่นหมายความว่า..ชาวเมืองจะต้องไม่มีการขัดขืนหรือทำร้ายทหารเยอรมันให้เกิดการเลือดตกยางออกด้วย จนต่อมาได้มีกรณี..ทหารเยอรมันถูกลอบยิงบาดเจ็บที่หน้าคาเฟ..จับมือใครดมไม่ได้ก็จริง แต่เจ้าของคาเฟถูกปรับ ต้องเสียค่าทำขวัญเป็นแชมเปญจำนวน 250 ขวด เมื่อท่านเสนาบดีระดับรัฐมนตรีกลาโหม Count Alfred von Waldersee เข้ามาเยี่ยมชมเมือง เจ้าชายจึงเห็นเป็นการเหมาะที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับในคฤหาสน์พอมเมอรี  ระหว่างที่กำลังดินเนอร์ เจ้าชายได้ทำการรายงานให้ท่านรมต. ทราบว่า..ชาวแชมเปญนั้นแสนว่าง่าย ไม่มีเขี้ยวเล็บและพิษสงที่น่าเป็นกังวล พอ สิ้นคำ..มาดามพอมเมอรี ก็ควักปืนพกออกมาจากกระเป๋ากระโปรง..วางให้เห็นเป็นสำคัญบนโต๊ะ..ต่อหน้าต่อ ตาของสองบุรุษที่มากไปด้วยอำนาจที่อยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริด พร้อมกล่าวว่า.. "ท่านอย่าวางใจนักเลย เรื่องที่พวกเราจะไม่มีเขี้ยวเล็บ หรือไร้ซึ่งพิษสง..อย่างเช่นปืนกระบอกนี้ไง..ที่อยู่ติดตัวฉันตลอดเวลา" เจ้าชายปากคอสั่น..ละล่ำละลักเอ่ยว่า "มาดามครับ..อย่าลืมว่า..ที่นี่เป็นสถานที่ราชการนะ" "ใครว่า..ที่นี่มันเป็นบ้านของฉันต่างหาก....ลืมไปแล้วหรือคะ?" เจอเข้าแบบนี้..สองทหารใหญ่นั่นพากันพูดไม่ออก.. นี่ละค่ะ..คัดเอามาเล่าแบบย่อๆ..ดิฉันเองรู้สึกนิยมชมชื่นหญิงกล้าอย่าง มาดามพอมเมอรี่จนต้องขอนำภาพมาอวด.. มาดามถึงแก่กรรมเมื่อปี 1890 ว่ากันว่าพิธีงานศพของเธอนั้นมีขบวนแห่แหนยิ่งใหญ่ระดับชาติทีเดียว จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 13:57:18

ความคิดเห็นที่ 33 ก่อนกลับก็ต้องมีการร่วมชิม สังสรร ซื้อของติดมือกลับกันตามประสา.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:11:15

ความคิดเห็นที่ 34 .... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:12:06

ความคิดเห็นที่ 35 สวัสดีปีใหม่ พี่วิค่ะ เป้นแฟนเก่า ตั้งแต่ห้องศุภ แฟนหนังสือด้วย ดูรูปพี่วิ ทำไม สาวชึ้น สวยขึ้น นะคะ จากคุณ : naporn เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:14:45

ความคิดเห็นที่ 36 สวัสดีค่ะ คุณ naporn แฟนเก่า.. ดูเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น..ช่ะม้า... คำตอบ...ง่ายๆเลยค่ะ..น้ำหนักลดไปสามสิบกว่าปอนด์ ประมาณว่าเฉียดๆยี่สิบโล..เนื่องจากเมื่อต้นปีที่แล้วไปเมืองไทย..รู้สึกว่า ไม่ค่อยสบายทุกครั้งที่ทานอาหารเข้าไป..รู้สึกจุกและแน่นหน้าอก.. กลับมาพบแพทย์..ได้รับการแนะนำให้เลิกทานอาหารที่ย่อยยากทั้งหมด หันมาทานผักและผลไม้เป็นหลัก เลิกอาหารประเภทแป้งทุกชนิดค่ะ รวมทั้งข้าว(ทุกชนิด)ด้วย  ห้าเดือนเท่านั้นละค่ะ..ลดวูบไปสองไซส์เลย.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:27:06

ความคิดเห็นที่ 37 เมือง Reims ก็เปรียบเสมือน สุโขทัยของเราแต่ครั้งก่อน ที่มีประวัติศาสตร์การสู้รบมาโชกโชน..Attila the Hun ได้มาถึงที่นี่หมายใจว่าจะครอบครองยุโรปส่วนนี้..การเข้ามาของอัตติลาพร้อม กับไพร่พลเจ็ดแสน คือการทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า พร้อมคำประกาศว่า..ฝีเท้าของพวกเขาไปเหยียบที่ไหน..อย่าหวังว่า..มันจะเหลือ ซากของสิ่งที่มีชีวิต.. ถ้าอัตติลา..ลุกขึ้นมาจากหลุม..และได้เห็นเมือง Reims ในปัจจุบัน..ก็คงอยากกลับไปตายใหม่อีกหลายรอบ พร้อมกับรำพันว่า.. "ตรูไม่ควรขี่ม้า ควงดาบมาให้เหนื่อยเล๊ยย...!!" เพราะทุกอย่างที่นี่ยังงดงาม ด้วยสถาปัตยกรรมที่โรมันได้สร้างเอาไว้  ที่ดินเพาะปลูกองุ่นได้อย่างงดงาม แย่งกันชูช่อ..ขนาดแชมเปญพอมเมอรี่ยี่ห้อเดียว ผลิตได้ปีละยี่สิบห้าล้านขวดเอ๊งงงง... ภาพ..แผนที่การเดินทางของอัตติลาที่บุกยุโรป จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:31:45

