ความคิดเห็นที่ 1 กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกขนานนามตามจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ผู้ดำริให้สร้างเมืองใหม่นี้บนทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าและการทหาร หลังจากที่อาณาจักรโรมันแผ่ขยายอาณาเขตไปกว้างใหญ่ไพศาล จนยากที่จะดูแลได้ทั่วถึงจักรพรรดิพระองค์หนึ่งจึงแบ่งโรมันออกเป็นสองส่วนคือโรมันตะวันตกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมตามเดิม และโรมันตะวันออกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ต่อมาภายหลังอาณาจักรโรมันตะวันตกอ่อนแอและเสื่อมสลายลงจากการรุกรานของพวกอนารยชน เหลือแต่เพียงอาณาจักรโรมันตะวันออกซึ่งได้รับชื่อใหม่เป็นจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยรับเอาวัฒนธรรมกรีกและภาษากรีกเป็นของตน มีศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โทดอกซ์ (Greek Orthodox) เป็นศาสนาประจำชาติ วัฒนธรรมไบแซนไทน์ได้ซึบซับเข้าไปในวัฒนธรรมอิสลาม โดยเฉพาะทางด้านสถาปัตยกรรม การสร้างโดมกลมบนฐานสี่เหลี่ยมของโบสถ์เซนต์โซเฟียถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมของไบแซนไทน์ที่ส่งถ่ายไปยังสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม จนโดมกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอิสลาม จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 22:57:17

ความคิดเห็นที่ 2 โบสถ์เซนต์โซเฟีย มีชื่อเรียกแบบกรีกว่าฮาเกียโซเฟีย (Haghia Sophia) หรือที่อิสลามเรียกว่าอายาโซเฟีย (Aya Sofya) ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง มีอายุเก่าแก่กว่า 1,400 ปี เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะยุคไบแซนไทน์ เดิมเป็นโบสถ์คริสต์ แต่หลังจากพวกออตโตมันยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในในปี ค.ศ.1453 จึงเปลี่ยนโบสถ์คริสต์แห่งนี้ให้เป็นมัสยิดอิสลาม จนเมื่อประเทศตุรกีถือกำเนิดภายใต้ข้อกำหนดว่าเป็นรัฐที่ไม่มีขีดจำกัดทางศาสนา (secular state) ในปี ค.ศ.1931 จึงถูกปิดเป็นเวลา 4 ปีเพื่อบูรณะใหม่ รัฐบาลได้เปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อทุกคนจะได้มีโอกาสชมความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่อย่างไร้ข้อจำกัดทางศาสนาในปี ค.ศ.1935 จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 22:58:15

ความคิดเห็นที่ 3 จักรพรรดิจัสติเนียนแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ทรงโปรดให้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียนี้ขึ้นใหม่แทนที่โบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี 10 เดือน สร้างเสร็จในราวปี ค.ศ.560 นับว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมายาวนานกว่าพันปี เมื่อดูจากภายนอกอาจจะไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเดินเข้ามาภายในก็ต้องตกตะลึงในความใหญ่โตมโหฬาร และงดงามไปด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง ภายในมีเนื้อที่ถึง 7,500 ตารางเมตร มีสองชั้น ชั้นบนจัดเป็นห้องแสดงภาพกระเบื้องโมเสก หลังจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดนพวกออตโตมันตีแตกสำเร็จ ก็ได้เปลี่ยนโบสถ์หลังนี้เป็นมัสยิด มีการประดับด้วยสัญลักษณ์และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแทน เช่นแผ่นป้ายตัวอักษขนาดใหญ่ 8 แผ่น ทำด้วยไม้ เขียนพระนามของพระอัลลาห์ พระมูฮัมหมัด และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในศาสนาอิสลามด้วยภาษาอาหรับ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 22:59:20

ความคิดเห็นที่ 4 โดมขนาดใหญ่ตรงกลางมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 เมตร และเจาะเป็นช่องหน้าต่างโค้งเพื่อรับแสงสว่าง 40 ช่อง ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองทั้งหมด อยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตั้งอยู่บนเสาขนาดใหญ่ 4 ต้น โดมที่นี่เป็นต้นแบบของการสร้างโดมในสมัยต่อ ๆ มาซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของมัสยิดอิสลาม การก่อสร้างต้องอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์แบบกรีกและความสามารถทางวิศวกรรมแบบโรมันในการคำนวณการกระจายน้ำหนักจากโดมลงบนเสาและผนังรูปสี่เหลี่ยมที่ทำให้เกิดช่องว่างตรงกลางขนาดมหาศาล ซึ่งไม่เคยมีก่อนในสมัยนั้น จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:00:00

