ความคิดเห็นที่ 1 สังเวชนียสถานสี่ตำบล ถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนิกชน เชื่อกันในหมู่นักปฏิบัติธรรมว่า ดินแดนแห่งนี้นั้น ผู้ที่จะได้ไปโดยสะดวกราบรื่น ไม่มีอะไรมาขัดขวาง มีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย สำหรับผมนั้น ก็ต้องเจอบททดสอบจิตใจหลายอย่างครับ กว่าจะได้ไปกราบสักการะแดนพุทธภูมิกับเค้าบ้าง เป็นครั้งแรกในชีวิต จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:06:12

ความคิดเห็นที่ 2 บททดสอบที่ผมเจอเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ ผมชักชวนคุณแม่ไปทำพาสปอร์ตได้แล้ว แต่คุณแม่โทรไปปรึกษาหมอดู หมอดูทักไม่ให้คุณแม่ไป คุณแม่ก็เลยไม่ไป แถมยังบอกกับผมว่าอย่าเพิ่งไปเลย บททดสอบต่อมา คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน ญาติมิตร เกือบร้อยละ 90 ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปอินเดีย ไปทำไม สกปรก ขอทานเยอะ เดี๋ยวเหยียบขี้นะ เรียกว่า คนที่พอรู้ว่าผมจะไปแสวงบุญที่อินเดีย มีน้อยมากที่จะบอกว่า ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะจ๊ะ   บททดสอบต่อมา ธุรกิจที่บ้านของผมนั้น มีเหตุให้ต้องเสียเงิน เสียทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก  เชื่อว่าแทบทุกคนน่ะครับ ถ้าต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองประมาณรายได้เกือบทั้งปี คงจะถอดใจ ถอนตัว ไม่ไปอินเดียแล้วแน่นอน แต่ในเวลาต่อมา หลังจากที่ผมได้รับฟังคำแนะนำ และข้อคิดดีดีจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง  ผมจึงคิดได้ว่าเรื่องนี้ก็เป็นโลกธรรม ทรัพย์สินเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ เป็นสมมติบัญญัติ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริง เพราะตัวตนของเราก็ยังไม่มี เสียดายไปก็เท่านั้น การใช้เงินหรือทรัพย์สินนั้น หากเป็นการใช้เพื่อเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญบารมี ก็เป็นสิ่งควรกระทำ ทั้งนี้โดยที่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อนด้วย อีกทั้งผมยังได้ระลึกถึงคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ว่า สิ่งที่เราต้องพบเจอมานั้น คือสิ่งที่ยุติธรรมแล้วนะกับกรรมที่เราเคยทำมา ความทุกข์เป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง แล้วมันก็จะผ่านไป ขอให้มีสติไว้   บททดสอบต่อมา ก็เรื่องของน้ำท่วม นี่ล่ะครับ เพราะบ้านของผมอยู่โคราชก็จริง แต่ผมก็ต้องมาขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ ต้องลุ้นกันจนวันสุดท้าย ว่าน้ำจะท่วมถึงสนามบินหรือเปล่า แล้วจะเดินทางไปยังไง จะเลื่อนการเดินทางออกไปก่อนดีไหม คือถ้าปกติเนี่ย จากโคราชไปกทม. แค่สามชม. ก็ถึงแล้ว คืนวันที่ 18 ผมจึงตัดสินใจเหมารถตู้เข้ากทม. ตั้งแต่สามทุ่ม (เค้านัดหกโมงเช้า) เรียกว่าเผื่อเวลาไว้เกือบสิบชม. เลยนะ ซึ่งผมก็ตัดสินใจถูกมากเลยทีเดียว เพราะใช้เวลาเดินทางเกือบเจ็ดชม. ไปถึงก่อนเวลานัดสองชม. ก็ยังดีกว่าไปไม่ทันนะ   บททดสอบต่อมา คุณแม่ของผมเริ่มมีอาการเจ็บป่วย ไม่ค่อยสบาย (เจ็บคอและไอ) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. จนถึงวันที่ 15 พ.ย. ตอนแรกผมก็เกิดความลังเลว่าจะเลื่อนออกไปก่อนดีไหม เพราะถ้าจะเลื่อนก็ต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน แต่ในที่สุดผมก็คิดว่าถ้าคุณแม่ไม่หายจริงๆ ก็จะยอมเสียเงิน ซึ่งก็ปรากฎว่าคุณแม่หายเจ็บป่วยก่อนวันเดินทางไม่กี่วันเอง บททดสอบต่อมา ผมมีงานเข้ากะทันหัน เป็นงานที่มีเข้ามาให้ทำเงิน มาก่อนวันเดินทางแค่สองวัน ผมจึงไม่สามารถทำงานนั้นให้เสร็จทันตามกำหนดและความต้องการของลูกค้าได้ ผมจึงต้องตัดสินใจยอมสละ เอางานไปให้อีกร้านหนึ่งทำแทน (แต่ยังดีที่พอจะได้กำไรส่วนต่างมาบ้าง  ) เป็นอย่างไรกันบ้าง ผมเจอไปกี่บททดสอบแล้วนี่   เดี๋ยวก่อน ยังเหลืออีก ยังเหลือมัจจุมาร เพราะทุกบททดสอบที่ผมเล่ามานั้น  เหลือแต่เพียงมัจจุมารเท่านั้น   ก่อนเดินทางได้สักเดือนนึง ผมเกือบเจอมัจจุมารเหมือนกัน แต่ผมคงมีบุญเก่าทำมาดี (มั้ง) จึงรอดจากมัจจุมารมาได้อย่างฉิวเฉียด และได้เดินทางไปยังแดนพุทธภูมิ ตามความปรารถนาในที่สุด วันหนึ่งประมาณสักหกโมงเย็น ผมขี่จักรยานกลับมาจากการไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้ๆ บ้าน ผมไม่ได้ใส่แว่นไป เพราะคิดว่าพอมองเห็น คือใส่แว่นตอนออกกำลังกาย นี่รู้สึกไม่ค่อยถนัดเท่าไร พอผ่านสี่แยกไฟแดงมาได้นิดนึง มีผู้หญิงโบกให้จอด แต่ผมนึกว่าเค้าไม่ได้โบกเรียกผม เพราะไม่เคยมีใครโบกเรียกมาก่อน และผมก็ไม่ได้รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวด้วยน่ะ ผมก็เลยขี่ผ่านไป ปรากฎว่าเจอรถบรรทุกแก๊สกำลังจะถอยเข้าบ้าน ผมขี่ผ่านท้ายรถบรรทุกไปได้อย่างเฉียดฉิว แบบมีเสียงร้องกรี๊ดกันดังมาก   ผมว่านะ ถ้าขี่ไม่พ้นนี่ หากไม่ตายก็คงพิการแหงแหงเลย บททดสอบเหล่านี้ ผมว่าต้องใช้กำลังใจอย่างมาก ในการตั้งมั่นอยู่กับศรัทธาที่จะเดินทางไปอภิวาท ตามรอยบาทพระศาสดาให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ปล.รูปก่อนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินนิวเดลีครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:15:00

