Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มองญี่ปุ่น ติดต่อทีมงาน

เราก็เป็นคนนึงคะ ที่ตั้งใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่น
เพราะนอกจากอยากเที่ยว ช๊อปปิ้ง กิน อยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเขา
อ่านบทสัมภาษณ์รู้สึกให้แง่สาระที่ดี เลยเอามาฝากเพื่อนในห้อง BP ได้อ่านกัน ^-^

------------------------

ผุสดี นาวาวิจิต นักแปลและล่ามมืออาชีพภาษาญี่ปุ่น บรรณาธิการเล่มสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เคยเป็นนักเรียนทุนศึกษาที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 ปี เรียนด้านวรรณกรรมเยาวชน และวรรณกรรมอังกฤษและอเมริกัน ระหว่างเรียนทำงานในสถานีวิทยุเอ็นเอชเคที่ญี่ปุ่นด้วย


เมื่อเดินทางกลับมา เธอทำงานหลายอย่าง เป็นผู้สื่อข่าวรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเทศไทยของสถานีเอ็นเอชเคอยู่สามปี และทำงานแปลวรรณกรรมญี่ปุ่นอยู่เรื่อยๆ มีผลงานกว่า 10 เล่ม อาทิ โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง, 4 ปีนรกในเขมร, บันทึกของผม, โมโมจัง และโต๊ะโตะจังกับโต๊ะโตะจังทั้งหลาย ฯลฯ เธอชื่นชอบวรรณกรรมของคุโรยานางิ เท็ตสึโกะ ผู้เขียนเรื่องโต๊ะโตะจัง...และแปลออกมาทุกเล่ม และอีกเล่มที่ยังไม่ได้แปลคือ เรื่องราวชีวิตของคุณแม่เท็ตสึโกะ


ระหว่างที่เกิดภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น เธอเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินบริจาคแก่คนญี่ปุ่น


ลองติดตามอ่านมุมมองของเธอเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น...

ทำงานคลุกคลีกับคนญี่ปุ่นมาตลอด รวมถึงแปลวรรณกรรมญี่ปุ่น แสดงว่ารู้จักคนญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง ?


เคยไปอยู่บ้านคนญี่ปุ่น จำได้ว่าเขาสอนอยู่สองเรื่องหลักๆ คือ เรื่องแรก...อย่าโกหก เพราะเขาคิดว่า การโกหกเป็นการเริ่มต้นของการเป็นโจร จะทำให้คนไม่เชื่อถือ และทำให้คนคนนั้นหมดคุณค่าความเป็นมนุษย์ และเรื่องที่สอง...อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเป็นคนไทยอาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา อย่างเพื่อนคนหนึ่งกำลังจะไปต่างประเทศ และเพื่อนอีกคนจะฝากซื้อของให้เจ้านาย ถ้าเป็นคนไทยการฝากซื้อของเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนญี่ปุ่นจะรู้สึกว่า ทำอย่างนั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เขาคิดว่า ทำไมต้องฝากซื้อของให้คนไม่รู้จัก



อีกเรื่องคือ ชาวตะวันตกหรือคนไทยเวลาทำธุรกิจกับคนญี่ปุ่นจะไม่เข้าใจว่า ทำไมคนญี่ปุ่นพูดกำกวม ไม่พูด yes หรือ no ให้ชัดเจน ยกตัวอย่างคนญี่ปุ่นจะพูดว่า “แล้วจะเก็บไปคิด” หรือ "จะพยายามมองไปข้างหน้า" นั่นหมายถึงกำลังจะปฏิเสธ หรือเวลาคนญี่ปุ่นพูดว่า "วันหลังไปเที่ยวบ้านฉันนะ" ถ้าพูดแบบนี้หมายถึงไม่ต้องไปเลย เป็นการชวนโดยมารยาท เพราะบ้านคนญี่ปุ่นเล็กๆ เขาไม่ค่อยชวนใครไปเที่ยวบ้าน ยกเว้นสนิทสนมกัน วัฒนธรรมญี่ปุ่นจะมีมรรยาทเยอะ เวลาไปเที่ยวบ้านคนญี่ปุ่นต้องมีของฝาก การซื้อของก็ต้องตั้งใจซื้อให้คนนั้นโดยเฉพาะ


คนทั้งโลกไม่ได้เห็นภาพน่ากลัวของเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น เป็นเพราะสื่อฯในญี่ปุ่นปฏิบัติตามหลักจริยธรรมอย่างเคร่งครัด ?


