ความคิดเห็นที่ 1 แม่น้ำอิรวดี ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า “เอยาวดี” แปลว่า “มหานที” นั้น ทั้งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตและอู่อารยธรรมหล่อเลี้ยงนับพันปี  มีต้นกำเนิด มาจากขุนเขาในรัฐกะฉิ่น ทางตอนเหนือสุดของพม่าไหลผ่านใจกลางพม่า ไปออกทะเลอันดามัน  มหาสมุทรอินเดีย ที่เขตอิรวดีใกล้กรุงย่างกุ้งคิดเป็น ระยะทางรวม 2,170 กิโลเมตร  เจดีย์มิงกุน  เจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญาหรือคองบอง  ผู้ซึ่งทำสงครามเก้าทัพกับไทยทรงเอาชนะยะไข่และบุกตี เมืองได้มากมาย  มีพระราชประสงค์ให้พระเกียรติยศปรากฏว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่ามหาราชพระองค์อื่น  จึงทรงสร้างเจดีย์มิงกุนขึ้นให้ใหญ่ที่สุดในโลก   คือสูง 152 เมตร  ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 150 เมตร แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 55 19:47:31 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:46:28

ความคิดเห็นที่ 2 พระเจ้าปดุงเสร็จแปรพระราชฐานมาประทับบนเกาะระหว่างปี ค.ศ. 1790 - 1797  เพื่อควบคุมการก่อสร้าง  แม้โหรจะทำนายว่าเมื่อสร้างเสร็จบ้านเมืองจะล่มสลาย  แต่พระองค์ก็ไม่ทรงหวั่นไหวกระนั้นก็ยังเจอปัญหาแรงงานขาดแคลนกับค่าใช้จ่ายที่บานปลาย  จึงสร้างไม่สำเร็จ  เมื่อพระองค์สวรรคตก็ถูกปล่อยค้างคาจวบจนปัจจุบัน  ในปีค.ศ. 1839  เกิดแผ่น ดินไหวจนคูหาเกือบพังลงมาสิงห์ทวารบาลขนาดใหญ่สูง 27 เมตร ที่เฝ้าอยู่ริมฝั่งก็พังลงมาจนเหลือแต่ช่วงล่าง  แม้จะสร้างได้เท่าที่เห็น แต่กองอิฐนี้ก็ยังใหญ่ที่สุดในโลก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:50:19

ความคิดเห็นที่ 3 ระฆังมิงกุน  พระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างเพื่ออุทิศทวายแด่มหาเจดีย์  มิงกุน  ระฆังมิงกุนหล่อด้วยสำริด  หนัก 90  ตัน  สูง 4 เมตร  ปากระฆังกว้าง 5 เมตร  สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1808  แม้ระฆังเครมลินที่กรุงมอสโก  ประเทศ รัสเซียจะใหญ่กว่า  แต่ก็แตกไปแล้ว มิงกุนจึงขยับอันดับเป็นระฆังซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:51:21

ความคิดเห็นที่ 4 เจดีย์ชินพิวเม (เมียะเต็งดาน)  มีลวดลายปูนปั้นรูปคลื่นม้วนตัวซ้อนกัน 7 ชั้น  เสมือนเทือกเขาทั้ง 7 ตามคติจักรวาล  ชั้นบนออกแบบเป็นทรงกระบอก  ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ภายใน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:52:17

ความคิดเห็นที่ 5 สร้างโดยพระเจ้าพะคยีดอ  เมื่อปีค.ศ. 1816  เพื่ออุทิศแทนความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวเม ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร  จึงได้รับการขนานนามว่า “เจดีย์แห่งรัก  ทัชมาฮาลแห่งพม่า” จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:52:52

ความคิดเห็นที่ 6 สภาพบ้านเมืองมิงกุน  ดินแดนคล้ายหยุดเวลา  และพาหนะย้อนยุค จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:53:19

ความคิดเห็นที่ 7 สะพานไม้ “ อูเบ็ง ” หรือที่คนพม่าเรียกว่า " อูเปง " เป็นชื่อของข้าราชการผู้ใหญ่ผู้สร้างสะพานนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1851  ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมานเพื่อเชื่อมไปสู่วัดเจ๊าตอคยี  ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก  โดยรื้อไม้สักมาจากพระราชวังเก่ากรุงอังวะและอาคารเก่าแถวเมืองสะกาย  ใช้ไม้สักทั้งสิ้นจำนวน 1,568 ต้น  มีความยาวถึง 1.2 กิโลเมตร  นับเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:53:49

ความคิดเห็นที่ 8 วัดพระมหามุนี  เพื่อเข้าร่วมชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี  หรือที่ชาวพม่าเรียกกันว่า " มหาเมียะมุนี "  และเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ประทาน ลมหายใจไว้ให้  เป็นเหตุแห่งศรัทธาว่าท่านมีชีวิต  จึงมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ล้างพระพักตร์ทุกรุ่งสางสืบเนื่องมา 200 ปีกว่าแล้ว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:54:41

ความคิดเห็นที่ 9 “ พระมหามัยมุนี ”  แปลว่า  มหาปราชญ์ 1 ใน 5  มหาบูชาสถาน  หนึ่งเดียวที่เป็นพระพุทธรูป  มีหน้าตักกว้าง 3 เมตร  สูงเกือบ 4 เมตร  ทรงเครื่องกษัตริย์  มีพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดองค์หนึ่งสมคำว่าพุทธศิลป์  เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพม่า  ตามตำนานเล่าว่า  เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงธรรมโปรดชาวเมืองระไคน์  ที่คนไทยเรียกว่ายะไข่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:55:12

ความคิดเห็นที่ 10 พระเจ้าจันทสุริยะ  กษัตริย์แห่งยะไข่ทรงเลื่อมใส  จึงทูลขอพระรูปแทนพระองค์ไว้บูชา  ท้าวสักกะจอมเทพจึงได้เนรมิตพระมหามัยมุนีที่งดงามราวกับมีชีวิตขึ้น  แล้วพระพุทธเจ้าก็ประทานลมหายใจ  พร้อมทั้งประสานพรให้พระมหามัยมุนีสามารถเทศนาได้เหมือนกับพระองค์  วันใดที่พระพุทธศาสนาหยั่งรากมั่นคงค่อยสิ้นฤทธิ์พรที่ประธาน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:55:42