ความคิดเห็นที่ 3 ผมเคยอ่านความคิดเห็นของบางท่าน ประมาณว่าถ้ามีทัวร์ฟรี ถึงจะไป ไม่เห็นต้องดิ้นรนที่จะไปเลย ไหว้พระทำบุญอยู่เมืองไทยก็ได้ไม่ใช่เหรอ ผมจะขอยกเอาคำตอบของพระธรรมวิทยากร  มาชี้แจงคำถามที่ว่า ทำไมต้องไปถึงอินเดีย ไหว้พระทำบุญอยู่เมืองไทยไม่ได้เหรอ ดังต่อไปนี้นะครับ ทำไมต้องมาไหว้พระแสวงบุญถึงอินเดีย เพราะชมพูทวีปนั้น เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นดินแดนที่พระพุทธองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมเทศนา และปรินิพพานที่นี่ เราอยู่เมืองไทย ก็ได้แต่อ่านหนังสือ ดูรูปภาพ มันเทียบไม่ได้กับการมาให้ถึงที่ การมาอินเดียนั้น เป็นการมาถึงหลายอย่าง กล่าวคือ 1. ถึงตา ได้มาเห็นด้วยตาของเราเองว่า สถานที่ต่างๆ ที่มีกล่าวถึงในพระไตรปิฎกนั้น อยู่แห่งหนตำบลใดบ้าง มีอยู่จริงไหม เมื่อได้มาดู มาเห็นสถานที่จริงแล้ว จะก่อให้เกิดศรัทธา พร้อมที่จะรับฟังธรรม  จิตของเราจะสว่างและรับธรรมได้ง่าย 2.ถึงกาย ได้นำกายเนื้อของเรานี้ มายังสถานที่ที่พระกรัชกายของพระพุทธองค์เคยดำรงอยู่ เปรียบเหมือนได้มาเข้าเฝ้าสมเด็จพระศาสดาด้วยตนเอง 3.ถึงใจ ใจของเรา จิตของเรา ได้มาถึงแล้ว มาสัมผัสกระแสจิต กระแสความสว่างของจิตอันไม่ยึดติดขันธ์ จิตซึ่งอยู่เหนือโลก เหนือสุข เหนือทุกข์ ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลาย ซึ่งแม้กายเนื้อของพวกท่านจะดับขันธ์ไปแล้ว แต่กระแสความสว่างของจิตพวกท่านยังคงอยู่ให้ได้มาสัมผัสด้วยตนเอง 4. ถึงหู คือได้มาฟัง พระสงฆ์สาธยายธรรม นำสวดมนต์ ณ สถานที่จริงที่พระศาสดาและพระสาวกเคยประทับและเคยแสดงธรรม จนยังให้มีพระอริยบุคคลเกิดดวงตา เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น เป็นจำนวนมาก อ้อ  ผมว่ามาอินเดียนี่ มีอีกหนึ่งมาถึงนะ  คือ ถึงปาก เพราะได้มาทานอาหารอินเดีย ว่ารสชาติเป็นยังไง จะทานได้อ่ะป่าว ถ้าไม่มา ก็ได้ทานแต่โรตีแบบไทยๆ ขอบอกว่าผมชอบอาหารอินเดียตั้งหลายอย่างแน่ะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:20:08

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนตัวแล้ว ผมก็มีอีกมุมมองหนึ่งสำหรับผู้ที่ยังอาจจะติเรื่องสกปรก ขอทานเยอะ หรือถ่ายข้างทาง ครับว่า เรื่องเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็น ขยะ ถ้าเราไม่เก็บมันขึ้นมา มันก็ไม่เป็นขยะในใจเรา เรามาแสวงบุญ ไม่ได้มาเที่ยว ถึงจะต้องนั่งรถวันละไม่ต่ำกว่าสี่ห้าชม. (สูงสุดของทัวร์ครั้งนี้คือ 9 ชม.แน่ะครับ จากสาวัตถีไปพาราณสี) แต่ความลำบากเหล่านั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับยุคพุทธกาล ที่การเดินทาง การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์และพระสาวก ต้องลำบากกว่าปัจจุบันแน่ เพราะสมัยพุทธกาลไม่มีรถ แต่สมัยนี้ยังมีรถให้ได้นั่งแอร์เย็นๆ คือพระพุทธองค์ทรงลำบากกว่าพวกเราเยอะมาก จนเรื่องขยะพวกนั้นเป็นของเล็กน้อยไปเลย ปล.หนังสือสวดมนต์ที่ทางบริษัททัวร์แจกให้ฟรีคนละเล่มครับ   พระธรรมวิทยากรท่านพาพวกเราแปลงรถบัสให้เป็นโบสถ์ สำหรับสวดมนต์ตลอดการเดินทาง แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 21:23:41 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:23:03

ความคิดเห็นที่ 5 รอดูค่ะ ชีวิตนี้ก็อยากไปซักครั้งเหมือนกัน จากคุณ : dr.p moonie * เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:25:21

ความคิดเห็นที่ 6 ในที่สุดผมก็มาถึงพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วครับ พระมหาดร. สุวิทย์ ธัมมสิริ พระธรรมวิทยากร  ท่านมารออยู่ที่โรงแรม (คณะของเราไปที่โรงแรมก่อน ชื่อโรงแรมโลตัส นิกโก้ น่าจะสักสามดาวนะ) ในภาพท่านกำลังบรรยายประวัติให้เราฟังอยู่หน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลังจากนั้นจึงนำสวดมนต์ ระหว่างที่นั่งฟังธรรมและสวดมนต์อยู่นั้น มียุงแขกมาตอมผมเยอะมาก   แต่เอ...ทำไมผมไม่รู้สึกว่าถูกยุงกัดล่ะนี่   อาจจะเป็นเพราะภายในพระมหาเจดีย์ มีพระพุทธรูป คือพระพุทธเมตตา จึงทำให้ยุงแขกได้รับกระแสความเมตตาของพระพุทธองค์ เลยมามีเมตตา มาตอมผมเพื่อทักทายเฉยๆ ก็ได้นะ หรือว่ายุงแขกกัดไม่เจ็บนี่ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:28:17

ความคิดเห็นที่ 7 จากนั้นก็เข้าไปกราบสักการะ สวดมนต์ บูชาพระพุทธเมตตาภายในพระมหาเจดีย์พุทธคยาครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:29:45

ความคิดเห็นที่ 8 ก่อนกลับ ลองถ่ายเจดีย์พุทธคยาตอนกลางคืนดูครับ นักปฏิบัติธรรมส่วนมากเชื่อกันว่า ที่เห็นเป็นจุดกลมๆ นั้น คือเทวดา ที่มาสักการะบูชาสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงประหารกิเลสได้หมดสิ้น เช่นเดียวกันกับที่เหล่าพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลก หลั่งไหลพากันมาสักการะบูชาสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ โดยเฉพาะหากเป็นจุดสีชมพูสุกสว่าง อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อนะครับ เป็นปัจจัตตัง จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:34:08

ความคิดเห็นที่ 9 เอาล่ะครับ และแล้วการเดินทางตามรอยบาทพระศาสดาในวันแรกก็ถึงเวลาเข้าห้องพัก แต่...ผมต้องนอนคนเดียวนี่นา   ผมก็กลัวผีเหมือนกันนะ   ทำไงดีล่ะ อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็เลยสวดมนต์บทอิติปิโส สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ๒๖ จบ เท่ากับอายุของผมเอง จริงๆ ก็อยากสวดให้ถึงหนึ่งร้อยแปดจบนะ แต่โดนกิเลสพาไปนอนหลับซะก่อน ปล. ภาพห้องพักคืนแรกที่โรงแรมโลตัส นิกโก้ ครับ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 21:37:29 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:37:02

ความคิดเห็นที่ 10 มาถึงวันที่สองของการเดินทางแล้วนะครับ หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ พระมหาดร.สุวิทย์  ธัมมสิริ พระธรรมวิทยากร ก็มารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:40:26

ความคิดเห็นที่ 11 ข้างๆ ตัวท่าน มีหนังสือมาแจกพวกเราด้วยครับ เป็นหนังสือรวมภาพเก่าสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบล ที่หาดูได้ยาก ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:41:54

ความคิดเห็นที่ 12 วันนี้ เรายังอยู่กันที่พุทธคยานะครับ ภาพเจดีย์พุทธคยายามเช้า หมอกลงหนามากครับ สวยไปอีกแบบ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 21:44:16 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 21:44:04 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:43:46

ความคิดเห็นที่ 13 โทษทีครับ ลงผิดรูป จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:45:05

ความคิดเห็นที่ 14 พระธรรมวิทยากรท่านพาเดินรอบเจดีย์พุทธคยาครับ ในภาพเป็นกลุ่มพระทิเบต  บางรูปกำลังกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ ไม้กระดานเป็นมันเลยครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:47:05

