ความคิดเห็นที่ 1 เปิดเพลงพื้นบ้านทางเหนือไปด้วยนะครับ จะได้เข้ากับบรรยากาศครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:46:11

ความคิดเห็นที่ 2 วัดเจดีย์หลวงสร้างอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่พอดี จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:47:05

ความคิดเห็นที่ 3 แต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:47:35

ความคิดเห็นที่ 4 ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ภายในวัดประมาณ 32 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:47:59

ความคิดเห็นที่ 5 ซึ่งต่อมารวมพื้นที่กับวัดสุขมินท์ วัดหอธรรมวัดสบฝางหรือป่าฝาง และบางส่วนของวัดพันเตา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:48:27

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกูฏ กุฏาราม ราชกุฏาคาร หรือวัดโชติการาม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:48:51

ความคิดเห็นที่ 7 เชื่อกันว่าวัดเจดีย์หลวงสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.๑๙๑๓-๑๙๕๔) จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:49:17

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ. 1928 - พ.ศ. 1945 ปัจจุบันมีอายุกว่า ๖๐๐ ปี จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:49:40

ความคิดเห็นที่ 9 วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ มีการบูรณะมาหลายสมัย โดยเฉพาะพระเจดีย์ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดในวัดเจดีย์หลวงแห่งนี้ ที่ปัจจุบันมีขนาดความกว้างด้านละ 60 เมตร เป็นองค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดองค์หนึ่งในเชียงใหม่ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:50:06

ความคิดเห็นที่ 10 ตามตำนานเล่าว่า จุลศักราช 289 (พ.ศ. 1874) พระเจ้าแสนภู โปรดให้สร้างเมืองเชียงแสน และต่อมาอีก 4 ปีทรงสร้างมหาวิหารขึ้นกลางเมืองเชียงแสนคือวัดเจดีย์หลวงองค์ที่ 1 ซึ่งอยู่ในวัดพระเจ้าตนหลวง เมืองเชียงแสน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:50:33

ความคิดเห็นที่ 11 สมัยพระเจ้าแสนเมืองมาซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ากือนา (พ.ศ. 1928 - 1945) กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ซึงเป็นกษัตริย์ที่ปกครองเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น พระองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ ขณะที่มีพระชนมมายุ 39 ปี เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:50:59

ความคิดเห็นที่ 12 ซึ่งมีตำนานเล่ามาว่า พญากือนาซึ่งได้สวรรคตไปแล้ว ได้ปรากฏตัวแก่พ่อค้าชาวเชียงใหม่ที่เดินทางไปค้าขายที่พม่า ให้มาบอกว่าแก่พญาแสนเมืองมาผู้เป็นโอรสว่า ให้สร้างเจดีย์ไว้ท่ามกลางเวียง ให้สูงใหญ่พอให้คนที่อยู่ไกล 2000 วา สามารถมองเห็นได้ แล้วอุทิศบุญกุศลเหล่านนี้ให้แก่พญากือนา เพื่อให้พญากือนานั้นสามารถไปเกิดในเทวโลกได้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:51:34

ความคิดเห็นที่ 13 แต่การสร้างพระเจดีย์ก็ยังไม่ทันแล้วเสร็จดีก็ทรงสวรรคต พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีอัครมเหสีของพระองค์ ได้โปรดให้ดำเนินการสร้างต่อจนพระธาตุเจดีย์หลวงแล้วเสร็จ จนเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน ใช้เวลาสร้าง 5 ปี เรียกกันว่า “กู่หลวง” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:53:13

ความคิดเห็นที่ 14 มหาเจดีย์หลวงที่พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีทรงก่อสร้างนั้น พระนางทรงให้ยกฉัตรยอดมหาเจดีย์ แล้วปิดด้วยทองคำ พร้อมทั้งเอาแก้ว 3 ลูก ใส่ยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ประดับด้วยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูป พญานาคปั้นเต็มตัว 4 คู่ (8 ตัว) ตัวละ 5 หัว อยู่ 2 ข้างบันไดทางขึ้นโขงทั้ง 4 ด้าน รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ตั้งอยู่ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวงนั้นมี 28 เชือก แต่ในประวัติศาสตร์มีเพียง 8 เชือกเท่านั้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:53:39

ความคิดเห็นที่ 15 ช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวงทั้ง 8 เชือกนั้นมีการตั้งชื่อไว้ด้วย จากนับตามลำดับตั้งแต่ตัวที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) เวียนมาตามทิศตะวันออก มีดังนี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:54:07

