ความคิดเห็นที่ 1 เมืองน่ารักเก๋ไก๋มีสไตล์เป็นของตัวเอง สัมผัสแรกที่มีความรู้สึกต่อเมืองน่าน หากจะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือให้ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริงนั้น คงต้องบอกได้คำเดียวว่ายาก เพราะไม่รู้จะนิยามเมืองงามเช่นนี้ได้อย่างไรดี เอาเป็นว่าถ้าจะหาสักหนึ่งถ้อยคำมาจำกัดความกันจริงๆ แล้วละก็ ขอใช้คำว่า “chic” คงพอเหมาะพอดีกับภาพรวมของเมืองน่าน และที่สำคัญความหมายน่าจะสอดคล้องกับยุคสมัยของการท่องเที่ยวในปัจจุบันเป็นอย่างดี แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 21:26:53 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 21:24:40 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:13:25

ความคิดเห็นที่ 2 จำได้ว่าความคิดที่จะเดินทางไปยังเมืองน่านในครั้งนั้นเพราะตัวเองเบื่อเชียงใหม่ แต่มิได้หมายความในแง่ไม่ดีประการใด ทว่าช่วงเวลาของชีวิตในขณะนั้นหายใจเข้าออกเป็นเชียงใหม่ตลอดเวลา เดินทางกันอย่างน้อยเดือนละครั้งเลยทีเดียว ยิ่งช่วงปลายปีซึ่งนับเป็นช่วงเวลาแห่งสีสันของเมืองเหนือในฤดูหนาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางเดือนไปถึงสามครั้งเลยเชียวแหละ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:22:59

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อมาก็มีเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้ต้องไปเมืองน่านให้จงได้ นั่นก็คือ อยู่มาวันหนึ่งหยิบธนบัตรใบละหนึ่งบาทที่แม่ให้ไว้เป็นของสะสมขึ้นมาดู เห็นด้านหลังเป็นรูปวัดที่มีพญานาคทอดตัวยาวตามเชิงบันไดลงมาทั้งสองข้าง ก็เกิดความชอบขึ้นมาเพราะมันแปลกดี ไม่เคยเห็นวัดที่อื่นมีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ด้วยความสนใจใคร่รู้อยากไปเห็นของจริงกับสองตาตนเอง ชีพจรจึงลงเท้าขึ้นมาในบัดดล ตัดสินใจเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางไปเมืองน่านทันที จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:36:52

ความคิดเห็นที่ 4 ตามมาเที่ยวน่านเมื่อแต่ก่อนด้วยครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:37:34

ความคิดเห็นที่ 5 สัมผัสแรกกับภาพจริงของวัดภูมินทร์ ในที่สุดก็ได้มาเห็นกับตาว่าวัดงามนาม “วัดภูมินทร์” แห่งถิ่นล้านนาตะวันออกงดงามเช่นไร จึงไม่แปลกใจเลยที่รัฐบาลไทยในสมัยนั้นนำไปใส่ไว้ในธนบัตรดังกล่าว ผมคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ สู่พี่น้องชาวไทยให้รับรู้ไว้ว่า บ้านเมืองของเรานั้นมีของดีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกถิ่นที่นั่นเอง และเมืองน่านก็เป็นเมืองหนึ่งซึ่งมีของดีที่มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมเป็นของตนเองไม่น้อยหน้าไปกว่าเมืองอื่น จนกระทั่งต้องนำภาพมาบรรจุไว้ในธนบัตรกันเลย และก็ในความคิดของผมอีกนั่นแหละว่า การสื่อสารดังกล่าวนี้ได้ผล อย่างน้อยที่สุดก็มีผมคนหนึ่งล่ะที่ตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองน่าน เพราะได้รับรู้ผ่านทางด้านหลังธนบัตรใบละหนึ่งบาทนั่นเอง ในภาพ: วัดภูมินทร์ ปีพ.ศ. 2539 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:54:50 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:45:00

ความคิดเห็นที่ 6 ยินดีครับคุณ เล็กทาโร่ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:45:33

ความคิดเห็นที่ 7 วัดภูมินทร์ปี 2549 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:47:41