ความคิดเห็นที่ 15 จากนั้นพระมหาดร.สุวิทย์ ก็นำคณะมานั่งหน้าต้นพระศรีมหาโพธิ์ ข้างพระมหาเจดีย์ เพื่อสวดมนต์บูชา จนได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงปล่อยอิสระ ให้ปิดทอง หรือจะนั่งสมาธิ ผม ก็เลยนั่งสมาธิกันก่อน น่าอัศจรรย์ที่แม้ว่าจะพลุกพล่านไปด้วยผู้คน แต่สามารถเข้าสมาธิได้ง่ายกว่าตอนอยู่ที่บ้านเงียบๆ ซะอีก จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:48:35

ความคิดเห็นที่ 16 ระหว่างที่พระมหาดร.สุวิทย์ กำลังพาพวกเราสวดมนต์อยู่นั้น ก็มีใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ใบนึงร่วงหล่นลงมาใส่ย่ามของพระมหาดร. สุวิทย์ ที่วางไว้ข้างๆ ตัวท่านอย่างพอดิบพอดี     หลังจากสวดมนต์เสร็จ พระมหาดร.สุวิทย์จึงนำใบโพธิ์นั้นถวายให้กับพระคุณเจ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ตามรูปข้างบนน่ะครับ อ้อ ความจริงผมก็มีอะไรหล่นลงมาตอนกำลงัสวดมนต์อยู่เหมือนกันนะ แต่ดันเป็นอึน้องนกล่ะ ถ่ายลงมาบนหนังสือสวดมนต์พอดิบพอดีเลยซะงั้น จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:50:44

ความคิดเห็นที่ 17 รูปพระแท่นวัชรอาสน์ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:51:46

ความคิดเห็นที่ 18 และแล้วก็ได้เวลากราบลาพระมหาเจดีย์พุทธคยาครับ หัวหน้าทัวร์บอกจะพาไปช้อปปิ้ง ผมเลยถามว่า รู้จักร้านนายเชนแนน หรือเปล่าครับพี่ ก็เลยได้ไปร้านนายเชนแนนด้วย     ผมซื้อลูกประคำมาเส้นนึง กะจะเอามาไว้ช่วยสวดอิติปิโส 108 จบ   ภาพร้านนายเชนแนนครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:53:55

ความคิดเห็นที่ 19 เสร็จแล้ว คณะของเราซึ่งมีลูกทัวร์กันเพียง ๑๓ ชีวิต ก็ได้ไปที่บ้านนางวิสาขาครับ นางวิสาขา เป็นผู้ที่ถวายข้าวมธุปายาส ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ ในภาพเป็นพระธรรมวิทยากรอีกรูปหนึ่งครับ เพราะพระมหาดร.สุวิทย์ พระธรรมวิทยากร รูปแรก ท่านติดกิจธุระอื่น จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:56:38

ความคิดเห็นที่ 20 เจอคณะชาวพุทธจากเมียนมาร์กลุ่มใหญ่เชียวครับ มองไกลๆ ออกไปจะเห็นยอดเขาดงคสิริ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์เคยอยู่บำเพ็ญทุกขกิริยา แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 21:58:04 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:57:22

ความคิดเห็นที่ 21 ร่วมแสวงบุญไปด้วยคนครับ ^/\^ จากคุณ : ไผ่พริ้ว (PyDE) เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:59:05

ความคิดเห็นที่ 22 จากนั้น ได้ไปที่วัดไทยพุทธคยา ครับ ภาพโบสถ์วัดไทยพุทธคยา จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 21:59:15

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพพระประธานในโบสถ์ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:00:12

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบุญกุศลที่ข้าพระพุทธเจ้าได้จาริกแสวงบุญ ตามรอยบาทพระผู้มีพระภาค ที่แดนพุทธภูมิในครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระองค์มีพระวรกาย สมบูรณ์ พระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:01:44

ความคิดเห็นที่ 25 ถ่ายรูปรวมที่วัดญี่ปุ่นกันครับ ลูกทัวร์ทั้ง ๑๓ ชีวิต นี่ ผมเป็นผู้เยาว์วัยที่สุดครับ (๒๖ ปี) ส่วนมากมีแต่เกินห้าสิบหกสิบปีขึ้นไปทั้งนั้น ใกล้เคียงกับผมที่สุดเป็นพี่ผู้หญิงอายุ ๓๖ กับ ๓๘ ปี จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:04:52

ความคิดเห็นที่ 26 อ้อ ลืมลงภาพแม่น้ำเนรัญชราครับ   มองออกไปไกลๆ อีกฝั่งนึงจะเห็นมหาเจดีย์พุทธคยาอยู่ ภาพนี้ถ่ายจากตรงที่พระโพธิสัตว์ลอยถาดทองอธิษฐานน่ะครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:07:06

ความคิดเห็นที่ 27 อยากไปมากเลยค่ะ ไม่ทราบเดินทางกับบริษัททัวร์หรือพระอาจารย์วัดไหนนำไป จากคุณ : travel alone2010 เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:08:36

ความคิดเห็นที่ 28 รูป คห.๑๙ ท่านชื่อพระมหา วิกรเมศร์ (อาจสะกดผิด) ท่านเป็นพระวิทยากรผู้รู้จริงคนหนึ่ง จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:10:10

ความคิดเห็นที่ 29 ตามไปอินเดียด้วยครับ จากคุณ : Vanilla Sonata เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:10:30

ความคิดเห็นที่ 30 จบวันที่สองของการเดินทางแล้วนะครับ (นอนพักที่โรงแรมโลตัส นิกโก้ เป็นคืนที่สองครับ ยังปลอดภัยจากผี) มาต่อกันวันที่สามของการเดินทางกันครับ วันนี้จะไปเขาคิชฌกูฎ วัดเวฬุวัน และนาลันทา ภาพข้างล่างเป็นภาพยอดเขาคิชฌกูฎ จะมีกุฎิของพระอานนท์ และพระมูลคันธกุฎีของพระพุทธองค์ครับ พระธรรมวิทยากรพาเดินประทักษิณนำสวดอิติปิโสสามจบ ตอนขาลงมาจากยอดเขาครับ มีคณะชาวพุทธมาเลเซีย (เป็นเชื้อสายจีนน่ะ) ประมาณสัก 20-30 คน เดินสวนทางขึ้นสู่ยอดเขา แต่พวกเขาไม่ได้เดินขึ้นแบบธรรมดา แบบพวกเรานะครับ คือทางขึ้นยอดเขานั้น น่าจะสักเจ็ดร้อยเมตรได้ เค้าทำบันไดไว้เป็นขั้นๆ แต่ว่าแต่ละขั้นบันไดจะกว้างและยาว คือประมาณนั่งกราบได้ ชาวพุทธมาเลเซียก็เรียงแถวกันอย่างมีระเบียบ การขึ้นบันไดแต่ละขั้นของเค้า เมื่อขึ้นมาแล้ว เค้าจะทรุดตัวลง คุกเข่า ก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ พร้อมกับสวดมนต์ไปด้วย เค้าทำแบบนี้ทุกๆขั้น ทุกๆ คนเลยครับ     แบบว่าเป็นภาพที่เห็นแล้วก่อให้เกิดปีติมากมาก จนน้ำตาไหลออกมาเองเลยครับ นี่ขณะพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็นึกถึงภาพนั้น ปีติกลับมาอีก น้ำตาคลอเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ได้ชมกัน ก็ใช้จินตนาการเอานะครับ หรือถ้าใครได้ไปจะลองทำดูมั่ง ก็คงได้ปีติและความศรัทธากลับไปมากโขอยู่ เพราะโดยทั่วไป การเดินขึ้นสู่ยอดเขาแบบปกติ ใช้เวลาสักยี่สิบนาทีก็ถึง แต่นี่เค้าเดินไปกราบไป พระธรรมวิทยากรท่านบอกว่า ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงแน่ะครับกว่าจะถึงยอดเขา พระธรรมวิทยากรบอกผมว่า เกิดปีติ ก็ให้รู้ว่าเกิดปีติ ปีติเป็นสุข ถ้าไม่รู้ทันปีติ ก็จะกลายเป็นหลงในปีติ หลงในสุข   ปล.ขอยืมภาพยอดเขาคิชฌกูฎถ่ายโดยท่าน venfaa ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:12:19