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวที่ 1 เมฆบังวัน ตัวที่ 2 ข่มพลแสน ตัวที่ 3 ดาบแสนด้าม ตัวที่ 4 หอกแสนลำ ตัวที่ 5 ก๋องแสนแหล้ง ตัวที่ 6 หน้าไม้แสนเปียง ตัวที่ 7 แสนเขื่อนก๊าน ตัวที่ 8 ไฟแสนเต๋า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:55:37

ความคิดเห็นที่ 17 การสร้างรูปปั้นช้างนั้น เป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์เพื่อให้เมืองมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:56:04

ความคิดเห็นที่ 18 นอกจากนี้ยังมีพิธีการสักการบูชาพญาช้างทั้ง 8 เชือก เพราะเชื่อว่า จะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูไม่กล้ามารุกรานย่ำยีเมืองได้ เพราะชื่อพญาช้างที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่บดบัง ขวางกั้น กำจัด ปราบปรามอริราชศัตรูที่จะมารุกราน ให้แพ้ภัยแตกพ่ายหนีไปเอง ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายดังนี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:56:36

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อศัตรูยกพลเสนามารุกราน ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักร จะเกิดอาเพศ ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆหมอกปกคลุม ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน น่ากลังยิ่งนัก ทำให้ผู้รุกราหวาดผวาภัยพิบัติ ตกใจกลัวแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “เมฆบังวัน” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:57:25

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อผู้รุกรานยกทัพเข้ามาใกล้ แม้จะมีพลโยธาทหารกล้าเรือนแสน ก็จะเกิดอาการมึนเมาลืมหลง ไม่อาจครองสติยับยั้งอยู่ได้ ต้องระส่ำระส่าย แตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ข่มพลแสน” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:58:04

ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีศาตรา มีด พร้า ด้ามคมเป็นแสนๆเล่ม ก็ไม่อาจเข้าใกล้ทำร้ายได้ มีแต่จะเกิดหวาดหวั่นขาดกลัวแตกหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ดาบแสนด้าม” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:58:54

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามารานรบ แม้จะมีกำลังพลกล้าหาญมากมาย มีศาสตราอันคมยาว หอกแหลนหลาวเป็นแสน ก็ไม่อาจเข้ามาราวีได้ จึงต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หอกแสนลำ” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 13:59:34

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลจำนวนมาก มีอาวุธปืนเป็นแสนกระบอก ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ปืนแสนแหล้ง” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:00:12

ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อผู้รุกรานบุกรุกเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีหน้าไม้คันธนูเป็นแสนๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หน้าไม้แสนเกี๋ยง” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:00:53

ความคิดเห็นที่ 25 สวยมากครับ  ไปแอ่วตวยคับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:01:16

ความคิดเห็นที่ 26 ขอมาชมด้วยคน................ขอบคุณครับ จากคุณ : low batt เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:01:22 A:171.4.189.20 X: TicketID:329936

ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อข้าศึกอาจหาญล้ำแดนเข้ามา แม้ด้วยกำลังพลหัตถีนึก กองทัพช้างมีเป็นแสนเชือก ก็ไม่อาจหักหาญเข้ามาได้ มีแต่จะอลม่านแตกตื่นแกหนีไปสิ้น จึงได้ชื่อว่า “แสนเขื่อนกั้น” (บางแห่งเป็น แสนเขื่อนก๊าน) จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:01:38

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ : เล็กทาโร่  --- มาเดิ๋นใกล้เฮาเน้อ กำเดวจะพะเลิดเฮาบ่าฮู้โตยเน้อ อิอิอิ ------------------ เมื่อข้าศึกเข้ามาหมายย่ำยี ก็จะเกิดอาการร้อนเร่าเหมือนเพลิงเผาผลาญรอบด้าน เลยแตกพ่ายหนีไปด้วยความทุกข์ทรมาน จึงได้ชื่อว่า “ไฟแสนเต๋า” จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:03:23

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ : low batt  --- ชมฟรีไม่เก็บตังคราบบบ อิอิอิ มีเพลงให้ฟังโตยเน้อ อิอิอิ ---------------------------------- ต่อมาได้มีการปฏิสังขรณ์ในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ. 1984 - 2030) พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต นายช่างใหญ่ทำการปฏิสังขรณ์ขยายเจดีย์ให้สูงและกว้างกว่าเดิม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:04:36

ความคิดเห็นที่ 30 โดยให้มีส่วนสูง 80 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้าง ด้านละ 56 เมตรถือได้ว่าเป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในอาณาจักรล้านนาไทย แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 14:07:04 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:06:31

