ความคิดเห็นที่ 1 เครื่องดื่มระหว่างมื้อ อาหารก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดค่ะ มักจะเป็นไวน์ ซึ่งเราจะมากล่าวคร่าวๆ กันไปก่อนและจะมากล่าวในรายละเอียดอีกครั้งในเรื่องไวน์ ไวน์ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดจากปฏิกริยาจาการหมักน้ำตาลจากผลองุ่นและออกมาเป็นแอลกอฮอล์ ซี่งได้ค้นหาข้อมูลเรียบเรียงจากอินเตอร์เนต และไปเจอ Mr.rosso ที่เขียนกล่าวเรื่องไวน์อย่างละเอียดมาแบ่งปัน เพราะ อิตาลีเป็นเมืองที่หาดื่มไวน์คุณภาพดีๆ ราคาสบายกระเป๋าสำหรับคนรักไวน์ได้ดี แต่มักไม่ค่อยมีคนเขียนถึงไวน์อิตาลีมากนัก การดื่มไวน์ของที่นี้ถือว่าเป็น ศิลปะอย่างนึงเลยทีเดียว มีทั้งไวน์ก่อนอาหาร และ หลังอาหาร ไวน์ก็จะเป็นทั้งไวน์ แดงและไวน์ ขาว ซึ่งในหน้าร้อนคนมักจะนิยมดื่มไวน์ขาวแช่เย็น หรือ เบียร์ มากกว่าในหน้าหนาวซึ่งจะนิยมดื่มไวน์ แดง นอกจากไม่ต้องแช่เย็นแล้ว เพราะอุณหภูมิในหน้าหนาวก็เย็นพอ สำหรับอุณหภูมิในการดื่มไวน์ นอกจากไวน์แดง และไวน์ขาวแล้ว ก็ยังมีทั้ง ไวน์ ซ่าส์ ที่เรียกว่า spumante สปูมานเต้ หรือ ไวน์ หวานที่มักรับประทานกับขนมหวานนั่นเอง แต่จะเป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ - ไวน์แดง (vino rosso) วีโน รอซโซ่ เฉพาะไวน์แดงนิยมดื่มโดยไม่ต้องแช่เย็นหรือแช่เย็นก็ได้  และ - ไวน์ขาว (vino bianco) วีโน เบียงโก นิยมดื่มโดยการแช่เย็น และ การผสมระหว่างไวน์แดงและไวน์ขาวเป็นไวน์สีชมพู ซึ่งรสชาดจะอ่อนละมุนกว่า เรียกว่า ไวน์สีชมพู (vino rosato) วีโน โรซาโตะ ส่วนไวน์ที่มีการอัดแก็สลงไปเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์(Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์ คือ (vino frizzante) วีโน ฟริซซานเต้ และที่เป็นเหมือนแชมเปญคือ spumante สปูมานเต้ และอีกอันที่เป็นเหมือน สปาร์กลิงไวน์ ที่พิเศษ เรียกว่า lambrusco ลัมบรูซโก ถ้าหมักออกมาไม่ได้เป็นไวน์เขาก็จะหมักส่วนที่โดนอากาศเข้า เป็น น้ำส้มสายชูจากไวน์ แทน โดยบางบ้านที่อิตาลีก็จะทำไวน์ เองที่บ้าน คนอิตาเลี่ยนนิยมทำอาหารเก็บไว้เอง เหมือนคนไทยสมัยก่อนที่มีวิธีการถนอมอาหารเก็บไว้ แต่คนอิตาเลี่ยนปัจจุบันก็ยังคงทำกันอยู่ โดยมากจะเป็นไวน์ และ ซอสมะเขือเทศ หรือแม้กระทั่งน้ำมันมะกอก และ ผลมะกอกดอง เคล็ดในการดื่มไวน์ แกล้มมื้ออาหาร ถ้าเป็นการทานกับชีส ขอแนะนำไวน์แดง เนื้อสัตว์สีแดง ที่ตอนยังไม่ทำสุก จะมีสีแดงๆ มักจะดื่มคู่กับไวน์แดง ส่วนเนื้อสัตว์สีขาว เช่น ปลา อาหารทะเล หรือ แม้กระทั่ง ไก่ หรือ กระต่าย นิยมดื่มไวน์ขาว แต่การดื่มไวน์ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาวหรือไวน์แดง ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และไวน์หวานมักจะเป็นไวน์ขาวจะดื่มแกล้มกับของหวานหรือชีสก็ได้เช่นกัน ถ้าจะให้แนะนำ ถ้าสั่งเป็นขวดๆ ราคาค่อนข้างสูง ถ้าอยากดื่มให้เต็มที่กับมื้ออาหารให้สังเกตในเมนู ที่บอกปริมาณเป็น ลิตร หรือ ครึ่งลิตร หรือ ให้ถามว่า vino della casa? (วีโน เดลลา คาซา) คือ ไวน์ที่ทำเองที่บ้าน ราคาจะประหยัดกว่า เพราะจะเป็นไวน์ที่ทางร้านทำเอง หรือ ซื้อมาจากที่ร้านที่จำหน่าย เป็นปริมาณมากๆ ที่ ขายไวน์สดๆ ขายเป็นลิตรๆ จากแกลลอนที่บรรจุเป็นถังใหญ่ รสชาดรับรองไม่ต่างจากไวน์ที่เป็นขวดๆ บรรจุเลยที่เดียว ถ้าเห็นร้านแบบนี้สามารถเข้าไปลองชิมไวน์ได้และซื้อเป็นลิตรๆ โดยราคาจะตกอยู่ประมาณลิตรละ 1-2 ยูโร การขายจะบรรจุในขวดพลาสติก จะนำไปเองหรือ ที่ร้านจะมีจำหน่าย หรือ ไม่เสียค่าขวดเพราะบางร้านจะนำขวดน้ำดื่มลิตรบรรจุให้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 19:48:13