ความคิดเห็นที่ 38 การไปที่โน่นในครั้งนี้..นับว่าจุใจมาก..เพียงแต่ไม่สามารถไปในสถานที่อื่น ที่ต้องการในแผนแรกได้ เนื่องจากชีวิตและสภาพการเป็นอยู่ของชาวเมืองนั้น ไม่เหมือนของเรา..ตารางเวลาการเป็นอยู่ก็ผิดแผกไปจากเราชาวยูเอส..ที่หมายใจ จะทำอะไรแบบฉับไวนั้น..ไม่มีทาง.. เงินทองถึงมี..ก็ไม่มีที่ใช้ (สบายไปตรู..) เพราะไม่มีที่จับจ่ายใช้สอยแบบว่าจะไปนั่งเต๊ะจุ๊ยจิบแชมเปญ หรือ คาปุชิโน ริมทางแบบในปารีส..ไม่มี๊... แถมถ้าไปถามถึงคาปูชิโนตามร้าน..บางที่ก็เอากาแฟ (เอสเปรสโซ่) และ นมอุ่นมาวางไว้ให้ (ผสมเองซิยะ..หล่อน) เที่ยงถึงบ่ายสองโมง..เขาปิด..พักกลางวัน ชีวิตจะเริ่มฟื้นตัวอีกที..หลังบ่ายสองโมง.. ดิฉันพยายามฟังพยากรณ์อากาศทุกวัน เืพื่อที่จะได้แพลนชีวิตและเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพดินฟ้า...ไม่เคยตรงเลยฮ่ะ...เช่นเธอบอกว่าฝนตกตลอดในสี่วันข้างหน้า....ไม่ตกเลยสักวัน แถมยังมีแดดให้พออุ่นตาอุ่นใจอีกต่างหาก หลังจากอาทิตย์หนึ่งผ่านไป..ก็เลยหมดความเชื่อถือ  ดิฉันออกลุยลูกเดียวตกไม่ตกก็ช่าง.. แต่ส่วนที่น่าชื่นชมคือระเบียบวินัยและความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมเขามีกันเต็มร้อย..เช่น..ตามซูเปอร์มาร์เก็ต เขาไม่ให้ถุง (นอกจากจำเป็นจริงๆ) เพราะผู้คนส่วนใหญ่นำถุงมาจากบ้านใส่ของขึ้นรถกันเอง แบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว..เขาจะนำไปทิ้งในกล่องที่จัดพิเศษให้ตามห้างร้าน เพื่อที่จะนำไปทำลาย ไม่ให้กลับมาเป็นสารพิษแต่แผ่นดิน หลังจากวันที่ไปพอมเมอรี ดิฉันก็รีบจัดการเป้าหมายต่อไปในลิสต์  นั่นคือ Veuve Clicquot Champagne House ทันที เพราะสนใจที่ว่า..ทำม๊ายยย..พวกแม่ม่ายที่ผันตัวจากแม่บ้านมาเป็นนักธุรกิจแชมเปญนี่..จึงได้เก่งกันนัก.. (Veuve แปลว่าแม่ม่ายค่ะ) จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:37:28

ความคิดเห็นที่ 39 ไกด์ สาวที่พาเที่ยวชมนั้นยังละอ่อนอยู่เลย..ท่าทางคล่องเคล่วมีชีวิตชีวา หน้าตาสดสวย..เธอเล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์อันผ่านมาอย่างยาวไกลของ แม่หม้ายคลิกโกต์ หรือ Nicole-Barbe Clicquot-Ponsardin(นามสกุลเดิมปองซาร์แดง )ที่ต้องบริหารงานธุรกิจแชมเปญตั้งแต่ยังสาว เพราะสามีนั้นอายุสั้นนัก ไหน จะยังต้องเลี้ยงดูลูกสาวที่อยู่ในวัยเตาะแตะ..และด้วยความรักและผูกพันที่มี สามี..เธอได้ครองตนเป็นโสดจนวันสุดท้ายของชีวิต..ถ้าสนใจเรื่องของเธอ ไปอ่านได้ค่ะ เคยเขียนไว้ที่ไวน์สเกล (winescale) และคุณวิโรจเธอไ้ด้กรุณานำไปทำบล๊อคพร้อมรูปภาพให้อย่างสวยงาม ในหัวเรื่องชื่อ เมื่อแชมเปญ..ไร้ตะกอน.. ในนั้นจะมีประวัติการเป็นมาค่อนข้างครบถ้วนในเชิงสาระ.. การเดินทางเยี่ยมชม..ก็ต้องประเดิมด้วยการเดินลงบันไดเข้าไปในอุโมงค์ เช่นเคย จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:40:15

ความคิดเห็นที่ 40 ในฐานะที่คลิกโกต์ได้เป็นหัวหอกแรกในการทำแชมเปญให้ไร้ตะกอนด้วยวิธีบ้านๆจากมันสมองของแม่หม้ายตัวเล็กๆ ที่ ได้นำโต๊ะกินข้าวไปตั้งให้เอียงสี่ิสิบหาองศาแล้วเจาะรูวางขวดแชมเปญให้อยู่ ในระนาบเอียง เพื่อให้ตะกอนมานอนรอที่คอขวด..ไกด์จึงได้โชว์วิธีการตามขั้นตอน วิธีการทำ disgorging แบบโบราณด้วยโต๊ะที่มีสภาพเยี่ยงนี้...โดยการให้ปากขวดพุ่งไปยังไปก้นถังตัว บน แล้วเคาะให้จุกหลุดโดยไว..แล้วเมื่อแชมเปญพุ่งออกมาก็รีบอุดปากขวดให้แน่น ด้วยนิ้วมือ รีบมาเติมน้ำไวน์ (หรือน้ำตาลปรุงรสสูตรใครสูตรมัน)ไปให้เต็มก่อนที่จะปิดด้วยจุกไม้ก๊อก จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:45:53

