 |
ความคิดเห็นที่ 5 |
ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ รฟท. แต่ขอให้ข้อมูลครับ
เราต้องแยกค่าโดยสาร ออกจากค่าธรรมเนียมก่อนครับ เพราะค่าตั๋วโดยสารของรถไฟแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ "ค่าโดยสาร" และ "ค่าธรรมเนียม" ในขบวนรถบริการเชิงสังคม ได้แก่ขบวนรถธรรมดา ขบวนรถชานเมือง ขบวนรถท้องถิ่น และขบวนรถรวม ค่าตั๋วจะมีเพียงค่าโดยสารเท่านั้น แต่ในขบวนรถเชิงพาณิชย์ได้แก่ขบวนรถเร็ว ขบวนรถด่วน และขบวนรถด่วนพิเศษ นอกจากค่าโดยสารแล้ว ผู้โดยสารจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมขบวนรถ ค่าธรรมเนียมปรับอากาศ ค่าธรรมเนียมรถนอน จะจ่ายอย่างไร เท่าไหร่ กี่บาท ก็เป็นไปตามอัตรา ตามชนิดรถที่โดยสาร
ทีนี้มาพูดถึงค่าโดยสาร ราคาค่าโดยสารที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นอัตราที่ใช้มาร่วม 25 ปี (ค่าโดยสารชั้นสาม) โดยมีอัตราต่ำสุดอยู่ที่ 2 บาท (เทียบระยะทางคือ สามารถเดินทางจากหัวลำโพงไปบางซื่อ ระยะทาง 7 กิโลเมตร) ส่วนค่าโดยสารที่สูงที่สุดคือ ค่าโดยสารชั้น 1 จากกรุงเทพไปสุไหงโกลก ระยะทาง 1,159 กิโลเมตร ราคา 893 บาท ดังนั้นหากรถไฟจะปรับราคาค่าโดยสารขึ้น 10 % หากคำนวนคร่าวๆ ค่าโดยสารต่ำสุดก็จะเป็น 2.20 บาท (อาจปัดเศษเป็น 3 บาท) ส่วนค่าโดยสารสูงสุด ก็จะเป็น 982.30 บาท (อาจปัดเศษเป็น 983 บาท)
ผมเห็นว่าการปรับค่าโดยสาร จะไม่ส่งผลให้ค่าตั๋วโดยสารสูงขึ้นกว่าเดิมมากนัก เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตั๋วรถไฟราคาแพง คือค่าธรรมเนียม ดังนั้นผมเห็นว่า สิ่งที่ รฟท. ควรจะทำควบคู่ไปกับการปรับค่าโดยสาร คือการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม ให้สอดคล้องกับระยะทาง เนื่องจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อัตราและวิธีคิดค่าธรรมเนียม ทำให้การเดินทางในระยะทางใกล้ๆมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับการเดินทางในระยะทางไกล
แก้ไขข้อความ : ขอนุญาตแก้ไขข้อมูลจาก ราคาค่าโดยสารที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นอัตราที่ใช้มาร่วม 30 ปีแล้ว เป็น ราคาค่าโดยสารที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นอัตราที่ใช้มาร่วม 25 ปี (ค่าโดยสารชั้นสาม)
แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 53 17:12:56
จากคุณ |
:
สัญญาณหางปลา
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ก.ค. 53 16:46:28
|
|
|
|
 |