ความคิดเห็นที่ 1 ในปีค.ศ. 1989  รัฐบาลพม่าเปลี่ยนชื่อประเทศจาก Burma เป็น Myanmar  โดยบอกว่าอังกฤษได้เรียกผิดเพี้ยนตามเสียงรัวของคนอินเดียหรือตามสำเนียงของชาวยะไข่  ส่วนคำว่า “ เมียนมาร์ ” นั้นหมายถึงประเทศและประชาชนทุกเผ่าพันธุ์  เพราะประเทศพม่าไม่ได้มีแต่เฉพาะชนชาติพม่าเท่านั้น  เป้าหมายคือ  เพื่อลดความขัดแย้งภายในประเทศและปลูกสำนึกแห่งชาตินิยม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:47:01

ความคิดเห็นที่ 2 ความใฝ่ฝันของชาวพม่าคือ  ครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องสักการะให้ครบ 5 มหาบูชาสถาน  เพื่อเป็นมงคลในชีวิต  โดยครั้งนี้เราจะไปบูชาพระเจดีย์ชเวดากอง ( Shwedagon Pagoda )  , พระเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ ( Shwemawdaw )  และพระธาตุอินทร์แขวน ( Kyaikhtiyo )  รวมไปถึงสถานที่สักการะในอีกหลายๆที่  ใครที่ชอบบรรยากาศย้อนยุคจะต้องหลงรักพม่า  เพราะทั้งสถาปัตยกรรม , พาหนะ , ผู้คน  ,ธรรมชาติ  และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์  ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับไปยังอดีตที่ตราตรึง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:48:11

ความคิดเห็นที่ 3 วัดบารมี  เป็นวัดที่มีพระเกศาธาตุที่สามารถขยับเองได้  โดยเจ้าอาวาสจะอัญเชิญออกมาแล้วสวดมนต์  พระเกศาธาตุก็จะขยับเสมือนมีชีวิต   รวมไปถึงยังมีพระธาตุของพระอรหันต์องค์ต่างๆให้เราได้ยล  ส่วนใครที่ต้องการเสี่ยงทายก็จะมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งให้อธิษฐานแล้วยก  ซึ่งบางคนก็ยกขึ้นบางคนก็ยกไม่ขึ้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:48:40

ความคิดเห็นที่ 4 เจดีย์กาบาเอ ( Kabar Aye )  มีความหมายว่าสันติภาพของโลก  สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1952  โดยนายกรัฐมนตรีอูนุ  มุ่งหวังให้เกิดสันติภาพในโลก  เจดีย์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 34 เมตร  กึ่งกลางเป็นเสากลมขนาดใหญ่ที่วาดเป็นรูปทิวทัศน์ไว้  มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ  และมีพระพุทธรูปองค์เล็กอีก 28 องค์ประดิษฐานอยู่ด้านบน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:49:21

ความคิดเห็นที่ 5 ในบริเวณนั้นยังมีถ้ำจำลองมหาปาสณคูหา ( Maha Pasana Cave )  ซึ่งมีพระธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะประดิษฐานอยู่ภายใน  ถ้ำนี้มีความยาวประมาณ 139 เมตร  กว้าง 113 เมตร  สร้างขึ้นเมื่อค.ศ. 1952  ด้วยฝีมือของพุทธศาสนิกชนที่ร่วมแรงร่วมใจกันโดยไม่รับค่าตอบแทน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:49:47

ความคิดเห็นที่ 6 จนทันใช้เป็นที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ระหว่างปีค.ศ. 1954 – 1956  ในครั้งนี้ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกขพลารามได้ไปแสดงธรรมด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:50:10

ความคิดเห็นที่ 7 พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน ( CHAUK HTAT GYI )  เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร นอนตะแคงขวา (ส่วนขวาของร่างกายติดกับพื้น )  พระนอนองค์ปัจจุบันสร้างเมื่อ พ.ศ. 2509 แทนองค์เดิมที่ชำรุดเสียหาย  มีพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว  สั่งผลิตมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ  รวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:50:39

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอน  ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:51:25

ความคิดเห็นที่ 9 สิเรียม ( Syriam )  หรือตันลยิน ( Thanlyin )  ตั้งอยู่ปากแม่น้ำย่างกุ้ง  ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16  ชาวโปตุเกสเดินเรือมาถึงแถวนี้พร้อมกับเผยแผ่ศาสนาคริสต์  ฟิลิป  เด  บริโต  ยี  นิโคเต  ทหารรับจ้างชาวโปตุเกสก็ใช้กำลังเข้ายึดสิเรียม  จากนั้นก็ตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง  บีบให้เรือสินค้าทั้งหลายต้องมาที่นี่  สิเรียมจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลแทนเมืองหงสาวดี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:51:59

ความคิดเห็นที่ 10 13 ปีที่ฟิลิปครองเมืองก็กอบโกย  ย่ำยีพุทธศาสนา  ปล้นชิงวัดวาอาราม  ทั้งหลอมทองจากพระพุทธรูปมาหล่อปืนใหญ่  พระสงฆ์ถึงกับสาปแช่งไม่ให้ตายดี  ต่อมาก็บังคับให้ชาวมอญเข้ารีตในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกว่าหมื่นคน  ในปีค.ศ. 1713  พระเจ้าอะน่าวแผ่หลุ่น  กษัตริย์พม่าแห่งเมืองตองอู  ยกทัพเข้าตีเมืองสิเรียมแตก  จึงจับฟิลิปฆ่าเสียบประจาน  หลังจากนั้นสิเรียมก็ตกอยุ่ในอำนาจของทั้งพม่า , มอญ และไทย  ปัจจุบันเป็นแหล่งปลูกข้าวและเมืองอุตสาหกรรม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:52:29

ความคิดเห็นที่ 11 เจดีย์เยเลพญา ( Ye Le Paya )  ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็ก  มีประวัติว่า  เมื่อพันกว่าปีก่อนได้มีพระพุทธรูปงดงามลอยมายังเกาะ  ผู้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์  จึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน  พร้อมทั้งขนานนามท่านว่า “ ง่าซัดพญา ”  พระพุทธรูปนี้แกะจากหินอ่อน  ประดับเครื่องทรง  พระพักตร์ขาว  มีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา  ถอดแยกออกได้ 5 ชิ้น  คือ  พระพาหา 2  พระเพลา  2  และเศียร 1 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:53:08