ความคิดเห็นที่ 8 นอกจากรูปลักษณ์อันงดงามของพระอุโบสถและพระวิหารซึ่งสร้างเป็นอาคารทรงจตุรมุขหลังเดียวกันแล้ว ของดีที่ซ่อนอยู่ภายในก็งดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นก็คือ พระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานชุกชีหันหน้าออกไปทางประตูทั้งสี่ทิศ โดยมีเบื้องพระปฤษฎางค์(หลัง) ชนกัน ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเมืองไทยซึ่งหาชมที่อื่นใดไม่ได้อีกแล้ว จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:49:40

ความคิดเห็นที่ 9 ของดีอีกประการหนึ่งก็คือภาพ “ปูม่าน ย่าม่าน” ภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงามของเมืองน่าน และดูเหมือนว่า ภาพจิตรกรรมภาพนี้มักจะปรากฏอยู่ตามนิตยสาร เวบไซต์ ตลอดจนเอกสารต่างๆ ที่แนะนำเรื่องการท่องเที่ยวของเมืองน่าน จนเรียกได้ว่านี่คืออีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้ก็ไม่ผิดนัก และผมเองเชื่อว่า แทบทุกคนที่รักการท่องเที่ยว จะต้องหาโอกาสเดินทางไปสัมผัสด้วยตนเองอย่างน้อยที่สุดก็สักครั้งหนึ่งให้จงได้ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:50:27

ความคิดเห็นที่ 10 ศาสนสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งก็คือ วัดพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งถือเป็นวัดประจำจังหวัดน่านแห่ง และยังเป็นวัดประจำปีเกิดสำหรับคนที่เกิดปีเถาะอีกด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:51:09

ความคิดเห็นที่ 11 ู^ ^ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:51:45

ความคิดเห็นที่ 12 ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นที่บรรจุของวิเศษซึ่งพระยาการเมือง (เจ้าผู้ครองนครน่านสมัยนั้น) ได้รับการปูนบำเหน็จจากการช่วยพระยาโสปัตตกันทิ (เจ้าเมืองสุโขทัย) สร้างวัดหลวงอุทัยจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งของวิเศษทั้งหมดนั้นได้แก่ พระธาตุเจ้า 7 องค์ โดยสัณฐานว่า คล้ายเมล็ดผักกาด วรรณแก้ว 2 องค์ วรรณมุก 3 องค์ วรรณเท่าเมล็ดงาดำ 2 องค์ พร้อมพระพิมพ์คำ (ทองคำ) 20 องค์ พระพิมพ์เงิน 20 องค์ (ขอบคุณข้อมูลจาก ตำนานพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่เลยครับ) http://www.nan.go.th/webjo/index.php?option=com_content&view=article&id=31:2009-07-10-09-24-40&catid=25:2009-07-10-09-17-24&Itemid=14) จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:53:07

ความคิดเห็นที่ 13 หลังจากนมัสการพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกันเสร็จแล้ว เราก็ย้อนกลับมาเที่ยวชมวัดงามในเมือง กันใหม่ คราวนี้เริ่มจากการนมัสการเสาหลักเมืองน่านและ วัดมิ่งเมือง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:53:46

ความคิดเห็นที่ 14 ู^ ^ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:54:20

ความคิดเห็นที่ 15 วัดช้างค้ำวรวิหาร หรือเดิมชื่อวัดหลวงกลางเวียง ตั้งอยู่เยื้องกับวัดภูมินทร์ ซึ่งเจ้าผู้ครองนครน่าน “พญาภูเข่ง” เป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1949 มีพระวิหารหลวงขนาดใหญ่ตามแบบสถาปัตยกรรมทางภาคเหนือ และมีเจดีย์ช้างค้ำซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ประดิษฐานอยู่ด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:55:22

ความคิดเห็นที่ 16 พระประธานในพระวิหารหลวง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:56:49

ความคิดเห็นที่ 17 อีกมุม จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:57:29

ความคิดเห็นที่ 18 มองจากภายนอกพระวิหาร จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:59:09

ความคิดเห็นที่ 19 มัคคุเทสก์น้อยที่เล่าเรื่องประวัติของวัดให้ฟัง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:02:18

