|
ความคิดเห็นที่ 26 |
|
ผมเองก้เจอมากับตัว ที่โฮจิมินห์ เคยเขียนไว้นานแล้ว เรื่องโดนแท็กซี่หลอก ลองอ่านดูนะครับ นี่แหละเวียดนาม มิน่าเราถึงได้รางวัล World Best City 2010 ใครจะว่าเราวุ่นวายทางการเมือง แต่ยังงัยเราก็ไม่โกงนักท่องเที่ยวเท่าเวียดนาม นะ ลองอ่านดูนะครับ
คืนสุดท้าย ไม่เล่าไม่ได้ ที่ทำให้เราจดจำโฮจิมินห์ไปอีกนาน
หลังจากเสร็จงานแล้วประมาณทุ่มกว่าๆ ก็กลับมาถึงโรงแรมเล็กๆของเราที่ชื่อNorfolk hotel ตั้งใจว่าจะเดินช็อปซะหน่อย เพราะคืนสุดท้ายวันรุ่งขึ้นก้ต้องบินกลับกรุง้ทพแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก
ว่าแล้วก็ฝันสลาย เพราะเจ้านายเดินมาถาม "Are u coming with us for a dinner?" "...I..uh..." "Your friends would go out for shopping,..so please join us" แน่ะ ตูยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็เป็นอันว่าต้องไปร่วมโต๊ะเสวย ทั้งๆที่จริงอยากปลีกตัวเหลือเกิน ส่วนเพื่อนๆคนอื่นก็หนีไปก่อนแล้ว เหลือแต่เราและเพื่อนอินโดนีเซียที่ก็ไม่ค่อยอยากจะไป แต่ก็จำยอม ตกลงเลยต้องเสียเวลาไปทานอาหารกะเขาสามชั่วโมงที่ร้านชื่อ Two fish ก็อาหารเวียดนามตามเคย รสชาติก็อร่อย เพียงแต่เมนูซ้ำๆวันก่อนที่ท่าน ที่ฮายิ่งกว่าคือ นักดนตรี ดีดพิณ ที่เล่นโชว์ที่ร้านวันแรกที่เราไปทาน มันเดินสาย มาเล่นทีร้านนี้ด้วย เป็นอันว่า จ๊ะเอ๋กัน เจอกันวันที่สอง เลยรู้สึกว่า ไม่น่ามาเล้ย...
อาหารก็ผ่านไป อิ่มแปล้ และรถก็มาส่งที่โรงแรม ด้วยการนั่งรถตู้ฝ่าดงจักรยานยนต์นับพัน จากนั้นทุกคนก็ร่ำลากันขึ้นไปนอน แต่เราก็ปลีกตัวไปเดินช็อปต่อจากนั้น
ก็เดินไปเรื่อยๆ เพราะเมืองมันตัดกันเป็นบล็อกๆ เหมือนฝรั่ง เดินไม่ยาก และคิดว่าคงหาทางกลับได้ไม่ยาก ร้านก็ดูเหมือนจะเลิกดึกนะ บรรยากาศคล้ายกทม.คือชั้นแรกเปิดขายของ กันทั่วไป เวลานั้นก็สามทุ่มครึ่งแล้ว บางร้านก็เริ่มปิด เราก็เดินไปเรื่อยๆ ๆๆ ว้าไม่มีอะไรน่าซื้อเลย มีแต่ของเหมือนๆกันชิ้นหนึ่งก็แพง ไม่รู้โดนต้มป่าว เลยตัดสินใจเดินอ้อมตึกไปอีกทาง ถ้าไม่มีอะไรก็จะกลับแล้ว
ตอนนั้นมันร้อนมาก และเหงื่อไหลโซกเลย ถ้าเดินกลับก็น่าจะซักสิบห้านาที ทังไม่ทันไร ก็มีแทกซี่เขียวขาวมาจอด เราก็เลย ตัดสินใจว่า เอา ลองขึ้นดู แต่ก่อนจะขึ้นนั้นก็ได้ถามว่ามิเตอร์นะ มันบอกมิเตอร์ เราก็โอเค เท่าไร มันบอกห้าหมื่นกว่าดอง (ประมาณร้อยกว่าบาท) สามโล ก็โอเคนะ ว่าแล้วก็ล้วงกระเป๋ากางเกง กูมีอยู่สองร้อยกว่า น่าจะพอน่า ว่าแล้วก็กระโดดขึ้น มันก็กดมิเตอร์ปี๊บ