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อมาในราวคริสต์สตวรรษที่ 3  พระเจ้าซียาสะนาทรงสร้างเจดีย์เยเลพญาขึ้น  เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป  โดยทรงตั้งจิตอธิษฐานไว้ 3 ข้อว่า 1.  แม้เกาะจะเล็ก  แต่ถ้าหากมีผู้คนมามากมายก็ให้พอรองรับ  2.  แม้ฝนจะตกหนัก  น้ำก็ไม่ท่วมเกาะ  3.  แม้จะอธิษฐานสิ่งใด  ก็ขอให้สมปรารถนา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:53:35

ความคิดเห็นที่ 13 พุทธศาสนิกชนที่มาบูชาเจดีย์สามารถตั้งจิตอธิษฐานได้ 3 ข้อ  จากนั้นให้ไหว้พระสีวลี  พระอุปคุต  สุดท้ายคือเทพทันใจที่มีอายุกว่าพันปี  ซึ่งอธิษฐานขอพรจากท่านได้ 3 ข้อเช่นกัน  นอกจากนี้ข้างประตูยังมียักษ์สีเขียว 2 ตนขนาบอยู่ซ้ายขวา  เชื่อว่าหากลูบหลังยักษ์แล้วมาลูบร่างกายบริเวณที่ปวดเมื่อย  อาการดังกล่าวจะหายไป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:54:02

ความคิดเห็นที่ 14 เจดีย์โบตะทาวน์  แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000 นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก  พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้  ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์ชเวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบตะทาวน์องค์เดิมถูกทำลาย แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:54:29

ความคิดเห็นที่ 15 . ครั้นเมื่อเจดีย์โบตะทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:54:52

ความคิดเห็นที่ 16 นัต ( Nat ) ( ออกเสียงตามสำเนียงพม่าว่า "น่ะต์" ) ความเชื่อเรื่องผีของชาวพม่า เป็นความเชื่อพื้นเมืองที่มีมาก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาในพม่า นัตเป็นผีบรรพบุรุษ ลักษณะกึ่งผีกึ่งเทวดา คล้ายเทพารักษ์ คอยดูแลคุ้มครองสถานที่ที่ตนเมื่อครั้งยังมีชีวิตมีความสัมพันธ์อยู่ โดยมีจะมีศาลลักษณะคล้ายศาลเพียงตาตั้งบูชาอยู่ในสถานที่นั้น ๆ  เมื่อพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งราชวงศ์พุกาม นำศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากมอญเข้าสู่พม่า ในพุทธศตวรรษที่ 18 ความเชื่อเรื่องนัตจึงถูกผสมผสานเข้ากับศาสนาพุทธ นัตถูกยกระดับให้เป็นนัตหลวง คือ นัตระดับประเทศ โดยพระองค์ได้ทำการตั้งศาลนัตหลวงขึ้นที่เขาโปปา หรือเรียกว่า มหาคีรีนัต 1,300 เมตร ใกล้เมืองพุกาม มีทั้งหมด 37 องค์ โดยมีนัตตัจจาเมง (พระอินทร์) เป็นประธาน นัตหลวงส่วนหนึ่งจะเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ เช่น บุรพกษัตริย์ อย่าง พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ หรือ พระเจ้าเมกุฎิ (พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์) เป็นต้น และส่วนหนึ่งจะเป็นบุคคลในตำนาน ความเชื่อต่าง ๆ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:55:34

ความคิดเห็นที่ 17 เทพกระซิบอะมาดอว์เมี๊ยะ เทพอีกหนึ่งองค์ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือ อะมาดอว์เมี๊ยะ หรือเทพกระซิบ ซึ่งการขอพรเทพกระซิบต้องไปกระซิบเบาๆ ห้ามคนอื่นได้ยิน ชาวพม่านิยมขอพรจากเทพองค์นี้กันมากเช่นกัน บางตำนานกล่าวว่า อะมาดอว์เมี๊ยะเป็นธิดาพญานาคที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก  รักษาศีลกินมังสวิรัติ ยอมฝืนธรรมชาติของนาคที่กินปลากบเขียดและสัตว์เป็นๆ จนกระทั่งนางสิ้นชีวิต กลายเป็นนัตในที่สุด  การบูชานัต อะมาดอว์เมียะนั้น นอกจากบูชาด้วยมะพร้าว กล้วยนากที่เขาจัดไว้เป็นชุดแล้ว ยังนิยมบูชาด้วยน้ำนม และข้าวตอก รวมทั้งดอกไม้ ซึ่งมักจะเป็นดอกมหาหงส์ ที่คนพม่านิยมใช้บูชาพระกันทั่วไป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:56:00

ความคิดเห็นที่ 18 เทพทันใจ  หรือ นัตโบโบยี  เป็นเทพที่ชาวพม่าและชาวไทยต่างตั้งใจมาไหว้อธิษฐานขอพรให้สมปรารถนาในทันที วิธีขอพรจากเทพทันใจ (นัตโบโบยี)   1.  เตรียมเครื่องถวายสักการะเช่น มะพร้าว กล้วย ดอกไม้  2. เตรียมเงินธนบัตรไว้ 2 ใบใช้ได้ทั้งเงินพม่า เงินเหรียญดอลล่า เงินไทย โดยม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนกัน  3. นำไปใส่ไว้ที่มือของเทพทันใจ  4.นำหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของเทพทันใจที่ชี้มา พร้อมกันนั้นให้เราอธิษฐานสิ่งที่ต้องการขอพรเพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้น  5. ให้เดินวนรอบแล้วไหว้อีกครั้งโดยให้หน้าผากแตะที่นิ้วชี้ของเทพทันใจ และหยิบเงินที่ซ้อนในกรวยในมือท่านออก 1 ใบนำมาเก็บรักษาไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:56:25

ความคิดเห็นที่ 19 สัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีเป็นรูปหงส์คู่ ( ในรูปเป็นหงส์ตัวเดียว ) ตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาถึงเมืองหงสาวดีที่สมัยก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าทรง เห็น หงส์สองตัวว่ายน้ำเล่นกัน จึงทำนายออกมาว่าภายหลังจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวหงสาวดีจึงถือเอาตำนานเรื่องนี้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ นอกจากนี้ ตำนานยังกล่าวว่า หงส์คู่นั้น ตัวเมียขี่ตัวผู้ จึงมีคำทำนายว่าต่อไปผู้หญิงจะเป็นใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ พระนางชินสอบู ( ตะละแม่ท้าว ) นั่นเอง   พะโค ( Bago )  หรือ ที่ชาวไทยเรียกว่าหงสาวดี  มอญเรียกว่าหานตาวดี ( Hanthawaddy )  อยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 80 กิโลเมตร  เดิมเป็นเมืองมอญ  สร้างโดยสมละและวิมละสองพี่น้องชาวมอญในราวปีค.ศ. 825  ผ่านไปอีกประมาณ 260 ปีพม่าก็เข้ายึดครองเมื่อถึงปีค.ศ. 1369 พระเจ้าพินยะอุ  ผู้ครองเมืองเมาะตะมะก็ย้ายราชธานีมาที่พะโค  กษัตริย์มอญที่สำคัญคือพระเจ้าราชาธิราช  ซึ่งเป็นต้นเรื่องของหนังสือ  ราชาธิราช  โดยเล่าเรื่องราวการรบระหว่างมอญและพม่า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:57:03

