"เพราะออกเดินทางจึงมีเรื่องเล่า>อัมสเตอร์ดัม เมืองเนยแข็ง และกังหันลม"
|
 |
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
คิดถึงเพื่อนๆทุกๆคนนะคะ วันนี้แอบมานั่งรีวิวทริปเมืองกังหันตอนดึกๆ และแล้วเวลาก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีค่ะ วันหยุดพักร้อน 3 อาทิตย์กำลังจะจบลงค่ำคืนนี้ แต่ไม่เสียใจหรอกนะคะ แค่เสียดายนิดๆ 555 โรคสันหลังยาวกำลังกำเริบค่ะ ฮิฮิ
ดิฉันมีโอกาสไปเมืองอัมสเตอร์ดัมมาค่ะ และเลยไปเมือง Alkmaar ซึ่งเป็นตลาดซื้อ-ขายเนยแข็งโบราณ และก็ไปกรุงเฮกมาค่ะ ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้อยู่ในแผนค่ะ หลังจากที่ซื้อตั๋วและจองโรงแรมไป Budapest เรียบร้อยแล้วก็คิดว่าตัวเองน่าจะไปที่ไหนอีกสักที่ ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะไปเบอร์ลินหรือไม่ก็สต็อกโฮมส์ค่ะ แต่เนื่องด้วยหาตั๋วและโรงแรมราคาที่ตัวเองถูกใจไม่เจอ มันเลยไปลงเอยที่อัมสเตอร์ดัมค่ะ
ตลอดระยะการเดือนทางในเมืองนี้และเมืองอื่นๆ มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ มีบทเรียนบทใหม่ๆเกิดขึ้น มีมิตรภาพมากมายที่ทำให้ปลื้มใจ และก็มีเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดอีกเช่นกัน
ขออนุญาตเล่าเรื่องมิตรภาพดีๆหน่อยนะคะ ก้าวแรกที่ไปถึงสนามบินและกระโดดขึ้นรถไฟฟ้าเข้ามาในเมือง ตอนนั้นหาที่ตอกบัตรไม่เจอค่ะ คือเวลาซื้อตั๋วรถไฟแล้วก่อนจะขึ้นมาก็ต้องตอกตั๋วก่อนค่ะ (ที่โคเปนเฮเกนก็เป็นแบบนี้ค่ะ) แต่ตอนที่ไปถึงที่นั่นมันสามทุ่มจะครึ่งแล้วค่ะ รถไฟกำลังจะออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าค่ะ กระโดดขึ้นรถไฟโดยที่ตั๋วไม่ได้ตอก ตั้งใจว่าถ้านายตรวจมาก็จะใช้มารยาหญิงเนี่ยแหล่ะ จะบอกว่าหาที่ตอกตั๋วไม่เจอจริงๆ และก็ไม่มีเงินค่าปรับสักยูโรเดียวเลยค่ะ ถ้าเป็นคราวซวยจริงๆนี่ อาจจะโดนปรับหลายร้อยยูโรก็ได้ค่ะ เคนเห็นมากับตาคราวไปโรม มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคนโดนนายตรวจปรับไปหลายร้อยยูโรเลยค่ะ เหตุเพราะไม่ได้ตอกบัตรนั่นเอง แต่คราวนั้นโชคดีที่หาที่ตอกตั๋วเจอค่ะ
รถไฟวิ่งมาประมาณป้ายนึง ดิฉันบอกตามตรงว่าใจคอไม่ดี กลัวนายตรวจมามากๆ นี่แหล่ะหนาคนทำความผิด กรรมตามทันจริงๆ แต่โชคยังเข้าข้างที่นายตรวจไม่มาตรวจค่ะ สงสัยจะเพราะดึกแล้ว ในรถไฟฝั่งตรงข้าม มีคุณลุงใจดีท่านึงนั่งมาด้วย ในตู้นั้นมีเราแค่สองคนค่ะ คุณลุงพูดภาษาอังกฤษได้ดี และดิฉันก็เล่าถึงปัญหาของตัวเองให้ฟัง คุณลุงบอกว่าไม่เป็นไรมากหรอก เธอเป็นนักท่องเที่ยว อีกอย่างก็มีตั๋วในมือ ดิฉันจึงบอกว่าหาที่ตอกตั๋วไม่เจอค่ะ และลุงแกบอกว่าที่ตอกตั๋วอยู่ตรงไหนหรือค่ะ ลุงตอบมาว่ามันอยู่ชั้นบนก่อนที่เธอจะเดินลงมาชั้นใต้ดินจ้า ดิฉันเลยถึงบางอ้อ แล้วคุณลุงก็อวยพรให้ดิฉันมีวันเวลาดีๆในเมืองอัมสเตอร์ดัม ขอบคุณการต้อนรับที่อบอุ่นนะคะ
มิตรภาพถัดมา ไปเดินถ่ายรูปในเมือง แล้วก็ไปเจอเด็กไทย 2 คนมาเที่ยวด้วยกัน ดิฉันเห็นเขายืนผลัดกันถ่ายรูป จึงอาสาเข้าไปช่วย เราแลกรอยยิ้มให้กันและกัน และดิฉันบอกน้องไปว่าถ้ามาโคเปนเฮเกนเมื่อไหร่ให้บอก จะพาเที่ยวค่ะ