ความคิดเห็นที่ 2 ไวน์ที่นี้มีหลายชนิดให้เลือกไม่ต่างจาก พาสต้าและชีสเลยที่เดียว การดื่มไวน์ไม่ใช้ดื่มกรึบๆ ให้เมาเหมือนเบียร์ แต่ต้องดื่มแบบมีวิธี เพราะรสชาดของไวน์ ตอนเปิดขวด และทิ้งไว้สักครู่รสชาดจะเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ การแบ่งประเภทของไวน์ง่ายๆ ที่นิยม จะได้จำง่ายๆ และหาได้ทั่วไป ที่ราคาไม่แพงลิบลิ่ว  คือ - ไวน์แดง Vino Rosso (วีโน รอซโซ) ที่หาได้ง่ายและราคาไม่สูงนัก ที่นิยมกันก็จะเป็น Barbera Piemonte จะออกหวานเล็กน้อย มาจากทางเหนือของอิตาลี Chianti (เคียน-ติ) Montepulciano ทัศคานี, Sangiovese, Primitivo ทางตอนใต้ของอิตาลี เมืองปูเรีย, Lambrusco เป็นไวน์แดงรสหวานมีฟอง ไวน์ซ่าส์ Vino frizzante (วีโน ฟริซซานเต้), Nero d’ avola เมืองซิชิลี, และ Brunello de Montalcino เป็นไวน์ที่มีชื่อเสียง - ไวน์ขาว Vino Bianco (วีโน เบียงโก) เช่น Orvieto, Verdicchio, Vernaccia, Greco de tufo, Falanghina และไวน์เรียกน้ำย่อย ที่มีชื่อ Prosecco ที่ดื่มก่อนมื้ออาหาร และที่เป็นเหมือนแชมเปญคือ spumante สปูมานเต้ รวมทั้งจะมีไวน์ขาวที่ออกหวาน ดื่มคู่กับขนมหวาน สมัยก่อนจะมีการหมักไวน์จากน้ำผึ้งซึ่งไม่ค่อยได้ทำในปัจจุบัน และเมื่อมีการทำไวน์หก จะใช้นิ้วจิ้มไวน์ที่หกมาแตะระหว่างซอกคอ เพื่อหมายถึงความโชคดี ก็คงเป็นการตกใจแบบฉันทำไวน์หก แล้วเลยหาเรื่องแก้เก้อแน่ๆ เลยค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 20:27:05

ความคิดเห็นที่ 3 ทานกับ เนื้อจานโตๆ เเบบนี้ ไวน์เเดงเหมาะกว่าค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 20:28:47

ความคิดเห็นที่ 4 ไวน์ขาวนิยมนำมาปรุงอาหารมากกว่า ไวน์แดง อาจจะเป็นเพราะ รสชาดที่อ่อนกว่า และสีสรรไม่ทำให้อาหารเปลี่ยน ไวน์เเดงก็นำมาประกอบอาหารเช่นกันอาจจะเป็น risotto หรือเนื้อที่ต้องการเพิ่มสีให้ เเดงเข้ม ไวน์ Falanghina จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 20:33:09

ความคิดเห็นที่ 5 ทานกับปลา อย่างเช่นจานนี้่ค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 20:39:27

ความคิดเห็นที่ 6 ตามมาชมต่อค่ะ  เรื่องอาหารการกินนี่สำคัญใช่ย่อยเลยนะคะ จากคุณ : Red-Rose-14Feb เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 21:09:31

ความคิดเห็นที่ 7 นอกจากใช้ดื่มแล้วก็สามารถใช้มาบำรุงผิวได้เหมือนกัน ในบางแห่งที่เป็น ไร่องุ่นก็นำไวน์มาใช้ในการอาบ หรือ ทำเครื่องสำอางค์บำรุงผิวพรรณ เป็นต้นกำเนิดของ สปา ไวน์ หรือ ไวน์ สปา ที่เรียกว่า vino spa หรือ Spas. Vinotherapieที่เมืองไทยก็มีอยู่ที่ village farm วังน้ำเขียว เห็นไหมค่ะ ไม่ได้มีประโยชน์แค่ดื่มอย่างเดียว สารในองุ่น หรือ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น สามารถนำใช้ประโยชน์ได้มากมายทีเดียว หรือแม้แต่กากกาแฟ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 21:48:40

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณนะคะ กดเข้าคลังกระทู้ไว้แล้วค่ะ มีประโยชน์มาก จากคุณ : DaRia เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 21:50:26

ความคิดเห็นที่ 9 ที่อิตาลีเมื่อจบมื้ออาหารแล้ว หมดเรียบร้อย ทั้งจานหลัก จานรอง เขาก็จะมาถามว่าจะรับ ของหวาน หรือ กาแฟ หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตบท้าย ของหวานก็จะเป็นที่นิยมกัน คือ panna cotta เป็นครีมๆ มีส่วนประผสมระหว่างครีมกับชีส และที่มีชื่อเสียงคือ Tiramisu ทีรามิสุ คือขนมบิสกิตที่ผสมกับกาแฟ ครีม และโรยหน้าด้วยผงโกโก้ ในเมืองไทย บางที่ ทีรามิสุ จะทำเป็นเคักชอคโกเลต กลิ่นกาเเฟ ซึ่งไม่ใช้ทีรามิสุ เพราะส่วนผสมหลักคือ ขนมบิสกิตที่ทานกับชา แบบ ที่นำไปจุ่มกาแฟในชุ่ม และนำชีสมาตี และทาสลับเป็นชั้นๆ โรยด้วยผงโกโก้ นำไปแช่ให้เย็น พร้อมเสริฟ์ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 21:58:48 จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 21:54:45

ความคิดเห็นที่ 10 เอาอีกภาพชัดๆ ที่เห็นบิสกิต เรียงรายอยู่ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:00:18

ความคิดเห็นที่ 11 แบบนี้จะเหมือนเค้กมากค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:01:17

ความคิดเห็นที่ 12 หรือ นำมาดัดเเปลงกับผลราสเบอรี่ หน้าตาแบบนี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:03:26

ความคิดเห็นที่ 13 panna cotta จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:04:46

ความคิดเห็นที่ 14 อีกจานที่น่าจะไม่เลี่ยน เพราะมีรสเปรี้ยวๆ หวานของสตอเบอรี่ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:08:31

ความคิดเห็นที่ 15 อีกจานค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:09:13

ความคิดเห็นที่ 16 หรือจะเป็นจานหน้าตาสวยงามแบบนี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:11:07

ความคิดเห็นที่ 17 หรือ แบบนี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:12:03

ความคิดเห็นที่ 18 ยังหวานกันอยู่นะค่ะ :) จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:13:37

