Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เชียงใหม่ ไฮซี้สั้น บทความจาก คำ ผกา นักเขียนมติชนรายสัปดาห์ ติดต่อทีมงาน

คำ ผกา (มติชนรายสัปดาห์)

เชียงใหม่ ไฮซี้สั้น

อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ฉันออกจะเป็นคนเชียงใหม่ที่เห็นแก่ตัวและลึกๆ อาจแอบภูมิใจในความเป็น "เชียงใหม่"

ที่ชอบคิดว่าบ้านเมืองตัวเองนั้นมีวัฒนธรรมอัน "ร่ำรวย" แล้วไปแอบดูถูกคนบ้านอื่นเมืองอื่นว่า เร่อร่าจัง

ที่ว่าเห็นแก่ตัวคือ ฉันไม่ชอบเชียงใหม่ในฤดูกาลท่องเที่ยว แม้ใครต่อใครจะบอกว่า เอ๊ะ คิดอย่างนั้นได้ไง อย่าลืมสิว่า

รายได้หลักของพวกเราก็มาจากท่องเที่ยวนี้เอง ฉันก็แอบเถียงอีกนั่นแหละว่า จริงเหรอ?

รายได้หลักของเชียงใหม่ไม่ได้มาจาก การปลูกหอม กระเทียม ลำไย ข้าว การเพาะเห็ด หรือปลูกมันฝรั่งหรอกหรือ

แต่ถึงแม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของเราจริงๆ มันก็น่าเศร้าว่า ทำไมชีวิตของเราต้องไปขึ้นอยู่กับ "เสน่หา"

จากคนอื่น

นั่นแปลว่า หากเราไปมุ่งหวังพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวจนลืมภาคการผลิตอื่นๆ ต่อแต่นี้ไป

เราคนเชียงใหม่ และเมืองเชียงใหม่จะต้องยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวรักเรา อยากมาหาเรา อยากเอาเงินมาให้เรา

นักท่องเที่ยวชอบปล่อยโคม เราก็จัดให้ไม่อั้น ปล่อยกันเข้าไป วันเกิดก็ปล่อย วันตายก็ปล่อย อยากโชคดีก็ปล่อย

อยากลอยเคราะห์ร้ายทิ้งก็ปล่อย ต้อนรับเพื่อนมาหาก็ปล่อย เพื่อนกลับไปก่อนก็ปล่อย โรงแรมคิดอะไรไม่ออก

กลางคืนไม่รู้จะให้นักท่องเที่ยวทำอะไรก็เอาโคมมาให้จุดปล่อย

เป็นความโรแมนติคราคาถูก (สามลูกร้อย) ตื่นตาตื่นใจกันง่ายๆ ไม่ต้องพยายาม

แต่โคมกระดาษเหล่านั้นจะกลายเป็นขยะไปตกหลังบ้านใครกูไม่เกี่ยว นักท่องเที่ยวแค่เอ็นจอย แสงไฟวิบวับบนฟ้ากลางคืน

ได้ถ่ายรูปไปอวดเพื่อนก็จบ

สองอาทิตย์ก่อนฉันมีธุระต้องไปปาย ก่อนจะถึงตัวอำเภอปาย มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่ ร้านใหญ่โต

หน้า ตาเหมือนบ้านในชนบทของอิตาลี หรือฝรั่งเศสก็แล้วแต่จะจินตนาการ แต่รอบๆ คือที่ดินรกร้างเสื่อมโทรม และบรรยากาศชนบทแบบไทย ไท้ย ไทย อันไม่มีอะไรคล้ายกับกระท่อมแบบฝรั่งสองหลังนั้นเลยสักนิด (เป็นกระท่อมที่มีดอกไม้เบ่งบานอยู่บนหลังคาเสียด้วย)

ทว่า นักท่องเที่ยวจากเมืองไหนบ้างไม่ทราบ ต่างก็พากันเฮโลสาระพากันถ่ายรูปโพสท่ากับความเป็นยุโรป

สาย หมอก อากาศหนาว-ฉันก็จินตนาการต่อไปอีกว่า เมื่อกลับบ้านคนเหล่านี้ก็คงเอารูปมาอวดกันแล้วชี้ชวนคุยว่า "เหมือนเมืองนอกเลยนะเธอ"-มีคนไปทำมือเป็นรูปตัวซี ตัวโอ ตัวเอฟ อันเป็นตัวหนังสืออันเบ้อเริ่มเทิ่มที่หน้าร้านเขียนคำว่า COFFEE