ความคิดเห็นที่ 5 ภายในโบสถ์มีภาพกระเบื้องโมเสกในคริสต์ศาสนาจำนวนมาก โดยเฉพาะชั้นสอง ในยุคที่โบสถ์ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด มีการใช้ฉาบปูนปิดทับภาพโมเสกในศาสนาคริสต์เหล่านี้  เมื่อถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จึงมีการกระเทาะปูนออกบางภาพให้สาธารณชนได้ชม ภาพนี้อยู่เหนือประตูทางออก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อาจจะพลาดรูปนี้เพราะเดินหันหลังให้ ทางโบสถ์จึงตั้งกระจกเงาบานใหญ่ไว้ตรงทางออกเพื่อสะท้อนภาพโมเสกด้านบน จะได้ไม่ลืมที่หันกลับไปชม เป็นภาพเก่าแก่ตั้งแต่ปี ค.ศ.944 ตรงกลางเป็นรูปพระแม่มารีกำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตัก ฝั่งขวาของภาพเป็นจักรพรรดิคอนสแตนติน (ผู้สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล) กำลังถวายแบบจำลองของเมือง ฝั่งซ้ายของภาพเป็นจักรพรรดิจัสติเนียน (ผู้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟีย) กำลังถวายแบบจำลองของโบสถ์ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:00:36

ความคิดเห็นที่ 6 ออกจากโบสถ์หันกลับมาชมด้านนอกอีกครั้ง หลังจากพวกออตโตมันเติร์กเปลี่ยนจากโบสถ์คริสต์ให้เป็นมัสยิด จึงได้สร้างเสามินาเร็ต (minaret) 4 เสาเพื่อบ่งบอกความเป็นมัสยิด (หน้าที่จริง ๆ คือเพื่อประกาศเรียกคนให้มาทำพิธีละหมาด) มัสยิดอายาโซเฟียเป็นต้นแบบของมัสยิดแบบออตโตมันทั่วอิสตันบูลและตุรกี โชคดีที่พวกเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลามมิได้เผาทำลายศาสนสถานเดิมของพวกคริสต์ (เหมือนที่พวกล่าอาณานิคมนิยมทำกันในทวีปอเมริกาจนทำให้สถาปัตยกรรมล้ำค่าดั้งเดิมของพวกชนพื้นเมืองสูญหายอยู่ใต้โบสถ์คริสต์) แต่กลับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่บูชาในศาสนาของพวกตนแทน ทำให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสชื่นชมสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาเช่นในปัจจุบัน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:01:07

ความคิดเห็นที่ 7 ฝั่งตรงข้ามกับเซนต์โซเฟีย เป็นมัสยิดชื่อมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmet Mosque) ที่ตั้งประชันกันในระยะไม่เกิน 500 เมตร ตั้งชื่อตามพระนามของสุลต่านที่โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อให้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าโบสถ์เซนต์โซเฟีย สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 1609-1616 มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque)  มัสยิดแห่งนี้ผสมผสานศิลปะแบบไบแซนไทน์ที่ได้จากอายาโซเฟียฝั่งตรงกันข้ามเข้ากับศิลปะอิสลามอย่างกลมกลืนจนเป็นเอกลักษณ์แบบออตโตมัน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:01:31

ความคิดเห็นที่ 8 มัสยิดแห่งนี้มีเสามินาเร็ตถึง 6 เสา สังเกตว่าเสามินาเร็ตของพวกออตโตมันมีลักษณะสูงชลูด ปลายแหลมเหมือนแท่งดินสอ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมัสยิดแบบออตโตมัน เมื่อสร้างเสร็จชาวเมืองต่างรู้สึกไม่พอใจเพราะมัสยิดแห่งนี้มีจำนวนเสามินาเร็ต 6 เสาเท่ากับที่เมกกะ สุลต่านจึงมีพระบัญชาให้สร้างเสาที่มัสยิดในเมกกะเพิ่มอีก 1 เสา รวมเป็น 7 เสา จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:01:59