ความคิดเห็นที่ 19 ครีมๆ เข้ากับสตอเบอรี่ได้เป็นอย่างดี จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:15:08

ความคิดเห็นที่ 20 หรือ จะเป็น ฟองดูร์ ชอคโกเลต รวมผลไม้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:16:46

ความคิดเห็นที่ 21 หน้าตาเหมือนเห็นที่ ร้านไอติมบ้านเรา จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:18:15

ความคิดเห็นที่ 22 หรือ ที่รามิสุ แบบสวย แบบนี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:19:28

ความคิดเห็นที่ 23 ปันนา คอตต้า แบบแปลกๆ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:20:45

ความคิดเห็นที่ 24 ปันนา คอตต้า ในแก้วเล็ก กับแครนเบอรี่ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:22:10

ความคิดเห็นที่ 25 หรือ กับบลู หรือ แบลคเบอรรี่ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:22:59

ความคิดเห็นที่ 26 หรือ จะเป็น sorbetto ชอรเบทโต้ ที่เป็นน้ำเเข็งปั่น กับครีมมะนาว เป็นต้นกำเนิด gelato หรือ ไอศครีมในสมัย โรมัน จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:25:14

ความคิดเห็นที่ 27 สำหรับผู้ที่ไม่ชอบของหวานเพราะอิ่ม ก็เป็น ฟรุ๊ตสลัด ก็ดีค่ะ Insalata Frutta อินซาลาตา ฟรุ๊ตตี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:29:03

ความคิดเห็นที่ 28 แม้จะมีของหวานก็มีเครื่องดื่มแกล้มค่ะ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มคู่กับของหวาน ที่นิยมจะเป็น กราปป้า Grappa ทำมาจากผิวขององุ่นที่เหลือจากการทำไวน์ คล้ายเหล้าขาวของไทยแต่จะไม่ บาดคอเท่าจะมีกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ใช้ หรือ จะเป็น เลมอนเซลโล่ Lemonchello เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเปลือกมะนาว จะเป็นเครื่องดื่มที่คิดค้นมาจากทางเกาะตอนใต้ของอิตาลีรสชาด เปรี้ยวหวานด้วยเปลือกมะนาวกับมะนาว อร่อยมาก เครื่องดื่มเหล่านี้จะดื่มเพียงเล็กน้อย โดยรินในแก้วเล็กๆ เหมือนแก้วจอกที่ดื่มยาดองนั่นเอง และก็จะมีอีกหลากหลายมาก ที่กล่าวมาจะเป็นที่นิยมและหาได้ง่าย เพราะแม้แต่เครื่องดื่มแอลกฮอล์เหล่านี้ ก็มีถิ่นผลิตบางตัวในแต่ละท้องถิ่นซึ่งบางครั้งไม่ได้ทีจำหน่ายทุกพื้นที่ เช่น บางครั้งเมื่อไปทางเหนือ แล้วดื่มเครื่องดื่มบางตัว พอกลับมาที่โรม จะหาดื่ม ก็ไม่มีหรือหาได้ยากมากและไม่ได้มีจำหน่ายทั่วไป เป็นต้น การรับประทานอาหารมื้อเย็น หรือ การพบปะสังสรรค์ กันในอิตาลี จะเป็นเรื่องปกติ เช่นการไปรับประทานอาหารบ้านเพื่อน ในทุกๆ สัปดาห์โดยที่ไม่ใช้เป็นวันพิเศษจะเกิดขึ้น ได้บ่อยครั้ง บางครั้งก็ไปดื่มกาแฟ หรือ ชา เพื่อพบปะ พูดคุยกัน จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:35:33

ความคิดเห็นที่ 29 แก้วที่ใส่กราปป้า ก็จะเป็นทรงแบบนี้ค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:39:13