ความคิดเห็นที่ 41 แชมเปญชั้นดีนั้น..องุ่นถูกเก็บด้วยมืออย่างทนุถนอม มักจะผสมกันระหว่างองุ่นแดง ปีโนต์นัวร์ และองุ่นขาวชาร์ดอนเนย์ และ ตามด้วยอัตราส่วนเล็กๆจาก..องุ่นแดง ปีโนต์ มูเยร์ (Pinot meunier) ที่ปลูกในท้องถิ่นจาก Aube region  เพื่อใช้ในการปรุงรสให้ออกแนวแอซิด ซึ่งในหลายกรณี..ตามคลาสของแชมเปญแพงๆ..ก็จะเลี่ยงไม่ใช้ เพราะค้องการการเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานระหว่างครึ่งๆ ของ ปีโนต์นัวร์ และ ชาร์ดอนเนย์ ที่ต้องมาจากไร่ในท้องที่เด่นดังเท่านั้น เช่น ชาร์ดอนเนย์ ต้องมาจาก Cote des Blances, ปีโนต์ นัวร์ ต้องจาก Marnes หรือจำเพาะหมู่บ้านลงไปเลย ว่า ฺBouzy จาก Montagne de Reims  ซึ่งถือว่าองุ่นจากที่นี่นำมาทำเป็นแชมเปญชั้นกรองครูโดยเฉพาะ ชาวแชมเปญจะพิถีพิถันมากกับการให้ความสำคัญของน้ำไวน์จากองุ่นตามเขตแดน..ดูได้จากถังที่เขียนชื่อแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ความกล้าหาญของแม่หม้ายคลิกโกต์นี้..นำว่าล้ำหน้านัก..เนื่องจากการทำสงคราม ระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ (อันเป็นลูกค้ารายใหญ่)นั้นเกิดขึ้นบ่อยนัก การปิดกั้นทางการค้าก็มักจะตามมา..แถมเมื่อเกิดขึ้นทีไร ก็หมายความว่าล่องเรือไปายที่อื่นก็ไม่ได้ เพราะเล่นปิดช่องแคบห้ามเรือผ่านไปมากันเลย.. เธอจึงหันไปทางทิศตะวันออก ..เป้าหมายรายใหญ่คือรัสเซียที่แสนไกล..และเธอก็สามารถทำได้ด้วยความร่วมมือ ของข้าทาสผู้ภักดี..จนได้ชื่อว่าเป็นแชมเปญรายแรกที่เปิดตลาดกับรัสเซียได้ สำเร็จ.. ดิฉันจึงได้ภาพของการบรรจุกล่องพัสดุแชมเปญเมื่อครั้งกระโน้นมาให้ชมกัน..มีการบุรองด้วยฟางถักอย่างประณีตบรรจง จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:49:54

ความคิดเห็นที่ 42 ..... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:52:20

ความคิดเห็นที่ 43 ต้องยอมรับว่าในแชมเปญเฮ้าท์ทั้งหมด เขาออกแนวทันสมัยแบบแนวสาวเฉียบที่สุด นับตั้งแต่สีสันของห้องรับแขกและสไตล์รวมไปถึงหีบห่อรูปแบบของแชมเปญ Prestige Cuvee หรือที่ถือว่าเป็นสุดยอดของที่นี่คือ Veuve Clicquot La Grande Dame เนื่องจากแต่ละแชมเปญเฮ้าท์นั้นก็จะมีดาราประจำค่าย อย่าง.. Roederer ก็คือ Cristal, Moet Chandon ก็คือ Cuvee Dom Perignon, Taittinger ก็คือ Comtes de Champagne Blanc de Blancs, ส่วน Pol Roger ก็คือ Cuvee Winston Churchill ฉะนั้นการที่จะต้องดำรงตัวให้อยู่ในความจำของลูกค้า..การแข่งขันจึงต้องมาในทุกรูปแบบ เป้าหมายของโววฟ์ คลิกโกต์ นั้นถือเอาใจผู้หญิงเป็นหลัก..(ก็แน่ละซี้..) ดูได้จากภาพค่ะ เพราะหวานซ้า... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:54:14

ความคิดเห็นที่ 44 ...... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:55:23

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วนเรื่องของ กรอง คูเว นั้น แน่นอนว่าร้อยเปอร์เซ็นต์มาจากองุ่นคัดจากพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ทุกแชมเปญเฮ้าท์จะมีไร่เป็นของตัวเองอยู่ตามหย่อมโน้นหย่อมนี้..เขาจะปักป้าย เขตชื่อให้เห็นเป็นสำคัญ เพื่อให้ใครผ่านไปมาจะได้ทราบว่าไม่ได้โม้.. เส้นทางนั้น เราเรียกว่า Route du Champagne หรือ เส้นทางสายแชมเปญ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 14:58:05

ความคิดเห็นที่ 46 เส้นทางจะเป็นถนนกว้างขนาดที่เห็นน่ะค่ะ เราขับรถข้ามเนินเขาไปหลายลูก ระยะก็ประมาณว่ากรุงเทพไปหนองจอก...บางที่อาจเจอฝนเล็กๆ บางที่ก็ อึมครึม บางที่ก็มีแดด... แต่ไม่ว่าจะอย่างไร..มองไปทางไหน..สวยทั้งนั้น.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 15:01:13

ความคิดเห็นที่ 47 หลักฐาน.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 15:02:27

ความคิดเห็นที่ 48 เยียมค่ะ จากคุณ : รถเสบียง เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 16:20:03

ความคิดเห็นที่ 49     จากคุณ : คนสองภาค เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 18:56:10

ความคิดเห็นที่ 50 อร๊ากกกกก แชมเปญก็น่าดื่ม โบสถ์ก็น่าดู พาหนูไปด้วยยยยยยยย งื้ดๆ T^T ขอบคุณที่พาเที่ยวนะคะ ว่างๆรีวิวไร่ไวน์นาปา โซโนม่าด้วยสิคะ อยากดู อิอิ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 11:46:35