ความคิดเห็นที่ 11 แม้พระมหามัยมุนีจะเป็นของชาวอาระกันแห่งอาณาจักรยะไข่  แต่ก็เป็นที่นับถือของผู้คนทั่วแผ่นดิน  ทั้งยะไข่  พม่า  และมอญ  มากว่า 1,000 ปี  ครั้นถึงปี ค.ศ. 1782  พระเจ้าปดุงตีเมืองยะไข่ได้  จึงบังคับชาวยะไข่หลายพันคนให้ทลายช่องเขา  จากนั้นก็อัญเชิญพระมหามัยมุนีมาที่เมืองอมรปุระ  ชาวยะไข่ต่างเศร้าโศกเจียนตาย  กล่าวกันว่า  แม้แต่พระพุทธรูปยังหลั่งน้ำตา  การที่พระเจ้าปดุงอัญเชิญมาก็เพื่อแสดงแสนยานุภาพของพระองค์  พระมหามัยมุนีจึงสถิตเป็นศรีเมืองพม่ามาโดยตลอด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:56:15

ความคิดเห็นที่ 12 รูปหล่อสำริดทั้งหก  เป็นศิลปะเขมร  ได้แก่  พระอิศวร 2 รูป  สิงห์ 3 ตัว  และช้างเอราวัณ  รวมทั้งสิ้น 6 รูป  ที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา )  ได้ทรงนำมายังกรุงศรีอยุธยาในคราวตีนครธม  เมืองเขมร  เมื่อปี ค.ศ. 1423  รูปหล่อเหล่านี้อยู่ในเมืองไทยนาน 146 ปี  ก่อนที่พระเจ้าบุเรงนองจะตีกรุงศรีอยุธยาแตก  แล้วขนไปหงสาวดี  อีก 30 ปีต่อมาพระเจ้ายะไข่เมืองหลวงหงสาวดีได้  ก็ย้ายไปยังยะไข่เป็นเวลาอีก 180 ปี  ในที่สุดพระเจ้สปดุงแห่งพม่าได้ตียะไข่  พร้อมทั้งนำมาไว้ที่วัดนี้พร้อมกับพระมหามัยมุนี  โดยถือเป็นเครื่องพุทธบูชา  ส่วนหัวสิงห์ของเดินนั้นเสียหาย  จึงมีการหล่อขึ้นใหม่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:56:51

ความคิดเห็นที่ 13 ระหว่างเดินทางไปสะแกง  แวะร้านทำทองคำเปลวที่ขึ้นชื่อของมัณฑะเลย์  มีการสาธิตการตีแผ่นทอง  การนำมาติดกับกระดาษ  และมีจำหน่าย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:57:25

ความคิดเห็นที่ 14 อดีตราชธานีสะแกง  หรือจักกายนี้เคยเป็นเมืองหลวงของพม่าเหนือ อยู่ในการปกครองของชาวรัฐฉาน ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1858 -  1907  จึงได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอังวะชาวพม่าเปรียบเมืองสะแกง เป็นเสมือนเชิง เขาพระสุเมรุ อันลี้ลับ และบางคนถือว่า สะแกงเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาในพุทธศาสนา มักจะ พาลูกชายมาบรรพชาเป็น “ฉินปิ้ว” (สามเณร) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:58:05

ความคิดเห็นที่ 15 พระเจดีย์โพนเยี่ยซิน  อำมาตย์คนหนึ่งชื่อว่า ปุญญะมา ได้มาสร้างพระเจดีย์นี้ไว้เมื่อ พ.ศ. 1856  โดยสร้างครอบรอยพระบาท  หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านมาถวายข้าวที่พระเจดีย์นี้  เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ ถวายเป็นคนแรกเลย  ภายหลังจึงได้ทราบว่า มี เทวดานำมาถวายเป็นคนแรกทุกครั้ง จึงได้เปลี่ยนชื่อพระเจดีย์องค์นี้ว่า  พระเจดีย์สวอนอูโพนเยี่ยซิน ภาษาพม่าแปลว่า “ ถวายข้าวเป็นครั้งแรก ” จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:58:35

ความคิดเห็นที่ 16 หลังจากที่องค์สมเด็จพระชินศรีได้เสด็จ ไปที่พุกามแล้ว พระองค์ได้เสด็จต่อมาที่ ภูเขาสกาย แล้วได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อสมัย พระพุทธกกุสันโธ ภูเขานี้เรียกว่า เศลาพับปฏะ สมัยพระพุทธโกนาคม เรียกว่า องคาจาระ สมัย พระพุทธกัสสป เรียกว่า ธัมมิกกะ สมัยตถาคต เรียกว่า นาคะธัตถะ หรือ “ภูเขากบ”   ครั้นแล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าต่อไปว่า เมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย เคยอาศัย อยู่ที่ภูเขานี้ และเคยไปที่ภูเขามัณฑเลย์ หลังจาก นั้นพระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระบาทไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:59:14

ความคิดเห็นที่ 17 วิทยาลัยสงฆ์  ในสะแกง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:59:46

ความคิดเห็นที่ 18 ร่วมทำบุญกับแม่ชี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:00:15

ความคิดเห็นที่ 19 จิตรกรรมฝาผนังล้ำค่า  เป็นฝีมือของช่างชาวอยุธยาในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ณ วัดมหาเตงดอจี  ลวดลายที่บ่งบอกว่าเป็นศิลปะไทยสมัยอยุธยา เช่น  รูปทรงภายนอกฐานเป็นลักษณะคล้ายเรือ  ส่วนจิตรกรรมฝาผนังเช่น  พระของไทยเวลานั่งมือจะอยู่แค่หัวเข่า  แต่ของพม่าจะอยู่ที่หน้าแข้ง  ลวดลายมีลายช่อหางโต  ซึ่งมีอยู่ในวัดไทยเหมือนกัน  อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าว่า  เดิมช่างเขียนเหล่านี้ถูกนำไปคุมขังที่อังวะแล้วพยายามหนี  จึงถูกย้ายมาบริเวณนี้  เพราะอยู่ห่างไกลจากแม่น้ำ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:01:15

ความคิดเห็นที่ 20 ระหว่างทางแวะร้านทำเครื่องเงิน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:02:08

ความคิดเห็นที่ 21 เจดีย์กองมูดอว์  ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว  สร้างโดยพระเจ้าตาหลู่น    เมื่อปี ค.ศ. 1636  เพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจากเมืองศรีลังกาและบาตรวิเศษของพระเจ้าธรรมปาล  เจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหลนี้สูง 46 เมตร  เส้นรอบวง 274 เมตร  ใช้อิฐมากถึง 10,126,552 ก้อน  มีนัตและเทวดาประดับอยู่ในซุ้มที่ฐานรวม 120 ตน  พร้อมเสา 812 ต้นรายรอบ  มีเรื่องเล่าว่าได้ต้นแบบมาจากถันของพระชายาพระเจ้าตาหลู่น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:02:45