ความคิดเห็นที่ 30 อันนี้ ของโปรดค่ะ เลมอนเซลโล เปรี้ยวร้อนแอลกฮอล์ กรึบจมูกโล่งค่ะ แต่ดื่มไม่มากนะค่ะ เพราะจะเมาเร็ว เพราะหวาน และ มีแอลกอฮอล์มากค่ะ จะให้อร่อยคือ ทำเองที่บ้าน คือ การล้างและฝานเปลือกมะนาว นำไปเเช่ในเเอลกอฮอล์บริสุทธ์ หมักไว้ในความมืดค่ะ พอได้มาก็เเช่เย็นส่วนใหญ่จะเเช่เย็นจัดๆ เสริฟ์เย็น อร่อยมาก ต่างจาก กราปป้า ไม่ต้องเเช่เย็น จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:42:49

ความคิดเห็นที่ 31 แก้วจะเล็กๆ น่ารัก หลายแบบเชียวค่ะ บางทีก็มีจำหน่ายเป็นชุดๆ ไว้เลย จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:44:20

ความคิดเห็นที่ 32 การถูกเชื้อเชิญไปร่วมรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องปกติ แต่มารยาทในการไปร่วมรับประทานอาหาร ผู้ที่ถูกเชิญควรจะนำของติดมือไปด้วย โดยมากจะเป็นไวน์ หรือไม่ก็จะเป็น ขนมหวาน บางคนอาจจะทำขนมหวานเอง หรือ ไปซื้อตามร้าน ขนมหวานที่นี้จะมีหลายหลากมาก ขายเป็นชิ้นๆ โดยกินหลังมื้ออาหาร กันคนละคำสองคำ ร้านขายของหวานจะเรียกว่า Pasticceria (พาสติคเซอเรีย) จะมีเหมือนคุ๊กกี้ และคล้ายเค้กชิ้นเล็กๆ ทานได้เป็นคำๆ โดยการเลือกซื้อ คือ สั่งเป็นชิ้นๆ มีหลากหลาย และบางเทศกาลก็จะมีแบบพิเศษ ที่เมื่อเห็นจะทราบว่า สำหรับเทศกาลอะไร เช่น คาลนิวาล์น  คือ เทศกาลสวมหน้ากาก ขนมก็จะเป็นแป้งที่ทำเป็นแผ่นและนำไปทอด โรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ถ้าเป็น เทศกาลคริสมาต และปีใหม่ก็จะเป็น เค้ก Panettone จะมีไส้เช่นพวกลูกเกตและผลไม้แห้ง ที่มีต้นกำเนิดมาจากมิลาน หรือ Pandoro ที่จะคล้ายกันแต่ไม่มีใส่เวลาทานให้โรยน้ำตาลไอซิ่งเหมือนหิมะตกลงบนขนมที่คล้ายกับของเทศกาลคริสมาตก็จะเป็นรูปนกพิราบตัวเมียบิน เรียกว่า Colomba di Pasqua คือเทศกาล Easter อีสเตอร์คือวันที่พระเยซูดวงวิญญาณขึ้นสวรรค์ จึงเป็นรูปเค้กคือ นกพิราบบิน มีเมล็ดอัลมอนด์โรยหน้า และในช่วงวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ก็เป็นวันผู้หญิง โดยมีดอก mimosa เป็นสัญลักษณ์ก็จะมีขนมเค้ก ที่ทำมาเฉพาะเหมือนกัน จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 22:58:37

ความคิดเห็นที่ 33 รายการ ขนม จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:00:00

ความคิดเห็นที่ 34 อันที่เหมือนฉ่ำๆ จะมีแอลกอฮอล์ผสมด้วย จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:05:02

ความคิดเห็นที่ 35 หรือจะเป็นลักษณะนี้ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:20:04

ความคิดเห็นที่ 36 อันนี้จะเป็นขนมในช่วงเทศกาลใส่หน้ากาก จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:23:33

ความคิดเห็นที่ 37 อันนี้คือ Panettone คำว่า pane ปานเน่ คือ ขนมปัง ส่วน คำว่า panna ปานนา คือ ครีม จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:25:48

ความคิดเห็นที่ 38 pandoro จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:27:41

ความคิดเห็นที่ 39 pandoro จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:28:23

ความคิดเห็นที่ 40 colomba pasqua จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:29:06

ความคิดเห็นที่ 41 mimosa cake จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:30:29

ความคิดเห็นที่ 42 ดอก mimosa หน้าตาแบบนี้ค่ะ หอมด้วย จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 23:34:43

