--[ประสบการณ์สุดระทึกกับสายการบิน แอร์ เอเชีย เที่ยวบิน AK738]--
|
 |
สวัสดีครับ เพื่อน ๆ ชาว Blue Planet ทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องระทึกใจบวกผะอืดผะอมภายในเครื่องบินแอร์ เอเชีย มาเล่าให้ฟังกันครับ
ขอบอกก่อน ผมตั้งหัวข้อกระทู้ให้ดูน่าตกใจไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้จะมาโจมตีแอร์ เอเชีย แต่อย่างใด ต้องขอขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ ที่ทำให้พวกผมและเหล่าคณะนักกีฬาบาสเกตบอลทีมไทย ได้ตั่วในราคาถูก
เนื่องจากผมเป็นเจ้าหน้าที่ของทีมบาสสัญชาติไทย ทีม "ช้างไทยแลนด์สแลมเมอร์ส" ที่สร้างประวัติศาสตร์ สามารถคว้าแช้มป์ ABL หรือ Asean Basketball League มาได้แบบเหนือความคาดหมาย
และเนื่องจาก ABL มี Air Asia เป็นสปอนเซอร์หลัก พวกผมจึงต้องเดินทางไปรับมอบถ้วยที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
เอาล่ะครับ ผมจะข้ามตอนเดินทางไปเลยแล้วกัน เพราะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นอกจากตัวผมเองจะตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้นเครื่องบิน!!! ก็ถ่ายรูปปีกเครื่องบินมาประมาณ 100 กว่ารูป ไม่รู้ถ่ายมาทำไม เพราะมีแต่ปีกเครื่องบินกับเมฆมัว ๆ T_T
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนขากลับครับ
เหล่านักกีฬาทั้งคณะ จะนั่งกันอยู่ช่วงกลางเครื่อง ตั้งแต่แถว F เป็นต้นไป ผมนั่ง F11 พร้อมกับเพื่อน เจ้าหน้าที่ทีมอีก 2 คน
ด้านหน้าเป็นกรุ๊ปทัวร์ชาวเอเชียไม่จีนก็ไต้หวัน ไทเป หรือชาติอะไรก็ได้ที่ใช้ภาษาจีนในการสื่อสารนั่งอยู่ (สันนิฐาน จากการกระทำต่าง ๆ ไม่ว่าจะภาษา หรือการพูดคุยที่เหมือนจะทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขออภัย)
ที่เดินทางต่อจากมาเลย์ มาเที่ยวเมืองไทย
เหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติ แอร์สาวชาวมาเลย์ ออกมาสาธิตวิธีใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ผมก็ดูไป ๆ เพราะฟังไม่รู้เรื่องว่าเค้าพูดอะไร ก็ยังคิดอยู่ว่า ถ้าเครื่องตก ผมคงตายแน่ ๆ เพราะใช้อะไรไม่เป็นซักกะอย่าง ดูคู่มือที่เสียบอยู่ข้างหน้าก็ไม่เข้าใจ เข้าใจอย่างเดียวว่า ถ้าหิว ให้หยิบเมนูอาหารขึ้นมาสั่งได้ T_T
ระหว่างที่เครื่องกำลังไต่ระดับ และ มีสัญญาณให้รัดเข็มขัดโชว์อยู่นั่นเอง ก็มีเสียงที่แสนจะคุ้นหู ดังขึ้นจากเบาะด้านหน้า ที่มีชายกลางคนชาวเอเชีย
แปร่ดดดด ไม่ดังมาก แต่ก็พอรู้ว่ามันเป็นเสียงตด!!!