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณคุณรถเสบียง และ คุณคนสองภาคค่ะ..ที่แวะเข้ามาอ่าน.. ส่วนคำขอของคุณ ha-meow สำหรับเรื่องของโซโนมา และ นาปา แวลลี่ย์นั้น ดิฉันเคยเล่าไว้นานแล้วค่ะ..อาจเป็นเพราะมันใกล้กับถิ่นฐานที่อยู่ก็เลยมองไม่ค่อยเห็นความสวยสักเท่าไหร่..อิอิอิ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:26:31

ความคิดเห็นที่ 52 ดิฉันไปเยี่ยมที่พิพิทธภัณฑ์ส่วนตัว ของหมู่บ้าน Le Mesnil-sur-Oger ซึ่งเจ้าของคือบริษัท Launois Champagne ซึ่งงานนี้ไม่ได้บังเอิญ ดิฉันจงใจไปเพราะได้ยินกิตติศัพท์ความเป็น cult แบบสงบเสงี่ยมของบริษัทนี้มานาน ได้เคยชิมหนเดียว แล้วติดใจ.. บริษัทนี้ทำแชมเปญแบบครอบครัวตั้งแต่ปี 1872 เพราะมีไร่อยู่ในพื้นที่องุ่นชาร์ดอนเนย์ที่ดีที่สุด นั่นคือ 22 เอเคอร์ใน Le Mesnil-sur-Oger, Avize, Oger and Cramant และ  14 เอเคอร์ใน Sezanne ชื่อหมู่บ้านทั้งหมดนี้ อยู่ใกล้ๆกันแบบติดกันเป็นพรืด..นอกจากนั้นเขาได้แบ่งเนื้อที่ส่วนหนึ่งทำ อาณาจักรแห่งความจำไว้ส่วนตัว ซึ่งไม่ได้ปิดกั้นสำหรับคนที่สนใจจะเข้าชม ไม่คิดค่าชมแต่อย่างไร เพราะถ้าใครที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปถึงที่..เขาก็ยินดีต้อนรับด้วยน้ำใจ...น่ารักมากค่ะ.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:31:38

ความคิดเห็นที่ 53 แล้วเขาก็รับรองด้วยแชมเปญของ Launois  โดยไม่ได้มีโอกาสเอ่ยปากสักนิด นำมาให้ชิมหลายวินเทจ รวมทั้ง prestige cuvee ด้วย..และไม่ใช่แบบรินมาให้แบบแมวดม..พี่แกยกมาตั้งให้ทั้งขวด.. เรา คุยกันหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องแต่หนหลังสมัยสงครามนโปเลียนด้วย..ผู้ที่มารับรองเราเผอิญว่า เป็นลูกหลานของ Launois พูดภาษาอังกฤษได้ดี จึงร่วมสนทนาแบบน้ำไหลไฟดับ เล่าว่าพวกเขาคือเกษตรกรโดยสายเลือด และระลึกอยู่เสมอว่าพวกเขาคือกระดูกสันหลังของประเทศ ดังที่พาไปดูภาพเตือนใจถึงชั้นวรรณะของตัวเองในสมัยก่อน บอกว่า..บรรพบุรุษได้เก็บไว้ให้ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:34:32

ความคิดเห็นที่ 54 แชมเปญของเขาชื่นใจมาก อาจเป็นเพราะเราดื่มในท้องถิ่นที่ผลิต และเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า มันคือ Blanc des blancs ด้วยองุ่นชาร์ดอนเนย์ล้วนๆ ดิฉันรู้สึกประทับ ใจ ด้านออกแนวซาบซึ้งกับไร่เล็กๆอย่างนี้มากกว่าแชมเปญเฮ้าท์ใหญ่ๆที่ไปเยี่ยม มาทั้งหมด เพราะความที่มีมิตรไมตรีและเป็นอะไรที่ใสๆ เขาบอกตามตรงว่าผลิตได้ไม่มากพอสำหรับการส่งออกให้ทั่วถึง เพราะแค่เบลเยี่ยมก็แทบจะเหมาหมดไปแล้วในทุกปี ที่เหลือมาถึงยูให้ชิมได้ในอเมริกาก็แทบจะว่าฟลุ๊คแล้วนะนั่น.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:36:09

ความคิดเห็นที่ 55 ,,,,,,,, จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:37:11

ความคิดเห็นที่ 56 ต่อมา..ก็ถึงคิวของ Moet Chandon เพราะอยู่ในเส้นทางเดียวกัน คือเมืองสำคัญหัวใจการค้าขายของแชมเปญ Epernay ที่ต้องนัดไว้ล่วงหน้า..เพราะเขาจัดเป็นรอบๆโดยเฉพาะภาคภาษาอังกฤษที่จำเป็น ต้องนัดคิว.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:41:20

ความคิดเห็นที่ 57 ก็เขียนเรื่อยๆนะคะ แบบบันทึกความทรงจำที่ชักจะใช้การไม่ค่อยได้ จนต้องพึ่งสมุดบันทึกพกพาเสมอๆ..บางทีสมุดบันทึกก็วางเปะปะ..ต้องหากัน วุ่นวาย แหะ แหะ พยายามเรียงเรื่องตามวันที่ไปตามโปรแกรม ไม่งั้นคงสับสนตัวเองพอสมควร.. ภาพ...ห้องรับรอง... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:44:56

ความคิดเห็นที่ 58 และเมื่อถึงเวลาก็เดินลงอุโมงค์อีกตามเคย... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:46:33