ความคิดเห็นที่ 43 และที่สำคัญจะขาดไม่ได้เลยคือ Gelato เจลาโต้ ไอศครีมนั่นเองค่ะ ประวัติไอศกรีม จุดเริ่มต้นของไอศกรีมในระดับสากล นายโทมัส อาร์ควินนี่ เล่าว่า การรับประทานไอศกรีมน่าจะเริ่มต้น กันมาตั้งแต่ยุคสมัยต้นๆโดยชาวอาหรับ ไปยังจักรพรรดิ เนโร คลาดิโอ ซีซาร์ แห่งอนาจักรโรมันที่ได้พระราชทานเลี้ยงหิมะมาผสมเข้ากับน้ำผึ้งและผลไม้ แก่เหล่าทหารหาญที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ ต่อมาเรียกไอศกรีมประเภทนี้ว่า เชอร์เบ็ท (Sherbet) หรือ Sorbetto นั่นเอง แต่ตำนานนี้ก็หาได้เป็นแค่ตำนานเดียวที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของไอศกรีมไม่ บางตำนาน กล่าวว่า ไอแซค ได้ให้อับบราฮัม ด้วย นมแพะ กับหิมะ หากแต่บางกระแสก็ระบุว่าบรรพชนของคนจีนค้นพบไอศกรีมเป็นครั้งแรกแต่ตำนานนี้ก็หาได้เป็นแค่ตำนานเดียวที่เล่าสืบต่อกันมาถึงต้นกำเนิดของไอศกรีมไม่ หากแต่บางกระแสก็ระบุว่าบรรพชนของคนจีนค้นพบไอศกรีมเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 4,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะของไอศกรีมในประเทศจีนทำมาจากข้าวบดผสมกับนมสดที่เย็นจนเป็นนำแข็งทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศจีนในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการรู้จักรีดนมจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในฟาร์ม เมื่อรีดออกมาจำนวนมากก็บริโภคไม่หมด ประกอบกับน้ำนมเป็นสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ คนชั้นสูงเห็นท่าไม่ดีจึงเกิดแนวคิดนำน้ำนมไปหมกซ่อนไว้ในหิมะนัยว่าเพื่อต้องการที่จะถนอมน้ำนมเอาไว้รับประทานได้นานๆ คือเป็นน้ำแข็ง ผสมน้ำหวาน ตั้งแต่ ศตวรรษ ที่ 20 ซึ่งไอศกรีมจะดูเหมือนนมขุ่นๆ แช่แข็ง ไม่ได้เป็นครีมนุ่มๆ อย่างทุกวันนี้ เนื่องจากตอนนั้นประเทศจีนเพิ่งจะเริ่มมีการรีดนมจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม นมจึงจัดเป็น อาหารที่มีราคาแพง พวกชนชั้นสูงจะนำนมไปหมกไว้ในหิมะเพื่อถนอมอาหารจนกลายเป็นนมแช่แข็ง หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนาทำน้ำผลไม้แช่แข็งรับประทานกัน พอถึงต้นศตวรรษที่ 13 ขนมแช่แข็งสารพัดชนิดก็มีวางขาย เข็นขายกันตามถนนและทุกซอกซอยทั่วกรุงปักกิ่ง ว่ากันว่าเป็นที่มาของน้ำแข็งใสในปัจจุบัน อีกตำนานที่แพร่หลายมากกว่ามาจากฝั่งตะวันออกบอกว่ากลุ่มชนที่เป็นต้นกำเนิดไอศกรีมที่เก่าแก่ที่สุดคือ คนจีนโดยรู้จักการนำหิมะมาผสมกับน้ำผลไม้เมื่อราว 4 พันปี จนปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โคโปโลซึ่งเดินทางไปใช้ชีวิตในจีนนาน 16-17 ปี ได้นำสูตรนี้กลับมาแพร่หลายในอิตาลีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คนตะวันตกรู้จักการนำน้ำแข็งและเกลือมาเป็นส่วนผสมเพื่อทำให้เกิดความเย็น คนอิตาเลียนจึงถือว่าตนเป็นต้นตำรับไอศกรีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง เรียกว่าเจลาติน และได้มีการเผยแพร่การทำไอศกรีมไปยัง อินเดียและชาวเปอร์เชียอีกด้วย แล้วได้นำไป ที่ ซิซิลี่ เล่ากันว่า"ไอศครีม"มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนในต่างประเทศ ในเมืองไทยไอศกรีมเข้ามาช่วงไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าคงมาหลังสมัย รัชกาลที่ 5 ในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะใช้รับประทานกันแต่ภายในวังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีการผลิตนํ้าแข็งกินเอง ไอศกรีมตอนนั้น ทำจากนํ้าหวานหรือนํ้าผลไม้นำไปปั่นเย็นจนแข็ง ไม่มีนมหรือครีมผสมด้วย เรียกว่า "ไอติม" ใช้แรงคนในการปั่น โดยมีหม้อทองเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 50-60 ซม.