ความคิดเห็นที่ 9 ภายในเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ผนังประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินอมเขียวที่ผลิตจากเมือง Iznik ถึงสองหมื่นแผ่น ทำให้ภายในมีสีออกน้ำเงิน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อมัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque)  รับความสว่างจากแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างถึง 260 บาน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:02:38

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพจากมุมสูง จะเห็นมัสยิดสีน้ำเงินตั้งประจันอยู่ตรงข้ามกับเซนต์โซเฟีย ตรงกลางเป็นสวนสาธารณะเรียกว่าจัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ด้านข้างมัสยิดสีน้ำเงินที่ปัจจุบันเหลือแค่แท่งเสาโอบีลิสก์ 3 เสา เดิมเคยเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ของพวกไบแซนไทน์ มีชื่อว่าฮิปโปโดรม (Hippodrome) สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึงแสนคน ปัจจุบันเหลือแค่ซาก แต่ก็พอมองเห็นร่องรอยสนามกีฬารูปยาว ๆ สำหรับการแข่งขันรถม้า จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:03:21

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ.1453 เรียบร้อยแล้ว สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 มีพระบัญชาให้สร้างพระราชวังขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับเรียกว่าพระราชวังท็อปกาปึ (Topkapı Palace) และเป็นที่ประทับของสุลต่านทุกพระองค์จนถึงปี ค.ศ.1856  ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ออตโตมันที่ปกครองประเทศยาวนานถึง 470 ปี มีทั้งเครื่องแก้ว เครื่องเงิน พระภูษาอาภรณ์ที่ใช้ เครื่องประดับ ตลอดจนถึงสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาอิสลาม   ในยุคที่จักรวรรดิออตโตมันรุ่งเรืองได้แผ่ขยายอาณาเขตไปกว้างขวางในทวีปยุโรปและเอเชีย ครอบคลุมประเทศฮังการี กรีซ บัลแกเรีย และประเทศต่าง ๆ ในคาบสมุทรบอลข่าน ในเอเชียก็สามารถปกครองดินแดนอาหรับได้ (พวกเติร์กจะถือว่าพวกเขาไม่ใช่อาหรับ และจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจหากใครคิดว่าเติร์กกับอาหรับมีเชื้อชาติเดียวกัน)  สุลต่านออตโตมันจึงทรงได้รับมอบของขวัญ เครื่องบรรณาการที่มีค่าจากประเทศต่าง ๆ ปัจจุบันได้ถูกนำมาแสดงไว้ที่พระราชวังท็อปกาปึแห่งนี้ ในภาพจะเห็นโคตรเพชร  86 กะรัต ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กอีก 49 เม็ดเรียงเป็นสองแถว กับกฤชท็อปกาปึทำจากทองคำประดับมรกตเม็ดใหญ่สามเม็ด จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:03:51

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนชั้นในของพระราชวังเป็นเขตหวงห้ามเฉพาะสตรีเช่นเดียวกับพระราชวังจักรพรรดิของจีน ที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่าฮาเร็ม  (harem)  ผู้ชายที่เข้าไปได้มีแต่ขัณฑีเท่านั้น ภายในมีห้องถึง 400 ห้องสำหรับพระมารดา พระชายา นางสนม นางกำนัลของสุลต่าน ประดับประดาด้วยศิลปะแบบออตโตมันที่ผสมผสานอย่างกลมกลืนกับศิลปะแบบตะวันตก จนให้ความรู้สึก "East meets West" จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:04:30

ความคิดเห็นที่ 13 สุลต่านยุคหลังโปรดปรานพระราชวังที่ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัสมากกว่าพระราชวังหลังเดิมที่ท็อปกาปึ จนถึงรัชสมัยของสุลต่านอับดุลเมจิตได้ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังในสไตล์ตะวันตกขึ้นใหม่ให้งดงามหรูหราอย่างพระราชวังแวร์ซายส์ในฝรั่งเศส และให้ชื่อว่าพระราชวังโดลมาบาเช่ (Dolmabahçe Palace) ประดับประดาด้วยศิลปะแบบร็อคโคโค พระราชวังนี้ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส สามารถชมได้จากทางเรือ พระราชวังโดมาบาเช่สร้างขึ้นในยุคที่อาณาจักรออตโตมันอ่อนแอ ประสบปัญหาทางศรษฐกิจ จนได้สมยาว่าเป็น "คนป่วยแห่งยุโรป" (The Sick Man of Europe)  อาจจะด้วยเหตุนี้ด้วยจึงทำให้จักรวรรดิออตโตมันล่มสลายลงในที่สุด และกลายเป็นสาธารณรัฐตุรกีเช่นในปัจจุบัน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:05:06

