 |
ความคิดเห็นที่ 12 |
ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา
กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา เป็นระยะทางประมาณ ๑๙๖ กิโลเมตร มูลค่ากว่า ๕๙,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเสียงสะท้อนที่ออกมามีทั้งเห็นด้วย และคัดค้านกันหนาหูเช่นกัน ใน ประเทศไทยมีถนนมอเตอร์เวย์ที่อยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง ๒ เส้นทาง คือ ถนนกรุงเทพฯ-ชลบุรี (สายใหม่) และถนนกาญจนาภิเษก ช่วงบางปะอิน-บางพลี (ส่วนช่วงบางพลี-สุขสวัสดิ์ อยู่ในความดูแลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าผ่านทางเมื่อใช้ถนนเส้นนี้ ก่อนที่ บ้านเราจะมีถนนมอเตอร์เวย์ สมัยก่อนก็มีการตั้งด่านเก็บเงินค่าผ่านทางบนทางหลวงธรรมดาๆ นี่แหละ จำนวน ๑๓ ด่านทั่วประเทศ มีทั้งถนนสายเอเชียจากทางแยกต่างระดับบางปะอิน มุ่งหน้าไปภาคเหนือ ถนนบางนา-ตราดไปภาคตะวันออก ถนนบรมราชชนนี ถนนพระรามที่ ๒ มุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้ โดยเฉพาะถนนมิตรภาพจะมีด่าน เก็บเงินอยู่ ๔ ด่าน ตั้งแต่สระบุรีไปจนถึงนครราชสีมา อัตราค่าผ่านทางจะเก็บด่านละ ๑๐ บาท สำหรับรถเก๋ง และด่านละ ๔๐ บาทสำหรับรถบรรทุก หากใครใช้เส้นทางถนนมิตรภาพตั้งแต่สระบุรีขึ้นไป จะต้องจ่ายค่าผ่านทางทีละด่านรวมกันมากถึง ๔๐ บาท ยิ่งถ้าเป็นรถบรรทุกจะต้องจ่ายมากถึง ๑๖๐ บาท นั่นคือข้อกำหนดของกรมทางหลวง แต่ โชคดีที่สมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย (รัฐบาลชวน ๑) รมว.คมนาคมสมัยนั้นก็คือ “พันเอกวินัย สมพงษ์” เพชรเม็ดงามของพรรคพลังธรรม เสนอคณะรัฐมนตรี ขอยกเลิกมติครม.เดิมที่ให้มีการเก็บค่าผ่านทาง ด้วยเหตุผลเพราะด่านเหล่านี้คร่อมเส้นทางที่ประชาชนใช้กันมานานแล้ว และเป็นเส้นทางของกรมทางหลวงที่เอาเงินภาษีประชาชนมาสร้าง กระทั่งครม.รัฐบาลชวน ๑ ก็อนุมัติให้ยกเลิกเก็บค่าผ่านทางในที่สุด แต่ แล้วนักการเมืองหนุ่มไฟแรงในสมัยนั้น ปัจจุบันก็คือตัวแจ๊ดของการเหยียบเรือสองแคม กลับมาขึ้นป้ายผ้าหน้าด่านเก็บเงินต่างๆ ว่า การยกเลิกการเก็บเงินเป็นผลงานของตน ทุกวันนี้ใครที่ขับรถเดินทางไป ยังภาคต่างๆ แล้วเห็นอาคารที่มีหน้าตาคล้ายกับด่านเก็บเงินบนทางด่วน รวมทั้งช่วงถนนที่กว้างขึ้นเป็นสิบๆ เลนก็ไม่ต้องนึกสงสัย ปัจจุบันบางด่านร้าง บางด่านเป็นที่พักตำรวจทางหลวง บางด่านเป็นสำนักงานหมวดการทาง เป็นด่านชั่งน้ำหนัก เหล่านี้คืออนุสรณ์ที่ประชาชนต้องจ่ายในยุคนั้น สำหรับถนนมอเตอร์ เวย์ที่จะสร้างขึ้นในอนาคตอันใกล้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องการทำความเร็ว เพราะเป็นถนนที่มีรั้วรอบขอบชิด ไม่มีมอเตอร์ไซค์หรือวัวเทียมเกวียนมาวิ่ง หรือมีคนเดินถนนข้างทางปะปน ไม่มีที่กลับรถ ไม่มีสี่แยกไฟแดง เพราะจะทำเป็นทางต่างระดับทั้งหมด แต่จะต้องเสียค่าผ่านทางที่ด่านเก็บเงินกลางทาง ก่อนที่จะออกจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ผมไม่ขอพูดถึงที่มาที่ไปของ โครงการมอเตอร์เวย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากแต่มีข้อกังวลอยู่สองสามประการที่อยากจะให้คุณผู้อ่านได้มีโอกาสแลก เปลี่ยนความคิดเห็นกัน ประการแรกคือ ระยะทางของถนนมอเตอร์เวย์เมื่อเทียบกับระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมา จริงอยู่แม้ระยะทางของถนนมอเตอร์เวย์สายนี้จะอยู่ที่ ๑๙๖ กิโลเมตร แต่ต้องดูกันที่ต้นทางซึ่งก็คือ ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ ๕๕ (ทางแยกต่างระดับบางปะอิน ๒ ตัดกับถนนกาญจนาภิเษก บางปะอิน-บางพลี) ซึ่งเท่ากับว่าระยะทางจริงๆ จากกรุงเทพฯ ก็คือ ๒๕๑ กิโลเมตร ขณะ เดียวกันระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปตามถนนพหลโยธิน ต่อด้วยถนนมิตรภาพ ก่อนที่จะถึงจังหวัดนครราชสีมา ระยะทางประมาณ ๒๕๖ กิโลเมตร เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าถนนมอเตอร์เวย์เส้นนี้ช่วยย่นระยะทางที่มีอยู่เดิมให้ สั้นลงไปได้เพียง ๕ กิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้บางช่วงบางตอนยัง ขนานไปกับถนนมิตรภาพ โดยเฉพาะทางยกระดับตั้งแต่เขื่อนลำตะคองถึงหน้าเรือนจำคลองไผ่ อีกทั้งแนวเส้นทางตั้งแต่บางปะอินขึ้นไปถึงด่านสระบุรียังอ้อมโลกไปไกลถึง อ.