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่อง ของโมเอต์นั้น..ย้อนไปได้หลายศตวรรษที่เดียวเพราะเขาเกี่ยวพันกับหลายสาขา ดิฉันพยายามที่จะนำมาเล่าให้มากเท่าที่จะมากได้ เพราะเคยเขียนไว้แล้ว..ก็จะลองเอามาปะติดปะต่อให้ฟังใหม่ แชมเปญโมเอต์ นั้นถือกำเนิดมาเมื่อปี 1743 ในนามว่า Moet et Cie (บริษัทโมเอต์จำกัด)โดย นาย Claude Moet คหบดีรายใหญ่รายหนึ่งแห่งเมือง   Epernay ต่อมานายโคลดโมเอต์เห็นว่าการค้านั้นต้องอิงการเมืองจึงจะรุ่ง เพราะบ้าน เมืองช่างขยันมีศึกสงครามกับคนโน้นคนนี้..ช่องทางหากินอาจตีบตัน ดังนั้นด้วยความชาญฉลาดของเขาจึงมองเห็นว่าราชสำนักแวร์ซายส์นั้นควรที่จะ เป็นเป้าหมายที่สำคัญ เขาจึงเบนตัวเข้าใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เธอคือ มาดาม เดอ ปอมปาดัวร์ พระสนมเอกผู้เป็นที่สุดแสนสเน่หาของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้า.. การมาของ นายโคลดนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะนามสกุลโมเอต์ เป็นสำคัญ..เนื่องจากเป็นนามสกุลพระราชทานให้กับต้นตระกูลในฐานะที่เป็นนัก รบผู้ห้าวหาญพิทักษ์ราชบัลลังก์ เรื่องก็มีอยู่ว่า..เมื่อครั้งปี 1429 พระเจ้าชารลส์ที่เจ็ดได้ถูกขัดขวางในการเข้ารับพิธีราชาภิเษกในพระวิหารแห่ง เมือง Reims จากทหารอังกฤษ.. นาย LeClerc ชาวดัทช์ผู้มีความภักดีได้นำพรรคพวกเข้าฟาดฟันผู้ที่มาขัดขวางอย่างเต็ม กำลังสามารถ พร้อมทั้งตะโกนปลุกใจเป็นภาษาของตัวเองว่า...."Het moet zoo zijn" จนพระเจ้าชารลส์ที่เจ็ดเสด็จเข้าไปในพระวิหารได้อย่างแล้วรอดปลอดภัย จึงได้ปูนบำเน็จ พระราชทานนามสกุลให้ว่า Moet เป็นเกียรติยศสืบไป หมายเหตุ..ศึกนี้คือศึกเดียวกันที่รบพุ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับวีรสตรีโจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) หมาย เหตุอีกที..ในภาพแรกจะเห็นว่ามีโค๊ดเขียนเอาไว้..ถามได้ใจความว่า..บรรทัด แรกคือการให้หวย..เอ๊ย.งม่ายช่าย แต่เป็นโค๊ดการผสมน้ำไวน์ของเซลล่าร์มาสเตอร์ ที่ไม่มีใครทราบได้ เขารู้อยู่คนเดียว เป็นสูตรลับ..ว่างั้นเถอะ.. บรรทัดที่สอง..คือ หมายเลขของช่องถ้ำที่เก็บ...บรรทัดที่สาม คือจำนวนขวดที่เรียงไว้ทั้งหมด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:49:20

ความคิดเห็นที่ 60 ดังนั้น..โคลด โมเอต์ จึงเป็นต้อนรับอย่างเกรียวกราวจากเหล่าหมู่พระสนมน้อยใหญ่..จนแชมเปญของเขา ได้ทะยานสู่โต๊ะเสวยในทุกมื้อและเป็นที่ต้องการของเหล่าเซเลบ ต่อมาในปี 1792 โคลดได้ลาจากโลกนี้ไป..หลานปู่ได้เข้ามารับช่วงกิจการต่อไป เขามีนามว่า..Jean-Remy Moet ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น..ฉันท์ใด ฌอง-เร มี..ก็ ฉันท์นั้น..เพราะเขาได้หาญกล้าติดต่อขอซื้อไร่องุ่นแห่งประวัติศาสตร์มาไว้ ในครอบครองได้ นั่นคือไร่องุ่นแห่งพระวิหารใหญ่โอต์วิลเยส์  (Hautvillers) อัน เป็นที่ซึ่งบาดหลวงดอม ปีแอร์ เปริญอง ได้เคยเพาะปลูกดูแล หมัก..เป็นคนแรกที่ใส่ใจนำขวดจากอังกฤษมาทดลอง (เพราะหนากว่า) ค้นคว้าจนได้ไอเดียเอาไม้ก๊อกจากสเปนมาทำจุก (เพราะแน่นกว่า) จนไวน์อดทนอยู่ในขวด และยีสต์ได้ทำงานสองครั้งสองหนเพราะขวดไม่ระเบิดออกมาซะก่อนและกลายมาเป็นแชมเปญในปัจจุบัน ญอง เรมี ได้กลายมาเป็นเกลอกับนโปเลียนอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่เคยเจอกันเมื่อครั้งที่นโปเลียนมาเรียนเตรียมทหารที่ เมือง Brienne (อยู่ในแชมเปญนี่ละค่ะ) เป็นเด็กหนุ่มรุ่นกระทง ในขณะที่ฌองนั้นได้เป็น นายกเทศมนตรีของเมือง เอปเปเนย์ไปแล้ว อายุต่างกันสิบเอ็ดปี แต่เขาทั้งสองก็สนิทกันแน่นแฟ้น.. ใน ช่วงของนโปเลียนมหาราชนี่เอง..แชมเปญโมเอต์ได้รุ่งถึงขีดสุด ขนาดว่า ฌอง-เรมีได้สร้างพระราชวังตริอานอง(น้อยๆ)พร้อมกับสวนที่โอ่อ่ากว้างขวางไว้ ให้เป็นที่นโปเลียน และพระนางโจเซฟิน เอาไว้เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยในยามที่เสด็จมาพำนัก (อยู่ตรงกันข้ามกับตึกของโมเอต์เลยค่ะ) และแน่นอนว่า..เหรียญตราชั้นอัศวินสูงสุดนั้นได้ตกเป็นของ ฌอง-เรมี ที่นโปเลียนกลัดที่อกเสื้อให้ด้วยพระหัตถ์เอง..ในฐานะเพื่อนรัก ในภาพ..ถังไม้ขนาดใหญ่นั้น..นโปเลียนประทานให้มาเมื่อปี 1810 และป้ายที่เห็นนั้น แสดงไว้เป็นสำคัญว่าอุโมงค์นี้ได้เคยรับเสด็จนโปเลียนมหาราชมาแล้วในวันที่ 26 กรกฏาคม ปี 1807 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:51:10