ความคิดเห็นที่ 20 ในอดีตหัวเมืองมอญเช่น เมาะตะมะ  ทวาย  ตะนาวศรี  มะริด  ล้วนเป็นกันชนระหว่างไทยกับพม่า  เพราะเป็นเมืองท่าที่มีทางออกสู่ทะเล  พม่าจึงพยายามตีมอญเพื่อใช้บุกมาตีกรุงศรีอยุธยาปีค.ศ. 1541  พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งเมืองตองอู  กษัตริย์พม่าตีเมืองหงสาวดีได้  ชาวมอญถูกฆ่าฟันจนต้องหนีมาพึ่งไทย  ที่เหลือก็อยู่อย่างทุกข์ทรมาน  นักประวัติศาสตร์ชาวพม่าบอกว่า  ความบกพร่องอันยิ่งใหญ่ของมอญคือไม่มีความทะเยอทะยานในด้านการเมือง  จึงไม่เคยแสวงหาอาณาจักรของตนเอง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:57:44

ความคิดเห็นที่ 21 กระทั่งปีค.ศ. 1566  พระเจ้าบุเรงนองได้ตั้งเมืองหงสาวดีขึ้นเป็นราชธานีแห่งราชวงศ์ตองอู  แต่ต่อมาได้มีการย้ายราชธานีไปยังกรุงอังวะ ( Inwa )  คราวนี้มอญก็ประกาศอิสรภาพจากพม่า  แต่ไม่นานนักพระเจ้าอลองพญาแห่งพม่าก็ยกทัพมาปราบอีก  สุดท้ายพม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ  คราวนี้อังกฤษก็พยายามจัดตั้งรามัญประเทศขึ้นใหม่เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของตน  โดยเที่ยวสืบหาเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์หงสาวดีเพื่อให้มาครองราชย์  แต่น่าเศร้าก็คือ  เชื้อพระวงศ์ได้สูญสิ้นไปแล้วทั้งหมด  รามัญประเทศจึงหายไปจากแผนที่โลก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:58:12

ความคิดเห็นที่ 22 เจดีย์ไจ๊ปุ่น (พระสี่ทิศ)  มีลักษณะพิเศษคือ  เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมทึบตัน  ล้อมรอบด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์  สูงประมาณ 30 เมตร สร้างโดยพระเจ้าธรรมเจดีย์  เมื่อปีค.ศ. 1476  ส่วนอีกตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้อง ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ แต่ในที่สุดน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา  จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ คือ พระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่น ( พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:58:48

ความคิดเห็นที่ 23 พระเจดีย์นี้มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ อันได้แก่ สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางทิศเหนือ , พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้ , พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออกและ  พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:59:14

ความคิดเห็นที่ 24 พระนอนชเวตาเลียง (Shwethalyaung Buddha)   สร้างขึ้นราวปีค.ศ. 994  ทว่าต่อมาถูกปล่อยให้ตากแดดกรำฝน  ไม่มีการดูแลมานานหลายร้อยปี   กระทั่งพระเจ้าธรรมเจดีย์และพระเจ้าบุเรงนองโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ  แต่งหลังจากผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน  องค์พระก็ถูกทิ้งร้างอีกครั้ง  ครั้นถึงปีค.ศ. 1878  มีการสร้างทางรถไฟมาถึงหงสาวดี  ผู้รับเหมาให้ผู้คนไปเสาะหาศิลาแลงจึงได้พบพระนอนอยู่ในป่ารกชัฏโดยบังเอิญ  ชาวพม่าขอร้องไม่ให้ตัดทางรถไฟผ่าน  โดยยอมแลกกับอิฐและไม้ตามที่อังกฤษต้องการ  สามปีต่อมาพุทธศาสนิกชนร่วมบริจาคทุนทรัพย์เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างหลังคาคลุมไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:59:48

ความคิดเห็นที่ 25 องค์พระยาว 55 เมตร  สูงจากฐานจรดพระอังสา 16 เมตร  พระเขนยประดับมุกลวดลายวิจิตรงดงาม  พระบาทวางเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกันด้านหลังองค์พระยังมีจิตรกรรมเล่าตำนานเรื่องกษัตริย์ที่ไม่ศรัทธาพุทธศาสนา  แต่กลับไปนับถือยักษ์  โดยสร้างรูปปั้นยักษ์ไว้บูชา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:00:14

ความคิดเห็นที่ 26 ต่อมาพระโอรสได้รับสาวชาวบ้านคนหนึ่งเข้าวัง  นางได้นำพระพุทธรูปติดตัวมาด้วย  กษัตริย์กริ้วมากและสั่งให้ประหารทั้งสอง  สาวชาวบ้านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระพุทธเจ้า  ทันใดนั้นเชือกที่แขวนรูปปั้นยักษ์ก็ขาด  รูปปั้นยักษ์หล่นลงมาแตกกระจาย  กษัตริย์จึงทรงหันมานับถือศาสนาพุทธ  และสร้างพระนอนชเวตาเลียงเพื่อไถ่บาป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:00:42

ความคิดเห็นที่ 27 การเดินทางสู่พระธาตุอินทร์แขวน  พระธาตุอินทร์แขวนอยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 160 กิโลเมตร   โดยเดินทางผ่านเมืองวอ ( Waw )  ข้ามแม่น้ำสะโตงหรือซิตตาง (Sittoung River)  มุ่งสู่เมืองไจ๊ก์โถ่   รัฐมอญ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:01:13

ความคิดเห็นที่ 28 แล้วนั่งรถอีก 20 กิโลเมตร หรือประมาณ 1 ชั่วโมงจนถึงคินปูนเบสแคมป์ ( Kinpun Base Camp )  ริมเชิงเขาซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนชนบท จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:01:48

ความคิดเห็นที่ 29 จากนั้นก็นั่งรถบรรทุกขึ้นเขาไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง  จากบริเวณลานจอดรถต้องเดินขึ้นยอดเขา  ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง  หรือใครไม่อยากเดินก็มีเสลี่ยงให้บริการ  แต่ในปัจจุบันมีกฎว่าคนต่างชาติไม่สามารถขึ้นรถบรรทุกได้  จึงต้องเลือกระหว่างเดินขึ้นเองหรือนั่งเสลี่ยงขึ้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:02:12