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบคห.ที่ ๒๗ คุณ travel alone 2010 ผมไปกับบริษัททัวร์ครับ  ทุกบริษัททัวร์ที่จัดโปรแกรมไปกราบสักการะ สังเวชนียสถานสี่ตำบล จะนิมนต์พระธรรมฑูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล มาเป็นพระธรรมวิทยากรครับ  ท่านจะนำพวกเราสวดมนต์ทั้งบนรถ และ ณ สังเวชนียสถานทั้งหลาย  รวมถึงบรรยายให้ความรู้แบบพอดีๆ แม้ว่าจะนั่งรถนานกว่าค่อนวัน แต่แทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยกายเลยครับ เพราะอิ่มใจ ที่ได้มากราบสักการะ และได้สวดมนต์บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสถานที่จริง ทั้งบนรถ เรียกว่าใช้เวลาทุกนาทีที่ได้อยู่ในแดนพุทธภูมิให้เป็นประโยชน์ครับ^^ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 22:18:11 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:16:05

ความคิดเห็นที่ 32 จากนั้นก็ไปวัดเวฬุวันครับ สถานที่กำเนิดวันมาฆบูชา ซึ่งอีกไม่กี่วันแล้วครับ  วันที่ ๗ มีนาคม นี้ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:20:14

ความคิดเห็นที่ 33 สภาพวัดเวฬุวันในปัจจุบัน เป็นป่าไผ่ครับ ร่มรื่น พระธรรมวิทยากร นำพวกเราสวดมนต์ นั่งสมาธิ จนสมควรแก่เวลา... จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:21:38

ความคิดเห็นที่ 34 จากนั้นก็ไปมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยพระสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุด ในภาพเป็นบ้านของพระสารีบุตร ยังเห็นอิฐหลายก้อนมีรอยถูกไฟไหม้ดำดำอยู่ มีเจริญก็มีเสื่อม มีเกิดก็มีดับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนแล้วเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงทนถาวร ผมอยากมีปัญญามากอย่างพระสารีบุตร พระอัครสาวกจัง   ท่านได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ เพียงประโยคเดียว (ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาตรัสถึงเหตุและความดับไปของธรรมนั้น พระศาสดามีปกติตรัสอย่างนี้)  ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดปัญญาญาณ บรรลุเป็นพระโสดาบัน จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:23:47

ความคิดเห็นที่ 35 จากนั้นก็ต้องออกเดินทาง ที่หมายของคืนนี้คือเมืองไวสาลี เมืองที่พระพุทธองค์ทรงปลงพระสังขาร ว่าในอีกสามเดือนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน และเป็นเมืองกำเนิดภิกษุณี ปัจจุบันมีเสาหินพระเจ้าอโศกที่สวยที่สุด ใช้เวลาเดินทางจากนาลันมาประมาณห้าชั่วโมงครับ เข้าพักที่โรงแรมเรสซิเดนซี่ สภาพห้องพักก็ดูดีกว่าโลตัส นิกโก้สักครึ่งดาว จบการเดินทางในวันที่สาม สำหรับวันที่สี่ของการเดินทางนั้น ตอนแรกหัวหน้าทัวร์บอกว่ารถจะออกหกโมงครึ่ง จะตรงไปกุสินาราเลย ไม่แวะที่ไวสาลีและมหาสถูปเกสะเรีย แต่บรรดาลูกทัวร์บอกว่าจะตื่นเช้ากว่าเดิมสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ เพื่อจะได้แวะชมไวสาลีและมหาสถูปเกสะเรียได้ทัน สรุปคือวันรุ่งขึ้นก็จะได้ชมไวสาลี และสถูปเกสะเรียกันครับ ปล. ภาพห้องพักคืนที่สาม  โรงแรมเรสซิเดนซี่ ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:25:47

ความคิดเห็นที่ 36 เรามาถึงไวสาลีกันตั้งแต่หกโมงครึ่ง ระหว่างทางก็จะผ่านบ้านของชาวบ้าน มีเด็กน้อย(ตื่นแต่เช้าจัง) เดินตามลูกทัวร์คนหนึ่งในคณะ แล้วบอกว่า จำได้...จำได้ แต่คนนั้นเค้าเพิ่งมาครั้งแรก     ประตูทางเข้า ยังไม่เปิดเลย เอาล่ะซี พวกเราต่างคิดว่าอดแล้ว พระมหาดร.สิงขร ปริยัติเมธี (รับหน้าที่พระธรรมวิทยากรตั้งแต่วันที่สามของการเดินทางจนถึงพาราณสี) ท่านเลยพาพวกเราไปยืนออกันอยู่หน้าประตู แล้วสวดมนต์บทนะโมตัสสะ และอิติปิโส ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง สวดมนต์จบแล้วประตูจะเปิดได้ พอสวดจบปุ๊ป มีเจ้าหน้าที่มาเปิดให้ปั๊ปเลย   ตอนแรกนึกว่าจะได้ดูอยู่ข้างนอกซะแล้ว เพราะมันเช้ามาก จะมีคนมาเปิดให้ด้วยเหรอนี่   สงสัยนี่จะเป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์อีกอย่างหนึ่งนะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:28:24

ความคิดเห็นที่ 37 ถ่ายภาพรวมครับ  จะเห็นเสาพระเจ้าอโศก ต้นที่สมบูรณ์ที่สุด จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:29:31

ความคิดเห็นที่ 38 พอกลับออกมา ก็มาเจอน้องวัว คนอินเดียรักน้องวัว อากาศหนาว ก็หาผ้ากระสอบมาคลุมให้ หน้าร้อนนี่ก็คงจะอาบน้ำให้น้องวัวมั้ง   ดูสิ น้องวัวจะกินอาหาร ก็ทำชามอาหารไว้ให้น้องวัว   น้องวัวที่เมืองไทยคงจะอิจฉาน้องวัวแขกเนอะ จะเดิน จะนอนกลางถนนก็ไม่โดนรถชน ไม่ต้องถูกเลี้ยงไว้ฆ่า แถมยังได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี น้องวัวอินเดียมีบุญมากกว่าจริงๆ นะนาย จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:30:35

ความคิดเห็นที่ 39 อ้อ ลืมแนะนำพระธรรมวิทยากรรูปที่สามครับ ในภาพคห.ที่ ๓๗ จะเป็นพระมหาดร.สิงขร ปริยัติเมธี ท่านมาจากจังหวัดเดียวกันกะผมด้วยนะ อำเภอใกล้ๆ กันเลย ว่าแต่ทำไม คณะนี้ ใช้พระธรรมวิทยากรเปลืองจังเลยเนี่ย แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 22:32:58 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:32:29

ความคิดเห็นที่ 40 ภาพมหาสถูปเกสะเรียครับ หมอกยังลงหนาอยู่ ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ เพราะหัวหน้าทัวร์บอกว่าต้องทำเวลา เพื่อจะไปกุสินารา เลยจอดให้ดูและถ่ายรูปแป๊ปเดียว ที่เห็นนี่ เป็นมหาสถูปที่ใหญ่ที่สุดนะครับ เค้ายังขุดค้นไม่เสร็จครับ ฐานของสถูปจริงๆ อยู่ต่ำจากพื้นดินที่เห็นลงไปอีกหลายสิบเมตรครับ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 19:08:15 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:33:56