ความคิดเห็นที่ 22 เดินทางสู่เมืองโมนโยว  นมัสการเจดีย์สัมพุทเธ  สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ. 1846  แต่มาบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2486  ลักษณะโครงสร้างเลียนแบบเขาพระสุเมรุ คล้ายบุทโรพุทโธ  ประเทศอินโดนิเซีย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:03:14

ความคิดเห็นที่ 23 ภายในวัดนี้มีพระพุทธรูปทั้งหมดนับได้ 582,363 องค์  มีเจดีย์เล็ก รายรอบเจดีย์หลัก 845 องค์  บรรจุพระธาตุ 7,350 องค์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:03:40

ความคิดเห็นที่ 24 วัดพระพุทธรูป 1,000 องค์  ภายในวัดประดิษฐานพระพุทธทั้งหมด 1,000 องค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ 1,000 ต้น  วัดพระนอนและวัดพระยืน  ตั้งอยู่บนเขา  ภายในองค์พระยืนสามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:04:15

ความคิดเห็นที่ 25 พระมหากัสสปะ  ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านธุดงควัตร ปฐมบทแห่งการทำสังคายนา  พระมหากัสสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ ตระกูลกัสสปะ ในบ้านมหาติฏฐะ แคว้นมคธ ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านตามวงศ์ตระกูลว่า “กัสสปะ” เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงาม วัย ๑๖ ปี ธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ ณ เมืองสาคลนคร แคว้นมคธ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:05:23

ความคิดเห็นที่ 26 สภาพชีวิตการครองคู่ ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันนั้น มิ ได้สัมผัสถูกต้องกันเลยจึงไม่มีบุตรหรือธิดาสืบสกุลเมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติและหน้า ที่การงานทุกอย่างจึงเป็นภาระของ สองสามีภรรยา และเนื่องจากตระกูลทั้งสองเป็นตระกูลมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมสอง ตระกูลเข้าเป็นตระกูลเดียวกันแล้วทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยงและคนงาน จำนวนมาก สองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่าง  จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ปิปผลิกำลังตรวจดูทาสและกรรมกรทำงานอยู่ในไร่นา ได้ เห็นนกกาจิกกินสัตว์น้อยมีไส้เดือนเป็นต้น ก็รู้สึกสงสารและสลดใจที่สัตว์เหล่านั้นต้องตาย เพราะตนเป็นเหตุ ส่วนนางภัททกาปิลานี ก็ให้คนนำเมล็ดถั่วงาออกมาตาก ที่ลานหน้าบ้าน เห็นหมู่นกกามาจิกกินตัวหนอน และแมลงต่าง ๆ ก็เกิดความสงสารและสลดใจเช่นกัน เมื่อสองสามี ภรรยามีโอกาส อยู่กันตามลำพัง ได้สนทนาถึงเรื่องความในใจของกันและกันแล้ว จากนั้นทั้งสอง ก็มีความคิดตรงกันว่า “ผู้อยู่ครองเรือน แม้จะไม่ได้ลงมือทำการงานเอง แต่ก็ต้องคอยรับบาปที่ทาสและ กรรมกรทำให้” จึงเกิดความเบื่อหน่ายเพศฆราวาส พร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติ และบริวาร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:06:27

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนทั้งสองสามีภรรยาพากันออกบวช จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์และบริขารพากันปลงผม แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์ อธิฐานเพศบรรพชิต บวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินร่วมทาง กันไป พอถึงทางสองแพร่งจึงแยกทางกัน ปิปผลิไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานี ไปทางซ้าย นางเดินทางไปพบสำนักปริพาชกแล้ว ได้เข้าไปขอบวชในสำนักนั้น เนื่องด้วยขณะนั้น พระผู้มี พระภาคยังมิได้ทรงอนุญาต ให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อเมื่อพระนางปชาบดีโคตรมี ได้บวชแล้ว นางจึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระเถระ ศึกษาพระกรรมฐาน บำเพ็ญ วิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:06:58

ความคิดเห็นที่ 28 อุปสมบทด้วยวิธีโอวาท ๓ ข้อ ปิปผลิ เดินทางไปตามลำดับ ได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร ระหว่างกรุงราชคฤห์ กับนาลันทา เห็นพุทธจริยาน่าเลื่อมใส แปลกกว่านักบวชอื่น ๆ ที่ตนเคยพบมา ปลงใจเชื่อว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน จึงน้อมกายกราบถวายบังคมแทบพระบาท กราบ ทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:07:44

ความคิดเห็นที่ 29 พระพุทธองค์ ประทานการอุปสมบทด้วยวิธีให้รับโอวาท ๓ ข้อ เรียกว่า “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา” โอวาท ๓ ข้อนั้นคือ ๑) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุทั้งที่ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ผู้มีพรรษาปานกลาง และทั้งผู้บวชใหม่ ๒) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักฟังธรรม บทใดบทหนึ่งอันประกอบด้วยกุศลด้วย ความตั้งใจฟังโดยเคารพ และพิจารณาจดจำเนื้อความธรรมบทนั้น ๓) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ โดยสม่ำเสมอ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:08:24

ความคิดเห็นที่ 30 ได้รับยกย่องในทางผู้ทรงธุดงค์ เมื่อท่านอุปสมบทแล้วทำความเพียรไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล หลังจากอุปสมบท ได้ ๘ วัน พุทธบริษัททั้งหลายรู้จักท่านในนาม “พระมหากัสสะ” ท่านได้ช่วยรับภารธุระอบรม สั่งสอนพระภิกษุและพุทธบริษัทอื่น ๆ จนมีภิกษุเป็นบริวารจำนวนมาก ท่านมีปกติสมาทาน ธุดงค์ ๓ ประการ อย่างเคร่งครัด คือ ๑) ถือการนุ่งห่มบังสุกุลเป็นวัตร ๒) ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๓) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร เพราะการปฏิบัติในธุดงค์คุณทั้ง ๓ ประการนี้อย่างเคร่งครัด พระบรมศาสดาจึงทรงยก ย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ทรงธุดงค์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:09:47

ความคิดเห็นที่ 31 นอกจากนี้ พระบรมศาสดายังทรงยกย่องท่านในทางอื่น ๆ อีกหลายประการ กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง ท่านติดตามพระพุทธองค์ไปประทับที่ภายใต้ร่มไม้ต้นหนึ่งท่านได้พับผ้า สังฆาฏิของท่านเป็น ๔ ชั้นแล้วปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่งพระพุทธองค์ตรัสว่า:- “กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอนุ่มดี” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า” “กัสสปะ แล้วเธอจะใช้อะไรทำสังฆาฏิเล่า ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ก็จะใช้เป็นสังฆาฏิ พระเจ้าข้า” ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาได้ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ซึ่งเก่าคร่ำคร่าให้แก่ท่าน แล้วทรงยกย่องท่านอีก ๔ ประการคือ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:10:29