ความคิดเห็นที่ 30 สภาพเมื่อเดินขึ้นมาถึง  เหนื่อยมากแต่ดีใจที่ทำได้ ( ระหว่างเดินขึ้นไม่พูดกับใครเลยท่องอย่างเดียว “ พุท  โธ ” ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:02:41

ความคิดเห็นที่ 31 ที่พักคือ Mountain Top Hotel อยู่ก่อนถึงทางเข้าพระธาตุอินทร์แขวน  ภายในห้องพักสะอาดและสงบ  อากาศบนเขาเมื่อเดือนเมษายนเย็นสบายแต่ตกดึกก็หนาว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:03:08

ความคิดเห็นที่ 32 บริเวณด้านหน้าที่พักจะเป็นร้านขายของกินและของที่ระลึก  อยากลองกินอาหารพื้นเมืองแต่ยังไม่กล้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:04:00

ความคิดเห็นที่ 33 ผมหอมยาววาหลั่งเลื้อยลงไหล่เลยหลัง  ผมหอมเหมือนเส้นไหมต้องแดดวะวาบ  เล็กละเอียด  หอมกรุ่นละมุนลม  เจ้าคนงามล่มภพลบสวรรค์เจ้าก็พลันกอบเอาผมหอม  กอบถนอมเต็มกำมือมากลั้นใจอธิษฐาน  สูดลมหายใจยาว ๆ เยือกหนาวสะท้านลม    สาธุวรธาตุเจ้า ชินสีห์    สัจจะข้าหมายมี แต่งตั้ง    เหิงนานลุห้าปี ครบครอบ    อานิสงส์ส่งค้ำ ช่วยข้าสมคระนิง  แด่เทอญ แดดส่อง  ลมพัดโกรกจนผมหอมปลิวไหว  ครั้นวางคำแล้วก็ตั้งจิตเที่ยงมั่น  คุกเข่าลง  หน้าแนบพื้นแล้วปูผมปูลอด เจ้าจันทร์ผมหอม – นิราศพระธาตุอินทร์แขวน ผู้แต่ง  มาลา  คำจันทร์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:04:50

ความคิดเห็นที่ 34 พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโย ( Kyaikhtiyo ) ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขา Paung Laung เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต พระธาตุอินทร์แขวนเป็น มีลักษณะเป็นหินแกรนิตสูง 8.15 เมตร  หนัก 611.5 ตัน  ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่เหมือนจะหล่น  ส่วนเจดีย์ที่อยู่ด้านบนนั้นสูงประมาณ 10 เมตร  หนัก 19.45 ตัน  และบริเวณก้อนหินสัมผัสกับหน้าผามีพื้นที่เพียง 0.714 ตารางเมตร  พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ ( สุนัข ) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:05:27

ความคิดเห็นที่ 35 มีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาลว่า ฤๅษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม เมื่อเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขารเต็มที เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของเขา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) จึงช่วยเสาะหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้ท้องมหาสมุทรและนำมาวางหรือแขวนไว้บน ภูเขาหิน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:05:52

ความคิดเห็นที่ 36 บางตำนานก็เล่าว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:06:18

ความคิดเห็นที่ 37 วิธีบูชาพระธาตุอินทร์แขวน 1. ไปยังวิหารซึ่งอยู่ใกล้พระธาตุอินทร์แขวน  จุดธูปเทียนถวายเครื่องสักการะ  กราบไหว้พร้อมสวดคำบูชาพระรัตนตรัย  และสวดคำบูชาพระธาตุอินทร์แขวนตามกำลังวันเกิด 2. สรงน้ำพระโดยเริ่มที่องค์พระ  ต่อมาที่เสา  สุดท้ายที่สัตว์สัญลักษณ์ 3. ทำบุญโดยนำเงินใส่ในขันน้ำที่ใช้สรงน้ำพระ  ส่งให้เจ้าหน้าที่ของวัด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:07:02

ความคิดเห็นที่ 38 4. ไปปิดทองที่ก้อนหินแห่งพระธาตุ  ผู้หญิงห้ามต้องจึงต้องฝากผู้ชายไปปิดทองแทน 5. กล่าวคำไหว้  อธิษฐานขอพรด้วยการนำหน้าผากไปทาบที่พระธาตุอินทร์แขวน  พร้อมกับพนมมือไหว้ 6. ไปแขวนกระดิ่งซึ่งเขียนชื่อเราไว้บริเวณรั้วด้านข้างก่อนเข้าพระธาตุ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:07:36

ความคิดเห็นที่ 39 แสวงบุญ 3 ครั้ง ชาวพม่าเชื่อว่าชีวิตหนึ่งต้องมาแสวงบุญที่นี่ 3 ครั้งจึงจะสมปรารถนาที่ได้อธิษฐานไว้  ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากพอไปถึงก็จะไปไหว้ครั้งแรก  ตกค่ำไหว้ครั้งที่ 2  และตอนเช้าไหว้ครั้งที่ 3  เป็นอันแสวงบุญครบ 3 ครั้ง  ในยามค่ำคืนยังมีผู้คนไปทำบุญรวมถึงนั่งสมาธิบริเวณหน้าพระธาตุทำให้รู้สึกถึงความศรัทธาและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:08:09

ความคิดเห็นที่ 40 คำบูชาพระธาตุอินทร์แขวน ฤาษีนัง  อะตุ๊ลัง  โลเก อัคคี  สินัมปิ  สัตตะมัน มะหาทายัง  มะหาญาณัง ชาตัง  โลกะทา  เยนะเม บูเญ  นาเนนะ  สัมปัมปิ สะมิชะตุยะ  ติจชิตัง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:10:11

ความคิดเห็นที่ 41 นางชเวนันจิน  ก่อนถึงองค์พระธาตุอินทร์แขวน  เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นพระนางชเวนันจิน แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามนอนทอดกาย อยู่บนพื้น มีตำนานว่า หลังจากพระอินทร์ช่วยพระเจ้าติสสะนำก้อนหินมาวางแล้ว ในขณะที่มีการสร้างเจดีย์อยู่นั้น พระเจ้า ติสสะได้พบรักกับนางชเวนันจิน ธิดาชาวกะเหรี่ยงและอภิเษกสมรสกัน จากนั้นนางชเวนันจินเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ โดยเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากไม่ได้ไหว้วิญญาณบรรพบุรุษก่อนแต่งงาน จึงเดินทางกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้าน ระหว่างทางภูตตนหนึ่งแปลงกายเป็นเสือมาขวางทางไว้ ด้วยความที่นางท้องแก่ ไม่สามารถวิ่งหนีได้จึงได้แต่สวดมนต์ภาวนาโดยที่ตาก็จ้องมองไปยังเจดีย์ไจ้ก์ทีโย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:10:48