ความคิดเห็นที่ 20 วัดหัวข่วง อยู่บริเวณสี่แยกตรงกันข้ามกับหอคำ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน และวัดภูมินทร์ มีลักษณะศิลปกรรมท้องถิ่นแบบล้านนา สกุลช่างเมืองน่าน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:03:35

ความคิดเห็นที่ 21 แต่ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใด มีเพียงหลักฐานว่าได้รับการบูรณะโดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าเมืองน่าน ราวพ.ศ. 2425 และอีกครั้งในปี 2472 โดยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:04:05

ความคิดเห็นที่ 22 นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีหอไตรเก่าลักษณะงดงาม คล้ายวิหารขนาดเล็ก แต่ทรงสูง ตั้งอยู่ใกล้เจดีย์อีกด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:05:21

ความคิดเห็นที่ 23 วัดศรีพันต้น จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:06:49

ความคิดเห็นที่ 24 วัดพระธาตุเขาน้อย อีกหนึ่งศาสนสถานสำคัญของเมืองน่าน สันนิษฐานว่าวัดนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้เมื่อปีพ.ศ. 2523 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:07:52

ความคิดเห็นที่ 25 วัดพระธาตุเขาน้อย ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 240 เมตร มีพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ นามว่า "พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน" สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 ขึ้นมาบนนี้อากาศเย็นสบาย และยังได้ชมวิวอันงดงามของเมืองน่านอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:59:20 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:58:15 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:08:31

ความคิดเห็นที่ 26 วิหารพระเจ้าทันใจ และองค์พระธาตุเขาน้อย แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 54 00:03:09 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:09:04

ความคิดเห็นที่ 27 มุ่งสู่น่านเหนือ จากเมืองน่าน มุ่งหน้าขึ้นเหนือโดยใช้เส้นทางน่าน-ท่าวังผา แวะชมแหล่งทอผ้าพื้นเมืองอันงดงาม “ผ้าลายน้ำไหล” ซึ่งเป็นแหล่งทอผ้าอันเลื่องชื่อของเมืองน่าน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:10:22

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นผ้าทอมือที่งดงามมาก แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:54:00 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:12:14

ความคิดเห็นที่ 29 บ้านของชาวไทลื้อ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:13:00

ความคิดเห็นที่ 30 ใกล้กันยังมีวัดเก่าแก่และงดงามของหมู่บ้านอายุราวร้อยกว่าปี (สันนิษฐานว่าสร้างราว พ.ศ. 2405) จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:13:32

ความคิดเห็นที่ 31 ภายในพระอุโบสถเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องราว “ปัญญาสชาดก” ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของ พระพุทธเจ้า นอกจากนี้ในภาพจิตรกรรมยังสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแต่งกายของสตรีในชุดผ้าซิ่นลายน้ำไหล งามเกินกว่าจะบรรยายยิ่งนัก จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:14:02

ความคิดเห็นที่ 32 เสียดายที่ภาพบางส่วนเริ่มหลุดลอกไปตามกาลเวลา จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:16:23

ความคิดเห็นที่ 33 เที่ยววัดกันมามากแล้วหลายคนอาจสงสัยว่า ของดีเมืองน่านนั้นมีแต่วัดงามเพียงเท่านั้นเองหรือ? อย่ากระนั้นเลย เราไปสัมผัสธรรมชาติอันงดงามของเมืองน่านกันบ้างดีกว่า จากวัดหนองบัวหมู่บ้านไทลื้อ เราตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ “ดอยวาว” อดีตสมรภูมิรบอันสำคัญอีกแห่งหนึ่ง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับฝ่ายรัฐบาล สงครามแห่งอุดมการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งท้ายที่สุด ก็เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของกาลเวลา จวบจนกระทั่งปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว อันงดงามซึ่งรู้จักกันในนาม อุทยานแห่งชาตินันทบุรี ที่ซึ่งมีความหลากหลายและงดงามทางธรรมชาติ อีกแห่งหนึ่งของเมืองน่านและประเทศไทย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:17:21

ความคิดเห็นที่ 34 หากใครที่ชื่นชอบและมักรอคอยชมภาพของแสงสุดท้ายแห่งวัน ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้นั้น งดงามไม่แพ้ที่อื่นใดเลยทีเดียว จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:18:04

