 |
ช่วยตรวจโปรแกรมพม่าหน่อยนะคะ
|
 |
มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมั๊ยคะ เพราะจะต้องรีบจองตั๋ว เครื่องบินภายในประเทศ กับที่พักค่ะ
จะไปกลางเดือนหน้าแล้วโปรแกรมเพิ่งปั่นทำเสร็จเมื่อคืนเองอ่ะ รบกวนเซียนพม่าช่วยดูหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ต้องขอขอบคุณเวปชาวบลูข้อมูลบางส่วนเช่นร้านอาหารภาพประกอบมาจากชาวบลูนี่แหล่ะค่ะ และเวปอื่นๆอีกหน่อย
โปรแกรมท่องเที่ยวพม่า 5 วัน 4 คืน
วันแรก : คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็คอินกระเป๋าได้ก่อนเครื่องออก 2 ชม. เจอกันสัก 05.45 น. แล้วกันที่ เคาเตอร์แอร์เอเชีย ไฟล์ท FD 3770 เครื่องออกเวลา 07.20 ดินทางถึงย่างกุ้ง เวลา 08.00 น. เวลาประเทศพม่าจะช้ากว่าไทย 30 นาที เดินหา Taxi ไปแวะกินข้าวเช้าควบมื้อเที่ยงกันก่อนที่ร้าน “ ยะไข่ “มี อยู่ 4 สาขาเราจะไปสาขาที่อยู่ใกล้สนามบินกัน
หลังจากอิ่มแล้วเราก็ขึ้น Taxi คันเดิมเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง KYALKHTIYO ก็คือเมืองไจ๊ทิโยว ซึ่งก็คือพระธาตุอินแขวนนั่นเอง อยู่ห่างย่างกุ้ง 180 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. ซึ่งรถ Taxi จะไปส่งได้ แค่ที่KINPUN BASE CAMP ( เชิงเขาไจ๊ทิโย )เท่านั้น เพราะจุดนี้เป็นจุดที่ต้องต่อรถ 6 ล้อขึ้นไปต่อไปยัง ภูเขาไจ๊โถ่ โดยระหว่างทางที่มายัง KINPUN BASE CAMP นี้นั้นระหว่างทางจะผ่านแม่น้ำสะโดง ในอดีต สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงใช้ “ พระแสงปืนต้น “ ยิงข้ามแม่น้ำฆ่าแม่ทัพหน้าของพม่าเสียชีวิตบนคอช้าง ทำให้ทหารพม่าเสียขวัญถอยทัพกลับไปยังเมืองหงสาวดี การนั่งรถ 6 ล้อนี้เราต้องไปซื้อตั๋วจองที่ซุ้มขายตั๋วก่อน ใช้เวลานั่งรถจาก base camp นี้นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 45 นาที โดยระหว่างทางจะได้ชมบรรยากาศป่าเขา น้ำตกตลอดสองฝั่งข้างทาง พร้อมสัมผัสอากาศซึ่งจะเย็นขึ้นเรื่อยๆ และหยุดเปลี่ยนรถเป็นการเดิน หรือ จะนั่งเสลี่ยงแทนก็แล้วแต่กำลังของแต่ละบุคคล ระยะเวลาในการนั่งเสลี่ยงประมาณ 45 นาที ถ้าเดินเองก้ประมาณ 1 ชม. (ค่าเสลี่ยงไป-กลับ ไม่น่าจะเกิน 800 บาท ไม่รวมทิปนะ) จะเข้าที่พักเก็บสัมภาระก่อนหรือไงดูกันอีกที ว่าเราจะได้ที่พักที่ไหน พระธาตุเปิดตลอดทั้งคืน จะขึ้นไป สวดมนต์หรือนั่งสมาธิหลังอาหรเย็น ก็แล้วแต่อัธยาศัย แต่ให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวและที่ลองนั่งไปด้วย
วันที่สอง : ตื่นแต่เช้าใครไคร่ ไปไหว้พระธาตุอีกรอบก็ได้แล้วกลับมากินอาหารเช้าที่รร. และเตรียมตัวลงเขา เพื่อเดินทาง ต่อไปยังเมือง BAGO ก็คือเมืองหงสาวดีนั่นเอง ใช้เวลาเดินทางจากพระธาตุอินแขวน ( base camp ) ประมาณ 2 ชม. เพื่อเดินต่อไปยัง” พระราชวังบุเรงนอง “ที่ทำการสร้างขึ้นใหม่ แล้วไปต่อที่ “ เจดีย์ชเวมอดร์ “ SHWEMAWDAW PAGODA ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า รูปทรงคล้ายเจดีย์ชเวดากอง และเดิน ทางต่อไปยัง “ เจดีย์ชเวตาเลียว “เป็นที่ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ หน้าสวยมากจนเหมือนผู้หญิง เป็นพระนอนที่งามที่สุดในประเทศ เป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่าทั่วประเทศ เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง “ เจดีย์ไจ๊ปุ่น “ ที่นี่จะมีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ ประกอบด้วยองค์สมเด็จพระสมณ โคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ( ทิศเหนือ ) กับพระพุทธเจ้าในอดีตอีก 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ( ทิศใต้) พระพุทธเจ้ากุสันโธ ( ทิศตะวันออก )และพระพุทธเจ้า กัสสปะ ( ทิศตะวันตก )สร้างโดยพี่น้อง 4 สาวที่ถวายตน ให้กับพระพุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานตนไม่ข้องแวะบุรุษเพศ หลังจากนัน้นเดินทาง ไปสักการะ “เจ้าทัตจี “ CHAUK HTAT KYI PAYA หรือพระนอนตาหวาน เป็นพระที่มีควาสวยงาม ที่สุด มีขนตางดงาม ที่พระบาทมีภาพมงคล 108 ประการและพระบาทซ้อนกันแตกต่างจากศิลปะไทย หลังจากนั้นเดินทางกลับถึงเมืองย่างกุ้ง คงจะถึงเย็นแวะเข้าที่พักเก็บของ แล้วรีบออกมาไปยังเจดีย์ชเวดากองต่อ คืนนี้กินข้าวที่ “ เรือนการะเวก “ เป็นอาหารไทย พร้อมโชว์พม่าหลายชุด อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ย์ คนละ 15$ อยู่แถวสวนหยิยหยาง เริ่มกินได้ตั้งแต่ 6 โมงเย็น โชว์เริ่ม 1 ทุ่ม หรือถ้าไม่อยากชมโชว์อยากกินอาหาร อร่อยๆอลังการก็ ร้าน WESTERN PARK RESTAURANT ไปทานสาขา RUBY เพราะกุ๊กเป็น คนไทยอาหารจะถูกปากคนไทยเรา ร้านนี้ทัวร์ไทยลงเลยแหล่ะ อาหารแนะนำ คือ สลัดกุ้งมังกร,เป็ดปักกิ่ง อาหาร seafood หรือจะกินเป็นอาหารจีน ก็ร้านนี้ “ GOLDEN DUCK “เค้าว่าร้านนี้ อร่อยกว่าร้าน “ SINGAPORE KITCHEN “ที่ตั้งร้าน Strand Rd. ตัดกับ Phoone Gyee St อีก ซึ่งเป็นร้านที่ Lonely Planet แนะนำ แต่ถ้าดึกๆยังหิวอีก ก็มากินที่ร้านอาหารไทยร้านนี้ เปิดตลอด 24 ชม.อยู่ข้างๆๆโรงแรม park royal ร้าน “ 365 “ เค้าว่ากันว่าอาหารไทยทำอร่อยกว่าเมืองไทยอีก
หรือถ้ากินข้าวไม่อิ่มอยากกินอะไรหวานๆเย็นๆต่อก็ร้านนี้เลย ร้านขนมเค้ก “ อินวา “ วัยรุ่นแยอะมากคะ ไอติม เริ่มต้นก้อนล่ะ 400 จ๊าด ติดแอร์ อิ่มแล้วกลับรร.นอน พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปขึ้นเครื่องต่อไปยังพุกามนะจ๊ะ อ้อลืมไป อาหารจีนที่พม่านี่ถูกกว่ากินในไทย 50%นะจ๊ะ
วันที่สาม : ตื่นแต่เช้าเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทางไปแอร์พอร์ท เพื่อขึ้นเครื่องสายการบิน “ ย่างกุ้งแอร์เวย์ “ เที่ยวบิน YH 909 เวลา 06.015– 07.40. ( 91$ )เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง “มัณฑะเลย์ “ MANDALAY ออกจากสนามบินเราก็หา Taxi เหมาเที่ยวกันทั้งวัน ดินทางไปเที่ยวที่แรก คือ เมือง “อมรปุระ” AMRAPURA ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองนี้เป็นราชธานีแค่เพียง 76 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะย้ายเมืองมาอยู่มัณฑะเลย์ ในปี 2400 จากนั้นเราจะไปต่อกันที่ “ วัดมหากันดายงค์ “ MAHA GANDAYON MONNASTERY ที่นี่เป็นโรงเรียนสอนพระปริยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในพม่า มีสามเณรและพระ จำพรรษามากกว่า 1,000 รูป จากนั้น เราก็ต่อกันที่ “ สะพานไม้อูเบ็ง “ U-BEN เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก เสาของสะพานใช้ไม้สักถึง 1,208 ต้น ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี ทอดข้ามทะเลสาบทองตามัน ( TOUNGTHAMON) ไปสู่ “ วัดจอกตอจี “ ซึ่งที่นี่มีเจดีย์ที่สร้างตามแบบวัดอนันดาแห่งพุกาม จากนั้นไปชมหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนังสือที่เล่มใหญ่ที่สุดในโลก ที่ “ วัดกุโสดอร์ ” UTHODAW PAGODA “ หนังสือเล่มนี้บรรจุ พระไตรปิฎกไว้ 729 แผ่นจารึกไว้บนหิน แล้วสร้างเจดีย์ครอบไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา เสร็จจากที่นี่หาข้าว กลางวันกัน ที่ร้านนี้ ตามไกด์บุ๊คแนะนำ ชื่อร้าน “ Lashio Lay restaurant“ ถนน 23rd ระหว่าง 83rd-84th ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านที่ดังที่สุดในเมือง เป็นแหล่งรวมของพวกแบ็กแพค ลักษณะร้านคล้ายกับ ร้านข้าวแกงบ้านเรา อาหารสไตล์ฉานคล้ายอาหารจีน ราคาต่อจานประมาณ 1500-2500 จ๊าต ร้านอาหารในมัณฑะเลย์จะมีแถมซุปและเครื่องเคียงเป็นผักกับน้ำพริกให้ด้วย หลังจากอิ่มมื้อกลางวันแล้ว เราก็จะเดินทางต่อไปยัง “ พระราชวังมัณฑะเลย์ “ รอยอดีตสุดท้าย ก่อนที่พม่าจะเสียเมือง ชม” วิหารชเวนันดอร์ “ SHWENANDAW MONASTERY วิหารนี้สร้าง ด้วยไม้สักทองทั้งหลังและเคยเป็นที่ประทับและนั่งสมาธิของ พระเจ้ามินดง พระราชบิดาของพระเจ้าสีป้อ จนสิ้นพระชนม์ชีพที่วิหารแห่งนี้ จากนั้นเราก็จะเดินทางไปสู่ MANDALAY HILL เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่ สวยที่สุดของเมือง สามารถมองเห็นเมืองมัณฑะเลย์ได้เกือบทั้งเมือง เสร็จแล้วกินข้าวเย็นที่ Pyi Taw Win ถนน 81th ระหว่างถนน 24th-25th เป็นร้านคล้ายกับข้าวต้มรอบดึกบ้านเรา มีทั้งอาหารตามสั่ง และที่เสร็จแล้วอยู่ในถาด อาหารของที่นี่ต้องเน้นว่าไม่ใส่ MSG ซึ่งก็คือ “ ผงชูรส “ นั่นเอง ร้านนี้คน ค่อนข้างเยอะ เจ้าของร้านเป็นไทใหญ่ กินเสร็จกลับที่พักนอนจ้า
วันที่สี่ : วันนี้เราจะต้องตื่นโคตะระเช้ากว่าทุกๆวัน เวลา 04.30 น. จะมีพิธีล้างหน้าพระพุทธรูป โดยการเช็ดหน้าและทา แป้งนาคาที่ “ วัดพระมหามัยมุนี “ MAHAR MUNI BUDDHA IMAGE เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 1 ใน 5 แห่งของพม่า ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ถือเป็นต้นแบบพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ทรงเครื่องกษัตริย์ที่ ได้รับการขนานนามว่า “ พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม “ ที่พระเจ้ากรุงยะไข่ทรงหล่อขึ้นที่เมืองธรรมวดี เมื่อปีพศ.689 พระพุทธรูปองค์นี้ หุ้มด้วยทองคำเปลวหนา 2 นิ้ว ทรงเครื่องประดับทองปางมารวิชัย ในปีพศ.2327 พระเจ้าปดุงได้สร้างวัดมหามุนี หรือวัดยะไข่ ( วัดอาระกัน หรือวัดพยาจี ) เพื่อประดิษฐาน พระมหามัยมุนี และในปี พศ.2422 สมัยพระเจ้าสีปอ ก่อนจะเสียพม่าให้กับอังกฤษ ได้เกิดไฟไหม้วัดทองคำ จึงทำให้ทองคำเปลวที่ปิดพระละลายเก็บเนื้อทองได้น้ำหนักถึง 700 บาท ต่อมาในปีพศ.2426 ชาวพม่าได้ เรี่ยไรเงินเพื่อบูรณะวัดสร้างกันขึ้นมาใหม่ มีขนาดใหญ่กว่าเดิมโดยสายการออกแบบของชาวอิตาลี จึงนับได้ว่า เป็นวัดที่ใหม่ที่สุด แต่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สุดในพม่า โดยรอบๆระเบียงเจดีย์ยังมีโบราณวัตถุของ ไทยที่พม่าได้นำไปจากกรุงสรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1หลังจากเสร็จจากที่นี่ก็กลับไปเก็บข้าวของที่รร. และถ้าทันก็กินอาหารเช้าที่รร.