ความคิดเห็นที่ 61 จากการเรียงขวดในแนวระนาบซ้อนกันที่เห็นนั้น..เป็นการรอบ่มของการหมักครั้งที่สองและี่ต้องวางนอนซ้อนแน่นขนาดนั้น เพราะว่าเป็นการป้องกันการระเบิดของขวดด้วย โป รดสังเกตุว่า..ก้นขวดด้านในจะมีรอยบุ๋มค่อนข้างลึก ที่เราเรียกว่า punt  เขาว่าแรงกดดันจากการหมักนั้นจะอัดแน่นอยู่ด้านล่างของขวด..ถ้าเกิดระเบิด ออก..รอยบุ๋มนี้จะประทังให้แรงกดนั้น มันดันให้ก้นขวดฉีกขาด กระเด็นพุ่งออกมาแบบฟริสบี้..ไม่ได้ทำให้ขวดทั้งขวดระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ อันจะทำให้้ขวดอื่นๆพาลแตกไปด้วย.. ฉะนั้น ถ้าก้นขวดฉีกขาด..ก็ก้นใครก้นมัน..ขวดอื่นไม่เกี่ยวอย่างดีก็เปรอะเปื้อนนิดหน่อย.. สังเกตุในภาพค่ะ..ว่า เวลามันระเบิดแล้ว ส่วนก้นที่ว่านี้...กระเด็นออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นแผ่นๆเรียบร้อยดีแท้.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:53:58

ความคิดเห็นที่ 62 จากนั้นก็เป็นรายการชิมแหลก..เพราะเขารินแจกไม่อั้น..ขอลองอะไรได้หมด..แต่ดิฉันเหนื่อยเพราะตรากตรำมาตั้งแต่เช้า ชิมมาหลายไร่เต็มที แวะโน่นแวะนี่ตลอดทาง..ก็เลยแค่จิบๆดมๆ บอกตรงๆว่าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับโมเอต์ มากนัก เพราะที่อเมริกามีขายทุกชนิด แถมราคาถูกกว่าที่ฝรั่งเศสด้วยซ้ำ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:56:27

ความคิดเห็นที่ 63 แต่ก็ต้องชักภาพไว้เป็นที่ระลึก.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:59:37

ความคิดเห็นที่ 64 ดิฉันตั้งใจไว้ว่าทริปนี้อยากจะแยกตัวไป Loire Valley สักสามสี่วัน..จึงเริ่มกระสับกระส่าย เพราะยังเหลือรายการชิมแชมเปญอีกหลายที่..ท่านเจ้าของบ้านที่แสนจะมีเมตตา ..ถามว่า อยากไป Loire เพราะอะไร ดูปราสาทเหรอ? ก็ตอบไปว่าปล่าว..เพราะเคยเห็นแล้ว แต่อยากไปลองชิมไวน์ตามไร่เล็กๆแถบชนบท เพราะไม่เคยไป เขา ก็เลยตอบว่า..จำได้ไหม..ที่เคยบอกยูว่าจะมีเซอร์ไพรส์ไว้ต้อนรับยูน่ะ ..(จริงๆเขาเคยบอก..แต่เรานึกว่าเป็นเรื่องการไปดูคอนเสริตจากเยอรมันที่พระ วิหารบาซิลิค)  และเขาก็จัดการยิ่นบัตรมาให้ตรงหน้่่า..ว่า..นี่คือเซอร์ไพรส์ที่ไอพูดถึง.. ว้าวววว...บร๊ะเจ้า..!!!! จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:10:38

ความคิดเห็นที่ 65 และแล้ว..เวลาที่รอคอยก็มาถึง..ดิฉันไปถึงงานทันที่ที่เขาเปิดประตู เชื่อว่าตัวเองติดอยู่ในกลุ่มห้าสิบคนแรก (ไม่ค่อยเห่อเท่าไหร่เลย..) ดิฉันคาดผิดถนัด..งานจัดใน Hall ขนาดใหญ่มาก..ทั้งสองฝั่ง..ซ้ายและขวา (ตามภาพ)  ไม่มีเอ๊าท์ ดอร์ อย่างที่คิด ดิฉัน ได้รับแก้วไวน์สองใบสำหรับในมหกรรมการชิมครั้งนี้ ที่ดิฉันวาดเเพลนปร๊าดๆทันทีว่า..ตรูจะมุ่งหน้าสู่บู๊ธของเบอร์กันดีก่อน เก็บให้เรียบในวันนี้ เป้าหมาย..คือ พรีเมียร์ ครู และ กร็อง ครู เป็นอย่างต่ำ.. อย่างอื่น..ค่อยมาเก็บในวันหลัง..(จะได้ไม่สับสน) ตอนนี้เป็นรายการแจกรูปนะคะ..เพราะจะอธิบายความรู้สึกได้ดีกว่า.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:13:56

ความคิดเห็นที่ 66 """""""""""""" จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:14:49

ความคิดเห็นที่ 67 ติดตามอยู่ ค่ะ จากคุณ : naporn เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:19:53

ความคิดเห็นที่ 68 รู้แต่ว่า..หอบพะรุงพะรัง..แถมหนักอีกต่างหาก...คนอื่นๆเขาพกพาที่กระเป๋าชอปปิ้งแบบมีล้อกันมาด้วย แสนสะดวก.. วันรุ่งขึ้น..กลับไปอีกแต่ไก่โห่..พร้อมด้วยวิญญาณนักช้อป..วันนี้กะว่าถึงไหนถึงกัน จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:19:56