ความคิดเห็นที่ 35 อาทิตย์อัสดงเหนือยอดดอยผาจิ-ผาช้าง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:18:27

ความคิดเห็นที่ 36 บรรยากาศยามเช้าก่อนเริ่มต้นวันใหม่ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:19:19

ความคิดเห็นที่ 37 แสงแห่งรุ่งอรุณก็สวยสดงาม เหนือคำบรรยายอีกเช่นกัน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:20:00

ความคิดเห็นที่ 38 และที่สำคัญ หากเดินทางมาในช่วงฤดูหนาว ที่ดอยวาวแห่งนี้ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีดอกพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยเบ่งบานให้ได้ชมเช่นเดียวกัน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:20:42

ความคิดเห็นที่ 39 บนเส้นทางสายภูเขา จากอุทยานแห่งชาติดอยวาวเราย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมกระทั่งถึงอำเภอท่าวังผา จากนั้นมุ่งหน้า ขึ้นเหนือตามเส้นทางหมายเลข 1080 สู่อำเภอปัว โดยมีจุดหมายอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:22:15

ความคิดเห็นที่ 40 หากใครมาตรงกับช่วงฤดูกาลก็จะได้ชมไฮไลต์สำคัญของที่นี่ นั่นคือดอกชมพูภูคาเบ่งบานให้เห็นเป็นบุญตา แต่กระนั้นก็ตามหากว่าจังหวะเวลาชีวิตของอีกหลายคนอาจไม่ตรงกับฤดูของชมพูภูคาก็ไม่เป็นไร ที่นี่ยังมีธรรมชาติอื่นอีกมากมายให้ได้สัมผัสและชื่นชม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวดอกพญาเสือโคร่ง จะเบ่งบานเต็มลานดูดาวไปหมด บรรยากาศยามนั้นมันช่างโรแมนติกเกินกว่าจะบรรยายเสียจริง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:23:43

ความคิดเห็นที่ 41 แนวตั้งบ้าง.. จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:29:59

ความคิดเห็นที่ 42 อาทิตย์อัสดงของที่นี่ก็งดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หนำซ้ำไม่ต้องเดินไปไหนไกลด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:30:54

ความคิดเห็นที่ 43 แค่นั่งรอเวลาตรงศาลาชมวิว ณ ลานดูดาว เพียงเท่านี้เราก็จะได้พบกับช่วงเวลาอัศจรรย์ของสีสันแห่งธรรมชาติอย่างเต็มตา จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:31:41

ความคิดเห็นที่ 44 ^ ^ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:32:42

ความคิดเห็นที่ 45 งดงามเกินกว่าจะบรรยาย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:33:36

ความคิดเห็นที่ 46 อรุณรุ่งของวันใหม่คืบคลานเข้ามาทักทาย แม้ว่าอากาศยามเช้าบนดอยสูงแห่งนี้จะหนาวเหน็บสักเพียงไร สุดท้ายก็ต้องยอมกลั้นใจออกไปสัมผัสกับมัน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:34:33

ความคิดเห็นที่ 47 แปลกดีเหมือนกันนะ ขณะที่อยู่ในเมืองหลวง หากเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ ถ้าไม่มีภารกิจหน้าที่ที่จะต้องออกไปทำแล้วละก็ การนอนต่อถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:35:10

ความคิดเห็นที่ 48 อรุณสวัสดิ์นักเดินทาง.. ^ ^ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:36:22

ความคิดเห็นที่ 49 หลังจากกิจวัตรประจำวันผ่านไป จุดหมายใหม่ก็ถูกกำหนดขึ้นมาในเส้นทาง แต่คงอีกไม่นานหรอกที่เราจะกลับคืนมาที่นี่ กลับมานอนฟังเสียงสายลมหวีดหวิวโบกพลิ้วสะบัดพัดยอดไม้ทักทายหมู่สกุณา มานอนดูดวงดาราเปล่งประกายระยับระยิบกะพริบแสงอยู่ในม่านแห่งรัตติกาลหม่นมัว มานั่งดูสายหมอกเคลื่อนคล้อยลอยไปทั่วทั้งหุบดอย มานั่งรอคอยช่วงรอยต่อแห่งวารวันเพื่อส่งดวงตะวันและชมสีสันอันงดงามสุดบรรยาย หรืออาจมานั่งปล่อยใจให้คิดถึงใครคนนั้น.. สุดแท้แต่ความต้องการของแต่ละคน ไปก่อนนะ "ลานดูดาว" จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:41:57