มิตรภาพสุดท้าย เป็นมิตรภาพจากสามีภรรยาชาวรัสเซียค่ะ ดิฉันไปเดินวนอยู่ในกรุงเฮก เมืองไม่ได้ใหญ่มากค่ะ แต่ทำแผนที่ได้งงมากๆ ดิฉันเลยเดินเข้าไปในร้านขายของชำร้านนึง หน้าร้านมีตุ๊กตารัสเซียวางขายอยู่ค่ะ เดนเข้าไปสำรวจพบว่ามีพวกกุญแจตุ๊กตารัสเซียห้อยขายอยู่ น่ารักมากๆ แถมราคาก็ไม่แพง เลยอุดหนุนมา 2 อันค่ะ และที่ตั้งใจก็คือจะถามทางน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่จุดไหนของแผนที่ คือหาชื่อถนนไม่เจอค่ะ หญิงชาวรัสเซียยิ้มอย่างใจดีและบอกว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่อง แต่เรียกสามีซึ่งยืนอยู่ด้านในร้านมาบอกทางให้ หญิงรัสเซียใจดีท่านนั้นยังแถมที่ห้อยโทรศัพท์เป็นรูปตุ๊กตารัสเซียตัวเล็กๆให้อีกหนึ่งด้วยค่ะ ดิฉันอึ้งไปหนึ่งวิ แล้วก็รีบขอบคุณรับน้ำใจมาค่ะ ระหว่างที่ดิฉันพูดคุยกับสามีของเธอถึงเรื่องทาง เธอก็เดินหายไปทางหลังร้านและกลับมาด้วยช็อคโกแลตจากรัสเซียหนึ่งถุง คราวนี้ดิฉันทึ้งไปอีกสิบวิค่ะ ไม่คิดว่าเธอจะใจดีมากมาย
วันแรกและวันที่สองดิฉันอยู่ที่อัมสเอตร์ดัมค่ะ วันที่สองไปกรุงเฮกมาค่ะ ส่วนวันสุดท้ายไปเมือง Alkmaar ซึ่งมีตลาดซื้อ-ขายเนยแข็งโบราณค่ะ เป็นทริปที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมเยอะเลยค่ะ ^__^
เล่าถึงเรื่องแย่ๆบ้างค่ะ อาจจะเป็นเรื่องที่ดิฉันไม่ทันระวังตัวเอง บวกกับเป็นคนมองโลกในแง่ดี และทำงานด้านดูแลคนชรา วันนั้นไปตลาดเนยแข็งแต่เช้าตรู่ เลยมีเวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเริ่มทำการสาธิตการซื้อ-ขายเนยแข็ง ดิฉันจึงไปเดินหากาแฟกับขนมปังในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เดินตามหาขนมปังอยู่นั่นก็มีคุณตาท่านหนึ่งเดินผ่านไป ยิ้มให้ และพูดอะไรสักอย่างนี่แหล่ะค่ะ ดิฉันเดาว่าแกคงจะสวัสดีตอนเช้าเป็นภาษาดัชท์แน่ๆ ดิฉันจึงยิ้มตอบและไม่ได้สนใจแกอีก ถึงคราวที่ดิฉันจะมากดกาแฟกับเครื่องทำกาแฟ มันมีแต่ภาษาดัชท์ค่ะ เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง พอดีจังหวะที่ตาคนนั้นเดินมาพอดี (ที่จริงแกน่าจะจงใจเดินมาหาดิฉันมากกว่า) ดิฉันจึงบอกว่ากดกาแฟไม่เป็น มันมีแต่ภาษาดัชท์ ลุงแกจึงจัดการให้ ดิฉันคิดว่าลุงแกมีน้ำใจจัง แล้วแกก็ยื่นมือมาเพื่อแสดงการทักทาย ด้วยที่การแสดงการทักทายโดยการจับมือของชาวตะวันตกเป็นอะไรที่ดิฉันชินเพราะอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว จึงไม่คิดมากอะไร และยื่นมือไปจับกับมือแก
เรื่องแย่ๆจึงเกิดขึ้น เพียงไม่ถึงสองวินาที แกก็ดึงมือดิฉันไปหอบ ตอนนั้นโกรธเลือดขึ้นหน้าเลยค่ะ กะจะง้างมือซ้ายไปตบแกสักฉาด แต่ก็ไม่ได้ทำ สัณชาติญาณแรกคือชักมือตัวเองกลับมาทันทีค่ะ และก็พูดว่าไม่ออกไปดังๆพร้อมสีหน้าที่โกรธจัดมากๆ และบอกลุงแกไปว่าถ้ายังไม่ไปฉันจะโทรแจ้งตำรวจนะ แล้วลุงแกก็เดินจากไปค่ะ ดิฉันต้องรอสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าลุงแกไปไกลแล้วแน่ๆ จึงได้ออกจากซุปเปอร์แห่งนั้นมา
ถึงทริปนี้จะมีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่มันก็เป็นภูมิต้านทานอย่างดีให้กับเราค่ะ เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียว ต้องระวังตัวเป็นร้อยเท่าค่ะ จากทริปนี้เลยตั้งกฏเหล็กให้ตัวเองว่าจะไม่ยื่นมือไปจับมือใครอีกเป็นอันขาด
พูดมาซะนาน พาเพื่อนๆไปดูรูปจากทริปนี้กันดีกว่าค่ะ รูปแรกเป็นช็อคโกแลตที่ได้มาฟรีค่ะ
แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 05:02:51
จากคุณ |
:
sunisaogkim
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ส.ค. 54 02:29:51
|
|
|
|