ความคิดเห็นที่ 69 เปิดรายการชิมดะ..แบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:21:40

ความคิดเห็นที่ 70 เจ้าไหนชอบ...ก็เจ๊าะแจ๊ะกันยาวเป็นพิเศษ..เพราะซื้อแบบไม่ต้องคิดถึงอัตราแลกเปลี่ยนให้เหนื่อย เนื่องจากราคายุติธรรมมากค่ะ (เทียบกับอเมริกา) เสียดายเหลือเกินที่ไม่สามารถหอบไปได้ทั้งหมด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:24:44

ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อหอบไปได้ดั่งใจไม่ได้..ก็ต้องใช้สติให้รอบคอบ เมื่อเจอตัวไหนที่ชอบ..ดิฉันจะถามก่อนว่า..มีตัวแทนจำหน่ายในอเมริกาหรือยัง..ถ้ามี..ก็ขอชื่อบริษัทที่จัดจำหน่ายจะได้ไปสั่งซื้อเอง..ถ้าไม่มี..ก็จำเป็นต้องซื้อกลับมา..เพราะชอบแล้วนี่..ทำไงได้ล่ะ มาถึงเรื่องบริษัทจัดจำหน่ายนี่..ก็คุยกันสนุก..บางเจ้าบอกว่า..อีบริษัทที่ อเมริกาเนี่ย..มันจะให้ทำสัญญาส่งให้มันทีละสองสามพันลัง..โอ๊ยยย..จะเอาที่ ไหนไปให้  แถมเขานินทาให้ได้ยินอีกว่า..อเมริกาเนี่ย.นิสัยเสีย..ชอบจำนวนให้มากไว้ก่อน.. ผู้ผลิตอย่างพวกเขา..ในแต่ละปีก็ลุ้นกันสุดตัวในเรื่องดินฟ้าอากาศ..จะอยู่หรือรอด..จะกี่ลังก็ไม่รู้.. เลยเอาเป็นว่า..เปิดงานค้าขายกันเองในหมู่เฮาชาวฟรองเซนั้นสบายใจที่ซู๊ดดด... คนนี้ละค่ะ...ที่เป็นคนพูดประโยคข้างบน... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:29:27

ความคิดเห็นที่ 72 คุณ naporn จ๋า... ขอไปนอนก่อนน้าาาา...ห้าทุ่มครึ่งแล้ว...พรุ่งนี้จะมาต่อให้อีกค่ะ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:36:06

ความคิดเห็นที่ 73 เยี่ยมมาก ๆ เลยค่ะ .. ติดตามอ่านอยู่นะคะ .. จากคุณ : ใบเตย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:30:46

ความคิดเห็นที่ 74 โชว์รูมของ Veuve Clicquot สวยจริงๆแหละค่ะ เก๋เนี้ยบ เห็นแล้วนึกถึงโชว์รูมของแอร์เมส ขอให้สุขภาพดีวันดีคืนนะคะ . รออ่านต่อ.. จากคุณ : ว่านน้ำ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 19:00:55

ความคิดเห็นที่ 75 หูยยยยส์.............อิจฉาเป็นที่สุด  ทั้งพรีเมียร์ ครู  ทั้งกร็อง ครู เจ๊ส่งบัตรเชิญมาให้บ้างสิ อยากไปจัง จากคุณ : Uncle Tee เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 13:40:14

ความคิดเห็นที่ 76 สวัสดีึ่ค่ะ..คุณใบเตย  ต้องติดตามอย่างอดทนจริงๆนะคะ เพราะกระทู้นี้จะยาวมาก... จุ๊บ จุ๊บ...คุณว่านคนสวย..ห้องรับแขก  Veuve Clicquot นี่มันหรูมาก เขาทำสวยจนไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงในยามที่ถูกถ่ายรูป อิอิอิอิ เฮลโล ตั๋นเพื่อนรัก...อยากไปจริงๆป่ะล่ะ..เขามีทุกเดือนพฤศจิกายน เรื่องบัตรน่ะเรื่องเล็กย่ะ..ให้รู้ซะมั่งว่าเพื่อนหย่ายยย...ฮะแ้อ้ม.. รูปนี้..ฝากให้คุณว่านจ้าาา... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 14:23:02

ความคิดเห็นที่ 77 ตอนนี้เอาเรื่องไปเที่ยวปารีสหนึ่งวันมาเล่าดีกว่า ..อาจจะรำคาญหน่อยนะ เพราะรูปตัวเองเยอะมาก..เนื่องจากคนถ่ายเขาไม่ชอบถ่ายภาพวิวที่ไม่มีคน ก็เลยจำเป็นต้องเอาใจเขาหน่อย.. วันต่อมาเป็นวันเสาร์ วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวปารีสหนึ่งวันเต็มๆ เพราะการไปมานั้นสะดวกมาก ออกจาก Reims ด้วยรถไฟหัวกระสุนเตเจเว มุ่งหน้าสู่ปารีส..ด้วยเวลาเพียงสี่สิบห้านาที.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:05:01

ความคิดเห็นที่ 78 .................. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:05:52

ความคิดเห็นที่ 79 ,,,,,,,,,,,,,,,,,, จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:07:08

ความคิดเห็นที่ 80 เป้าหมายแรกในแผนการคืออนุสรณ์สถานให้กับผู้ที่เสียชีวิตในสงครามฟรังโก -ปรัสเซีย 1870-1871 นั่นคือ ..Basilique du Sacre-Cœur  ที่ Montmartre ความ จริงอยากจะไปดูเหล่าพวกอาร์ติสต์ที่มักจะมาชุมนุมวาดภาพวิวของปารีสในแบบฉบับพาโนรามาจากยอดเขานี้ต่างหาก แต่อาจจะเป็นเพราะอากาศไม่เป็นใจหรืออย่างไรไม่ทราบ..ไม่มีอาร์ติสต์สักคน ..ที่เห็นๆอยู่ตามขั้นบันได คือ เหล่าชาวผิวดำมาปูผ้าขายของที่ระลึกที่ล้วนแต่เมด อิน ไชน่า อย่างหนาตา.. โอ้ละหนอ..ปารีสในยุคนี้...น่าสงสารเสียจริง จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:09:18