ผมกับน้องที่นั่งข้าง ๆ หันมามองหน้ากัน ผมบอก
"เสียงที่ได้ยินเมื่อกี๊นี้ มันเสียงตดใช่ไหมวะ" "จากประสบการณ์ ผมว่าใช่ว่ะพี่"
"แม่มตด" "ใช่พี่ แม่มตด"
ระหว่างที่กำลังจะพูดกันว่ามันจะมีกลิ่นหรือเปล่านั่นเอง กลิ่นก็ตามมา
คือประมาณว่า ไอ้กลิ่นเนี่ย มันสามารถฆ่าคนบนเครื่องได้ทั้งลำเลยทีเดียว น้องผมที่นั่งริมหน้าต่าง ถึงกับต้องเอาผ้าปิดจมูก ผมนั่งกลาง มีน้องอีกคนนั่งริมตรงทางเดิน
ผมพยายามกลั้นหายใจ แต่ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากผมไม่ใช่ปลาดุก ที่หายใจได้ทางเหงือกและกลั้นหายใจได้นาน ๆ และนั่นคือความผิดพลาดอย่างแรงที่คุณกลั้นหายใจได้ไม่นาน เพราะเมื่อมันสุดขีดแล้ว คุณต้องสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ
ฟืดดดดดดดดดดดด
เช๊ดดดดดดดดดดดดดดด แสบจมูกกันเลยทีเดียว
ณ.วินาทีนั้น ผมอยากพูดภาษาจีนได้ขึ้นมาตะหงิด ๆ ผมจะได้สะกิดเฮียคนนั้นแล้วบอกไปว่า
"เหวิว เคิ่ว เวิ่ว ตี่ อ๋าย ขี้ กั่ว"
แปลได้ว่า "เฮียไปขี้ดีกว่าครับ"
(ปล.ภาษาจีนที่ผมพิมพ์ ผมมั่วเอานะครับ T_T)
ผมพยายามหาว่า ไอ้ที่พนักงานสาวออกมาสาธิตเครื่องให้ออกซิเจนที่เอาไว้ปิดจมูกนั่น มันอยู่ตรงไหน แต่ผมหาไม่เจอ จากการสอบถาม น้องผมบอกว่ามันจะหล่นลงมาเองตอนเครื่องผิดปกติ
ตามความคิดผม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ มันก็โคตรจะไม่ปกติแล้ว เหมือนโดนโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพแล้วหนีไม่ได้ ไอ้ที่ปิดจมูกนั่นมันควรจะหล่นลงมาได้แล้ว!!!
ผมขอเสนอแนะสายการบินทุกสายเลยนะครับ ให้ติดตั้งที่จับกลิ่น ถ้าเมื่อไหร่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ให้ไอ้ที่ปิดจมูกนั่นมันหล่นลงมาได้เลย มันจะได้ถูกใช้งานบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวมันพังเพราะไม่ได้ใช้งาน T_T
ทันใดนั้นเอง สัญญาณให้ปลดเข็มขัดก็ดังขึ้น ด้วยความไวกว่าแสงของผม จึงรีบหนีตายออกมาจากตรงนั้น
เหลือบไปเห็นที่นั่งริมประตูฉุกเฉินมันว่างอยู่ทั้งแถบ ผมรีบขนของย้ายมาสูดอากาศบริสุทธิ์ (กว่าตรงที่นั่งเมื่อกี๊) ทันที น้องผมสองคน ก็พากันหนีตายมาด้วย การย้ายนั้น ทำให้นักกีฬาที่นั่งอยู่ท้ายเครื่องผิดสังเกต เดินมาถามว่ามีอะไร
ผมตอบกลับไปว่า "หนีตด"
ชะรอยกลัวว่า นักกีฬาที่เดินมาทีหลังจะไม่เชื่อ ไอ้กลิ่นที่ว่ามันก็ค่อย ๆ ล่องลอยมาอีกครั้ง นักกีฬาคนนั้นได้กลิ่น ก็อุทานออกมาว่า
"อื้อหือ"
มันอุทานเสร็จก็หนีตายไปท้ายเครื่อง ปล่อยให้พวกผมนั่งเผชิญกลิ่นตดอันแสนรัญจวนใจนั้นต่อไป เพื่อน ๆ อ่านแล้วอาจจะงงว่า แล้วคนอื่นล่ะเค้าไม่ได้กลิ่นกันหรือไง
อันนี้ผมไม่ทราบ เท่าที่ทราบคือ พวกผมอยู่ใกล้ตูดของชายผู้นั้นมากที่สุด คือนั่งอยู่เบาะหลังเค้าเลย เค้าแปร๋ดมา ก็ถึงพวกผมก่อน แล้วแอร์ในเครื่องบินก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ามันก็วนอยู่แต่ในนั้นแหล่ะ พวกผมโดนก่อน โดนเต็ม ๆ ก่อนจะเจือจาง จึงต้องหนีตายอย่างที่เห็น
แต่กระนั้นก็ยังไม่วาย ขนาดหนีไปนั่งเบาะอื่นแล้ว กลิ่นมันยังตามมา และตอนนั้นเอง ที่ผู้นั่งเบาะอื่น ๆ ด้านหลัง ก็เริ่มผิดสังเกตเช่นเดียวกัน
เบาะข้างหน้าหรือคนนั่งข้าง ๆ เค้าจะได้กลิ่นหรือเปล่าอันนี้ผมไม่รู้ เพราะรู้สึกพวกเขาเฉย ๆ กัน ไม่รู้ว่ามากรุ๊ปเดียวกัน เลยชินกับกลิ่นตดหรือเปล่า หรือไม่ก็อาจจะเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาก็ได้ ที่นึกจะตดก็ตด ตดฉัน ฉันดมได้ คนอื่นก็ต้องดมได้ด้วย ผมสันนิฐานได้เลยว่า กรุ๊ปนี้ทั้งกรุ๊ป จมูกไม่รับรู้กลิ่นแล้วแน่นอน!!!