ความคิดเห็นที่ 32 ๑) กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต เป็นผู้มักน้อยสันโดษภิกษุทั้ง หลายควรถือเป็นแบบอย่าง ๒) กัสสปะ เมื่อเธอเข้าไปใกล้ตระกูลแล้ว ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคน ใหม่ ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกาย วาจา และใจ ในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น ตั้งจิตเป็นกลางว่า “ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญจงได้บุญ ตนได้ลาภแล้วมีจิตเป็นฉันใด ผู้อื่นก็ มีใจเป็นฉันนั้น” ๓) กัสสปะ มิจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น ๔) ทรงแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับท่านไปใช้สอย ทรงสอนภิกษุให้ประพฤติดีปฏิบัติ ชอบ โดยยกพระมหากัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่าง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:11:08

ความคิดเห็นที่ 33 พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธานปฐมสังคายนา ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า มักน้อย สันโดษ ประวัติของท่านจึงไม่ค่อย โดดเด่นเป็นที่รู้จักกันมากนัก จวบจนสมัย ที่พระบรมศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วัน ขณะที่ท่าน กำลังเดินทาง พร้อมด้วยภิกษุบริวารของท่าน เพื่อไปเข้าเฝ้าประบรมศาสดา ได้ทราบข่าวจาก อาชีวกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ทำให้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชน พากันร่ำไห้เสียใจ รำพึงรำพัน ถึงพระบรมศาสดา แต่มีภิกษุวัยชรานามว่า สุภัททะ พูดห้ามปรามภิกษุเหล่านั้น มิให้ร้องไห้โดยกล่าว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลย พระพุทธองค์ ปรินิพพานเสียได้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้พวกเราพ้นจากอำนาจ ของพระศาสดาแล้ว จะทำอะไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาบังคับว่ากล่าว ห้ามปรามพวกเราอีกแล้ว” จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:11:51

ความคิดเห็นที่ 34 พระเถระ ได้ฟังคำของพระสุภัททะแล้ว เกิดความสังเวชสลดใจว่า “พระพุทธองค์ ปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน ยังมีผู้กล่าวจ้วงจาบ ล่วงเกินพระธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ต่อไปภายหน้าก็ คงจะหาผู้เคารพในพระธรรมวินัยได้ยากยิ่ง”  ด้วยคำพูดของพระสุภัททะเพียงเท่านี้ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านได้ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้ เป็นหมวดหมู่ เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:12:20

ความคิดเห็นที่ 35 สาระสำคัญของปฐมสังคายนา ๑) พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ๒) พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย ๓) พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม ๔) กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ๕) พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภ์ ๖) กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:12:55

ความคิดเห็นที่ 37 จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยัง ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิต ขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้น มีภูเขาเวภารบรรพต สถานที่ทำปฐมสังคายนา รวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น ท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนา พระศรีอริย-เมตไตร ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์ มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระ ของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวา ชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิด ขึ้นเผาสรีระของท่าน บนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:15:40

ความคิดเห็นที่ 38 คำอาราธนาพระมหากัสสปะ ( นะโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 ครั้ง ) ปิเยสังนะ  ติยังมะมะ  กัสสปะมหาเถระ คำบูชาพระมหากัสสปเถระเพื่อขอพร มะหากัสสปัตเถโรปิ  อุตตัตตะกะนะกันนิโภ ธุตะคุณัคคะนิกขิตโต  ตะติโย  สัตถุ  สาวะโก อะรัญญะวาสาภิระโต  ปังสุกูละธะโร  มุนิ สุคะตัสสาสะนะธะโร  สะทา  โสตถิง  กะโรตุ  โนฯ คำแปล พระเถระนามว่า  มหากัสสปะ  ผู้มีผิวพรรณอันงามดุจเนื้อทองคำอัน  บริสุทธิ์  ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เลิศในทางธุดงคคุณ  เป็นอัครสาวกรูปองค์ที่ ๓  ของพระบรมศาสดา  เป็นผู้ยินดียิ่งในการอยู่ป่า  ผู้ทรงผ้าบังสุกุล  เป็นมุนี  ผู้ทรงไว้ซึ่งคำสอนของพระสุคต  จงประทานความสวัสดีให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกเมื่อด้วยเถิดฯ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:17:13

ความคิดเห็นที่ 39 การเดินทางสู่ถ้ำพระมหากัสสปะ  ครั้งนี้ออกเดินทางตั้งแต่ตี 2 จากโมนโยวออกนอกเมือง  บรรยายกาศระหว่างทางเป็นทุ่งเป็นไร่  หมดจากปั้มน้ำมันเล็กๆปั้มเดียวจากนั้นถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องไปทุ่ง  ยังดีที่เราออกตอนไม่สว่างเลยผ่านพ้นไปด้วยดี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:17:49

ความคิดเห็นที่ 40 นั่งรถมาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็แวะกินอาหารเช้า และเข้าห้องน้ำของร้านเพราะออกจากนี้วิวก็เป็นทุ่งเหมือนเดิม ( ทริปนี้ไกด์ขอให้กินเจมื้อเย็นวันที่ 21/3 มื้อเช้าและเที่ยงวันที่ 23/3  ส่วนตัวเรากินเจตลอดทริปคะ )  จากนั้นต้องนั่งรถต่อไปอีกประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง  มีตั้งแต่ทางราบถึงทางขึ้นเขา  ผ่านแม่น้ำ 3 แม่น้ำ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:18:46

ความคิดเห็นที่ 41 เนื่องจากต้องผ่านแม่น้ำ 3 แม่น้ำฉะนั้นช่วงเวลาที่เดินทางมาถ้ำพระมหากัสสปะได้  จะต้องเป็นหน้าแล้งเท่านั้น  แต่ปีที่ผ่านมาถ้ำเปิดช้า  เปิดประมาณกลางเดือนธันวาคม 2554  เพราะน้ำมากข้ามแม่น้ำไม่ได้  เมื่อถึงที่พักขั้นแรกต้องเปลี่ยนจากรถเป็นนั่งช้างเข้าไป  ช้าง 1 เชือกนั่งประมาณ 3 – 4 คน  นั่งไปประมาณ 40 นาที  ก็จะถึงบริเวณวัด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:21:07