ความคิดเห็นที่ 42 เสือตัวนั้นได้วิ่งหนีไปเองโดยไม่ได้ทำร้ายนางแต่อย่างใด นางได้พยายามเดินทางต่อไปให้ถึงเจดีย์ และเมื่อไปถึงฐานเจดีย์ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่าขอให้ได้อยู่ใกล้กับเจดีย์ ตลอดไป เมื่อพระเจ้าติสสะมาถึงนางก็ได้สิ้นใจและกลายเป็นหินไปเสียแล้ว  ชาวพม่ามีความเชื่อว่าให้อธิษฐานขอเกี่ยวกับการเจ็บป่วย  โดยเราไม่สบายที่ใดก็ให้จับที่นั้น  หรือสามารถจับตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าก็ได้ขอให้โรคภัยที่อยู่ในตัวเราหาย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:11:15

ความคิดเห็นที่ 43 พระไฝเลื่อน ( ไจ้ท์ปอลอ ) ปาฏิหาริย์ที่เป็นที่กล่าวขานของพระพุทธรูปองค์นี้คง  มีตำหนิคล้ายไฝบริเวณขมับข้างขวา วันดีคืนดีหลวงพ่อจะแสดงปาฏิหาริย์ เลื่อนตำแหน่งไฝไปอยู่ส่วนอื่นๆของใบหน้าได้ซึ่งไฝบนองค์พระจะเลื่อนก็เฉพาะวันดีเท่านั้นเช่น วันที่ 9 เดือน 9 เป็นต้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:11:46

ความคิดเห็นที่ 44 ฐานรององค์พระ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:12:12

ความคิดเห็นที่ 45 สมาธิก่อให้เกิดสติและปัญญา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:12:35

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อกล่าวถึงพระราชวังบุเรงนองทำให้จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า 10 ทิศ ที่เรารู้จักในนามพระเจ้าบุเรงนอง  หรือ  บุเรงนองกะยอดินนรธา  หรือ  บยิ่นหน่าว  ในภาษาพม่า  เป็น 1 ใน 3 มหาราชของพม่า ( อีก 2 พระองค์คือพระเจ้าอนิรุทธ์และพระเจ้าอลองพญา ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:13:05

ความคิดเห็นที่ 47 พระราชวังบุเรงนอง  ( Kanbawza Thadi Palace ) พระเจ้าบุเรงนองทรงสร้างพระราชวังนี้ขึ้น ในระหว่างปีค.ศ. 1566 – 1567  เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและออกว่าราชการ  เมื่อพระองค์สวรรคต  พระเจ้านันทบุเรงผู้เป็นพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อ  ในรัชสมัยนี้เองที่เมืองแปรและกองทัพยะไข่บุกตีหงสาวดีแตก  พระราชวังถูกเผาย่อยยับลงในปีค.ศ.1599  เมืองจึงถูกทิ้งรกร้างเป็นเวลากว่าสามศตวรรษ  จนเมื่อปีค.ศ. 1990  มีการขุดพบเสาและกำแพงเดิม  พร้อมด้วยโบราณวัตถุจำนวนมาก  รัฐบาลพม่าจึงได้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่  โดยถอนแบบจากของเดิม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:13:40

ความคิดเห็นที่ 48 ภายในพระราชวังมีพื้นที่กว้างใหญ่ร่มรื่น  ครบองค์ประกอบถูกต้อมตามธรรมเนียมโบราณ  กำแพงเมืองเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ 6 เมตร  ยาวด้านละประมาณ 2.4 กิโลเมตร  แต่ละด้านมีประตูเมือง 5 ประตู  รวมทั้งสิ้น 20 ประตู  ตั้งชื่อตามเมืองที่เป็นประเทศราช  แถมยังให้เจ้าเมืองนั้นๆ สร้างถวาย  เช่น  ประตูเชียงใหม่รับผิดชอบโดยพระเจ้าเชียงใหม่  ประตูอยุธยารับผิดชอบโดยสมเด็จพระมหินทราธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:14:20

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนกำแพงพระราชวังชั้นในตั้งอยู่ใจกลางเมือง  เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละประมาณ 900 เมตร  แต่ละด้านมี 4 ประตู  ภายในมีปราสาทราชมณเฑียร 6 องค์  สร้างจากไม้สักแกะสลักลงรักปิดทองอร่ามจนถึงหลังคาที่สร้างเป็นมณฑป 7 ชั้น  ประดับด้วยอัญมณีนานาชนิด  นอกจากนี้ยังมีพระที่นั่งทรงธรรม  หอพระ  ท้องพระคลัง  หอโมงสำหรับตีบอกเวลา  ตำหนังมเหสีและพระสนม  โรงช้าง  โรงม้า  ท้องพระโรงที่มีสีทองอร่าม  บัลลังก์ภุมรินทร์หรือบัลลังก์ผึ้ง ( Bee Throne ) พระตำหนักที่บรรทม  ราชรถจำลอง  ตำหนักพระสุพรรณกับยา  อีกทั้งพระราชวังแห่งนี้ยังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งต้องมาเป็นองค์ประกันด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:14:54

ความคิดเห็นที่ 50 ที่กล่าวว่าพระเจ้าบุเรงนองคือพระเจ้า 10 ทิศ  หมายถึงการได้ครอบครองอาณาเขตอย่างกว้างขวาง  ทั้งแผ่นดินมอญ  ไทใหญ่  ยะไข่  เขมร  ญวน  ล้านนา  ล้านช้าง  กรุงศรีอยุธยา ฯลฯ   8 ทิศแรกคือ  ทิศเหนือ  ทิศใต้  ทิศตะวันออก  ทิศตะวันตก  จากนั้นก็คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ทิศตะวันออกเฉียงใต้  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  ทิศตะวันตกเฉียงใต้  ส่วน 2 ทิศสุดท้ายคือ  ทิศเบื้องบน  และ  ทิศเบื้องล่าง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:15:25

ความคิดเห็นที่ 51 พระธาตุมุเตาหรือเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ ( Shwemawdaw )  เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า  และมีผู้นับถือมากที่สุดองค์หนึ่ง  คำว่า “ มุเตา ”  เป็นภาษามอญ  แปลว่าจมูกร้อน  เนื่องจากต้องแหงนหน้ามองยอดเจดีย์ที่สูงถึง 114 เมตรจนคอตั้งบ่า  แสงแดดจึงแผดเผาจมูกจนร้อน  พระธาตุมุเตามีลักษณะแบบเจดีย์มอญ  อายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี  สร้างโดยสองพี่น้องชาวมอญเพื่อประดิษฐานพระเกศธาตุ 2 เส้นที่ได้รับจากพระพุทธเจ้า  ในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง  พระองค์ถึงกับให้แกะอัญมณีเม็ดใหญ่จากยอดพระมหามงกุฎมาถวายเป็นฉัตรยอดเพื่อเป็นพุทธบูชา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:16:00