อุทัย ต่อด้วย อ.หินกอง แล้วค่อยวกกลับมาตัดกับถนนพหลโยธินที่ทางเลี่ยงเมืองสระบุรีอีกที ระยะ ทาง ๔๕ กิโลเมตรที่อ้อมโลกและเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ถามหน่อยว่ามันคุ้มค่าหรือไม่? หรือจะคุ้มค่าเฉพาะเจ้าของที่ดินที่อยู่แถบด่านขึ้น-ลงมอเตอร์เวย์ เพราะที่ดินย่านนั้นส่วนใหญ่มีแต่ทุ่งนา ส่วนที่ดินตามแนวถนนส่วนใหญ่เป็นที่ดินตาบอด เพราะรถไม่สามารถเข้า-ออกไปยังถนนใหญ่ได้ ดูแล้วท่าทางได้แต่ข้อดี ก็คือทำความเร็วแบบตีนผีซิ่งนรกได้ง่าย เพราะใช้ความเร็วได้สูงสุด ๑๑๐-๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามกฎหมาย แต่ที่ผ่านมาถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี (สายใหม่) ประสบปัญหาอุบัติเหตุรถชนท้ายกันเป็นประจำ กระทั่งภายหลังเวลาใครที่ขับรถบนถนนเส้นนี้บ่อยๆ จะมีป้ายเตือนให้รักษาระยะห่าง ไม่ให้เกินสัญลักษณ์วงกลมกลางถนน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์มหกรรมชนท้ายขึ้นมาอีก ประการต่อมาก็ คือ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ครั้งนี้ถูกบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ.๒๕๕๓-๒๕๕๕ ซึ่งเป็นโครงการลงทุนสาขาขนส่งภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ (ประเภทที่ ๒) ประเภทโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ ค่าก่อสร้าง ๕๒,๗๒๐ ล้านบาท ถูกตั้งข้อสงสัยว่า งบประมาณสูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่ เนื่อง จากก่อนหน้านี้ เดิมค่าก่อสร้างเพียงแค่ ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท แต่กรมทางหลวงอ้างว่า มีบางช่วงของเส้นทางที่ต้องออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมเป็นทางยกระดับ และหลีกเลี่ยงผลกระทบสิ่งแวดล้อมกับแนวมรดกโลกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีการเปรียบเทียบราคาค่าก่อสร้าง ซึ่งหากเป็นทางราบเฉลี่ยกิโลเมตรละ ๑๐๐-๑๕๐ ล้านบาท ขณะที่ทางยกระดับเฉลี่ย ๔๐๐-๕๐๐ ล้านบาท นำมาซึ่งข้อสงสัยที่ว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องก่อสร้างทางยกระดับถึง ๓-๔ ช่วง ได้แก่ ทางเลี่ยงเมืองสระบุรี (กิโลเมตรที่ ๔๐-๔๗) บริเวณโรงปูนทีพีไอ (กิโลเมตรที่ ๖๙-๗๕) บริเวณฟาร์มโคนม อสค. (กิโลเมตรที่ ๘๒-๘๔) และทางยกระดับที่ลำตะคอง (กิโลเมตรที่ ๑๒๕-๑๔๓) ซึ่งช่วงของทางเลี่ยงเมืองสระบุรีไม่ได้เป็นเนินหรือภูเขา เพียงแต่เป็นการใช้แนวเส้นทางถนนเลี่ยงเมืองที่มีอยู่เดิม การสร้างทางยกระดับเป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่ นอกจากสร้างทางพื้นราบแล้วสร้างสะพานกลับรถรูปเกือกม้าข้ามถนนมอเตอร์เวย์ ขึ้นมาแทน ยังไม่นับรวมเรื่องของผู้ชนะการประมูล ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมถูกตั้งข้อสังเกตว่า จะมีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ยังจะมีมาตรการที่ทำให้การใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะมาจากภาษีประชาชนหรือเงินกู้จากต่างประเทศเป็นไปอย่างโปร่งใสได้ อย่างไร? อีกประการหนึ่งที่อยากจะให้พิจารณาก็คือ คุ้มค่าหรือไม่กับความสูญเสียโอกาสต่างๆ ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เพราะหากมีถนนมอเตอร์เวย์เกิดขึ้นมา