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ไกลนักจากโบสถ์เซนต์โซเฟีย จะพบทางเข้าอ่างเก็บน้ำใต้ดินขนาดใหญ่แบบไบแซนไทน์ เรียกว่าบาซิลิกา ซิสเทิร์น (Basilica Cistern) หรือเรียกภาษาเตอร์กิชว่าเยเรบาตันซาราย (Yerebatan Saray) ซื้อตั๋วเสร็จต้องเดินลงบันไดไป ข้างใต้จะเป็นอ่างเก็บน้ำ มีเสาโรมันทั้งหมด 336 ต้นค้ำยันหลังคาไว้ ประดับไฟที่โคนเสา เมื่อสะท้อนน้ำที่นิ่งสนิทเป็นภาพที่งดงามมาก อ่างเก็บน้ำใต้ดินนี้สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน และมาขยายต่อในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อช่วยเก็บกักน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้งสำหรับพระราชวัง โดยลำเลียงน้ำมาจากทะเลดำผ่านท่อส่งน้ำแบบโรมัน ซึ่งเป็นจ้าวทางด้านวิศวกรรมอยู่แล้ว จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:05:32

ความคิดเห็นที่ 15 ด้านในสุดจะมีเสาสองเสาซึ่งมีฐานเป็นหัวนางเมดูซา (Medusa) เสาหนึ่งวางหัวตะแคง อีกเสาวางตีลังกากลับหัว จนถึงปัจจุบันยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงนำหัวนางเมดูซาเป็นฐานของสองเสานี้ คาดเดากันว่าหัวทั้งสองหัวคงนำมาจากอาคารโรมันเดิมที่สร้างก่อนหน้านี้ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:06:02

ความคิดเห็นที่ 16 นางเมดูซาเป็นตัวละครในตำนานของพวกกรีก-โรมัน มีเส้นผมเป็นงูเก็งกอง หากใครจ้องตานางจะกลายเป็นหินทันที เพอร์ซิอุส (Perseus) ซึ่งเป็นคนครึ่งเทพตัดหัวของนางใส่ย่ามไว้ เวลารบกับข้าศึกก็ชูหัวของนางต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม ทำให้กลายเป็นหิน นี่หรือเปล่าที่ต้องวางหัวนางเมดูซากลับหัวแทนที่จะวางตรง ๆ กลัวว่าคนที่จ้องไปที่รูปปั้นหัวของนางตรง ๆ จะกลายเป็นหิน จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:06:30

ความคิดเห็นที่ 17 แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูลคือแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ครอบคลุมเนื้อหลายตารางกิโลเมตร มีหลังคาคลุมตลอด สร้างขึ้นพร้อมกับการที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกยึดจากพวกออตโตมัน แต่ราคาสินค้าที่นี่แพงกว่าอีกตลาดหนึ่งที่ชื่อว่าตลาดเครื่องเทศ (Spice Market) หรือ ตลาดอียิปต์ (Egyptian Market) ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ สมัยก่อนเป็นแหล่งค้าขายเครื่องเทศที่มาทางเรือจากแดนไกล แต่ปัจจุบันกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับนักเที่ยวไปแล้วเช่นกัน แต่ที่นี่มีขนาดเล็กกว่าและราคาข้าวของก็ถูกกว่าที่ Grand Bazaar จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:06:59

ความคิดเห็นที่ 18 มาถึงตุรกีแล้วต้องลองอาบน้ำแบบตุรกีนะครับ สถานที่สำหรับ Turkish Bath เรียกว่าฮามาม (Hamam)  ชาวเติร์กรับวัฒนธรรมการอาบน้ำสาธารณะมาจากพวกโรมันและไบแซนไทน์  ฮามามนอกจากเป็นที่อาบน้ำทำความสะอาดแล้ว ยังเป็นที่พบปะสังสรรค์พูดคุยเรื่องต่าง ๆ ทั้งการบ้านการเมือง  ไม่มีรูปของจริงมาให้ดู ก็ดูภาพวาดแทนไปก่อนนะครับ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:07:31

ความคิดเห็นที่ 19 หากมีโอกาสก็ควรล่องเรือชมทัศนียภาพสองข้างทางตามช่องแคบบอสฟอรัส ฝั่งหนึ่งเป็นทวีปยุโรป อีกฝั่งเป็นทวีปเอเชีย มีสะพานเชื่อมสองทวีปอยู่สามสะพานตลอดความยาวช่องแคบ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:07:57