ความคิดเห็นที่ 31 รูปผิดครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:07:37

ความคิดเห็นที่ 32 ดัดแปลงซุ้มจระนำ มุกเจดีย์ด้าน ตะวันออกทำเป็นซุ้มและแท่นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:08:03

ความคิดเห็นที่ 33 โดยมีพระมหาสวามีสัทธัมกิติ เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดโชติการาม (วัดเจย์หลวง) เป็นกำลังสำคัญในการควบคุมดูแล และประสานงาน การปฏิรูปและก่อสร้างครั้งนี้ได้สร้างขยายเจดีย์ให้ใหญ่กว่าเดิม ใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปี จึงแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๔ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:08:27

ความคิดเห็นที่ 34 และได้มีการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากที่เคยประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวงของวัดมาประดิษฐานที่ซุ้มจรนำ ซึ่งพระแก้วมรกตก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มจรนำแห่งนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 79 ปี ระหว่างที่พระแก้วมรกตประดิษฐานที่เชียงใหม่ช่วง พ.ศ. 2011 – 2091 ก่อนพระไชยเชษฐาธิราช จะอัญเชิญเสด็จสู่เมืองเชียงทอง หลวงพระบาง ต่อมาประดิษฐานที่นครเวียงจันท์ ก่อนเสด็จมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศสาดาราม กรุงเทพ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:09:00

ความคิดเห็นที่ 35 ในรัชสมัยพระเมืองแก้ว หรือ พญาแก้วมีการบูรณะอีกครั้งโดยขยายฐานใหม่ให้ใหญ่ขึ้นอีก จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:09:28

ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ พ.ศ. 2046 ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว และอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐาน สร้างมหาวิหาร ส่วนการบูรณะพระเจดีย์หลวงได้ดำเนินการเพียงเล็กน้อย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:09:57

ความคิดเห็นที่ 37 ปี พ.ศ. 2055 พระเมืองแก้วพร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลาย เอาเงินมาทำกำแพงล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง 3 ชั้นคิดเป็นเนื้อเงินทั้งสิ้น 254 กิโลกรัม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:10:23

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณข้อมูลดีๆที่นำมาฝากครับบ จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:10:32

ความคิดเห็นที่ 39 จากนั้นจึงได้เอาเงินมาแลกเป็นทองคำจำนวน 30 กิโลกรัม แล้วแผ่เป็นแผ่นทึบหุ้มองค์พระธาตุเจดีย์หลวง เมื่อรวมกับทองคำที่หุ้มองค์พระเจดีย์หลวงอยู่เดิม ได้น้ำหนักทองคำถึง 2,382.517 กิโลกรัม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:10:44

ความคิดเห็นที่ 40 คุณ : สายลมแห่งวิงค์  --- ด้วยความยินดีคราบ ---------------------------- ประมาณ พ.ศ. 2088 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ ปัจจุบันเจดีย์มีความสูงคงเหลือ ๔๐.๘ เมตร ฐานกว้างด้านละ ๖๐ เมตร จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:11:33

ความคิดเห็นที่ 41 กระทั่งปี พ.ศ. 2423  พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ได้รื้อพระวิหารหลังเก่าและสร้างวิหารหลวงขึ้นใหม่ด้วยไม้ทั้งหลัง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:12:02

ความคิดเห็นที่ 42 ช่วงปี พ.ศ. 2471-2481 สมัยพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ถือได้ว่าเป็นทศวรรษแห่งการบูรณะครั้งสำคัญของวัดพระเจดีย์หลวง ได้มีการรื้อถอนสิ่งปรักหักพัง แผ้วถางป่าที่ขึ้นปกคุลมโบราณสถานต่างๆ ออก แล้วสร้างเสริมเสนาสนขึ้นใหม่ให้เป็นวัดสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:12:26

ความคิดเห็นที่ 43 พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:12:51

ความคิดเห็นที่ 44 พระเจดีย์หลวง ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 โดยได้ว่าจ้างบริษัท ศิวกรการช่าง จำกัด บูรณปฎิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:13:14

ความคิดเห็นที่ 45 โดยรักษารูปทรงที่เหลืออยู่จากครั้งแผ่นดินไหว ให้มั่นคงยิ่งขึ้นโดยทำฐานกว้างด้านละ 60 เมตรและเสริมเติมส่วนที่มีร่องรอยเช่น ช้างทั้ง 8 เชือก ใช้งบประมาณในการบูรณะถึง 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2535 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:13:35