แน่นอนว่าประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางจะต้องได้รับผล กระทบอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเดินทางไปมาหาสู่ที่จะต้องลำบากมากขึ้น ถนนหนทางในหมู่บ้านถูกปิดตาย ต้องขับรถอ้อมไปขึ้นสะพานสำหรับบริการแก่คนในชุมชนอีกตั้งไกล ส่วน โอกาสทางเศรษฐกิจ มีตัวอย่างของเมืองที่เคยมีความเจริญทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องกลายเป็นเมืองร้างเนื่องมาจากมีทางหลวงสายใหม่ตัดผ่าน เฉกเช่นตัวเมือง จ.ชัยนาท สมัยก่อนถือเป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจมากพอสมควร เนื่องจากเป็นเส้นทางผ่านตามแนวถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ จะเรียกได้ว่ารถยนต์แทบทุกคันจะต้องผ่านตัวเมืองชัยนาทแห่งนี้ แต่ เมื่อถนนสายเอเชีย ซึ่งแยกจากถนนพหลโยธินโดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จนไปถึง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๖ แน่นอนว่า ด้วยถนนที่ตัดเส้นตรงขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยา ขึ้นมาถึง จ.อ่างทอง จ.สิงห์บุรี จ.ชัยนาท ทำให้ถนนสายเอเชียได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทาง เนื่องจากไม่ต้องอ้อมไปไกลถึง จ.ลพบุรี จ.สระบุรี ก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ แนวเส้นทางของถนนสายเอเชียเลือกที่จะออกห่างจากตัวเมืองหรือชุมชน ด้วยเหตุผลเนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรที่คับคั่ง ผลกระทบที่ตามมา ทำให้ตัวเมืองในจังหวัดต่างๆ กลายเป็นเพียงแค่เมืองที่ถูกมองข้าม หากจะเข้าตัวเมืองจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็ต้องใช้ทางเข้าเมือง ทำให้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในชุมชนหรือจังหวัดนั้นๆ มากมาย ที่ต้องสูญเสียโอกาสที่เม็ดเงินจากการค้าขายจะไหลเข้ามาที่นั่น และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเมืองชัยนาท ที่มีระยะห่างจากถนนสายเอเชียไกลถึง ๑๐ กิโลเมตร ทำให้ระยะแรกๆ เมืองชัยนาทเงียบลงราวกับป่าช้า แม้ในปัจจุบันจะมีถนนสายบางบัวทอง-สุพรรณบุรี-ชัยนาท ที่รับรถจากภาคตะวันตกขึ้นมาโดยไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ ตัดผ่านตัวเมืองชัยนาท เชื่อมกับถนนพหลโยธิน แต่ก็ยังทดแทนชีวิตชีวาและความคึกคักเหมือนในสมัยก่อนไม่ได้มากเท่าไหร่นัก ความ น่าเป็นห่วงตรงนี้เมื่อเทียบเคียงกับถนนมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราช ชุมชนหรือเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ตัวเมืองสระบุรี และตัวเมืองปากช่อง ที่คนจะหันไปใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์แทนถนนมิตรภาพ ลองคิดดูว่าคนที่ใช้เส้นทางนี้มีแต่คนที่มีกำลังซื้อทั้งนั้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากตัวเมืองตามรายทางถนนมิตรภาพถูกมองข้ามไป และ เมื่อรถแทบทุกคันจะต้องเบี่ยงไปใช้เส้นทางบายพาสเลี่ยงเมืองปากช่อง โดยถนนสายเก่าที่มีอยู่เดิมเป็นเพียงทางเข้าตัวอำเภอเท่านั้น ดูเหมือนว่าปากช่องในยามนี้ดูเงียบกว่ามาก แล้วหากมอเตอร์เวย์ที่อยู่ตรงถนนธนะรัชต์ลงมาได้แจ้งเกิด คิดดูว่าจะซ้ำเติมให้ปากช่องเป็นเพียงเมืองที่ถูกลืมกันขนาดไหน ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านมองเห็นตรงจุดนี้หรือเปล่า ประชาชนคนเสียภาษีที่มีสมองและไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จึงร่วมแรงร่วมใจเรียกร้องรถไฟรางคู่ อย่างกึกก้อง
http://www.koratdaily.com/1/2263.html
จากคุณ |
:
PICCANINNY'S DAD
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ม.ค. 53 22:54:34
|
|
|
|
 |