ความคิดเห็นที่ 50 มุ่งหน้าสู่อำเภอบ่อเกลือ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:42:46

ความคิดเห็นที่ 51 ไปชมกรรมวิธีผลิตเกลือภูเขาแบบดั้งเดิม จำได้ว่าครั้งแรกที่ยินชื่อเมือง ในหุบเขาแห่งนี้ ยังแปลกใจอยู่ในทีเลยว่าที่นี่มีเกลือด้วยหรือ แล้วถ้ามีเขาทำกันเช่นไร เพราะที่ผ่านมาเคยแต่ได้เห็น การทำนาเกลือแถวมหาชัยและแม่กลอง กระทั่งได้สัมผัสกับสายตาของตนเองนั่นแหละ ความสงสัยทั้งหลายก็คลี่คลายลงในบัดดล เปรียบเหมือนดั่งคนหลงได้เจอกับแสงสว่างเลยทีเดียว เกลือที่นี่เป็นเกลือสินเธาว์ หรือเกลือหิน ซึ่งแตกต่างจากเกลือสมุทร (sea salt) ตามเมืองชายทะเลต่างๆ สำหรับกรรมวิธีผลิตเกลือของที่นี่ที่เรียกว่าเป็นแบบดั้งเดิมหรือแบบโบราณนั้นคือ จะใช้หินถ่วงปลายไม้ไผ่ยาวๆ ไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นกระป๋องผูกเชือกสำหรับหย่อนลงไปตักน้ำเกลือขึ้นมาจากบ่อ ซึ่ง ความลึกของบ่อก็ราว 20-30 เมตร (กะเอาเองนะครับ) จากนั้นนำมาเทลงในกระทะสำหรับต้มให้เต็ม กว่าจะนำน้ำเกลือมาเทจนเต็มกระทะต้องใช้ระยะเวลาสักพักใหญ่เลยทีเดียว เห็นแล้วต้องขอชื่นชมในความ มานะอุตสาหะของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง การต้มเกลือจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นก็จะนำไปผึ่งไว้ให้เย็นและเติมไอโอดีนลงไป เพื่อให้ได้สารอาหารเช่นเดียวกับเกลือสมุทร ปัจจุบันหลงเหลือชาวบ้านอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงหาเลี้ยงชีวิตด้วยการทำอาชีพนี้ การได้มาเยือนบ่อเกลือนับได้ว่าคุ้มค่ามากทีเดียว เพราะได้ช่วยเปิดโลกทัศน์อีกด้านหนึ่งซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยในชีวิต โลกนี้มีอะไรอีกมากมายให้เราได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ขอเพียงแค่ว่าเราเปิดใจไว้ให้พร้อมเท่านั้นเป็นพอ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:44:30

ความคิดเห็นที่ 52 ทัศนียภาพบริเวณบ่อเกลือ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:45:12

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่ไกลกันจากอำเภอบ่อเกลือ เป็นที่ตั้งของพระตำหนักภูฟ้า และศูนย์ภูฟ้าพัฒนาตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่สำคัญมีบริการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวในราคาที่เหมาะสมอยู่ด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:53:30

ความคิดเห็นที่ 54 บรรยากาศห้องพักที่นี่งดงามและเงียบสงบมาก หากอยากสัมผัสบรรยากาศท่ามกลางขุนเขาที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอสำหรับคนรักธรรมชาติ นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งจะสร้างความประทับใจให้กับคนเดินทางได้อย่างแน่นอน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 22:54:38

ความคิดเห็นที่ 55 บริเวณที่ทำการศูนย์ฯ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:03:36

ความคิดเห็นที่ 56 หลังจากหลับสบายและเต็มอิ่มในค่ำคืนที่ผ่านมา การเดินทางมุ่งสู่ถนนลอยฟ้าจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:04:35