เลย จากนั้นออกเดินทางสู่สนามบินพุกามเพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองพุกาม โดย สายการบินเดิม เที่ยวบิน YH 910 เวลา 07.55 – 08.25 น.( 36$ ) เมืองพุกาม ( BAGAN )นี้ได้ชื่อ ว่าเป็น “ ดินแดนทะเลเจดีย์ 4,000 องค์ “ ที่มีอายุกว่า 200 ปี สถานที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันคือ “ เจดีย์ชเวซิกอง “SHWEZIGON PAGODA เป็นเจดีย์ที่ฉลองชัยชนะที่พม่ามีเหนือมอญ และเป็น เจดีย์องค์แรกของพุกาม สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกามและเชื่อกันว่าภายใน บรรจุ“ พระทันตธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า “ อยู่ข้างใน วัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดพุทธศิป์สกุลช่างพุกาม สร้างโดย พระเจ้าจันสิทธถา วีรกษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรพุกามจากนั้นไปต่อยัง “วัดอนันดา “ANANDA TEMPLE เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่สุดในพุกาม มีรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุกยื่นออกไปทั้ง 4 ด้าน ซึ่งต่อมา เจดีย์ของที่นี่ได้เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมพม่าในยุคต้นของพุกาม และสิ่งซึ่งหน้าทึ่งของวิหารแห่งนี้ คือ ช่างที่ทำการก่อสร้างวิหารได้ออกแบบให้แสงส่องสว่างเข้าไปในวิหาร เฉพาะให้ตรงกับองค์พระประธาน สวยงามมากหลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยัง “ วัดมนุหา “ MANUHA TEMPLE สร้างโดยพระเจ้ามนู กษัตริย์แห่งมอญ ซึ่งแสดงออกถึงความคับแค้นใจที่ถูกจับมาขังเป็นเฉลย โดยการสร้าพระพุทธรูปนั่งขนาด 3 องค์ และพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่อีก 1 องค์ ในศาลาสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ชมวัดนี้เสร็จกินข้างกลางวันจ้า หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็เดินทางต่อไปยัง “ วัดกุบยางกี “ GUBYAUKKYI TEMPLE สร้างโดย พระโอรสของพระเจ้าจันสิทธะ สิ่งที่โดดเด่นของที่นี่คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดในพุกาม ที่ยังคง เหลืออยู่ถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยัง “ HTILOMINLO TEMPLE “ ที่สันนิษฐานว่าเพี้ยน มาจากคำว่า “ ติโลกมงคล “ จากนั้นต่อไปยัง “ ชเวกุจี “ SHWEGUGYITE TEMPLE แปลว่าถ้ำทองที่ยิ่งใหญ่ งดงามด้วยสถาปัตยกรรมที่อยู่ในช่วงรอยต่อของศิลปะพุกามยุคแรกและยุคหลัง จากนั้น เราไปต่อที่ “ เจดีย์สัพพัญญู “ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกาม มีความสูง 6 เมตร และชม “ วัดธรรมยางจี “ “DHAMMAYANGYI แปลว่าแสงแห่งธรรม มีตำนานเล่าขานกันว่าอิฐทุกก้อน สมานกันแนบสนิทแม้ เพียงเข็ม 1 เล่ม หากสอดแทรกผ่านได้ในรอยต่อได้ คนงานจะต้องถูกตัดนิ้วทันที หลังจากนั้นชมพระอาทิตย์ตก ดินที่ “ เจดีย์ชเวซันซานดอร์ “ SHWE SANDAW PAGODA ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลเจดีย์ หลังจากนั้นก็หาข้าวเย็นกินกันที่ร้าน “ SARABA I “ เป็นร้านที่ชาว TKT แนะนำมาราคาไม่แพง และรสชาติ OK. กินข้าวเสร็จกลับที่พักนอน พรุ่งนี้เช้าอีกแล้วนะจ๊ะ