ความคิดเห็นที่ 52 พระธาตุมุเตาประสบกับแผ่นดินไหวหลายหน  ครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1930  สะเทือนไปทั่วพม่าจนมาถึงเมือไทย  พระธาตุมุเตาถึงกับพังทลายลง  เหลือให้เห็นเพียงกองดินสูงใหญ่ท่วมถมออกไปจนพ้นลาน  ชาวพม่าร่ำไห้ไปทั้งเมือง  หลังจากนั้นพุทธศาสนิกชนพม่ารวมถึงชาวไทยได้รวมใจผสานศรัทธาเรี่ยไรเงิน  กระทั่งก่อสร้างเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ขึ้นมาใหม่ในปีค.ศ. 1954  ชิ้นส่วนของเจดีย์ที่หักพังได้จัดแสดงไว้บริเวณลานทางทิศเหนือ  กลายเป็นจุดอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ของชาวมอญพม่าเพื่อให้ชีวิตมั่นคงถาวร  ส่วนยอดเจดีย์ที่หักลงมานั้นได้มีการสร้างมงกุฎครอบไว้  บนลานเจดีย์ยังมีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่  โดยจัดแสดงสิ่งของที่พุทธบริษัทนำมาสักการะ  ทั้งพระพุทธรูป  สร้อยคอ  ดาบ ฯลฯ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:16:28

ความคิดเห็นที่ 53 วิธีไหว้พระธาตุมุเตา 1.  จุดธูปไหว้พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่รอบ ๆ องค์พระธาตุมุเตา และเหลือธูปไว้ 1 ดอก 2.  เดินวนรอบองค์พระธาตุตามเข็มนาฬิกา 1 รอบ หรือ 3 รอบ 3.  ไปที่จุดอธิษฐาน  พร้อมกับธูปที่เหลือ 1 ดอก 4.  สักการบูชาพร้อมธูป 1 ดอก  แต่ไม่ต้องจุดธูป  หลังจากนั้นให้นำธูป  มาโค้งและค้ำตามรอยต่อของอิฐ 5. อธิษฐานพร้อมกับให้หน้าผากแตะกับอิฐของพระธาตุมุเตาองค์เดิม  พร้อมกับวางมือทั้งสองข้างทาบที่อิฐของพระธาตุ  เสมือนได้สัมผัสองค์พระธาตุ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:17:19

ความคิดเห็นที่ 54 วัดชเวตอเมียต  ( Swedaw Myat )  สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศจีน  เป็นองค์เดียวกับที่เคยอัญเชิญมายังพุทธมณฑล  ประเทศไทย  เมื่อปีพ.ศ. 2545 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:17:50

ความคิดเห็นที่ 55 ปางช้างเผือก  คู่บ้านเคียงเมือง  กษัตริย์ที่มีบุญบารมีต้องมีช้างเผือก  โดยตำราคชลักษณ์ของ ไทยกล่าวไว้ว่า  ช้างเผือกมี 7 สี คือ  ขาว  เหลือง  เขียว  แดง  ดำ  ม่วง  เมฆ  และช้างสำคัญประกอบด้วยมงคลลักษณะ 7  ประการ คือ  ตาขาว  เพดานขาว  เล็บขาว  ขนขาว  พื้นหนังขาว ( หรือสีคล้ายหม้อใหม่ )  ขนหางขาว  อัณฑโกสขาว ( หรือสีคล้ายหม้อใหม่ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:18:21

ความคิดเห็นที่ 56 ปางนี้มีช้างเผือกอยู่ 3 ช้าง  เชือกใหญ่มีชื่อว่าเต็งกีมาลา  แปลว่าดอกไม้ทอง  เมื่อพระหินอ่อนที่วัดเจ้าต่อจีแกะสลักเสร็จได้ไม่นานนักก็มีผู้พบช้างเผือกที่ยะไข่  ต่อมาก็ยังพบอีก  ในปีค.ศ. 2010  รัฐบาลพม่าได้นำช้างเผือกที่พบนี้ไปเฉลิมฉลองที่เมืองหลวงใหม่เนปิดอว์ด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:18:55

ความคิดเห็นที่ 57 ที่ด้านในปางช้างและก่อนเข้าจะมีขายหมากและขนมด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:19:34

ความคิดเห็นที่ 58 วัดเจ้าต่อจี  ( Kyarktawgyi )  หรือวัดพระหินอ่อน  ประดิษฐานพระพุทธรูปสูง 37 ฟุต  กว้าง  24  ฟุต  หนา  11  ฟุต  และหนัก  60  ตัน  ที่แกะสลักจากหินอ่อนสีขาวก้อนเดียวซึ่งนำมาจากสะกาย ( Sagaing ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:20:13

ความคิดเห็นที่ 59 ครอบไว้ด้วยกระจกเพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ร้อนจนแตกร้าว  แกะสลักโดยช่างมัณฑะเลย์  แล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ. 2000   กลายเป็นพระหินอ่อนซึ่งงดงามไร้ที่ติและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  และที่ด้านหลังพระพุทธรูปเชื่อกันว่าเป็นเงาของพระสีวลี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:20:40

ความคิดเห็นที่ 60 ทางขึ้นจะวาดภาพการแกะสลักพระหินอ่อน  ร่วมถึงการอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ วัดเจ้าต่อจี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:21:12

ความคิดเห็นที่ 61 บรรยากาศโดยรอบบริเวณวัดเจ้าต่อจี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:21:38

ความคิดเห็นที่ 62 ตลาดโบโจ๊ก  อองซาน  ( Bogyoke Aung San Market )  เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในพม่า  ตั้งอยู่ใกล้ตลาดจีนและตลาดอินเดีย  เดิมเรียกว่าตลาดสกอตต์ ( Scott Market )  ชื่อนี้ได้มาก็เพราะสร้างโดยมิสเตอร์เจมส์  จอร์จ  สกอตต์  ( James George Scott )  เมื่อปีค.ศ. 1926  สมัยที่พม่าเป็นอาณานิคมชองอังกฤษ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:22:06