ไม่ได้เป็นการปิดข่าว แต่เป็นหลักจริยธรรมสื่อมวลชนของญี่ปุ่น แม้กระทั่งข่าวอาชญากรรมในญี่ปุ่นยังไม่โชว์ในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง จะอยู่ในหน้าสาม ถ้ามีรูป ต้องเป็นรูปไม่น่ากลัว สื่อที่นั่นจะคำนึงถึงผู้อ่านและผู้เสียหาย คนญี่ปุ่นเคยมาเห็นนักโทษไทยที่ออกไปทำงานสาธารณะ ซึ่งต่างจากในญี่ปุ่น จะไม่นำนักโทษออกไปข้างนอกให้คนเห็น และไม่มีการถ่ายภาพลงหนังสือพิมพ์หรือออกทีวี แม้พวกเขาจะต้องโทษ คนญี่ปุ่นคิดว่า ต้องรักษาความเป็นส่วนตัว พวกเขาไม่ได้เรียกคนเหล่านั้นว่า นักโทษเหมือนบ้านเรา จะเรียกว่าผู้รับโทษ ญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะคนพวกนั้นต้องกลับมาสู่สังคม ควรให้โอกาส แม้กระทั่งการสัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องกับคดีความใดๆ ก็ตาม ถ้าสื่อทีวีนำมาออกอากาศต้องเปลี่ยนเสียงไม่ให้คนจำได้


นั่นเป็นเรื่องของสื่อฯ แล้วเรื่องการหล่อหลอมเด็กๆ เป็นอย่างไร



จะให้ความสำคัญตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ฟังเพลงคลาสสิก แม่จะดูแลอย่างใกล้ชิด อ่านหนังสือให้ลูกฟัง หนังสือเล่มแรกของเด็กเอาไปอ่านในอ่างอาบน้ำได้ เมื่อเข้าอนุบาลก็เพื่อเล่นเกม ไม่ได้สอนการอ่านการเขียนเลย เด็กค่อยๆ จดจำเรื่องราวในชีวิต พอเข้าประถมจึงได้เรียนหนังสือ เด็กญี่ปุ่นจะได้อ่านหนังสือแปลดีๆ จากต่างชาติเยอะมาก มีวรรณกรรมตามช่วงอายุหรือเรื่องราวต่างๆ ที่เด็กควรรู้ในหนังสือเรียน


ส่วนใหญ่วรรณกรรมเยาวชนในญี่ปุ่นเน้นการสั่งสอนเรื่องง่ายๆ ?


ไม่เน้นสั่งสอนมากไป อย่างเรื่องเด็กหญิงน็อนจังกับลูกหมาจิ้งจอก ก็สอนแค่ให้รู้จักการช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า หรือโต๊ะโตะจังกับโต๊ะโตะจังทั้งหลาย


เป็นหนังสือที่เท็ตสึโกะ เขียนตอนเป็นทูตยูนิเซฟ เธอเดินทางไปเยี่ยมเด็กๆ ในประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาความยากจน เด็กๆ กลายเป็นผู้อพยพ เธอเล่าเรื่องเด็กๆ ด้วยมุมมองของเธอ ทั้งสนุกและอ่านง่าย ตอนนี้เท็ตสึโกะอายุกว่า 70 ปี เธอเป็นคนที่กระตือรือร้น พูดเร็ว น่ารักมาก ปัจจุบันเธอยังมีรายการทอล์คโชว์ของตัวเอง และมีงานที่ยุ่งมาก


เรื่องโต๊ะโตะจัง เป็นชีวิตจริงของเธอในหลายช่วงอายุ ล่าสุดเธอเขียนเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ น่าสนใจมาก ทางสถานีเอ็นเอชเค เคยนำชีวิตคุณแม่เธอไปทำละครทีวี เธอสัมภาษณ์คุณแม่เอง ตอนนั้นเธอบอกว่าคุณแม่จะอายุ 100 ปี แต่คุณแม่จากไปก่อนที่หนังสือจะเสร็จ ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจ และอยากแปลออกมา แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน


ทำไมประทับใจวรรณกรรมของคุโรยานางิ เท็ตสึโกะ?