แล้ว ฉันก็ได้โอกาสหยามเหยียดคนเหล่านี้อีกครั้งว่า เฮ้อ...นักท่องเที่ยวที่เชียงใหม่อาจจะหนักกว่าที่ปายเสียอีก เชียงใหม่มีร้านอาหาร ร้านชา ร้านกาแฟ ที่ดูเผินๆ ทำให้เราเคลิ้มไปได้ว่ากำลังอยู่ในตุรกี ในทัชมาฮาล ในตูริน ทัสคานี่ กรีซ พม่า เนปาล ภูฏาน สิบสองปันนา เชียงตุง ฯลฯ

และนักท่องเที่ยวคนไทย (ฝรั่งคงไม่อยากมาถ่ายรูปกับร้านที่มีบรรยากาศเหมือนบ้านตัวเอง)

ก็พากันแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศ exotic แบบนี้ด้วยกันประโคมเสื้อผ้าที่เป็นสปริงและ

วินเทอร์คอลเล็กชั่นกันเต็มรูป แบบ

ฉันจึงได้พบเห็นทั้งสาวสวยกับหมวกใบเก๋ เสื้อสเว็ตเตอร์ เอาจั๊มอยู่เหนือสะดือ เผยให้เห็นเอวคอด

กับกระโปรงผ้าวูลสั้นเหนือเข่ากับรองเท้าบู๊ตยาวถึงหัวเข่าอีก

อ้าว สาวอีกคนมาในมาดเก๋ กับทีเชิ้ตแบบร็อกเกอร์สาวในวันสบายๆ กับกางเกงยีนส์เข้ารูป

และรองเท้าบู๊ตยาวทับขากางเกงสูงขึ้นมาเหนือเข่า เหมือนจะไปขี่ม้า

ว้าว...เพื่อนฉันแอบกระซิบว่า "บ้านเราตอนกลางวันร้อนจะตายห่า ใส่เกือกบู๊ตขนาดนั้น

ตีนมันจะเป็นหอไหมเพื่อน?" ภาษาเชียงใหม่เมืองวัฒนธรรม คำว่า "ตีนเป็นหอ" แปลว่า ฮ่องกงฟุตเจ้า

แล้ว จะ ไม่ให้ฉันและเพื่อนคนเชียงใหม่อีกหลายคนนั่งขำกับพฤติกรรมของนัก ท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับผ้าคลุมไหล่ พาชมีน่า หมวก แว่นกันแดดอันโตที่ดูไกลนึกว่ามีคนโคลนนิ่ง ปารีส ฮิลตัน มาไว้ที่เชียงใหม่สักพันคน

เราขำที่เขาถ่ายรูปตัวเองกับโอ่ง ถ่ายตัวเองกับร้านกาแฟวาวี ถ่ายตัวเองจวักตะบวย ถ่ายตัวเองกับจักรยาน

ถ่ายตัวเองกับดอกหญ้าที่พลิ้วในสายลมริมแม่น้ำปิง (ร้านกาแฟแถวนั้นรักษาไว้เพราะรู้ว่าต้องมีคนอยากถ่ายรูป)

ช่วย ไม่ได้เลย ฉันเป็นคนนิสัยไม่ดี ชอบดูถูกคนอื่น ชอบไปขำที่เขาอยากมีรูปถ่ายแบบใกล้เคียงกับที่เห็นในนิตยสาร ในหนัง ในโปสการ์ด ไปขำ ที่เห็นพวกเขาใช้ความพยายามไปกับเรื่องเหล่านี้สูงมาก และขำที่พวกเขาช่างตื่นเต้นกับชีวิตประจำวันของพวกเรา

ขำที่ เห้นพวก เขาโดนพ่อค้า แม่ค้า โดนนักออกแบบตกแต่งที่อ่านรหัสทางวัฒนธรรมได้แม่นยำหลอกขายสินค้าทาง วัฒนธรรมกับคนเหล่านี้ได้จนร่ำรวย

ขำคนที่ใส่เสื้อสกรีนคำว่า "หลับๆ อ๊วกๆ ถึงแม่ฮ่องสอน", "ทางไปปาย", "ผู้พิชิตสามร้อยโค้ง"-