แต่เค้าไม่คิดว่า ไอ้ที่นั่งอยู่ข้างหลังนั่นน่ะ มันไม่ใช่คนพวกเดียวกะเค้า และคนไทยก็ไม่นิยมกลิ่นตดจึงผะอืดผะอมกันไปครึ่งลำ T_T
หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นเริ่มเจือจาง และ หายไปในที่สุด น้องผมสองคนที่หนีตายมาด้วยกัน ขอย้ายกลับที่เดิม เพราะมันเอนนอนได้ ส่วนผม จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมตะหงิด ๆ ว่า เดี๋ยวมันต้องมีอีก
ผมจึงไม่ย้ายกลับ ย้ายมานั่งนี่ถาวรเลย แม้มันจะเอนนอนไม่ได้ก็ตามที!!!
เวลาผ่านไป จนเครื่องเริ่มลดระดับลง และ สัญญาณให้รัดเข็มขัดดังขึ้น
สิ่งที่ผมคิดไว้ก็เป็นจริง เมื่อไอ้กลิ่นที่คุ้นเคยนั่นมันเริ่มโชยมาอีกแล้ว ผมหันไปมองที่นั่งเก่าที่น้องผมย้ายกลับไปนั่ง เห็นแล้วสงสาร เพราะย้ายไม่ได้แล้ว เนื่องจากเครื่องกำลังจะลง มันนั่งกลั้นหายใจเหมือนผมเด๊ะ (จากการสอบถาม) และก็เป็นเหมือนผมเด๊ะ คือ สูดกลิ่นตดไปแบบเต็ม ๆ แทบสลบเหมือดคาเครื่องบิน
คือ หลังจากเครื่องลงแล้ว น้องผมสองคนนั้น มันสามารถลงไปว่ายน้ำในคลองแสนแสบได้เลยสบาย ๆ กลิ่นน้ำเน่าในคลองแสนแสบทำอะไรมันสองคนไม่ได้แล้วแน่นอน T_T
ก็อยากมาเตือนเพื่อน ๆ ไว้นะครับ จะไปเที่ยว ให้ระวังกรุ๊ปทัวร์ประมาณนี้ให้ดี เพราะเขาไม่แคร์เรื่องตด ไม่แคร์เรื่องขาก อาจจะแคร์หากมาคนเดียว แต่นี่มาเป็นแก๊งค์ เค้าเลยไม่สนเพราะพวกเต็มเครื่อง T_T และคุณอาจจะเป็นผู้โชคดีเหมือนพวกผมก็ได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอนให้ผมรู้ว่า
นี่คือการขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต และกลิ่นตดที่อยู่ในเครื่องบิน มันสุดยอดกว่าอยู่บนพื้นดินเป็นไหน ๆ
สมันน้อย เบอร์ 14
แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 54 02:40:51
จากคุณ |
:
สมันน้อย เบอร์ 14
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มี.ค. 54 01:56:36
|
|
|
|