ความคิดเห็นที่ 41 ในที่สุดก็มาถึงกุสินารา หลังจากเวลาผ่านไปห้าชั่วโมง เราเข้ามาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์กันก่อน เพื่อมารับประทานอาหารเที่ยง คณะของเราแยกพักกันสามห้อง ผู้ชายสี่คนห้องนึง ผู้หญิงอีกเก้าคนแยกพักสองห้อง ห้องพักที่วัดไทยกุสินารา มีห้องละห้าเตียง ห้องน้ำห้องเดียว ใช้รวมกัน เป็นคืนแรกและคืนเดียวที่ผมไม่ต้องนอนคนเดียว   แต่ผมว่านอนคนเดียวก็ดีเหมือนกันนะ ใช้ห้องน้ำได้สบาย ไม่ต้องรอใคร ผมว่ามาแสวงบุญนี่ นอนโรงแรมอย่างเดียว จะสะดวกสบายก็จริง แต่ไม่ค่อยได้อารมณ์ของการมาแสวงบุญสักเท่าไร ถ้านอนวัดหมดทุกคืนเลย คงได้อารมณ์และความเพียรดีเนอะ กิเลสคงจะน้อยกว่าด้วยน่ะ นอนโรงแรม มันสะดวกสบายเกิน กิเลสอาจจะพาไปนู่นมานี่ได้ นอนวัด ก็ได้ปฎิบัติบูชามากกว่า ผมทำที่กดชักโครกห้องน้ำในห้องพักพังด้วยล่ะ   แต่ผมบริจาคเงินชำระหนี้สงฆ์เพิ่มไปแล้ว คงไม่เป็นไรเนอะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:36:09

ความคิดเห็นที่ 42 ผมได้บูชาพระพุทธรูปปางปรินิพพานมา 1 องค์ องค์นี้เป็นขนาดกลาง เค้ามีอยู่ 3 ขนาด ใหญ่ กลางและเล็ก จริงๆ ผมอยากได้ขนาดใหญ่สุดล่ะ แต่ผมกลัวเงินจะไม่พอ เลยบูชาขนาดกลางมา จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:37:06

ความคิดเห็นที่ 43 คณะของเราได้เข้าไปกราบพระคุณเจ้ารูปหนึ่งในวัดไทยกุสินาราฯ ผมจำชื่อไม่ได้ว่าท่านชื่อเสียงเรียงนามอะไร  และไม่ได้ถ่ายรูปท่านมาด้วย   ท่านบอกให้พวกเราไปเดินสวดอิติปิโส 33 จบ รอบพระเจดีย์ ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธศาสดา และเส้นพระชาติ (เส้นผม) ขององค์เหนือหัวบรรจุอยู่     ท่านบอกว่าพระองค์ภา ก็มาเดิน 33 รอบเช่นกัน ทำไมต้อง 33 รอบ ท่านบอกว่าเพื่อสื่อถึงอาการ 32 (บวกไปอีก 1 ) ทดแทนคุณบิดามารดา ท่านบอกว่าถ้ามานอนวัด ก็จะได้ปฏิบัติมากกว่านอนโรงแรม ท่านเจ้าอาวาสบอกไว้ว่ามานอนวัด ให้นั่งกับเดิน คือให้นั่งสมาธิ สวดมนต์ กับเดินจงกรมเป็นหลัก เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาสถานที่ที่พระพุทธศาสดาทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:37:58

ความคิดเห็นที่ 44 พระคุณเจ้าท่านแจกวัตถุมงคลให้แก่คณะของพวกเราทุกคน คนละ 1 เหรียญ ท่านบรรจุไว้ในซองพลาสติกใส แล้วใส่ถุงผ้าใบเล็กๆ อีกทีหนึ่ง ด้านหน้าของเหรียญเป็นรอยพระพุทธบาท มีตัวหนังสือเขียนว่า "ตามรอยบาทพระศาสดา" อีกด้านหนึ่ง แบ่งเป็นสี่ช่อง มีรูปสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบล พระคุณเจ้าบอกพวกเราว่า ไม่ต้องปลุกเสกก็ได้ เพราะสิ่งแทนองค์พระศาสดา และพุทธสถาน ย่อมมีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ในตัวอยู่แล้ว จากนั้นก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีก 1 ชั่วโมงก่อนจะไปสาลวโนทยาน ผมเห็นว่าเค้ามีหนังสือสวดมนต์มหาปรินิพพานสูตรเล่มใหญ่ ตั้งกองไว้หลายเล่ม พร้อมเขียนอักษรเชิญชวนไว้ว่า... เชิญร่วมสวดมหาปรินิพพานสูตร ณ พระเจดีย์ ผมจึงไปถามเจ้าหน้าที่ ตอนแรกคิดว่าทางวัดเค้าจัดสวดกันทุกวัน แต่เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าหนังสือนี้ไว้ให้ยืมไปสวดกันเอง   เอ้า สวดเองก็สวดเอง ผมจึงถือหนังสือสวดมนต์ไปที่พระเจดีย์ สวดได้ทั้งหมด 12 หัวข้อ จากเจ็ดสิบกว่าหัวข้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวถ้าได้มาอีก จะมาสวดใหม่ สะสมไปเรื่อยๆ เพราะยาวมากมาก เมื่อถึงเวลานัดหมาย ก็ขึ้นรถเพื่อไปสาลวโนทยาน สถานที่แห่งความอาลัย...   ปล.ภาพโบสถ์ของวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:40:05

ความคิดเห็นที่ 45 ทางบริษัททัวร์เตรียมผ้าห่มองค์พระพุทธรูปปางปรินิพพานมาไว้พร้อมแล้ว ตามรูปนี้เลยครับ ทางบริษัทจัดมาได้สวยงามนะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:41:46

ความคิดเห็นที่ 46 ถ่ายภาพรวมกันก่อนครับ ที่สาลวโนทยาน   สถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน... จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:43:10

ความคิดเห็นที่ 47 เค้าล้อมรั้วรอบองค์พระพุทธรูป ไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สงสัยคนไทยจะพากันมาปิดทองกันเยอะ เจ้าหน้าที่เลยทำรั้วไว้ซะเลย   ผ้าที่ห่มองค์พระ เป็นผ้าของคนไทยอีกคณะนึง คณะของเราถวายผ้าแก่องค์พระแล้ว พระมหาดร.สิงขร ก็นำเดินประทักษิณสวดอิติปิโส แล้วนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ ปฎิบัติบูชาถวายแด่พระพุทธศาสดา จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:44:29

ความคิดเห็นที่ 48 แม้ว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาค จะทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไปกว่า 2,500 ปีแล้ว แต่... กระแสแห่งความอาลัยอาวรณ์ ความโศกเศร้า ยังคงอยู่มิเสื่อมคลาย ณ กุสินารานคร ปล.ภาพถ่ายโดยท่าน venfaa ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:45:46

ความคิดเห็นที่ 49 หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ปล. ภาพสถานที่ตั้งพระพุทธสรีระไว้ชั่วคราว ก่อนถวายพระเพลิงครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:47:02

ความคิดเห็นที่ 50 จากนั้นก็ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ และถ่ายภาพหมู่ ที่มกุฎพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:49:06

ความคิดเห็นที่ 51 จากนั้นก็กลับมายังวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว ผมก็ไปเดินสวดอิติปิโส 33 จบ รอบพระเจดีย์ครับ เสร็จแล้วก็ถึงเวลาทำวัตรเย็นของทางวัดไทยกุสินาราพอดี ผมก็เลยไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นต่อ ที่นี่ใช้เวลาทำวัตรเย็นประมาณไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ผมเลยไปนั่งสมาธิต่อในพระเจดีย์ ก็มีคนไทยอีกคณะหนึ่งมาเดินรอบพระเจดีย์เช่นกัน จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:50:54

ความคิดเห็นที่ 52 แวะมาชมครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ จากคุณ : กัปตันลูกชุบ เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:52:07

ความคิดเห็นที่ 53 จบวันที่สี่ของการเดินทางแล้วนะครับ มาต่อกันวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ อันเป็นวันที่ ๕ ของการเดินทางแล้ว พวกเราทานอาหารเช้ากันที่วัดไทยกุสินารา ตั้งแต่ตีห้า เพื่อจะออกเดินทางกันตอนหกโมงเช้า ผมกินเสร็จเร็ว จึงมีเวลาไปนั่งสมาธิ เดินสวดอิติปิโสรอบพระเจดีย์อีกนิดหน่อย วันนี้เราจะไปลุมพินี สถานที่ประสูติของพระสิทธัตถะราชกุมาร พระโพธิสัตว์ซึ่งได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้   ก่อนจะข้ามชายแดนอินเดีย ไปเนปาล เราไปแวะเข้าห้องน้ำกันที่พุทธวิหาร 960 ที่นี่มีห้องน้ำสะอาดมากมากครับ สะอาดและน่าใช้กว่าห้องน้ำในโรงแรมอีกแน่ะ   แถมมีโรตี ให้ทานด้วย อร่อยมากๆ ตามรูปนะครับ มีนมข้นหวานไว้ให้ด้วย ภาชนะที่ใช้ใส่เป็นใบสาละครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:52:48