สูง 30 ซม.ภายในมีรูคล้ายลังถึงสำหรับเสียบกระบอกโลหะทรงกลมขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ภายในบรรจุนํ้าผลไม้หรือนํ้าหวาน กระบอกนี้คือแม่พิมพ์ที่ทำให้ไอติมเป็นแท่ง  เนื่องจากไอศกรีมเป็นอาหารหวานที่ทันสมัยหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหมาก็ว่าได้ ใครได้ลองรับประทานไอศกรีมในสมัยนั้นก็ถือว่า เป็นคนที่ก้าวล้ำนำสมัยไปโดยปริยาย จากนั้นไอศกรีมเดินทางไปถึงฝรั่งเศส ในงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรส ระหว่างแคเธอรีน เดอ เมดิซี แห่งเวนิส กับว่าที่กษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 แห่งฝรั่งเศสในปี 1533 ซึ่งนอกจากจะเสิร์ฟของหวานแช่แข็งหลากรสแล้ว ยังมีการเสิร์ฟของหวานกึ่งแช่แข็งที่ทำจากครีมข้นหวานซึ่งมีลักษณะคล้ายไอศกรีมในปัจจุบัน จนกลายมาเป็นที่นิยม หลังจากที่หมอชาวสเปนในกรุงโรมคนหนึ่งได้พบเทคนิคพิเศษที่ว่า อุณหภูมิของ ส่วนผสมในการทำไอศกรีมแช่แข็งจะลดลงถึงจุด เยือกแข็งได้อย่างรวดเร็วขึ้น หากเติมดินประสิวลงในหิมะหรือน้ำแข็งที่อยู่รอบถัง เมื่อนั้นชาวฟลอเรนซ์จึงเป็นผู้ริเริ่มผลิตของหวานแช่แข็งที่ทำจากครีมล้วนๆ ชนิดแรกของโลก ไอศกรีมเดินทางไปอังกฤษ จากบันทึกพบว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทรงรับสั่งให้พ่อครัวทำไอศกรีมให้เสวยและให้เก็บเป็นความลับด้วย ไอศกรีมข้ามไปอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันมาก ขนาดที่ว่า ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ลงทุนถึง 200 ดอลลาร์ซื้อเครื่องปั่นไอศกรีมไปทำกินเองในหน้าร้อน จากบันทึกพบว่า มีการเรียกขานคำว่า ไอศกรีม เป็นครั้งแรกในปี 1673 ตอนนั้นหน้าตาของไอศกรีมจัดเป็นประเภทเดียวกับไอซ์ทีหรือชาเย็น กับไอซ์คอฟฟี หรือกาแฟเย็น จึงตั้งชื่อคล้ายๆ กันแม้ว่าต่อมาหน้าตาของไอศกรีมจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็ตาม เครื่องที่ผลิตของหวานแช่แข็งในยุคแรกๆ ทำจากเครื่องมือหมุนโดยใช้น้ำแข็งกับเกลือ และได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ Gelato ได้ประสบความสำเร็จในการขายมากในประเทศฝรั่งเศส ในปี 1686 และ ได้เริ่มขยายไปยังที่อื่น จนเกิด Gelateria มากมายในอิตาลี และหลายๆ ประเทศ เวลาจะสั่งกิน ที่อิตาลี จะให้ใส่ถ้วย หรือ ใส่โคน จะได้ 2-3 รสให้เลือกค่ะ และจะเติมด้วยวิปครีม หรือไม่เติมก็ได้ แล้วแต่ชอบค่ะ ราคา อยู่ในราวๆ 1.50 ยูโร ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดค่ะ gelato al cono อาล โคโน คือใส่โคน, alla coppa อาลลา คอปป้า คือ ใส่ถ้วย ส่วนครีม ก็ panna ค่ะ แต่ใส่โคนดูเหมือนจะได้รสชาดกว่านะค่ะ เขาก็จะมีช้อนเล็กๆ ปักในไอศครีมให้ด้วยสำหรับตักแม้ว่าจะใส่โคนค่ะ หรือ จะเป็นโคนเล็กๆ ปักไว้ หน้าหนาวจะหาทานได้ยากหน่อยเพราะไม่เปิด นอกจากในเมืองท่องเที่ยว จะเปิด ทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาวค่ะ (ข้อมูลเรียบเรียงเพิ่มเติมจาก www.foodsciencetoday.com,www.bloggang.com/sweetyclub) จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 00:15:25