ความคิดเห็นที่ 57 เราใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับมายังอำเภอบ่อเกลือเพื่อไปยังที่หมายปลายขอบฟ้าสุดชายแดนล้านนาตะวันออก จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:05:16

ความคิดเห็นที่ 58 ระหว่างทาง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:05:51

ความคิดเห็นที่ 59 กลางหุบเขา จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:06:20

ความคิดเห็นที่ 60 เรามุ่งไป ^ ^ แม้ระยะทางจะห่างกันไม่ไกลด้วยหลักไมล์บนท้องถนนก็ตามที แต่การเดินทางบนถนนที่คดโค้งบนภูเขา เช่นนี้ย่อมทำให้หนทางที่ใกล้กลับกลายเป็นไกลออกไปอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว กว่าจะพ้นแต่ละโค้งบนภูเขา หัวใจเราแทบถอดวางข้างทางนั้น มีเพียงหวังกำลังใจให้ฝ่าฟัน สุดขอบฟ้าหรือฝั่งฝันดั้นด้นไป. แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:09:00 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:06:48

ความคิดเห็นที่ 61 "ภูพยัคฆ์" จุดหมายที่ใฝ่ฝัน ในอดีตบริเวณภูพยัคฆ์แห่งนี้คือที่ตั้งศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) หรือที่รู้จักกันในนาม “สำนัก 708” หลังจากเมฆหมอกควันไฟและกลิ่นไอดินปืนแห่งการปฏิวัติได้จางหายไป บทบาทที่หลงเหลือไว้ของภูพยัคฆ์จึงเป็นเพียงแค่สถานที่แห่งการรำลึกถึงความทรงจำในอดีตของสหายร่วมคิดและมิตรร่วมรบ ซึ่งจะมีการจัดงานรำลึกวีรชนภาคประชาชนขึ้นในราววันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี (อาจจะก่อนหน้าหรือหลังสักเล็กน้อย) คือเรื่องราวคือตำนานฐานที่มั่น คือความฝันคือความจริงอันยิ่งใหญ่ คือกวีขับขานผ่านหมอกไอ คือบทเพลงแว่วไหวใกล้ขอบฟ้า.. บางส่วนจากบทกวี น่านเหนือ จรดน่านใต้ ซึ่งจารึกอยู่ในอาคารอนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ http://phuphayak.synthasite.com จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:11:39

ความคิดเห็นที่ 62 ปัจจุบันภูพยัคฆ์มีสถานะเป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ มีเป้าหมายในการพัฒนา ชาวไทยภูเขาให้มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:12:28

ความคิดเห็นที่ 63 ทั้งยังพัฒนาให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเป็นสถานีตัวอย่างในการขยายผลิตผลทางการเกษตรโดยเฉพาะพืชเมืองหนาว เช่น ท้อ สาลี่ เป็นต้น จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:13:29

ความคิดเห็นที่ 64 ผลิตผลบนดอยสูง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:14:06

ความคิดเห็นที่ 65 นอกจากนี้ก็ยังมีผลผลิตกาแฟคุณภาพดีในชื่อ “กาแฟภูพยัคฆ์” ให้ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย สำหรับคอกาแฟลองไปแวะชิมกันดู ร้านกาแฟภูพยัคฆ์ตั้งอยู่ในเมืองแถววิทยาลัยเทคนิคน่าน และอีกแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลน่าน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:15:12

ความคิดเห็นที่ 66 เสี้ยวดอกขาวบริเวณสถานีเกษตรที่สูงฯ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:17:23

ความคิดเห็นที่ 67 การเดินทางบนเส้นทางสายภูเขาในดินแดนน่านเหนือของเราได้มาสิ้นสุดลงตรงภูพยัคฆ์นั่นเอง ต่อจากนี้ก็จะเป็นการย้อนรอยกลับไปในทางสายเดิมเริ่มตั้งต้นกันใหม่ในตัวเมืองเพื่อเดินทางผ่านไปยังเขตน่านใต้ ก่อนจากลาแวะไปเที่ยวชมด่านชายแดนอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่เมืองหงสา หลวงพระบาง ประเทศลาว อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปยังประเทศจีนและเวียดนามได้อีกด้วย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:17:45