เวลาผ่านไป...ประมาณเกือบสิบห้านาที เราก็ถามว่าทำไมมันไกลจัง เหมือนว่ามันไม่ใช่นะ มันเริ่มมืดๆ ไม่ใช่แถวโรงแรมนี่นา เราก็เริ่มใจไม่ดี เหงื่อเริ่มตก มันบอกว่า ยูไปมาสสาจมั้ย รวมในราคา เราก็โวยบอกว่า ไม่ได้จะไปอาบอบนวด โว้ย เริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะมันพูดอังกฤษไม่ได้เลย ก็เลยรวบรวมสติ งั้นลงตรงนี้แหละเดี๋ยวเรียกคันอื่น มันบอกต้องจ่ายก่อน เท่าไหร่ มันชี้ทีมิเตอร์ ว่าห้าแสนแปดหมื่นดอง(ประมาณหนึ่งพันสองร้อยบาท) ยังงัยก็ต้องจ่าย โอย...
พี่น้องเอ้ย. วินาทีนั้น ข้าพเจ้า เหงื่อตกเลยพยายามอธิบายว่า ให้กลับไปโรงแรมจะแลกเงินเพิ่มให้ตังค์ไม่พอ พร้อมทั้งชูเงินดอลให้ดู มันบอกดอลก็ได้ (ให้ได้งัย กูก็เสียเรทดิวะ) ยังงัยดี
พอดีมีมือถืออยู่ เลยโทรเข้ามือถือเพื่อนที่โรงแรม เพื่อนก็เลยให้โรงแรมช่วยคุยให้ เขาก็เลยบอกว่าเราเป็นคนบอกว่าให้ไปส่งอาบอบนวด อ้าว เล่นกูแล้วมั้ยล่ะ โรงแรมเลยบอกไม่รู้จะเชื่อใครดี เอางี้ ให้แท็กซี่มาส่งที่โรงแรม เดี๋ยวเคลียร์กัน เราก็เลยพยายามหว่านล้อม ให้เงินมันไปร้อยดอล โชคยังดีที่มันทอนมาห้าแสนดอง มารู้ทีหลังว่ามันแอ้มไปพันกว่าบาท ไอ้ สาดดดดด ..
นึกแล้วเจ็บใจไม่หาย พอล่อมันมาส่งใกล้โรงแรมแล้ว บอกให้เดินไปเอง เพราะคิดว่ามันกลัวโดนโรงแรมโทรเรียกตำรวจจับ ก็เลยได้แต่ปล่อยไป ทำอะไรไม่ได้ นาทีนั้นมันจะหารื่องแล้ว ประมาณว่า ไม่ลงใช่มั้ย ใช่มั้ย เหมือนจะคว้าอาวุธบางอย่างออกมา ขู่เรา เลยเอาชีวิตไว้ก่อนเถอะวะ ลงแท็กซี่ได้ก็เลยวิ่งไม่คิดชีวิต ในที่สุดก็มาถึงโรงแรม เจอเพื่อนสามคนยืนรออยู่ ที่เหวอกว่านั้นคือเราเองที่หน้าซีดเผือด หอบแฮ่กๆ
กลับมาได้ก็บุญแล้ว คิดอย่างนี้ ต่อไปจะไม่ไว้ใจแท็กซี่ที่ใหนอีกแล้ว เข็ดจริงๆ เสียเงินไม่เท่าไหร่ แต่เสียความรู้สึกนี่ดิ ลบไม่หาย มันแย่มาก เกินบรรยาย เตือนตัวเอง และคนรอบข้างทุกวัน จากเหตุการณ์นี้ทำให้เรารอบคอบกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
จากคุณ |
:
shigeki
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ส.ค. 53 21:52:27
|
|
|
|
|