ความคิดเห็นที่ 42 ในศาลาวัดจะมีพระนอน  สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าอชาตศัตรู  เมื่อพระมหากัสสปะไปถวายพระพรลา  เพื่อจะนิพพาน  ไม่ได้พบกับพระเจ้าอชาตศัตรู  หลังจากพระเจ้าอชาตศัตรูทราบ  จึงรีบเดินทางตามไป  แต่ก็ไม่ทัน  เลยอธิฐานให้เห็นทางไปถ้ำที่พระมหากัสสปะนิพพาน  โดยใช้ดาบปักลงพื้นจากนั้นก็มีทางให้ไปถึงบริเวณถ้ำ  เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูสักการะที่หน้าปากถ้ำแล้วเสร็จ  จึงได้มาสร้างพระนอนด้านบน  ซึ่งบริเวณที่สร้างพระนอนนั้นจะตรงกันพอดีกับถ้ำด้านล่าง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:22:21

ความคิดเห็นที่ 43 เพื่อมิให้ผ่านหรือข้ามบริเวณด้านล่างตรงถ้ำที่พระมหากัสสปะนิพพาน  ก่อนถึงบริเวณถ้ำมีบ่อน้ำทิพย์  ซึ่งชาวพม่าเชื่อกันว่าบ่อน้ำนี้  เมื่อครั้งพระมหากัสสปะมีชีวิตอยู่เคยใช้  จนถึงปัจจุบันนี้น้ำไม่เคยแห้ง  และความศรัทธาของผู้หญิงชาวพม่าได้ตัดผมของตนเพื่อนำไปขาย  แล้วรวบรวมเงินมาสร้างสะพาน  เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธามาทำบุญจะได้เดินทางสะดวกขึ้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:23:11

ความคิดเห็นที่ 44 บริเวณหน้าปากถ้ำ  สามารถจุคนได้ประมาณ 60 -70 คน  โดยประมาณ ( ตอนไปเฉพาะคณะเราก็ 43 คนแล้ว )  ตอนนี้ได้มีผู้ใจบุญไปสร้างหลังคากันน้ำที่ตกมาโดนหน้าปากถ้ำ  กลุ่มเราเลยได้อานิสงฆ์  สาธุกับผู้ใจดีด้วยคะ  แต่เวลานั่งก็ต้องมีที่รองเพราะพื้นเปียก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:23:52

ความคิดเห็นที่ 45 ครั้งนี้คณะเราได้ร่วมทำบุญสร้างห้องน้ำภายในบริเวณวัด , ที่นั่งพักระหว่างทางเดินขึ้น – ลง  และถวายค่าอาหารพระ  เสร็จอิ่มบุญกันทั่วหน้า  สาธุคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:24:30

ความคิดเห็นที่ 46 หลังจากที่เราสักการะพระมหากัสสปะเสร็จ  คณะเราก็มานั่งใจเย็นรับประทานอาหารกลางวัน  และผลไม้ที่ไหว้ ณ บริเวณศาลา  โดยมิรู้อนาคตว่าหลังจากนี้ต้องออกกำลังกายขาของตน  เพราะช้างน้อยที่เราๆ นั่งมาหยุดพักตั้งแต่เวลาประมาณ 11.30 น. ถึงช่วงบ่าย 3 โมงจึงจะมาทำหน้าที่ต่อ  แต่ด้วยบุญที่พวกเราได้ทำเลยเหลือช้าง 1 เชือกให้ผู้สูงวัยที่เดินลำบาก , เด็กเล็ก และสตรีมีครรภ์ได้ใช้บริการ  โดยที่เหลือทั้งหมดเดินลงเอง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:25:10

ความคิดเห็นที่ 47 คราวนี้เลยต้องขอยืมเพลงศรัทธา  ของหินเหล็กไฟ  “ ใจสู้หรือเปล่า  ไหวไหมบอกมา  โอกาสของผู้กล้า  ศรัทธาไม่มีท้อ ”  หลังจากพักเหนื่อยกันทุกคนแล้วก็เดินทางกลับ  แต่ขากลับนี้ทำให้ชุดขาวที่พวกเราใส่เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล  ส่วนผมก็โกรกเป็นสีโค้ก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:25:51

ความคิดเห็นที่ 48 วันนี้เราก็ออกแต่เช้าอีก  เพื่อจะเดินทางกลับมัณฑะเลย์  จะเห็นบรรยากาศของเมืองโมนโยว  เป็นเมืองเล็กๆ  สงบดีคล้ายที่เชียงตุง  ( เด็กคนนี้เขียนหนังสือสวยมาก ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:26:35

ความคิดเห็นที่ 49 คณะเราแวะทำบุญที่วัดมหากันดายง  เมืองอมรปุระ  วัดมหากันดายงเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่า  มีพระภิกษุสามเณรศึกษาเล่าเรียนกว่า 1,200 รูป  พระที่นี่ฉันวันละ 1 มื้อ  โดยเวลาประมาณ 10.30 น.  ของทุกวันพุทธบริษัทจะนำภัตตาหารมาถวายแด่พระสงฆ์และสามเณร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:27:07

ความคิดเห็นที่ 50 เมืองอมรปุระขึ้นชื่อเรื่องการทอผ้า  มีร้านค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผ้าให้เห็นมากมาย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:27:56

ความคิดเห็นที่ 51 มัณฑะเลย์ แปลว่า กองมณี ปัจจุบันนี้มีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2  ของพม่ารองจากย่างกุ้ง เป็นราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์พม่า  ก่อนที่ระบอบกษัตริย์จะถูกโค่นล้มลงและก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ  พระราชวังมัณฑะเลย์ พระ ราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางจักรวาล  ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีกำแพงล้อมรอบ  ใจกลางเป็นยอดปราสาท  หุ้มด้วยแผ่นทองซ้อนกัน 7 ชั้น  สูง 78 เมตร  อาคารพระราชวังก่อสร้างด้วยไม้สักย้อมสีแดงและปิดทอง  แบ่งเขตวังออกเป็น  ชั้นนอก  ชั้นกลาง  และชั้นใน  ต่อมาเมื่อพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ๆ  ได้ใช้พระราชวังทำเป็นสโมสร  ที่อยู่อาศัยของข้าหลวง  และสำนักงานจนทรุดโทรม  อีกทั้งตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นยึดพม่าได้ก็ใช้เป็นที่มั่น  อังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามจึงโจมตีอย่างหนัก  ปราสาทราชวังถูกระเบิดและไฟไหม้จนหมดสิ้น  คงเหลือแต่กำแพงวังเท่านั้น  ในปีค.ศ. 1995  รัฐบาลพม่าก็ได้สร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่โดยใช้ข้อมูลจากอดีตเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมือง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:28:30