ความคิดเห็นที่ 44 ได้สามรสชาดแบบนี้เเหละค่ะ อร่อยมากกกกกก จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 00:23:55

ความคิดเห็นที่ 45 คำศัพท์ ที่ใช้กันบ่อยทั่วๆ ไปและในโต๊ะอาหารคือ - Grazie กราเซีย จะหมายความว่า ขอบคุณ - Prego เปรโกะ จะหมายความว่า เชิญ และ ด้วยความยินดี เป็น คำที่ตอบรับการขอบคุณด้วยเช่นกัน - Basta บาสตา จะหมายความว่า พอแล้ว ต้องจำไว้ด้วยนะคำนี้เพราะเมื่อถ้าถูกเชิญไปทานอาหาร เจ้าภาพจะพยายามเสริฟ์ให้เราเพิ่ม ถ้าไม่ใช้คำนี้ อาหารในจานก็จะถูกเติมอีก และถ้าทานไม่หมดหรือไม่อยากทานอีกก็จะดูเหมือนว่าเราไม่ชอบอาหารของเขาก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรค่ะ หรือ ในการสั่งอาหารพอเสร็จไม่มีอะไรเพิ่มก็ใช้คำนี้เช่นกัน - Poco โปโคะ จะหมายความว่า นิดหน่อย คือถ้าเข้าตักอาหารให้ก็ใช้คำนี้ได้ค่ะ poco หรือ ทำมือนิดๆ ก็เป็นที่รู้กันค่ะ - Buono บวนโน่ จะหมายความว่า อร่อย - Complimenti คอมพริเมนติ จะหมายความว่า ขอแสดงความยินดี เหมือนอาหารอร่อยก็จะใช้เหมือนชมว่า แสดงความยินดีด้วยอาหารอร่อยมาก - Mai ม่าย จะหมายความว่า ไม่เคย แต่อาจจะได้ยินว่า non mai คือ ไม่เคยเช่นกัน - Poi ป๋อย จะหมายความว่า แล้วก็ เหมือนกับคำภาษาอังกฤษว่า then เช่น เวลาเราสั่งอาหาร พอสั่งไปเราก็จะเพิ่มก็จะใช้ per me questo e poi (เปอร์ เม เควสโต๊ะ เอ ป๋อย) ของฉันอันนี้และก็ เอาคลิป ไอศครีมที่ ทางเหนือ มาฝากค่ะ ต้องลองไปทานเองค่ะ ว่ารสชาดเป็นอย่างไร ก็จบเรื่องของหวานแบบอร่อยๆ กันก่อนนะค่ะ คราวหน้า เรามาต่อกัน สำหรับ ผู้รักไวน์กันค่ะ Arrivederci แล้วพบกันค่ะ จากคุณ : PinePh เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 00:27:28

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆข้อมูลความรู้เพียบเลยค่ะ  ติดตามมาโดยตลอด   จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 01:18:56

ความคิดเห็นที่ 47 เข้ามาศึกษาค่ะ  แอบได้ความรู้ไปในตัว จากคุณ : pigpatp เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 03:07:14

ความคิดเห็นที่ 48 ขนมหวานต่างๆน่ากินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ จากคุณ : Enjoysweet เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 14:54:43