ไม่ รู้คนอื่นเขาจะขำเหมือนฉันหรือเปล่า และฉันก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมถึงขำ เพราะดูหน้าตาคนที่ใส่เสื้อสกุลนี้ พวกเขาออกจะจริงจังและภูมิใจจริง

นักท่องเที่ยวทั้งหลายจะได้ สังเกตหรือไม่ว่า บนถนนหลายสายในเชียงใหม่ตอนนี้เต็มไปด้วยป้ายผ้าที่เขียนว่า "เราคัดค้านการขยายถนน" มีทั้งถนนที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปกับร้านค้าในบรรยากาศย้อนยุค คือ

ถนน หลังวัดเกตุ หรือถนนที่นักท่องเที่ยวอาจไม่เคยเห็น เช่น ถนนสันป่าข่อย ถนนแก้วนวรัตน์ อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปรินส์รอแยลวิทยาลัย โรงเรียนดาราวิทยาลับ โรงพยาบาลแมคคอร์มิก มหาวิทยาลัยพายัพ

อัน ล้วนแต่เป็นสถาบันที่อยู่กับเชียงใหม่มาเกินร้อยปี และมีอาคารเก่าแก่อายุนับร้อยปี ไม่นับต้นไม้ใหญ่ที่พำนักอยู่ในละแวกนี้มาหลายร้อยปีเช่นกัน

ในขณะ ที่คนทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวในเชียงใหม่ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับ การตักตวงกำไรจากฤดูที่ถือว่าเป็นไฮซีซั่น จนไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องอื่นๆ ส่วนนักท่องเที่ยวคงแค่อ่านข้อความจากป้ายแล้วคิดว่า อันนั้นเป็นปัญหาของคนเชียงใหม่ ไม่เกี่ยวกับเรา

เพราะเชียงใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวคงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าฉากฉากหนึ่งในชีวิต มากิน มาถ่ายรูป

มา สัมผัสอากาศหนาว มากินไส้อั่ว จิ๊นปิ้ง น้ำพริกหนุ่ม ที่ร้านเพ็ญ มากินข้าวซอยลำดวน มาดูซากพืชสวนโลก มาร้านกาแฟวาวี มาเดินเก๋ที่ถนนนิมนานเหมินทร์แล้วจะเอาอะไรอีก

ชะตากรรมของเมืองที่สถาปนาตนเองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวและหวังจะยังชีพด้วย รายได้จากอุตสาหกรรม

การท่องเที่ยวจนลืมภาคการผลิตที่เป็นชีวิตจริง ลืมไปว่าคนเชียงใหม่ไม่ได้มีแต่เจ้าของโรงแรม เกสต์เฮาส์

ร้านอาหาร ร้านนวด ถนนคนเดิน ฯลฯ

แต่ ยังมีชาวสวนลำไย ชาวสวนหอม สวนกระเทียม มีครู มีพยาบาล มีนักเรียน มีหมอ มีพ่อค้าแม่ค้าที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพียงนิดเดียว จึงเป็นชะตากรรมที่ง่อนแง่น

เพราะเราชอบไปคิดว่าเราจะพัฒนา เมืองอย่างไรให้น่าเที่ยว แต่ไม่ค่อยคิดว่าจะพัฒนาเมืองอย่างไรให้น่าอยู่สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยใน เมืองนี้ปีละ 365 วัน ไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่มาปีละไม่กี่วัน

ใคร เป็นคนคิดเรื่องโครงการขยายถนนในเชียงใหม่ให้กว้างขวางกว่าที่เป็น อยู่ฉันไม่รู้ แต่ที่อยากรู้คือเอาอะไรคิด เพราะใครๆ ก็รู้ว่าปัญหาของเชียงใหม่ไม่ใช่การมีถนนที่คับแคบ แต่คือการขาดระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง (ตั้งแต่เริ่มอาชีพนักเขียนมา 6 ปี ฉันเขียนเรื่องนี้เฉลี่ยปีละ 10 ครั้งเป็นอย่างน้อย)