ความคิดเห็นที่ 46 แต่เดิมวัดเจดีย์หลวง ชื่อ “โชติการามวิหาร” แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว เนื่องจากเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:13:56

ความคิดเห็นที่ 47 เพิ่งได้ไปกราบไไหว้เมื่อวันก่อน รีวิวนี้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์เยอะมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ จากคุณ : TeeChoco เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:14:03

ความคิดเห็นที่ 48 มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งสมณะทูต 8 รูป ภายใต้การนำพระโสณะ และ พระอุตตะระ เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเขตสุวรรณภูมิ รวมทั้งภูมิภาคนี้ด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:14:18

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ : TeeChoco  --- กว่าจะค้นข้อมูลเสร็จเล่นเอาเหนื่อยเลยคราบบบ แต่ดีใจที่ชอบครับ ----------------------- ได้นำเอาพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ในองค์เจดีย์องค์เล็กสูง 3 ศอก ที่สร้างขึ้น ณ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์หลวงในปัจจุบัน ในเวลานั้นมีมีชายผู้หนึ่ง อายุ 120 ปี มีใจเลื่อมใส ได้แก้เอาผ้าห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้ทำนายว่า ต่อไปในภายภาคหน้า ตรงนี้จะเป็นอารามใหญ่ชื่อโชติการาม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:15:23

ความคิดเห็นที่ 50 พวกลัวะทั้งหลายเอาข้าวของบูชาพระธาตุพระพุทธเจ้า จึงก่อเจดีย์หลังหนึ่งสูง 3 ศอกไว้เป็นที่สักการบูชา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:15:55

ความคิดเห็นที่ 51 นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่า “โชติการาม” คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟไปประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏจะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสว ดูแล้วมีความงดงามยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้แต่ไกล จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:16:20

ความคิดเห็นที่ 52 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เนื่องจากในภาษาเหนือ หรือคำเมือง หลวงแปลว่า “ใหญ่” หมายถึง พระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:16:47

ความคิดเห็นที่ 53 เพิ่งได้ไปกราบไไหว้เมื่อวันก่อน รีวิวนี้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์เยอะมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ จากคุณ : TeeChoco เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:17:03

ความคิดเห็นที่ 54 วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:17:30

ความคิดเห็นที่ 55 คติความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยา ในยุคแรกใช้อินทขีลเป็นสัญลักษณ์สะท้อนความเชื่อดั้งเดิมของชาวลัวะซึ่งได้ผสมผสานกับความเชื่อของพราหมณ์ ในระยะต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก ได้ใช้พระธาตุเจดีย์หลวงเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล คตินี้เห็นได้ชัดจากการสร้างเจดีย์หลวงให้สูงใหญ่ ตั้งอยู่กลางใจกลางเมือง เช่นเดียวกับเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:18:00

ความคิดเห็นที่ 56 ปัจจุบันบริเวณวัดเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ มีสิ่งสักกาละหลากหลายได้แก่ เจดีย์หลวง อินทขีล ต้นยาง กุมภัณฑ์ พระฤๅษี ซึ่งสะท้อนพัฒนาการคติจักรวาลได้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่แวดล้อมของเมือง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:19:06

ความคิดเห็นที่ 57 คติเจดีย์หลวงในฐานะศูนย์กลางจักรวาล ปรากฏในคัมภีร์มหาทักษาเมือง กล่าวถึง การสร้างวัดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ 9 แห่ง โดยกำหนดให้สอดคล้องกับชัยภูมิ และความเชื่อเรื่องทิศทั้ง 4 และทิศเฉียงอีก 4 เป็น 8 เมื่อทิศทั้ง 8 มาบรรจบกัน เกิดจุดศูนย์กลางรวมกันเป็น 9 ถือเป็นเลขมงคล ตำแหน่งจุดศูนย์กลางเมือง เป็นสะดือเมือง กำหนดให้เป็นเกตุเมืองตรงกับวัดเจดีย์หลวง วัดทั้ง 8 แห่งที่สร้างตามทักษาเมือง คือ บริวารเมือง ทิศตะวันตก (ทิศปัจฉิม) วัดสวนดอก อายุเมือง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) วัดเจ็ดยอด เดชเมือง ทิศเหนือ (ทิศอุดร) วัดเชียงยืน ศรีเมือง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) วัดชัยศรีภูมิ มูลเมือง ทิศวะวันออก (ทิศบูรพา) วัดบุพพาราม อุตสาหเมือง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศอาคเนย์) วัดชัยมงคล มนตรีเมือง ทิศใต้ (ทิศทักษิณ) วัดนันทาราม กาลกิณีเมือง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศหรดี) วัดตโปทาราม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:20:22