ความคิดเห็นที่ 52 พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นพระราชวังสุดท้ายของกษัตริย์พม่าคือ  พระเจ้ามินดงและพระเจ้าสีป่อ  ( หรือตี่บ่อในภาษาพม่า )  แห่งราชวงศ์อลองพญาหรือคองบอง  พระเจ้ามินดงทรงพระสุบินเห็นภูเขามัณฑะเลย์อยู่เสมอ  โหรหลวงจึงทำนายว่าเป็นศุภนิมิต  ต้องสร้างราชธานีขึ้นใหม่  พระองค์จึงรับสั่งให้รื้อปราสาทราชมนเฑียรและตำหนักเดิมจากเมืองอมรปุระมาปลูกใหม่ที่เมืองมัณฑะเลย์  ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 20 กิโลเมตร  ระหว่างสร้างก็มีการนำคนเป็น ๆ มาฝังถึง 52 คนตามคติโบราณ  เพื่อให้เป็นผีคอยดูแลรักษาเมือง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:29:11

ความคิดเห็นที่ 53 พระเจ้ามินดงมีมเหสีถึง 45 องค์  โดยยังไม่รวมเจ้าจอม  พระนางนันมะดอผู้เป็นอัครมเหสีทรงบำเพ็ญพระกุศลอยู่เป็นนิจ  ตรงกันช้ามกับพระนางอเลนันดอผู้เป็นพระมเหสีรองที่มักใหญ่ใฝ่สูง  ในขณะที่พระเจ้ามินดงประชวรหนัก  พระนางจึงทูลขอให้เจ้าชายสีป่อขึ้นเป็นรัชทายาท  อีกเจ็ดวันต่อมาพระเจ้ามินดงก็สวรรคต  เจ้าชายสีป่อได้ขึ้นครองราชย์  โดยมีมเหสี 2 องค์  คือ  พระนางศุภคยีและพระนางศุภยลัต  ทั้งสององค์เป็นพระราชธิดาของพระนางอเลนันดอ  แต่เพราะเกรงกลัวเสี้ยนหนาม  พระนางศุภยลัตจึงกราบบังคมทูลให้สำเร็จโทษพระเจ้าลูกยาเธอ  พระชนนี  และเจ้าจอมมารดารวม 80 พระองค์  แล้วทำทีเป็นเฉลิมฉลองพระนคร 3 วัน 3 คืน  ขณะเพชฌกำลังตีท่อนจันทน์ลงบนพระศอก็ให้บรรเลงปี่พาทย์ฆ้องกลองจนดังลั่น  เพื่อกลบเสียงหวีดร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกปลิดชีพ  นี่คือยุคมิคสัญญีของพม่าอย่างแท้จริง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:29:44

ความคิดเห็นที่ 54 ร้าน Nylon Ice Caeam  ร้านประจำของชาวท่องเที่ยวพันทิป  แอบหนีไปชิมรสสตอเบอรี่อร่อยดีไม่หวานมาก  แต่รสเผือกเหมาะกับคนที่ชอบหวาน  ขอเสนอเมนูน้ำผึ้งผสมมะนาวเพิ่มอีกอย่างนะคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:30:33

ความคิดเห็นที่ 55 รถสามล้อ , ป้ายโฆษณา และร้านทำผม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:30:58

ความคิดเห็นที่ 56 วัดชเวนันดอว์  คืออดีตพระราชมณเฑียรทองที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. ที่ 19  เป็นพระตำหนักไม้สักทองซึ่งพระเจ้ามินดงทรงใช้เป็นสถานที่ ปฏิบัติธรรม  และพระองค์สวรรคต ณ พระตำหนักนี้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:31:31

ความคิดเห็นที่ 57 ต่อมาเมื่อพระเจ้าสีป่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงให้รื้อถอนจากพระราชวังไปถวายวัดเพื่อเป็นพระราชกุศลแต่พระราชบิดา  กลายเป็นอาคารเดียวที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดถล่มพระราชวังของฝ่ายสัมพันธมิตร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:32:04

ความคิดเห็นที่ 58 เดิมอาคารนี้ปิดทองทั้งหลัง  ปัจจุบันทองด้านนอกได้หลุดลอกจนหมด  เผยให้เห็นเนื้อแท้ของไม้สัก  จึงได้ชมเนื้อในของศิลปะชิ้นเอก  หลังคาซ้อนกันหลายชั้นแบบพม่า  งานสลักไม้วิจิตร  ผูกลายงดงาม  บนบานประตู  หน้าต่าง  เสา  สลักเสลาเป็นภาพนูนสูงและนูนต่ำแสดงพุทธประวัติและทศชาติ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:32:35

ความคิดเห็นที่ 59 ภายในยังประดิษฐานพระพุทธรูปทองกับฉากทองงามอร่ามตา  ด้านข้างยังมีตู้พระธรรมอันล้ำค่า  ชเวนันดอว์คือสุดยอดสถาปัตยกรรมไม้สลักแบบพม่าก็ว่าได้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:33:42

ความคิดเห็นที่ 60 วัดกุโสดอ  เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลีลงหมึกทอง 84,000 พระธรรมขันธ์ลงบนหินอ่อน 729   แผ่น  รวม 1,428 หน้า  ได้นำมาประดิษฐานในมณฑป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:34:21

ความคิดเห็นที่ 61 รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดใน  วัดกุโสดอสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1857  ส่วนจารึกพระไตรปิฎกสร้างเสร็จสิ้นเมื่อ ค.ศ. 1869  อีกทั้งในบริเวณวัดยังมีต้นพิกุลอายุมากกว่า 250 ปีอีกด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:34:57

ความคิดเห็นที่ 62 พระอาทิตย์ตก ณ เขามัณฑะเลย์   ระหว่างทางขึ้นเขามีวิหารประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  ใกล้ยอดเขาคือพระพุทธรูปชเวยัตตอ  ซึ่งชี้พระหัตถ์ไปยังพระราชวังมัณฑะเลย์ตามพุทธทำนายที่ว่า  แผ่นดินนี้จะเป็นศูนย์กลางในการศึกษาพุทธศาสนา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:35:29

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนวิหารซูตองพญา ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 ทิศ  มีลานวงกลม ที่สร้างไว้สำหรับชมทิวทัศน์เมืองมัณฑะเลย์แบบ 360 องศา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:36:02

ความคิดเห็นที่ 64 เช้าวันนี้เราบินมายังเมืองแห่งเจดีย์  สถานที่ๆแรกที่เราแวะคือตลาดยองอูซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ที่สุดในพุกาม  ชมร้านค้าและวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง  แถมด้วยหาล็อตเตอรี่ของพี่หม่องเจอจนได้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:36:34