รถเมล์ที่บอกว่าทำออกมาแล้ว ไม่ประสบความ สำเร็จนั้นต้องมานั่งคิดกันให้ จริงจังว่าทำไมจึงไม่ประสบความสำเร็จ ฉันเองอยู่เชียงใหม่ตลอดเวลายังมีโอกาสเห็นรถเมล์วิ่งเป็นบุญตาไม่กี่หน ทั้งไม่มีการประชาสัมสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องจริงจังว่ารถเมล์มีกี่สาย วิ่งผ่านที่ไหนบ้าง ป้ายรถเมล์อยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ วิ่งวันละกี่เที่ยวก็ไม่รู้ จะมาตอนกี่โมงบ้างก็ไม่รู้

ถ้าจริงจัง จริงใจกับการทำรถเมล์เพื่อมวลชนจริงๆ รถเมล์ต้องแข่งกับบริการรถสองแถวที่เป็นรถแดงให้ได้

และ ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ารถเมล์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีไม่แพ้สองแถว (ซึ่งไม่น่าจะยาก เพราะรู้กันอยู่ว่าระบบรถแดงเป็นระบบที่ห่วยสุดๆ)นอกจากรถเมล์เชียงใหม่ต้อง คิดถึงรถรางที่วิ่งในเมือง คิดถึงรถโดยสารที่นำคนออกมาจากอำเภอรอบนอกเข้าเมืองที่ไม่ใช่ระบบรถคิวเพียง อย่างเดียวอย่างทุกวันนี้ และต้องเปิดโอกาสให้แท็กซี่มิเตอร์ทำงานด้วยระบบมิเตอร์จริงๆ ไม่ใช่ต้องเรียกจากศูนย์ในราคาเหมาจ่ายเพียงอย่างเดียว

ในแต่ละวัน มีคนจากอำเภอต่างๆ รอบเมืองเชียงใหม่เข้ามาทำงาน มาเรียนหนังสือในตัวเมืองวันละกี่หมื่น กี่แสนคน แต่ไม่มีระบบการขนส่งมวลชนที่จะลำเลียงคนเรานี้ไปและกลับอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลก็คือ ช่วงเช้าและเย็น รถจึงติดอย่างวินาศสันตะโร เพราะเกือบทุกคนที่ไปทำงานต้องขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์

การ ขยายถนนก็เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้คนซื้อรถมาขับมากขึ้น แล้วจะมานั่งพูดเรื่องรถติด โลกร้อน ปัญหามลภาวะ การประหยัดพลังงานไปทำไม ทำกระเป๋าผ้าช่วยโลกร้อนอีกล้านใบไปจ่ายตลาดก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

อย่าง ไรก็ตาม ฉันไม่เชื่อว่าคนที่มีอำนาจในการออกแบบนโยบายการพัฒนาเมืองจะไม่รู้เรื่อง ง่ายๆ พื้นๆ ตื้นๆ แบบนี้ เพราะในนโยบายที่ใช้หาเสียงของนายกเทศมนตรีทุกคนมีแผนของการทำระบบขนส่งมวล ชนกันทั้งนั้น แต่มันก็เป็นแค่แผนสำหรับใช้หาเสียงอยู่ตลอดกาล พอเอาเข้าจริงเมื่อเขาชักจะเห็นเมืองแออัดไปด้วยรถเขาก็เข้าหาวิธีการจัดการ ปัญหาแบบเดิมๆ

นั่นคือ ขยายถนนให้กว้างขึ้น

เพื่อนของฉันบอกว่า เชียงใหม่นี่เหมือนแอลเอ เพราะไม่มีระบบขนส่งมวลชน และหากอยู่เชียงใหม่แล้ว

ไม่ขับรถละก็มันคือการเป็นอัมพาต ไม่มีแขน ไม่มีขาเราดีๆ นี่เอง

ฉันก็เลยบอกเพื่อนว่า เหมือนแอลเอไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่า รถยนต์ที่บ้านเราไม่ได้ราคาถูกเหมือนอเมริกา

ราคาน้ำมันบ้านเราก็ไม่ถูกอย่างอเมริกา ที่สำคัญ เราผลิตเองไม่ได้ทั้งรถยนต์และน้ำมัน เพราะฉะนั้น

อย่างมาอ้างหน่อยเลยว่า เมืองอย่างแอลเอก็ไม่มีระบบขนส่งมวลชนเช่นกัน

ที่สำคัญ สเกลของเมืองนั้นเทียบกันไม่ได้อย่างสินเชิง

ตัว เมืองเชียงใหม่นั้นเล็กเท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น แถมยังเต็มไปด้วยชุมชนเก่าแก่ ตรอบ ซอก ซอย ที่มีวัดร้าง โบราณสถานอยู่ดกดื่น อันไม่เหมาะกับการพัฒนาเมืองในแนวทางที่จะขยาย หรือเอาแต่สร้างถนนแต่เพียงอย่างเดียว