ความคิดเห็นที่ 58 โบราณสถานที่สำคัญอื่นๆในวัดเจดีย์หลวงยังมี พระวิหารหลวง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:21:49

ความคิดเห็นที่ 59 พระวิหารหลวงหรือพระวิหารกลาง ปัจจุบันเป็นทั้งพระวิหารและพระอุโบสถด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:22:48

ความคิดเห็นที่ 60 ตั้งอยู่ห่างพระธาตุเจดีย์หลวงประมาณ ๑๕.๘๔ เมตร ไปทางทิศตะวันออก จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:23:16

ความคิดเห็นที่ 61 วิหารที่วัดเจดีย์หลวงนี้หลังแรกซึ่งสร้างครั้งแรก โดยพระนางติโลกจุฑา พระราชมารดาของพระเจ้าสามฝั่งแกนเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๔ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:23:43

ความคิดเห็นที่ 62 พร้อมทั้งได้หล่อพระอัฏฐารสพุทธปฏิมาประธานและพระอัครสาวกโมคคัลลาน์ สารีบุตร ไว้ในพระวิหาร จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:24:26

ความคิดเห็นที่ 63 ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๑๗ พระเจ้าติโลกราชให้รื้อวิหารหลังเก่าแล้วสร้างวิหารหลังใหม่ มีขนาดกว้าง ๙ วา ยาว ๑๙ วา ขึ้นแทน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:24:55

ความคิดเห็นที่ 64 มาในปี พ.ศ.๒๐๕๘ พระเมืองแก้วให้รื้อวิหารหลังเก่าแล้วสร้างขึ้นใหม่ในที่เก่าอีก จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:25:51

ความคิดเห็นที่ 65 ครั้นถึงสมัยพระเมกุฏิสุทธิวงศ์ไฟได้ไหม้วิหารเสียหายจึงต้องรื้อแล้วสร้าง ใหม่ทับที่เดิมอีกครั้ง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:26:51

ความคิดเห็นที่ 66 ต่อมาในยุคเจ้าหลวงอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ราชวงศ์ทิพจักร ได้ รื้อวิหารหลังเดิม แล้วสร้างวิหารหลังใหม่ขึ้นที่เดิมอีก ซึ่งวิหารในยุคก่อน ๆ นั้นคงสร้างด้วยไม้ จึงมีการสร้างและรื้อถอนกันได้บ่อย ๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:27:17

ความคิดเห็นที่ 67 วิหารหลังที่เป็นในปัจจุบันนี้ เจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) และเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๑ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:27:40

ความคิดเห็นที่ 68 หน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยโดยนาคที่อยู่บนบันใดใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:28:17

ความคิดเห็นที่ 69 อีกมุมนึงชัดๆครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:28:47

ความคิดเห็นที่ 70 นาคคู่นี้เป็นฝีมือเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เดิมได้ชื่อว่าเป็นนาคที่สวยที่สุดของภาคเหนือ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:29:27

ความคิดเห็นที่ 71 สมัยรัชกาลที่ 5 ใช้วิหารวัดเจดีย์หลวงเป็นที่ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัจจา แทนการใช้ที่วิหารวัดเชียงมั่น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:30:09

ความคิดเห็นที่ 72 เสาภายในพระวิหารเขียนลายทองบนพื้นมีดำเหมือนกันเป็นคู่ๆ แต่แต่ละคู่จะเขียนลายต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:31:47

ความคิดเห็นที่ 73 ส่วนพระอุโสถหลังเก่าศิลปะแบบล้านนาก่ออิฐฉาบปูนตั้งอยู่ที่อยู่หลังวัด ด้านตะวันตกขององค์เจดีย์หลวง ด้านหลังวิหารพระนอน ได้เลิกใช้งานตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ เพราะคับแคบเกินไป จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:32:49

ความคิดเห็นที่ 74 พระอัฎฐารส เป็นพระประธานในพระวิหารหลวง หล่อด้วยทองสำริด ปางห้ามญาติสูง 18 ศอก พระนางติโลกะจุฑา ราชมารดาของพญาติโลกราช โปรดฯให้หล่อขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1954 นอกจากนั้นราชมารดาของพญาติโลกราช ยังโปรดฯให้หล่อพระพุทธรูปองค์อื่นๆอีกด้วย มีพระอัครสาวก โมคคัลลาน์ สารีบุตร จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:33:46