ความคิดเห็นที่ 54 แต่หลังจากออกจากพุทธวิหาร 960 มา ทุกขเวทนาเริ่มมาเยือนแล้วครับ เป็นความทุกข์จากธาตุไฟ ผมเป็นไข้  พอถึงโรงแรมที่พัก คือโรงแรมนิวคริสตัล ยังพอมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะออกไปสักการะสถานที่ประสูติ ผมจึงรีบไปนอนพักผ่อนก่อน รูปภาพห้องพัก โรงแรมนิวคริสตัล ครับ ก็ระดับเดียวกับเรสซิเดนซี่นะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:54:11

ความคิดเห็นที่ 55 แต่พอถึงเวลานัดหมายที่จะไปลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพระพุทธศาสดาแล้ว ผมก็ยังไม่ดีขึ้นครับ   ทำไงดีล่ะทีนี้ ผมก็เลยนึกถึงสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน พระตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ ผมภาวนาคาถานี้ตลอดเวลาครับ ตั้งแต่ออกจากโรงแรม น่าอัศจรรย์จริงครับ เมื่อไปถึงลุมพินีวันเจดีย์ ผมรู้สึกสร่างไข้ หายเป็นปลิดทิ้งทีเดียว จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:56:32

ความคิดเห็นที่ 56 หลังจากเข้าไปในวิหารเพื่อสักการะบูชารอยพระพุทธบาท (น่าจะจำลอง)แล้ว จากนั้นก็ออกมาสวดอิติปิโสสามจบ รอบเสาพระเจ้าอโศก มีคณะคนไทยอีกคณะหนึ่งมาสวดและนำผ้ามาถวายโดยพันรอบรั้วที่ล้อมเสาไว้ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 22:58:47 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:58:18

ความคิดเห็นที่ 57 ตลอดเวลาที่อยู่ในลุมพินีวัน ผมรู้สึกเป็นปกติ แต่พอออกมาปุ๊ป มาอีกแล้ว ธาตุไฟเข้าแทรก   ทำให้ผมไปวัดไทยลุมพินีไม่ไหว ต้องนอนพักตั้งแต่หกโมงเย็น ยาวไปจนเช้าเลยทีเดียว ภาพวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 22:59:50

ความคิดเห็นที่ 58 ตื่นเช้ามาในวันที่หกของการเดินทางแสวงบุญ จาริกธรรม ผมหายเป็นไข้แล้วครับ   แต่ว่า... ผมท้องเสียอย่างรุนแรงเลยครับวันนี้ วิ่งเข้าออกห้องน้ำไปถึงเก้ารอบ     ยา ultra carbon ที่เตรียมไปเอาไม่อยู่เลยครับ มีพี่สาวใจดีในคณะให้ยาฆ่าเชื้อมาสองเม็ด ผมกินตอนเที่ยง จึงค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย   แต่ตอนเย็นก็ยังถ่ายอีกครั้งส่งท้าย   โอย วันนั้นแทบตายครับ เพราะช่วงเช้าต้องนั่งรถจากลุมพินีไปสาวัตถี ใช้เวลากว่าหกชั่วโมง ยังดีที่มีห้องน้ำที่พุทธวิหาร 960 ให้เข้า  ไม่งั้นแย่เลย   ในรูปเป็นภายในวัดพระเชตวันมหาวิหาร ที่อนาถปิณฑิกะเศรษฐีสร้างถวายครับ เป็นรูปกุฎิพระอรหันต์แปดทิศ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:01:20

ความคิดเห็นที่ 59 อ้อ ระหว่างที่นั่งรถมานั้น พระมหาดร.สิงขร ท่านได้นำสวดโพชฌงคปริตร และคาถาโพธิบาท ผมก็ค่อยรู้สึกสงบระงับกายได้บ้าง  และยังเปี่ยมด้วยศรัทธาเช่นเดิมครับ ภาพนี้เป็นกุฎิพระสารีบุตร พระอัครสาวกผู้มีปัญญามาก ถ่ายโดยท่าน venfaa ครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:02:46

ความคิดเห็นที่ 60 ต้นพระศรีมหาโพธิ์พระอานนท์ มีอายุยาวนานมาแต่ครั้งพุทธกาลครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:03:39

ความคิดเห็นที่ 61 ภาพพระมูลคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคครับ ถ่ายโดยท่าน venfaa ครับ ปล. ภาพที่ผมเครดิตว่าถ่ายโดยท่าน venfaa นั้น เป็นเพราะผมจะใช้บางภาพที่ถ่ายโดยท่าน venfaa ซึ่งผมได้มาจากการแจกเป็นธรรมทาน เพราะท่านถ่ายได้สวยกว่าผมมากครับ  ส่วนนอกนั้น ผมถ่ายเองโดยใช้โทรศัพท์มือถือ Nokia n8 ครับ และมีบางภาพที่ขอมาจากพี่สาวในคณะทัวร์ที่ไปด้วยกัน แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:08:12 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:05:22

ความคิดเห็นที่ 62 มีลิงอยู่ฝูงใหญ่ครับ แต่ถ่ายทันได้แค่นี้ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:06:21

ความคิดเห็นที่ 63 ภาพบ้านท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ขึ้นไปบนบ้านของท่านแล้ว... จะมองเห็นเนินดินอีกมากเลยครับ ที่ยังไม่ได้รับการขุดค้น ทำให้ผมเชื่อแล้วว่าพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างเจดีย์ไว้ 84,000 องค์ นี่น่าจะจริง   เพราะยังมีเนินดินอีกหลายแห่งระหว่างทาง ในหลายสถานที่ ที่รอการขุดค้น จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:09:32

ความคิดเห็นที่ 64 จากนั้นก็ได้เวลาพักผ่อนครับ คืนนี้ที่เมืองสาวัตถี เราจะอาศัยนอนกันที่โรงแรมปาวาน จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:13:06

ความคิดเห็นที่ 65 มาต่อกันในวันที่เจ็ดของการเดินทางแล้วนะครับ ผมจะพาท่านผู้อ่าน ออกเดินทางจากสาวัตถี อันเป็นเมืองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาอยู่นานถึง ๒๕ พรรษา   ไปยังเมืองพาราณสี เราจะจาริกไปยังสถานที่ที่พระศาสดาทรงหมุนพระธรรมจักรให้เป็นไป สถานที่ที่พระองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปวัตนสูตร อันเป็นพระปฐมเทศนา โปรดปัญญจวัคคีย์ สถานที่ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระยสะ ออกจากความวุ่นวาย ความขัดข้อง   แก้ไข เพราะลงผิดรูปครับ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:16:40 แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:16:13 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:13:46