ฉันเป็นคนนิสัยไม่ดี หมั่นไส้ ดูแคลนนักท่องเที่ยวเพราะอิจฉาที่พวกเขามีความสุขในขณะที่พลเมืองเชียงใหม่ อย่างเราอยู่อย่างไร้สุข เรากังวลใจกับการขยายถนน เราคับข้องใจที่เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศไม่มีแท็กซี่มิเตอร์วิ่ง ไม่มีรถโดยสารประจำทางที่มีประสิทธิภาพ

เราเห็นสองแถว ตุ๊กตุ๊ก แย่งลูกค้ากันตามสถานีรถไฟ รถทัวร์แล้วได้แต่เวทนา

เราสังเวชที่เทศบาลทำเป็นขีดเลนพร้อมไฟวิบๆ บนถนนแล้วบอกว่านี่เป็นเลนจักรยาน เพียงเพื่อจะได้ดูดีว่า

อ้อ เทศบาลของฉันก็ใส่ใจกับการใช้จักรยานและอำนวยความสะดวกให้แล้วนะจ๊ะ

แต่ ไม่เคยคิดเลยว่า โดยโครงสร้างการจราจรอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หากใครบอกว่าจะออกไปปั่นจักรยานในเมือง ฉันคิดว่ามันใกล้เคียงกับการบอกว่า ฉันกำลังจะออกไปฆ่าตัวตาย

เราสังเวชตัวเองที่อยู่ท่ามกลางฉากสวยๆ ของเมือง คูเมืองน้ำใสไหลเย็น ต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม ร้านช็อกโกแลต ดงดอกหญ้าริมแม่น้ำปิง แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของของเรา

เพราะมันไม่ใช่ร้านที่เราเข้าไปใช้บริการ ไม่ใช่อาหารที่เรากิน ไม่ใช่เครื่องดื่มที่เราดื่ม ไม่ใช่พื้นที่ที่เราคุ้นเคย

เราไม่ชินกับบริการของพนักงานที่พินอบพิเทาเสียจนเหมือนกับการประจบประแจง หรือความสุภาพที่มากเสียจนสัมผัส

ได้ถึงความเสแสร้ง

และเราก็คันที่เท้ายิบๆ เวลาเห็นคนใส่รองเท้าบู๊ตราวกับว่าตอนนี้อุณหภูมิที่เชียงใหม่ลดลงเหลือเพียง 8 องศาเซลเซียส

เมือง เชียงใหม่คงจะต้องสนใจเรื่อง การท่องเที่ยวและการหากินกับการท่องเที่ยวให้น้อยลง และหันมาใส่ใจเมืองเชียงใหม่ในฐานะที่เป็นเมืองอันมีพลเมืองเชียงใหม่อาศัย กิน อยู่ หลับนอน และทำมาหากินอยู่ที่นี่จริงๆ

เมืองเชียงใหม่ที่ มีชาวสวนลำไย ชาวไร่หอม กระเทียม คนเลี้ยงไก่ เกษตรกร คนรับจ้าง พ่อค้า แม่ค้า นักเรียน ครู หมอ พยาบาล ฯลฯ และเมืองเชียงใหม่ควรจะเป็นของคนเหล่านี้ ไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่มาแวะถ่ายรูปแล้วจากไป ไม่ว่าพวกเขาจะเอาเงินสักเท่าไหร่มาทิ้งไว้ให้ก็ตาม

เพราะแม้แต่ โสเภณียังต้องดูแลร่างกายของตนเองเพื่อให้ทำมาหากินไปได้ นานๆ ฉันหวังว่าเมืองเชียงใหม่ก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้มากกว่าการตั้งหน้าตั้ง ตากอบโกยเงินทองในเวลาอันสั้น

จบ...

ที่มา : http://koikoko.มัลติพลาย.com/journal/item/10/10

จากคุณ : รักสาวคนนั้น..คนที่ใช้Nokia C3
เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 17:56:38 A:118.174.90.85 X: TicketID:267312




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com