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนโบโจ๊ก  อองซานนั้น  มาจากชื่อของนายพลอองซาน  ตลาดนี้ประกอบด้วยร้านค้าหนึ่งพันหกร้อยกว่าร้าน  มีสินค้าต่าง ๆ ให้ซื้อหา  ทั้งหยก  อัญมณี  ไม้แกะสลัก  ภาพเขียน  เครื่องเงิน  เครื่องเขิน  ถ้วยชามกังไสจีนโบราณ  ผ้าปัก  โสร่งชายหญิง  อาหารและอื่น ๆ อีกมากมาย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:22:32

ความคิดเห็นที่ 64 เจดีย์ชเวดากอง  “ ชเว ”  แปลว่าทอง  ส่วน  “ ดากอง ”  หรือ  “ ตะเกิง ”  นั้นคือชื่อเดิมของย่างกุ้ง   หมายถึง  เจดีย์ทองคำแห่งเมืองดากอง  เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนเนินเขาเสนคุตตะระ ( Singuttara Hill )  ตามตำนานเล่าว่า  สร้างขึ้นเมื่อราว 2,500  กว่าปีก่อน  โดยตปุสสะและภัลลิกะ  วาณิชทั้งสองพี่น้องได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเพิ่งตรัสรู้ได้เพียง 45 วัน  จึงเกิดความศรัทธาประกาศตนเป็นพุทธมามกะ  เมื่อถึงคราวจะจากลาก็กราบทูลขอสิ่งของสำหรับบูชา  พระพุทธเจ้าจึงเสยพระเสศาหลุดมา 8 เส้น  ทั้งสองปีติเหลือล้น  จึงได้อัญเชิญไว้ในผอบพลอยจินดา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:23:34

ความคิดเห็นที่ 65 ระหว่างทางพระราชาแห่งอเชตตะนครทรงแบ่งพระเกศาไป 2 เส้น  ต่อมาพญานาคราชยังขโมยไปอีก 2 เส้น  ทำให้สองพี่น้องเสียใจยิ่งนัก  เมื่อกลับถึงบ้านเกิด  พระเจ้าโอกะลัปทรงจัดพิธีต้อนรับ พระเกศาธาตุอย่างยิ่งใหญ่  พร้อมทั้งบัญชาให้ทหาร 1,000 นายเฝ้ารักษาไว้  พระอินทร์ถึงกับยกทัพเทวดาลงมาช่วยค้นหาสถานที่สำหรับสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระเกศาธาตุ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:24:12

ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อถึงเวลา  พระเจ้าโอกะลัปทรงเปิดผอบพลอยจินดาชม  ก็มีปาฏิหาริย์บังเกิดพระเกศาครบ 8 เส้นดังเดิม  ทันใดทันพระเกศธาตุก็เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั้งโลก  เกิดอิทธิฤทธิ์บันดาลให้คนพิการหายกลับเป็นปกติ  ต้นหมากรากไม้ผลิดอกออกผลงดงาม  ฝนโปรยปรายลงมาเป็นเพชรนิลจินดา  จากนั้นจึงทรงสร้างเจดีย์อิฐสูงประมาณ 9 เมตร  ครอบพระเกศธาตุเอาไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:24:50

ความคิดเห็นที่ 67 พระพุทธเจ้า 4 องค์  วิหาร 4 ทิศ มีวิหารพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่รวม 4 วิหาร  ตั้งอยู่ 4 ทิศ  โดยทิศเหนือได้แก่  วิหารพระศรีศากยโคตมพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  ส่วนอีก 3 ทิศคือพระอดีตพระพุทธเจ้า  ทิศใต้ได้แก่วิหารพระโกนาคมพุทธเจ้า  ทิศนะวันออกได้แก่วิหารพระกกุสันธพุทธเจ้า  และทิศตะวันตกได้แก่วิหารพระกัสสปพุทธเจ้า * ในภาพภาพสุดท้ายไม่ใช่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:25:15

ความคิดเห็นที่ 68 ลานอธิษฐานและจุดถ่ายภาพ ลานกว้างที่มีผู้คนกำลังนั่งลงอธิษฐานนั้นคือ  “ อ่าวมเย ”  หรือ “ ลานสมปรารถนา ” ( Wish Fulfilling Place )  มีเรื่องเล่าว่า  ครั้งใดที่พระเจ้าบุเรงนองลั่นกลองรบ  ก็จะเสด็จมาตั้งจิตอธิษฐานที่ลานนี้ทุกครั้งและรบชนะทุกครา  จึงมีอีกชื่อว่า “ ลานบุเรงนอง ”  อีกทั้งลานนี้ยังเป็นจุดถ่ายภาพเจดีย์ชเวดากองที่งดงามอีกด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:25:51

ความคิดเห็นที่ 69 ระฆังศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่มีระฆังใหญ่ 2 ใบ ใบแรกอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  ชื่อระฆังมหาคันธะ ( Maha Gandha Bell )  หนัก 23 ตัน  เส้นผ่านศูนย์กลา 2 เมตร  สูง 2.20 เมตร  สร้างเมื่อปีค.ศ. 1778   โดยพระเจ้าซิ่นกู่ซึ่งทรงจารึกไว้ว่า  ขอให้อานิสงส์ผลบุญบันดาลให้พระองค์ได้ครองราชย์อย่างยาวนานและบรรลุนิพพาน  เมื่ออังกฤษรบชนะพม่า  อังกฤษก็ตั้งใจนำระฆังใบนี้ไป  โดยเกณฑ์ผู้คน ให้ช่วยกันยก  แต่ระฆังได้หล่นลงในแม่น้ำย่างกุ้ง  พยายามเท่าไรก็นำขึ้นมาไม่ได้  ภายหลังชาวพม่าร่วมแรงร่วมใจกู้ขึ้นมาได้สำเร็จ  ระฆังใบนี้จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของพม่า อีกใบชื่อระฆังมหาติสัททะฆัณตะ ( Maha Tissada Bell )  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  หนักประมาณ 42 ตัน  สร้างเมื่อปีค.ศ. 1841  โดยพระเจ้าตาหย่าวดี  บนระฆังมีจารึกภาษาบาลีและพม่า 100 บรรทัด  เชื่อกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์  ถ้าอธิษฐานแล้วตี 3 ครั้งจะสมปรารถนา * ในภาพเป็นภาพระฆังมหาคันธะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:26:28