ความคิดเห็นที่ 65 พุกาม  เป็นราชธานีแห่งแรกของพม่า  โดยมีชื่อเป็นทางการว่าอะริมันตระปุระ   หรือเมืองที่ปราบศัตรูจนราบคาบ  อันหมายถึงการทำสงครามกับมอญซึ่งอยู่ทางใต้  พงศาวดารหอแก้วของพม่าบันทึกไว้ว่า  พุกามก่อตั้งโดยพระเจ้าธรรมมุทราริท  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 108  หรือเกือบ2,000 ปี  ล่วงมาแล้ว  พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในรัชสมัยพระเจ้ากยันสิตถา  พระองค์ได้สร้างเจดียวิหารอนันท  หรือที่คนไทยเรียกกันว่า  วิหารอนันดา  จากนั้นศิลปวิทยาการของพุกามก็เจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งเรื่อยมา  กระทั้งพระเจ้านรสีหบดี  กษัตริย์ครองราชย์แทน  มีพระนามว่า  พระเจ้านันดวงมยาหรือหติโลมินโล  ซึ่งแปลว่ากษัตริย์ที่ฉัตรแต่งตั้ง  พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวิหาร  หติโลมินโลขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1218 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:37:05

ความคิดเห็นที่ 66 เจดีย์ชเวสิกอง  ( ที่สุดแห่งการบูชา )  มหาบูชาสถานแห่งพุกาม "ชเว" แปลว่าทอง "สิกอง"แปลว่าชัยชนะ "ชเวสิกอง" จึงหมายถึงทองแห่งชัยชนะ  ต้นแบบเจดีย์ก่อตันของพม่าและส่งอิทธิพลแก่เจดีย์อื่นๆ ในสมัยต่อมาตามตำนานกล่าวว่า  พระเจ้าอนิรุทธ์ได้ทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุ  จากนั้นก็อธิษฐานให้ช้างเผือกซึ่งอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากศรีลังกาออกไปเสี่ยงทาย  ในที่สุดช้างเผือกก็มาหยุด ณ ตรงจุดนี้  พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ชเวสิกองขึ้นที่นี่  แต่พระองค์ก็สวรรคตขณะสร้างเจดีย์ไปได้แค่ฐาน  ค่อยมาสำเร็จเมื่อปี ค.ศ. 1089 ในสมัยพระเจ้ากยันสิตถา  เจดีย์ชเวสิกองประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ 3 ส่วนคือพระเขี้ยวแก้ว  ที่กษัตริย์แห่งศรีลังกาได้นำมาถวาย, พระธาตุกระดูกไหล่  ที่นำมาจากเมืองศรีเกษตร และพระธาตุพระนลาฎ (หน้าผาก)  จึงเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:37:53

ความคิดเห็นที่ 67 องค์ระฆังตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น  ผูกลายประดับตรงกลางองค์ระฆัง  เหนือขึ้นไปคือลายลวดบัวซ้อนหลายชั้น  บนยอดมีฉัตรซึ่งประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า  ฐานของเจดีย์โดยรอบมีแผ่นดินเผาเคลือบเล่าเรื่องชาดก  แล้วเรียงรายด้วยปูรณฆฏะ ( ปู – ระ – นะ – คะ – ตะ )  ซึ่งหมายถึงหม้อน้ำแห่งความอุดมสมบรูณ์  คือสัญลักษณ์มงคลที่มีมาตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:38:27

ความคิดเห็นที่ 68 ความมหัศจรรย์ 9 ประการของเจดีย์ชเวสิกอง 1.  แม้ยอดเจดีย์จะอยู่สูงถึงเพียงนั้น  แต่ก็ไม่ได้เสริมเหล็ก 2.  แม้จะมีเงา  แต่เงาของเจดีย์ก็ไม่ออกนอกฐานสี่เหลี่ยม  หากวันใดที่เงาล้ำออกไปนั่นคือ  ลางร้าย 3.  แม้กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่ปิดไว้บนยอดเจดีย์จะปลิว  แต่ก็ไม่ปลิวพ้นฐานของเจดีย์ 4.  แม้มีผู้แสวงบุญมามากมายก็รองรับได้หมด   5.  แม้จะเช้าสักเพียงใดก็ยังพบข้าวสุกใส่ไว้ในบาตรเพื่อเป็นทานอยู่ก่อนเสมอ 6.  แม้จะตีกลองดังเพียงใด  ฝั่งตรงกันข้ามของเจดีย์ก็ไม่ได้ยินเสียง 7.  แม้เจดีย์จะตั้งอยู่บนพื้นราบ  แต่ก็เกิดภาพลวงตาว่าตั้งอยู่บนที่สูง 8.  แม้ฝนจะตกหนักเพียงใดน้ำก็ไม่ท่วมขัง 9.  แม้จะเป็นเวลาใดต้นพิกุลก็จะออกดอกงามทั้งปี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:39:12

ความคิดเห็นที่ 69 “ หลุมสมดุลเจดีย์ ”  เล่าขานว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุกาม  โดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงสร้างไว้เพื่อทอดพระเนตรเงาของเจดีย์ที่สะท้อนบนผิวน้ำ  โดยไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองให้เมื่อย  หลุมนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว  ช่างสมัยโบราณยังใช้ดูความสมดุล  ระวังไม่ให้เจดีย์เอียงในขณะก่อสร้าง  วิธีที่จะเห็นเงายอดเจดีย์ได้ชัดคือ  คุกเข่าให้ห่างจากหลุมสมดุลเจดีย์ประมาณ 1 ฟุต  ยืดตัวให้ตรง  จากนั้นก็เหลือบตาลงมองโดยไม่ต้องก้มหน้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:39:50

ความคิดเห็นที่ 70 ถ้ำกยันสิตถา – ถ้ำวิปัสสนา  พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงสร้างถ้ำกยันสิตถาหรือกยันสิตอูมิน  โดยเลียนแบบถ้ำธรรมชาติ  เพื่อให้พระสงฆ์ใช้เป็นที่วิปัสสนา  อาคารชั้นเดียวนี้มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ก่ออัฐจากพื้นถึงเพดานสูง 8.84 เมตร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:40:28

ความคิดเห็นที่ 71 ด้านในเป็นทางเดินแคบยาว 23.47 เมตร  มือสลัวเพราะมีเพียงแสงที่ส่องเข้ามาจากปากทางเข้า  จิตรกรรมฝาผนังในถ้ำวาดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 – 13  ส่วนภาพทหารและขุนนางมองโกลนั้นสันนิษฐานว่าวาดหลังจาก ค.ศ. 1287  ซึ่งเป็นช่วงที่มองโกลยึดพุกามได้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:41:02

ความคิดเห็นที่ 72 อุบาลี เต็ง  หรือ  อุบาลี เถียน  ( สุดยอกจิตรกรรมฝาผนังแห่พุกาม ) สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13  คำว่าอุบาลี  หมายถึงพระภิกษุในรัชกาลพระเจ้านันดวงมยา   ส่วนคำว่า "เต็ง" หรือ "เถียน"  นั้นแปลว่าอุโบสถ  สิม หรือสีมา  ชื่อนี้จึงหมายถึง สีมาแห่งพระอุบาลี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:41:51