ความคิดเห็นที่ 20 นับว่าอาณาจักรไบแซนไทน์รับความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโรมันโบราณและพัฒนาจนสูงสุดก่อนจะส่งผ่านไปยังวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ตามมาในภายหลังทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก อาณาจักรไบแซนไทน์จึงเปรียบเสมือนหม้อต้มยาที่ใส่สมุนไพรชั้นเยี่ยมจากที่ต่าง ๆ จนออกมาเป็นตัวยาชั้นดี พวกมุสลิมเติร์กรับมาโดยไม่ทำลายของเดิมทิ้ง แต่กลับพัฒนาต่อจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบออตโตมัน ที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน  จึงอาจกล่าวได้ว่านครอิสตันบูลเป็นนครสองทวีปทั้งด้านกายภาพและศิลปวัฒนธรรมอย่างแท้จริง จบแล้วครับ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 23:08:33

ความคิดเห็นที่ 21 ไว้รอตอนตอไป Mt.nemrud  และจะขอวนไปอีกเก็บรายละเอียดอีกสักครั้งของชีวิต.. คิดถึงเคบับ..คิดถึง ชาแอปเปิ้ล คิดถึงคนหน้าตาจมูกโด่ง ผิวขาว แต่ผมสีดำ..ฝรั่งก็ไม่ใช่ มิสลุมก็ไม่เชิง.. จากคุณ : mbapsu04 เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 07:18:15

ความคิดเห็นที่ 22 <<เล่าความ...ตาม pc. >> สนุกมากเลย ...... ครับ นี่แหละ .. ความสำคัญของโปสการ์ด สามารถเล่าเป็นเรื่องราว และ ย้อนความทรงจำได้ เป็นอย่างดี .... จากคุณ : ลุงตุ๊ (Jirat BBT1) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 07:31:19

ความคิดเห็นที่ 23 สุดลิ่มทิ่มประตู ได้รับโปสการ์ดจากเบลเยี่ยมแล้วครับพี่เชอร์ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : gotland เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 15:02:27

ความคิดเห็นที่ 24 ไว้จะย้อนกลับไปอ่านสองตอนแรกนะคะ ^^ จากคุณ : asp_ash เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 19:22:20

ความคิดเห็นที่ 25 ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ จากคุณ : นู๋บัวไร เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 20:15:19

ความคิดเห็นที่ 26 ได้ความรู้เหมือนเดิมเลยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : SEPULTURA_FROM_HELL เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 08:05:28

ความคิดเห็นที่ 27 ตามไปเที่ยวอีสตันบูลค่ะ จากคุณ : ก้าวไปตามใจฝัน เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 09:55:58

ความคิดเห็นที่ 28 ตามมาอ่านเก็บความรู้และรำลึกความหลัีงที่ Istanbul ค่ะ จากคุณ : Snoopy in BKK เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 10:25:17

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านแบบเร็วๆ...โปสการ์ดสวยมากครับ เดี๋ยวต้องหาเวลามาละเลียดๆอ่านเก็บความอีกรอบเหมือนทุกครั้ง ขอบคุณสำหรับความรู้แน่นปึ๊กนะครับ จากคุณ : คทจด. (คนไทยใจดีจริงๆ) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 18:24:17

ความคิดเห็นที่ 30 ตามมาชมเช่นเคยค่ะ จากคุณ : OKANEMOCHI เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 23:26:05

ความคิดเห็นที่ 31 น่าไปเที่ยวมากค่ะ จากคุณ : Viviwitch เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 08:54:36

ความคิดเห็นที่ 32 มาอ่านเก็บความรู้...ขอบคุณค่ะพี่เชอร์สำหรับรีวิวดีๆค่ะ จากคุณ : ก้านกล้วยสีสด เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 22:39:52

ความคิดเห็นที่ 33 ตามมาเที่ยวค่ะ ขอบคุณค่ะสำหรับ รีวิวพาเที่ยว.....ชอบจัง จากคุณ : ^_____^ (บ้านต้นอ้อ) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 54 07:59:38

ความคิดเห็นที่ 34 สวยมา อ่านเพลินจนอยากไปบ้าง ค่าใช้จ่ายแพงไหมคะ จากคุณ : ปอน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 12:37:38 A:125.27.203.241 X: TicketID:312365