ความคิดเห็นที่ 66 หัวหน้าทัวร์แจ้งกำหนดการเดินทางของเช้าวันนี้ว่า... รถจะออกตอนหกโมงเช้า เพื่อรีบทำเวลาไปยังพาราณสี ปรากฎว่ารถสตาร์ทไม่ติดครับ เค้าสตาร์ทกันตั้งแต่ตีสาม เอาล่ะซี งานเข้าแล้ว ทำยังไงก็ไม่ติด เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ผมถามหัวหน้าทัวร์ว่า ถ้าซ่อมไม่ได้ทำไง หัวหน้าทัวร์ก็บอกว่า ก็ต้องเรียกช่าง เพราะถ้าเรียกรถคันใหม่ จะใช้เวลานานยิ่งกว่ารอซ่อม จนถึงหกโมงเช้า พระมหาดร.สิงขร ปริยัติเมธี ออกมาดูปุ๊ป รถสตาร์ทติดปั๊ป แต่...มันก็ดับไปอีก     ในที่สุดคณะของเราก็ออกเดินทางกันได้ตอนหกโมงครึ่ง ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมไปครึ่งชั่วโมง ตามกำหนดการเดิม เราจะใช้เวลาในการเดินทางจากสาวัตถีไปพาราณสี 7-8 ชั่วโมง สักเก้าโมงเช้าพระมหาดร.สิงขร ก็นำสวดมนต์ทำวัตรเช้ากันในรถ ผมก็นึกอยากให้ท่านนำสวดอิติปิโสสัก 108 จบ เพราะยังไม่เคยสวดเลย เหมือนกับว่าท่านมีเจโตปริยญาณยังไงยังงั้น   หลังจากท่านนำสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จ ท่านก็บอกว่า วันนี้เรามาสวดอิติปิโส 108 จบกัน จะสวดเฉพาะพุทธคุณ แบ่งเป็นรอบละ 12 จบ สวดเก้ารอบ จะได้ 108 จบพอดี ใครบูชาพระที่กุสินารามา ก็จะได้ปลุกเสกด้วยตัวเอง หรือไม่ก็นำน้ำที่ได้รับแจกมาคนละขวด อธิษฐานทำน้ำมนต์ หลังจากนั่งรถอย่างยาวนานถึงเก้าชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงเมืองพาราณสี อันเป็นเมืองในสังเวชนียสถานที่เรียกว่ามีความเจริญมากที่สุด ไปถึงพาราณสีก็เป็นเวลาบ่ายสามครึ่งแล้วครับ ตอนแรกหัวหน้าทัวร์บอกว่าจะพาไปดูพิพิธภัณฑ์สารนาถ ซึ่งมีพระพุทธรูปที่ว่ากันว่าสวยที่สุดประดิษฐานอยู่ แต่พอไปถึง ปรากฎว่า ปิดแล้ว แหม แค่บ่ายสามครึ่งเองน้า ไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็ทำเวลาได้ทันมาสักการะสังเวชนียสถานแห่งที่สี่ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:15:38

ความคิดเห็นที่ 67 ภาพเจดีย์พระยสะ  ครับ ณ ที่นี้ ยสะกุลบุตร ได้หลบหนีออกจากบ้านด้วยคิดว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เดินมาเรื่อยๆ จนใกล้ที่ที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ทรงประทับอยู่ พระองค์ทรงตรัสเรียกยสะกุลบุตรว่า... "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิด เราจักแสดงธรรมให้เธอฟัง" เมื่อยสะกุลบุตรได้ยินดังนั้นจึงเข้าไป พระศาสดาทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดท่านยสกุลบุตร จนได้ดวงตาเห็นธรรม จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:17:43

ความคิดเห็นที่ 68 พระมหาดร.สิงขร ได้พาคณะของเราสวดมนต์บทธัมมจักกัปวัตนสูตร อันเป็นปฐมเทศนา เทศนากัณฑ์แรก ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ก็ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะ นับเป็นพระอริยสาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา วันนั้นเป็นวันเพ็ญกลาง เดือนอาสาฬหะ หรือเดือน 8 จึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ บังเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก คือมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์   ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่าง และเสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยทางสายกลาง มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 คืออริยมรรคมีองค์ 8 โดยเริ่มจากทำความเห็นให้ถูกด้วยทางสายกลางก่อน เพื่อดำเนินตามขั้นตอนการปฏิบัติ รู้เพื่อละทุกข์ทั้งปวง เพื่อความดับทุกข์ อันได้แก่นิพพาน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น จึงได้นั่งสมาธิ และประทักษิณสวดอิติปิโสรอบธัมเมกขสถูป ก็ได้เวลาปิดพอดี เพราะที่อินเดีย พอพระอาทิตย์ตก เค้าก็จะปิดเลย จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:18:19

ความคิดเห็นที่ 69 ธัมโมปทีโป วิยะตัสสะสัตถุโน พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป ธรรมใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว ทรงนำพระอริยสาวกออกจากความขัดข้องวุ่นวายแล้ว ขอข้าพเจ้าได้เกิดปัญญาญาณ เกิดดวงตา รู้แจ้งธรรมนั้นด้วยเทอญ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 55 23:19:48 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:19:29

ความคิดเห็นที่ 70 กลับไปดูหน้ารวมอีกครั้ง กระทู้ตกเร็วมากครับ ยังเหลือรีวิวล่องน้ำคงคาตอนเย็น กับถ้ำอชันต้าและเอลโลร่า คงไม่สามารถโพสได้จบภายในคืนนี้นะครับ  เพราะสังขารเริ่มไม่ไหวแล้ว เนื่องจากเพิ่งเดินทางไปกลับนครราชสีมา-กทม. ในวันเดียว เหนื่อยล้าพอสมควรครับ  ก็จะขอยกยอดส่วนที่เหลือเป็นพรุ่งนี้นะครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:25:13

ความคิดเห็นที่ 71 สักวันเราจะไปยังสถานที่เกิดตรัสรู้ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าให้ได้เหมือนกันค่ะ ^^ จากคุณ : aonlin เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 55 23:54:50

ความคิดเห็นที่ 72 กลับมาอีกครั้ง กระทู้ตกไปเยอะแล้ว เริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่า ยังมีคนอ่านอยู่หรือเปล่านี่ ถ้ายังติดตามอ่านกันอยู่ รบกวนช่วยโพสความเห็นหรือกดกิฟ หรือกดโหวตบ้างนะครับ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านแล้ว ก็จะไม่ลงรูปในส่วนของอชันต้าและเอลโลร่า -------------------------------------------------------------------------- หลังจากที่ตามรอยบาทพระศาสดา ครบทั้งสี่ตำบล คือ พุทธคยา กุสินารา ลุมพินีวัน และสารนาถ แล้ว หัวหน้าทัวร์ ก็พาพวกเราไปยังริมฝั่งน้ำคงคาครับ เพื่อจะล่องน้ำคงคากันตอนหนึ่งทุ่ม!!! ในภาพจะเป็นพิธีบูชาแม่น้ำคงคา ของชาวฮินดูครับ จะจัดพิธีกันอย่างนี้ทุกวัน ตอนเย็น จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 08:26:22

ความคิดเห็นที่ 73 ระหว่างล่องเรือ ผ่านท่าน้ำต่างๆ ก็ยังคงเห็นผู้คนมาอาบน้ำ กินน้ำ กันอยู่บ้าง แม่น้ำสายนี้เรียกว่าเป็นชีวิตของเค้าเลยทีเดียว ผ่านท่าน้ำมหกรรณิการ์ฆาต (เขียนถูกอ่ะป่าวหวา) ที่เค้าใช้เผาศพ เห็นมีกองไฟอยู่มากกว่าห้ากอง คงมีมากกว่าห้าศพอ่ะเนอะ หลังจากที่ชมพิธีบูชาได้เวลาอันสมควรแล้ว ก็หันหัวเรือกลับ ผมก็ได้ลอยกระทงที่อินเดีย ณ แม่น้ำคงคา แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู พระธรรมวิทยากร ก็นำสวดมนต์เพื่อเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดา ซึ่งมีคนขุดพบ จึงนำมาลอยที่แม่น้ำคงคา ด้วยหวังดีคิดว่าเจ้าของจะได้ไปสวรรค์ หลังลอยกระทงเสร็จ ผ่านท่าน้ำที่เผาศพอีกครั้ง ผมก็เล่าให้พี่ผู้หญิงในคณะที่อายุ ๓๖ ปี ฟังว่า... ถ้าโชคดี ก็จะเห็นศพลอยน้ำ เพราะจะมีพวกศพผู้หญิงบริสุทธิ์ ศพนักบวช ศพงูกัด ศพถูกฟ้าผ่า พวกนี้เค้าจะไม่เอาไปเผา แต่จะเอามาลอยน้ำคงคาเลย ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ พี่เค้าก็สะกิด พร้อมหันมายิ้ม คงตั้งท่ากะจะบอกว่าอย่าหันไปดูนะ แต่ไม่ทันเสียแล้ว...เต็มๆ ตาทั้งสองข้างของผมเลยครับ ศพลอยน้ำมาใกล้เรือมากๆ ชนิดเอื้อมมือไปแตะได้ เป็นศพผู้หญิงครับ ไม่ได้ห่อผ้าขาว คือถูกนำมาลอยน้ำทั้งชุดที่ใส่ปกตินั่นเลย ผมดูแล้ว ยังใหม่ๆ อยู่เลยด้วยนะ พอศพลอยจากไป กลิ่นเหม็นจึงโชยมาครับ แหม ไม่ยอมเตือนก่อนเลย ผมจะได้ไม่หันไปดู ผมต้องนอนคนเดียวด้วยน้า แต่...ไม่ใช่ทุกคนในคณะครับ ที่จะเห็น เพราะขนาดคนที่นั่งอยู่อีกข้างของผม เค้าก็ไม่เห็น เค้าบอกแต่ว่าได้กลิ่น เพราะเค้ามองไปอีกฝั่งของแม่น้ำ แหม ขนาดลงเรือลำเดียวกันนะนี่ จะว่าไปแล้วคนอินเดียนี่ ถึงไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่สงสัยเค้าจะไม่ยึดมั่นถือมั่นมากกว่าคนไทยอีกนะเนี่ย เพราะผมไม่กล้าลงไปอาบน้ำ หรือกินน้ำ จากแม่น้ำที่เห็นๆ กันว่ามีศพลอยน้ำแน่แน่ แล้วท่านล่ะครับ ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนี้หรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 08:34:30 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 08:31:09