ความคิดเห็นที่ 70 ไหว้พระประจำวันเกิด เสาของดาวพระเคราะห์ทั้ง 8  หรือพระประจำวันเกิดประดิษฐานอยู่ทั้ง 8  ทิศ  เพื่อให้ผู้ที่เกิดในแต่ละวันได้ไปสรงน้ำ  สังเกตได้จากสัตว์ซึ่งเป็นพาหนะประจำวันเกิดที่ตั้งอยู่ด้านล่าง  โดยรดน้ำด้วยขันใบเล็กเท่าจำนวนอายุบวกอีกหนึ่ง  แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุจะรดเพียง 5 ขัน  ซึ่งหมายถึงพระรัตนตรัย  บิดามารดา  และครูบาอาจารย์  การสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์พาหนะนี้จะบันดาลความบริสุทธิ์  ความสุข  และความเจริญสืบไป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:27:03

ความคิดเห็นที่ 71 สุวรรณฉัตรบนยอดเจดีย์ บนยอดเจดีย์มีสุวรรณฉัตรสูง 10 เมตรสีทองอร่าม  ประดับด้วยเพชร 4,531 เม็ด  ทับทิม  ไพลิน  และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด  รวมทั้งระฆังทอง 1,065 ใบ  และยอดสุดยังประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่หนัก 72 กะรัต   ในยามค่ำคืนจะเป็นช่วงเวลาชมประกายเพชร  โดยจะมีจุดบอกไว้ว่าถ้ายืนจุดนี้จะเห็นประกายเพชรเป็นสีอะไร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:27:35

ความคิดเห็นที่ 72 การบูชาเจดีย์ชเวดากอง 1.  ไหว้พระพุทธเจ้าตรงวิหารทิศใดทิศหนึ่ง  หรือจะทุกวิหารก็ได้  สวดมนต์ภาวนา  จุดธูปเทียน  และถวายดอกไม้ประดับธง 2.  ไหว้พระประจำวันเกิด  ซึ่งประดิษฐานอยู่ทั้งแปดทิศ  โดยจุดธูปเทียนและถวายดอกไม้ประดับธง 3.  สรงน้ำพระประจำวันเกิดเท่าอายุและบวกหนึ่ง 4.  เดินประทักษิณ ( เดินตามเข็มนาฬิกา )  ตั้งจิตอธิษฐานขอพรรอบเจดีย์ 1 รอบหรือจะ 3 รอบก็ได้ 5.  ถวายปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงองค์พระเจดีย์  ค้ำจุนพระศาสนาตามกำลังศรัทธา 6.  ตีระฆังใบใดใบหนึ่งที่ตั้งอยู่รอบเจดีย์  เพื่อให้เทพดาบนสวรวงสวรรค์อนุโมทนารับส่วนบุญ ( สาธุ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:28:35

ความคิดเห็นที่ 73 คำบูชาพระธาตุเจดีย์ชเวดากอง พุทโธพุทธะ  หัตถะฏะฐิ  พุทธะเจติยะ คันธะวะรัง  สะวาตะถิยัง  อะหังวันทามิ  สัพพาทา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:29:12

ความคิดเห็นที่ 74 คำบูชาเจดีย์ชเวดากองสำหรับผู้ที่เกิดปีมะเมีย เจดีย์ชเวดากองเป็นพระธาตุประจำปีมะเมีย  ผู้ที่เกิดปีมะเมีย  นักษัตรม้า  ธาตุไฟ  จึงเดินทางมาสักการะ   ธัมภูทีเป  วะระฐาเน  สิงคุตตะเร  มะโนรัมเม  สัตตะระนะ   ปะฐะมัง  กะกุสันธัง  สุวัณณะฑัณธัง  ธาตุโย  ฐัสสะติ   ทุติยัง  โคนาคะมะนัง  ธัมมะกะระณัง  ธาตุโย  ฐัสสะติ   ตะติง  กัตสัปปัง  พุทธะจีวะรัง  ธาตุโย  ฐัสสะติ   จะตุตะถัง  โคตะมะ  อัฏฐะเกสะ  ธาตุโย  ฐัสสะติ   ปัญจะมัง  อริยะเมตเตยโย  อะนาคะโต  อุตตะมังธาตุโยฯ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:29:58

ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อลิ้มรสแห่งวิเวก สัมผัสพระนิพพานอันสงบ ดื่มด่ำความอิ่มเอมในพระธรรม บุคคลนั้นย่อมหมดบาปสิ้นทุกข์ พุทธวจนะในธรรมบท จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:31:16

ความคิดเห็นที่ 76 ปาดเบา ๆ มารับรู้ประวัติของย่างกุ้งค่ะ จากคุณ : คุณแม่ติดเน็ต เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 22:06:52

ความคิดเห็นที่ 77 ข้อมูลแน่นมากครับ จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 23:24:33

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณคุณแม่ติดเน็ตและคุณCherokee1นะคะ  ที่ติดตามชมจนจบเพราะยาวมากๆ  เอาไว้เผื่อถ้าใครไปแถวๆนี้จะได้ไม่ต้องลำบากในการหาข้อมูลของสถานที่คะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 08:48:05

ความคิดเห็นที่ 79 ตามมาเก็บข้อมูลค่ะ กำลังจะไปพม่าพอดี ขอตามรอยไหว้พระด้วยคนนะคะ จากคุณ : ลูกสาวมาเฟีย เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 09:54:26

ความคิดเห็นที่ 80 ตามมาเที่ยวแถมยังได้รู้เรื่องราวของสถานที่ไปด้วย ดีจัง จากคุณ : P.S. i love you เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 10:25:30

ความคิดเห็นที่ 81 น่าไปเที่ยวมากเลยครับ  ขอบคุณครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 11:00:54

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณครับ เห็นแล้วอยากพาพ่อแม่ไปบ้าง ^^ จากคุณ : davidkoong เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 15:50:21

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมคะ  และดีใจที่ข้อมูลพอจะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ชอบท่องเที่ยวหลายๆคน ทิปหน้ายังมีทัวร์ไหว้พระและชมสถาปัตยกรรมรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า  อีกทั้งยังมีเดินป่าผสมกันในช่วงเดือนมีนาคม '55 อีก  คราวนี้จะไปแถบทางเหนือของย่างกุ้ง  แอบบอกนิดจะพาไปไหว้พระมหากัสสปะที่ "อเล้าดอกัสสปะ" รวมถึงชมความงามของถ้ำพินยาดาหวังว่าทุกท่านคงจะติดตามตะลอนทัวร์ภาคต่อนะคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : วันสิ่งแวดล้อมไทย 54 15:54:41

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณสำหรับรีวิวสวยๆพร้อมข้อมูลละเอียดมากค่ะ จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 04:54:36

ความคิดเห็นที่ 85 รีวิวเนื้อหาเยี่ยม ภาพสวยครับ จากคุณ : ebusiness เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 19:55:08

ความคิดเห็นที่ 86 ตามมาเก็บข้อมูลค่า จากคุณ : noonna เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 22:13:30