ความคิดเห็นที่ 75 นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ หลายขนาดอีกจำนวนมากประดิษฐานอยู่รายล้อมพระอัฏฐารส พระพุทธรูปเหล่านี้ต้องใช้เตาในการหลอมเป็นจำนวนมาก พื้นที่ที่สันนิษฐานว่าเคยเป็นบริเวณที่ตั้งเตาสำหรับหลอมทองหล่อพระพุทธรูปภายหลังสร้างเป็นวัดจึงได้ชื่อว่า วัดพันเตา จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:34:23

ความคิดเห็นที่ 76 เจดีย์ขนาดเล็ก เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมแบบเชียงใหม่ มีลักษณะเดียวกันทั้งองค์ทางทิศเหนือ ทิศใต้ ตั้งอยู่กระหนาบ พระวิหารด้านเหนือและด้านใต้ เยื้องไปทางด้านหน้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:36:49

ความคิดเห็นที่ 77 พระเจดีย์ทั้งสองเป็นทรงย่อเก็จ 3 ชั้น ฐานปัทม์ย่อเก็จสองชั้น คอระฆังหุ้มทองจังโก้ปิดทองคำเปลว ปลียอดและฉัตรทำด้วยทองเหลืองปิดทองคำเปลว จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:37:47

ความคิดเห็นที่ 78 พระเจดีย์ที่อยู่ทางทิศใต้ ฐานกว้างด้านละ 6.95 เมตร สูง 15.88 เมตร ส่วนพระเจดีย์ที่อยู่ทางทิศเหนือ ฐานกว้างด้านละ 6.55 เมตร สูง 13.43 เมตร ทำการบูรณะพร้อมกันเมื่อปี พ.ศ. 2536 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:38:11

ความคิดเห็นที่ 79 กุฏิแก้วนวรัฐ เป็นกุฏิหลังแรกของวัด สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง เจ้าแก้วนวรัฐสร้างถวาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 14:39:34 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:38:32

ความคิดเห็นที่ 80 ลืมรูปครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:40:18

ความคิดเห็นที่ 81 กุฎิหันหน้าไปทางพระวิหารด้านทิศเหนือ มีสามมุข มุขกลางคือมุขจามรี มุขตะวันตกคือมุขราชบุตร (วงศ์ตะวัน) สร้างเสริมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 ส่วนมุขตะวันออกคือมุขแก้วนวรัฐเป็นส่วนของกุฎิเดิม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:40:42

ความคิดเห็นที่ 82 กุฎิทั้งหลังปูพื้นไม้สักเชื่อมต่อกันทั้งสามมุข หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขอแบบพื้นเมือง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:41:06

ความคิดเห็นที่ 83 ปลายปี พ.ศ. 2537 ถึง ปี พ.ศ. 2538 ทายาทของเจ้าแก้วนวรัฐคือ เจ้าระวีพันธุ์ สุจริตกุล พร้อมญาติมิตรเจ้านานฝ่ายเหนือได้ร่วมกันบิจาคทรัพย์บูรณะใหม่ทั้งหลัง วัดเจดีย์หลวงทางกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๓ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:41:32

ความคิดเห็นที่ 84 ต้นยางใหญ่ ในวัดเจดีย์หลวงมีต้นยางใหญ่ ๓ ต้น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:43:17

ความคิดเห็นที่ 85 แต่เท่าที่เห็นมี 2 ต้นครับ อยู่หน้าศาลอิทขีลต้นหนึ่ง และอยู่หลังพระเจดีย์ ข้างๆวิหารหลวงปู่มั่นต้นนึง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:43:45

ความคิดเห็นที่ 86 ตามมาชมอีกแล้วครับ...... จากคุณ : ถนนสายนี้เปรี้ยว เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:51:32

ความคิดเห็นที่ 87 กู่พระมหาหมื่น พระนักปราชญ์ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:53:31

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ : ถนนสายนี้เปรี้ยว  --- เชิญเลยคราบบ --------------------- เป็นผู้รวบรวมรวบรวมและรักษาคัมภีร์ ใบลานในวัดหอธรรม วัดเจดีย์หลวงจนทำให้มีตำนานพื้นเมืองส่วนหนึ่งอ่านกันในปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 14:54:52 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:54:15

ความคิดเห็นที่ 89 วิหารหลวงปู่มั่น จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 14:56:16