ความคิดเห็นที่ 81 .. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:10:29

ความคิดเห็นที่ 82 ตึกแถวสี่จตุรัสของมงมาร์ตด้านล่างลงไปได้ถูกยึดครองไปด้วยเหล่าพ่อค้าวาณิชชาวตะวันออกกลางไปหมดแล้ว  เรียกง่ายๆว่าสภาพไม่ผิดอะไรกับโบ๊เบ๊ เมืองไทย ยิ่งประเภทเอามาสุมกองขายหน้าร้านนั้น..เหมือนกันไม่มีผิด นี่บอกว่าอยู่ในกรุงปารีส...จะมีใครเชื่อมั๊ยเนี่ย??? จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:15:01

ความคิดเห็นที่ 83 อากาศไม่ค่อยเป็นใจ..เดินชมโบ๊เบ๊ได้แป๊บเดียวแล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปที่ le Pantheon เพื่อเยี่ยมคารวะกับบุคคลที่เราได้รู้จักแต่ชื่อ..เพราะอ่านเรื่องของเขามา นาน..เนื่องจากร่างของพวกเขาได้ฝังอยู่ที่นี่.. ตึกของปองเตอองเป็นตึกที่มีโดมน่ะค่ะ การเที่ยวของดิฉัน..เืพื่อนๆมันเคยแดกดันให้ว่า เที่ยวแบบ"หวานสามว." (สามวอ) นั่นคือ วัด..วัง..ไวน์.. ตอนหลังมานี่มีแถมมิวเซียม กับ สุสาน เข้าไปอีก..เลยหาเพื่อนเที่ยวไม่ไคร่ จะได้ เท่าที่มีมาด้วยนี้ก็จัดว่าคอเดียวกันซึ่งนับว่าหายากมาก.. แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 23:26:00 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:25:11

ความคิดเห็นที่ 84 ความสวยงามนั้นมากมายเกินจะกล่าว.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:27:38

ความคิดเห็นที่ 85 ที่เห็นตรงกลางที่คนยืนมุงดูอยู่นั้น คือนาฬิกาลูกตุ้มแบบวางกับพื้น และจะมีลูกตุ้มที่มีสัมพันธ์กับแกนเอียงของโลกแกว่งไปมา ขอบที่กั้นคือตำแหน่งเวลา ลูกตุ้มจะแกว่งบอกได้อย่างแม่นยำในทุกขณะเสี้ยววินาทีที่โลกหมุน.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:31:12

ความคิดเห็นที่ 86 ประวัติการสร้าง.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:33:06

ความคิดเห็นที่ 87 มีทั้ง วอลแตร์,วิคเตอร์ ฮิวโก,และ โซลา เอมีล... ก็เลยไปคารวะมาครบหมด...แต่ตัวสุสานเขาจัดอยู่ในห้องที่เป็นช่อง..และห้ามถ่ายภาพโดยใช้แฟลช..ก็เลยถ่ายได้แต่ป้ายหน้าช่องสุสานมาให้ จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:36:55

ความคิดเห็นที่ 88 ,,,,, จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:38:12

ความคิดเห็นที่ 89 ................... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:39:21

ความคิดเห็นที่ 90 ก่อนออกมาก็เที่ยวชมภาพสลักและภาพวาดที่แสนงดงามและใหญ่โตอย่างใกล้ชิด นึกในใจเสมอว่า..นี่ละหนอสองมือมนุษย์ที่พระเจ้าให้มาเท่ากัน..แต่ไฉนบางคนถึงได้มือชั้นระดับเทพที่สามารถสร้างสรรงานได้วิเศษขนาดนี้.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:43:46

ความคิดเห็นที่ 91 ออกจากปองเตออง..ก็เป็นรายการเดินแล้วค่ะ..เตรียมตัวมาพร้อม..รองเท้าบู๊ทที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้าหนึ่งเบอร์ (แน่นอนว่าถุงเท้าเป็นชนิดหนา) เสื้อผ้าที่พอดีกับอากาศ..ไม่มากเกินไป (เพราะเวลาเดินจะร้อนกว่าปรกติ จะได้ไม่ถอดเข้า ถอดออก) สัมภาระเช่นกระเป๋าถือต้องไม่มี..ทุกอย่างคาดไว้ที่เอวหมด ทั้งกล้อง,เงิน... อ้อ..ลิปมันอีกหนึ่งแท่ง.. หมวกและผ้าพันคอคือสิ่งสำคัญ..เพราะที่คอคือจุดอ่อนของร่างกาย..จะป่วยหรือเป็นหวัดมักจะเริ่มจากตรงนี้.. ก็เดินชมเมืองมาเรื่อย.. อ้อ..มาสะดุดนึดนึง..ตรงที่เห็นแผงกั้นทางเดินเป็นบาร์เหล็กแถมมีเหล็กแหลมยื่นออกมา ท่าทางน่ากลัว..ถามเขาว่า ทำไม..เพื่ออะไร คำตอบคือ..เพื่อดัดสันดา....พวกที่ชอบเอาสเก๊ตบอร์ดมาเล่นแถวนี้ เพราะว่าตรงนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยปารีส (ซอร์ บอน) นักศึกษาห่ามๆมักชอบใช้ทางลัด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:55:49

ความคิดเห็นที่ 92 เดินเรื่อยๆมาถึงสามเหลี่ยมน้ำพุหัวถนนซัง มิเชลล์ มาเจอกับวงดุริยางค์ของนักเรียน..เล่นได้ดีมาก..แวะยืนดูและฟังพร้อมแจกสตังค์ให้ตามธรรมเนียม จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 00:03:24