ความคิดเห็นที่ 74 ภาพห้องพักโรงแรมรามาด้า เมืองพาราณสี  ครับ เป็นโรงแรมระดับห้าดาว เรียกว่าดีที่สุดในทริปนี้ ข้างหน้าโรงแรมเป็นห้างสรรพสินค้า มีพิซซ่ากะแมคโดนัลด์ด้วยนะ คืนนี้ผมก็เลยสวดมนต์บทอนัตตลักขณสูตร อันเป็นบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงที่สารนาถนี้ ยังให้พระปัญจวัคคีย์บรรลุพระอรหันต์ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 09:12:50 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 08:39:41

ความคิดเห็นที่ 75 ยังเหลือการเดินทางอีกสามวันนะครับ ที่ถ้ำอชันต้า ถ้ำเอลโลร่า ซึ่งเป็นมรดกโลกของทางอินเดีย เป็นถ้ำทางศาสนาพุทธล้วนที่อชันต้า ส่วนที่เอลโลร่า เป็นถ้ำของสามศาสนา คือพุทธ เชน และฮินดู ถ้ายังตามอ่านกันอยู่ รบกวนแสดงตัวบ้างนะครับ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านแล้ว ก็จะได้ไม่ลงต่อครับ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 08:44:41 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 08:43:08

ความคิดเห็นที่ 76 แม่เราไปสังเวชนัยสถานมาหลายรอบมาก แต่คุณลูกยังไม่เคยไปซักที ได้แต่ไปเที่ยวส่วนอื่นของอินเดีย รอดูถ้ำ Ajanta นะคะ จากคุณ : Pat :o) เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 09:04:55

ความคิดเห็นที่ 77 ตามอ่านอยู่ค่ะ เพราะเพิ่งไปมาเมื่อ 16-24 กพ ที่ผ่านมา แต่เราไปเนปาลต่อค่ะ ขอบคุณที่มารีวิวให้ดู เตือนความจำอีกรอบค่ะ จากคุณ : COCONUTMILK เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 09:14:24

ความคิดเห็นที่ 78 ยังมีคนตามอ่านอยู่อย่างน้อยสามท่าน  งั้นผมจะมาลงต่อตอนเย็นนะครับ ขอไปหาเงินก่อน^^ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 10:22:51

ความคิดเห็นที่ 79 แตกกระทู้ใหม่เถอะ กดเก็บเข้าคลังกระทู้ไว้ด้วย จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 12:00:54

ความคิดเห็นที่ 80 สาธุ  ขอบคุณที่พาไปทำบุญครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 12:37:31

ความคิดเห็นที่ 81 ตามอ่านอยู่ค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะ เราก็กำลังจะตามรอยจขกท. ไปวันเสาร์ที่จะถึงนี้ละค่ะ มาอ่านเก็บข้อมูลไว้ จะได้เตรียมใจ และกายได้ถูก :) จากคุณ : caramelfrappe เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 13:20:51

ความคิดเห็นที่ 82 คห.ที่ ๗๙ คุณต้นโพธิ์ต้นไทร ขอบคุณนะครับที่แนะนำให้แตกกระทู้   แต่ผมคงไม่แตกกระทู้ล่ะครับ เพราะถ้าไม่ได้ขึ้นกระทู้แนะนำ ถึงแตกกระทู้ไปอีก ยังไง กระทู้ก็ต้องตกในเวลาอันรวดเร็วอยู่ดี ดีแล้วครับ เป็นการแสดงสัจธรรม ถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (จริงๆ ก่อนตั้งกระทู้นี้ ผมก็แอบหวังว่า อาจได้เป็นกระทู้แนะนำอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้เป็น ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยมีหลังไมค์มาสอบถามข้อมูลสองสามท่าน ผมก็คิดว่ากระทู้นี้ คงพอมีประโยชน์อยู่บ้าง^^) มีคนเข้ามาคอมเม้น สักสิบท่าน ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 13:35:59 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 55 13:34:32 จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 13:33:56

ความคิดเห็นที่ 83 มาติดตามกันต่อนะครับ คงยังพอมีผู้ติดตามอ่านอยู่บ้าง^^ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ วันนี้ เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินล้วนๆ ครับ เริ่มตั้งแต่ออกจากโรงแรมสุดหรูอย่างรามาด้า เพื่อเดินทางไปยังสนามบินเมืองพาราณสี ต่อเครื่องไปยังเมืองมุมไบ ในภาพ พระมหาดร. สิงขร  พระธรรมวิทยากร ท่านเดินทางมาส่งพวกเราขึ้นเครื่องบิน เพราะท่านไม่ได้ไปอชันต้ากะเอลโลร่าด้วย เนื่องจากพ้นเขตสังเวชนียสถานแล้ว จึงไม่ต้องนิมนต์พระธรรมวิทยากร   แต่ความจริง บรรดาลูกทัวร์ ก็อยากให้ท่านไปกะพวกเราต่อนั่นล่ะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:31:29

ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อมาถึงสนามบินเมืองมุมไบแล้ว ก็ต้องรอเวลา เพื่อจะต่อเครื่องบินไปยังเมืองออรังคบาด ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของถ้ำอชันต้า และเอลโลร่า อันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไปของพวกเรา จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:33:26

ความคิดเห็นที่ 85 กว่าจะมาถึงเมืองออรังคบาด ก็เป็นเวลาค่ำพอดี หัวหน้าทัวร์ก็นำพวกเราไปเช็คอินที่โรงแรมเดอะไพรด์ เราจะพักกันที่นี่เป็นเวลาสองคืนครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:35:35

ความคิดเห็นที่ 86 วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ วันนี้จะได้ไปชมหมู่ถ้ำอชันต้าครับ  เป็นถ้ำที่แกะสลักจากภูเขาหินล้วน เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:39:15

ความคิดเห็นที่ 87 หมู่ถ้ำอชันต้าวางตัวเป็นลักษณะรูปเกือกม้าครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:40:27

ความคิดเห็นที่ 88 ด้านล่างมองลงไป จะมีแม่น้ำอยู่  ทุกท่านว่าสถานที่เป็นสัปปายะดีไหมครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:41:19

ความคิดเห็นที่ 89 ถ้ำที่อชันต้าจะมีอยู่กว่าสามสิบถ้ำครับ ผมจะลงรูป แต่จะไม่ระบุว่ามาจากถ้ำเบอร์อะไร เพราะจำไม่ได้แล้วนั่นเอง แหะแหะ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:42:39

ความคิดเห็นที่ 90 ในถ้ำนี้จะมีการแกะสลักพระพุทธรูปปางปรินิพานไว้ที่ผนังถ้ำด้านหนึ่งครับ จากคุณ : ทางปลอดภัยจากความตาย เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 55 15:43:55