ความคิดเห็นที่ 68 มุ่งสู่น่านใต้ ตามหาสายหมอกบางเบา และแสงดาวพร่างพราย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:19:21

ความคิดเห็นที่ 69 หลังจากกลับมาเริ่มต้นใหม่ในเมืองน่าน เราตัดสินใจมุ่งหน้าไปพักผ่อนกันอย่างสบายๆ ริมสายน้ำ ที่อุทยานแห่งชาติแม่จริม จุดเริ่มต้นของการล่องแก่งลำน้ำว้าตอนล่าง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:20:16

ความคิดเห็นที่ 70 ขุนเขาและสายน้ำ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:21:15

ความคิดเห็นที่ 71 นอกจากจะมีกิจกรรมล่องแก่งแล้วที่นี่ยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติเป็นวงรอบ เพียงพอให้เราได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศป่าเขาและเรียกเอาเหงื่อออกมาได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:21:51

ความคิดเห็นที่ 72 ตลอดเส้นทางร่มรื่นเย็นสบาย มีพรรณไม้ต่างๆ ให้ได้ชมหลากหลายเหมือนกัน ในภาพคือชบาป่า แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:23:25 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:22:17

ความคิดเห็นที่ 73 ดอกไม้ริมทาง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:23:08

ความคิดเห็นที่ 74 ใบไม้บ้าง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:24:00

ความคิดเห็นที่ 75 อีกสักใบ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:24:38

ความคิดเห็นที่ 76 เจ้าแห่งสายใย จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:25:17

ความคิดเห็นที่ 77 ถึงเวลาต้องอำลาจากอุทยานแห่งชาติแม่จริมอีกครั้ง สัญญาว่าตราบชีพยังคงได้หวนกลับมาใหม่ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:27:35

ความคิดเห็นที่ 78 เส้นทางนำพาเราไปในดินแดนซึ่งมีชื่อสุดแสนจะโรแมนติกยิ่งนัก รับรองได้เลยว่าใครได้ยินต่างก็หลงรัก ตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้มาสัมผัสบรรยากาศของที่นี่เลย "ดอยเสมอดาว" คือชื่อของสถานที่แห่งนั้น จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:28:49

ความคิดเห็นที่ 79 บรรยากาศของที่นี่งดงามยิ่งนัก ช่วงเวลายามเย็นไม่ต้องเดินไปไหนไกล เพียงแค่รอเวลาทักทายและโบกมืออำลาดวงตะวันที่ปลายขอบฟ้าตรงหน้าเต๊นท์ ภาพที่เห็นก็เกินคุ้มแล้ว จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:29:24

ความคิดเห็นที่ 80 หนำซ้ำในยามเช้า เพียงแค่โผล่หน้าออกมาจากในเต๊นท์ก็ได้เห็นทะเลหมอกลอยปกคลุมแม่น้ำน่านเบื้องล่าง และหลังจากได้ชื่นชมกับแสงสีอันสวยสดของเช้าวันใหม่ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:29:57

ความคิดเห็นที่ 81 เพียงอดใจรอคอยอีกเล็กน้อย ตะวันดวงเดิมก็จะลอยขึ้นมาจากขอบฟ้าเพื่อเอ่ยคำว่าอรุณสวัสดิ์กับเรา จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:30:34

ความคิดเห็นที่ 82 ยามค่ำคืนของที่นี่งดงามด้วยแสงดาวพร่างพรายเปล่งประกายอยู่บนฟากฟ้าระยิบระยับเต็มไปหมด ยิ่งในคืนฟ้าใสไร้เมฆาบนท้องนภาด้วยแล้ว อาจได้เห็นทางช้างเผือกพาดผ่านบนโค้งฟ้าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยามดึกก็ยังมีดาวตกให้เห็นเป็นระยะอีกด้วย นาทีนั้นรู้เลยว่าการดื่มกินแสงดาวต่างข้าวและได้สัมผัสน้ำค้างกลางเวหาหาวนั้นมันเป็นเช่นไร เข้าใจอารมณ์โรแมนติกของกวีท่านนั้นขึ้นมาในบัดดล  (เทียบเคียงความรู้สึกของตนเองจากบางส่วนของถ้อยคำในบทกวี ปณิธานกวี ของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์) ฉันเอาฟ้าห่มให้หายหนาว ดึกดื่นกินแสงดาวต่างข้าว น้ำค้างพร่างกลางหาวหาดื่ม ไหลหลั่งบทกวีไว้เช้าชั่วฟ้าดินสมัยฯ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:31:59