จำได้ว่าช่วงที่เดินทางไปญี่ปุ่น มีคนแนะนำให้รู้จักช่างภาพของคุณเท็ตสึโกะ ระหว่างเตรียมการถ่ายภาพ เราได้คุยกัน และได้สอบถามบางตอนที่เธอเขียนเกี่ยวกับกิจกรรมเข้าจังหวะ ตอนนั้นวาดภาพท่าทางต่างๆ ของกิจกรรมไว้ในไดอารี่ด้วย เรามีความสนใจเรื่องสื่อฯและเด็กเหมือนกัน มีโอกาสได้รู้จักเธอมานานกว่า 25 ปี เวลาพูดถึงเด็กมีปัญหา ในฐานะคนทำงานวรรณกรรมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เด็ก แต่อยู่ที่ผู้ใหญ่


โต๊ะโตะจัง เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ประถมปีที่ 1 เพราะไม่เหมือนเด็กคนอื่น เวลาเธอวาดรูป จะวาดจนกระทั่งสีออกนอกขอบกระดาษติดโต๊ะ เธอชอบซักถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เปิดปิดโต๊ะเล่นเพราะที่บ้านไม่มี คุณครูก็เลยบอกว่า อย่าเปิดเล่น ถ้าจะเอาของใส่ค่อยเปิดโต๊ะ เธอก็เลยเปิดเอาดินสอใส่แล้วปิด-เปิดอยู่เรื่อยๆ คนก็คิดว่าเป็นเด็กมีปัญหา คุณครูจึงบอกแม่ของเธอให้พาไปเข้าโรงเรียนอื่น


เรื่องนี้สะท้อนว่า ครูที่ดูแลเด็กเล็กดูไม่ออกว่าเด็กคนนี้มีความสามารถพิเศษอะไร แทนที่จะให้เหมือนคนอื่น ก็ควรเพิ่มความสามารถให้เด็กหรือให้เขาดีเด่นในทางของเขา เมื่อโต๊ะโตะจังย้ายโรงเรียน ห้องเรียนโรงเรียนใหม่ของเธอเป็นตู้รถไฟ มีเรื่องราวมากมายให้เด็กค้นหาตลอดเวลา เพราะในญี่ปุ่นการดูแลเด็กในโรงเรียนอนุบาลมีสองแนว คือ แนวเตรียมความพร้อมจะสอนให้เด็กอยู่กับคนอื่น เพราะพ่อแม่บางคนมีลูกคนเดียว เด็กจึงไม่รู้เรื่องมรรยาทของสังคมโดยรวม เด็กบางคนไม่รู้ว่าของเล่นต้องแบ่งปันและต้องเก็บเข้าที่ ส่วนอีกแนวจะสอนหนังสือตั้งแต่อยู่อนุบาล เพราะพ่อแม่อยากให้เรียนหนังสือ


หลายคนพูดถึงการเตรียมพร้อมในภาวะฉุกเฉินของญี่ปุ่น คุณมีความเห็นอย่างไร


ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในวงแหวนแห่งไฟ แผ่นดินไหวบ่อยมาก คนญี่ปุ่นจึงมีประสบการณ์เรื่องนี้ เมื่อหลายสิบปีเคยมีแผ่นดินไหวใหญ่ ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ทุกคนใช้เตาผิงโบราณคือ ใช้น้ำมันแก๊ส พอแผ่นดินไหวเตาคว่ำ แก๊สระเบิดเกิดไฟไหม้ใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนญี่ปุ่นระมัดระวัง จึงต้องมีการซ้อมในภาวะฉุกเฉินทุกปี และต้องมารวมตัวในที่กว้าง อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ที่ภาคกลางคือ คันโต (ปี 2466) ทำให้พวกเขาต้องซ้อมในภาวะฉุกเฉินทุกปี ทุกคนต้องมีหมวกหนีภัย สมัยก่อนเหมือนหมวกผ้านวม ต้องมีอาหารแห้ง ไฟฉาย และวิทยุไว้ฟังข่าว



เพราะคนญี่ปุ่นถูกสอนว่า อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน จึงไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร ตอนที่แผ่นดินไหวที่โกเบ ปี 2538 วิทยุชุมชนมีส่วนช่วยได้มาก ตอนนั้นเกิดอาสาสมัครจากที่อื่นมาช่วยเหลือกัน ปกติคนญี่ปุ่นในเมืองใหญ่จะต่างคนต่างอยู่ คำว่า อาสาสมัครเพิ่งเกิดในช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว ยกตัวอย่างมีเด็กมัธยมอาสาช่วยชงนมให้เด็กเล็ก ช่วยคนตามหาญาติ


ทำให้คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการทำงานแบบอาสาสมัครมากขึ้น ?