วันที่ห้า : ตื่นเช้าอีกแล้วแต่สายกว่าเมื่อวานหน่อยเก็บของเพื่อเดินทางไปแอร์พอร์ท ( อีกแล้ว ) ขึ้นเครื่องสายการบิน....เดิม เที่ยวบิน YH 910 เวลา 08.35 – 09.55 น. ( 84$ ) เพื่อเดินทางกลับไปยังย่างกุ้ง ออกมาหา Taxi ไปเที่ยวกัน ต่อที่ “ พระหินอ่อน “( เจ๊าดอจี ) ซึ่งเป้นพระหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพม่า มีขนาด 60 ตัน สูง 37 ฟุต ต่อจากนั้น เราจะไปเที่ยวที่ “ ปางช้างเผือก “ซึ่งมีช้างเผือกตลอดทั้งตัวอยู่ 3 เชือกด้วยกันซึ่งถูกต้องตามคชลักษณะทุกประการ แต่ถ้าไม่สนดูช้าง เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่ “ เจดีย์โบตาทาว “ เป็นที่ประดิษฐาน” เทพทันใจ “ ( นัตโบโบยี ) BOTATAUNG PAYA ใครอยากขอพรอะไรเชิญตามสบาย จะขอให้รวย ให้สวย หรือหุ่นดีลดน้ำหนัก สำเร็จ หุ่นเพรียวเป็นซุปเปอร์โมเดล ก็เอา( เผื่อจะได้ แต่พระท่านคงบอกเรื่องนี้คงไม่ทันใจนะจ๊ะนายจ๋า ) เจดีย์โบตาทาวนี้แป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรับพระเกศำธาตุก่อนที่จะนำไปบรรจุในพระเจดีย์ชเวดากอง เมื่อพระเกศาธาตุได้ถูกอันเชิญขึ้นจากเรือ ได้ถูกนำมาประดิษฐานไว้ที่แห่งนี้ก่อน พระเจดีย์นี้ได้ถูกทำลายใน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการปฎิสังขรขึ้นมาใหม่โดยมีความแตกต่างกับพระเจดีย์ทั่วไปคือ ออกแบบให้ฐานพระเจดีย์มีโครงสร้างโปร่งให้คนเดินเข้าไปภายในได้โดยอันเชิญพระบรมธาตุไว้ในผอบทองคำ ให้ผู้คนได้เข้ามากราบไหว้มองเห็นได้ชัดเจน ส่วนผนังใต้ฐานเจดีย์ได้นำทองคำและของมีค่าต่างๆ ที่มี พุทธศาสนิกชนชาวพม่านำมาถวายแก่องค์พระเจดีย์มาจัดแสดงไว้ เสร็จจากที่นี่ก็กินข้าวกลางวันกันแถวนี้เลย ร้าน“ Ton Yan Restaurant “ เป็นอาหารพม่าแบบ Shan อยู่ Bogyoke Aung San Rd. , 47 St. ซอยจะอยู่ตรงข้าม Yoma Hotel อาหารแนะนำ Shan Noodle หรือจะไปหาทานมื้อใหญ่ๆตามร้านที่เหลือ ข้างบนก็เอา แต่ถ้าทำเวลาได้ดีมากๆ อาจจะนั่งรถออกไปเมืองสิเรียมไปนั่งเรือข้ามเกาะไปไหว้ “ เจดีย์เยเลพญา บนเกาะกลางน้ำอายุนับพันปี เมืองสิเรียมนี้อยู่ห่างจากย่างกุ้ง 45 กม. ( จะทันมั๊ยหน๋อ ) หรือถ้าไปเยเลพญาไม่ทัน เราก็ไปที่นี่แทน “ เจดีย์สุเล “ SULE PAGODA องค์เจดีย์ สร้างอุทิศให้แก่สุเลนัต หนึ่งในสี่นัตที่เกี่ยวข้อง กับตำนานของเจดีย์ชเวดากอง เวลาเหลือก็อาจจะแวะ “ ตลาดโบโจ๊ก “ BOGYOKE MARKET หรือจะ แวะไปชมเจดีย์ชเวดากองอีกรอบก็ได้ ได้เวลาก็เดินทางไปสนามบินเมกาลาดอน เพื่อขึ้นเครื่องกลับกทม. เที่ยวบิน FD 3773 เวลา 17.40 – 19.25 น. ( สนามบินเมกาลาดอนห่างจากย่างกุ้ง 19 กม. ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 20-40 นาที ) วันที่สอง ที่มีไปเที่ยว “เจ้าทัตจี “ CHAUK HTAT KYI PAYA หรือพระ นอนตาหวาน ถ้าวันนั้นเที่ยวไม่ทันก็เปลี่ยนมาเที่ยววันนี้แทนก้ได้
จากคุณ |
:
เผยอิง
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ม.ค. 54 17:06:19
|
|
|
|  |