ความคิดเห็นที่ 83 บริเวณดอยเสมอดาวแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวชื่อผาหัวสิงห์ สำหรับให้คนที่ชอบปีนป่ายผจญภัยขึ้นไป ชมทิวทัศน์อีกด้วย และไม่ไกลกันก็เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จะมีจุดชมวิวอีกแห่งที่สวยงาม อยู่บนหน้าผาใหญ่นามว่า “ผาชู้” ซึ่งมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นแม่น้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมาท่ามกลาง ความเขียวขจีของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:36:58

ความคิดเห็นที่ 84 ไม่ไกลจากดอยเสมอดาว เป็นที่ตั้งของป่าเต็งรังซึ่งขึ้นอยู่ประปราย และในบริเวณนั้นมีสถานที่ อีกแห่งหนึ่งซึ่งควรแวะเข้าไปสัมผัสด้วยสายตา นั่นคือ เสาดินนาน้อยหรือฮ่อมจ๊อม และคอกเสือ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันกับแพะเมืองผี ของจังหวัดแพร่เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:38:01

ความคิดเห็นที่ 85 เราย้อนเส้นทางกลับมาที่อำเภอสาเพื่อมุ่งหน้าสู่ปากนาย เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงน้ำจืด และชมทัศนียภาพอันงดงามของหมู่บ้านริมทะเลสาบเหนือเขื่อนสิริกิติ์ พร้อมทั้งแวะชิมปลาสดอันเลิศรสของที่นี่ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:38:42

ความคิดเห็นที่ 86 ปลาในทะเลสาบ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:39:31

ความคิดเห็นที่ 87 สายน้ำเอื่อยไหลอย่างอ้อยอิ่งในยามบ่าย ยิ่งทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและสายตาเริ่มอ่อนล้ามากขึ้น ทว่าจุดหมายการเดินทางยังอยู่อีกไกล เราจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปก่อนที่ร่างกายจะโรยแรง จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:40:06

ความคิดเห็นที่ 88 ในที่สุดจุดหมายที่ไขว่คว้าก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า นั่นคือ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:40:50

ความคิดเห็นที่ 89 ร่ำลือกันว่าบรรยากาศ ที่นี่ยามค่ำคืนหนาวเหน็บจับใจ และเมื่อได้สัมผัสมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่ามกลางกองไฟในยามดึกและเหน็บหนาว ทำให้นึกถึงเรื่องราวในช่วงเวลาของชีวิตการเดินทางที่ผ่านมา หลายหมื่นพันโค้งบนภูเขา เส้นทางสายเก่า มิตรภาพและเรื่องเล่าจากผู้คน รวมทั้งธรรมชาติอันงดงามทุกแห่งหน ที่ได้พบเจอ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาจากความรัก ความชอบ ความหลงใหล ตลอดจนความใฝ่ฝัน และความปรารถนา ในหัวใจของตนเองทั้งสิ้น เพียงเพราะหัวใจอยากจะโบกโบยบินไปทั่วทุกแคว้นถิ่นในดินแดน แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 54 23:43:34 จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:41:35

ความคิดเห็นที่ 90 ทั้งหมดที่ย้อนรำลึกถึงเมืองน่านจากความทรงจำส่วนตัวในห้วงเวลาหนึ่งนั้น แท้จริงยังไม่ถึงครึ่ง ของเมืองงามแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ กระนั้นก็ตามทีนี่ไม่ใช่บทสุดท้ายของตนเองสำหรับเมืองนี้อย่างแน่นอน เพราะน่านยังมีมนต์เสน่ห์อันเย้ายวนชวนให้หลงใหลและอีกหลายสิ่งรอให้ไปค้นหา การเดินทางยังไม่สิ้นสุด ณ วันนี้เพียงแค่หยุดและรอคอย จากนั้น..ค่อยไปต่อ จากคุณ : ดาว กลางดง เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 23:42:07