คนญี่ปุ่นที่เคยเดินทางมาเมืองไทย มักจะแปลกใจ ทำไมเมืองไทยมีคอนเสิร์ตการกุศลหรือรายการการกุศลบ่อยมาก ในญี่ปุ่นจะมีการบริจาคแค่ปีละครั้ง ไม่ค่อยมีการบริจาคเพื่อคนในประเทศตัวเอง แต่ตอนนี้คนญี่ปุ่นเริ่มเข้าใจเรื่องการบริจาค เพราะมีการสูญเสียมาก ทำให้คนญี่ปุ่นเปลี่ยนไป



แล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ต่างจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมาอย่างไร


แม้ไม่เกิดภัยพิบัติ แค่เหตุการณ์รถไฟสไตรค์ ถ้าเป็นคนไทยก็จะบอกว่า ดี...ไม่ต้องไปทำงาน แต่คนญี่ปุ่นจะเดินไปตามทางรถไฟเพื่อไปทำงาน เพราะพวกเขาถือว่าเป็นความรับผิดชอบ ส่วนเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อรัฐมีมาตรการประหยัดไฟ คนญี่ปุ่นก็ช่วยกันประหยัดไฟ แค่เปิดทีวีดูข่าวสาร ไม่ใช้ไฟฟ้าทำอย่างอื่น ส่วนสถานีข่าวเอ็นเอชเค ก็รายการข่าวเรื่องภัยพิบัติตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ถ้ามีคนญี่ปุ่นเกี่ยวข้อง ก็ต้องนำเสนอข่าวสาร ปกติแล้วคนทำงานข่าวเอ็นเอชเคจะอายุสั้นเพราะเครียด เนื่องจากทุกอย่างแข่งกับเวลาเป็นวินาที ถ้าเป็นข่าวสารที่เกี่ยวกับคนญี่ปุ่น พวกเขาจะต้องรู้เรื่องนั้นทันที ซึ่งเป็นนิสัยคนญี่ปุ่น


จากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนญี่ปุ่นเชื่อมั่นรัฐบาลมากน้อยเพียงใด



ค่อนข้างเชื่อมั่นรัฐบาล แม้เหตุการณ์ครั้งนี้สูญเสียมาก แต่พวกเขาต้องสู้ต่อไป ทุกคนต้องนับหนึ่งใหม่ สถานการณ์ตอนนี้อาหารการกินลำบากมาก บางแห่งน้ำหนึ่งขวดเล็กต้องดื่มสองคน อากาศก็หนาว เขาต้องการผ้าห่ม ซึ่งรัฐบาลไทยส่งไปแล้ว ยารักษาโรคและนมสำหรับเด็กเขาก็ต้องการ ในญี่ปุ่นมีลานสกีแห่งหนึ่งนำเสื้อสกีไปบริจาคให้คนที่ได้รับความเดือดร้อน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว มีคนจำนวนมากเหลือแค่เสื้อผ้าชุดเดียว ตอนนี้คนไม่มีบ้านต้องไปอยู่รวมกันในสถานที่พักพิงประมาณ 280,000 คน


เพื่อนๆ ที่รู้จักในญี่ปุ่น มองอนาคตต่อไปอย่างไร


เพื่อนที่อยู่โตเกียวได้คุยกันบ่อยๆ เธอบอกว่า “ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน” คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอ ถ้าแค่แผ่นดินไหว เมื่อเหตุการณ์สงบ พวกเขาบอกว่า สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องกัมมันตภาพรังสี เขาบอกว่า ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบกับชีวิตไปอีกกี่ปี





โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
Life Style : Society
วันที่ 26 มีนาคม 2554
By : bangkokbiznews.com

จากคุณ : หมีเฉย
เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 54 12:35:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com