ความคิดเห็นที่ 73 อุบาลี เต็ง  เป็นอาคารก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า  มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กประดับอยู่ตรงกลางหลังคา  ตามคติที่ว่าเจดีย์ซึ่งประดิษฐานพระเกศธาตุและพระเขี้ยวแก้วคือเจดีย์จุฬามณี  ตั้งอยู่เหนือเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย  ผนังและเพดานตกแต่งด้วยจิตรกรรมงดงาม  สันนิษฐานว่าวาดขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 17  โดยเล่าเรื่องพระอดีตพุทธเจ้า 27 องค์  รวมถึงพระโคตมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  ภายในห้ามถ่ายรูป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:42:19

ความคิดเห็นที่ 74 เจดีย์วิหารอนันท หรือวิหารอนันดา หรืออานันทวิหาร ( เจดีย์ที่งามที่สุด  สำคัญที่สุดในพุกาม ) สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1091  พงศาวดารเล่าว่า  มีพระสงฆ์อินเดีย 8 รูป  เดินทางมายังพุกามและได้กราบทูลพระเจ้ากยันสิตถาว่า  เคยปฏิบัติอยู่ที่วัดถ้ำนันทมูลในเทือกเขาหิมาลัย  พร้อมทั้งบันดาลนิมิตให้พระองค์เห็นวัดถ้ำแห่งนั้นซึ่งเป็นที่สถิตของเหล่าพระอรหันต์  และพระปัจเจกพุทธเจ้า  เมื่อนั้นพระเจ้ากยันสิตถาก็ทรงปีติสุขยิ่งนัก  จึงโปรดเกล้าฯ  ให้สร้างเจดีย์วิหารอนันทขึ้น  ซึ่งงดงามมหัศจรรย์จนพระองค์ถึงกับรับสั่งให้ประหารชีวิตช่างฝีมือทั้งหมด  เพราะทรงเกรงว่าจะมีการสร้างซ้ำ  ผังออกเป็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  มีมุขใหญ่ทั้ง 4 ด้าน  ทำให้แผนผังกลายเป็นรูปกากบาท จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:43:31

ความคิดเห็นที่ 75 ภายในวิหารมีระเบียงแคบ 2 ชั้นขนานกันไปโดยรอบ  ระเบียงทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินแคบๆ  แต่ละทิศมีทางเดินใหญ่ตัดผ่านระเบียงทั้งสองนี้  ผนังด้านข้างยังเจาะช่องเป็นจังหวะ  จากนั้นก็ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สลักจากศิลาทรายถึง 1,800 องค์  ตรงกลางก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมชนาดใหญ่มหึมา  เพื่อรับน้ำหนักของยอดเจดีย์ที่กดลงมาจากด้านบน  ซึ่งถือเป็นการคำนวณทางวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยม  และกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญทางโครงสร้างของสถาปัตยกรรมสมัยพุกาม  ทั้ง 4 ด้านของเสาสี่เหลี่ยมนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ 4 องค์  ซึ่งแกะสลักจากไม้สูงประมาณ 9.50 เมตร  พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ทางทิศใต้ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด  เพราะเมื่อมองจากบริเวณที่ต่างกันก็จะเห็นพระพักตร์ที่เปลี่ยนไป  ทั้งบึ้งและยิ้มแย้ม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:44:01

ความคิดเห็นที่ 76 ทิศตะวันตกได้แก่  พระโคตมพุทธเจ้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:44:41

ความคิดเห็นที่ 77 ทิศเหนือได้แก่  พระกกุสันธพุทธเจ้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:45:06

ความคิดเห็นที่ 78 ทิศใต้ได้แก่  พระกัสสปพุทธเจ้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:45:33

ความคิดเห็นที่ 79 ทิศตะวันออกได้แก่  พระโกนาคมพุทธเจ้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:45:56

ความคิดเห็นที่ 80 เจดีย์วิหารสัพพัญญู ( เจดีย์สูงที่สุดในพุกาม )  สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 11ในรัชกาลพระเจ้าอลองสิตถุ"สัพพัญญู"หมายถึงพระผู้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:46:35

ความคิดเห็นที่ 81 เจดีย์มีความสูง 61 เมตร  ออกแบบเป็น 2 ชั้น   ผนังโล่งว่าง  ไม่มีจิตรกรรมฝาผนัง  หน้าต่าง 2 แถวของแต่ละชั้นทำให้แสงส่องเข้าไปในเจดีย์จนสว่าง  ส่วนชั้นบนมีพระพุทธรูปทองประดิษฐานอยู่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:47:18

ความคิดเห็นที่ 82 เครื่องเขินที่พุกามจะต่างกับที่อื่นที่จะใช้หางม้าสานเพิ่มเข้าไปด้วย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:48:06

ความคิดเห็นที่ 83 วัดมนูหะ  พระเจ้ามนูหะในฐานะเชลยศึกทรงคับแค้นใจมาก  จึงนำอัญมณีออกขายเพื่อสร้างวัดมนูหะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:48:43

ความคิดเห็นที่ 84 จากนั้นก็สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยและพระพุทธรูปปางไสยาสน์  ให้มีขนาดใหญ่โตอึดอัดคับโบสถ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1059  พร้อมอธิษฐานว่า  ชาติหน้าฉันใดขออย่าเป็นผู้แพ้และถูกจองจำอีก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:49:33

ความคิดเห็นที่ 85 ประตูตะระบาร์  หรือสรภา  คือประตูกำแพงเมืองโบราณทางทิศตะวันออก  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 849  ส่วนประตูทางด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือถูกแม่น้ำอิรวดีซัดท่วมทำลายไปแล้ว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:50:45

ความคิดเห็นที่ 86 ด้านหน้าประตูมีนัต 2 ตน  เบื้องซ้ายคือพี่ชายชื่อมิงมหาคีรี  หรือเจ้าพ่อเขาใหญ่  เบื้องขวาคือน้องสาวชื่อชเวเมียดนา  หรือเจ้าแม่หน้าทอง  เชื่อว่านัตทั้งสองตนคอยปกปักรักษาเมืองพุกามให้รอดพ้นจากภยันตราย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:51:31

ความคิดเห็นที่ 87 เจดีย์วิหารธรรมยางยี  ( เจดีย์ใหญ่ที่สุดในพุกาม )  พระเจ้านรสุ  พระราชโอรสองค์รองของพระเตจ้าอลองสิตถุ  ได้นำผ้าคลุมเตียงอุดพระนาสิกและพระโอษฐ์พระราชบิดาจนสวรรคต  จากนั้นก็ขึ้นเป็นกษัตริย์  แต่ต่อมาถูกพระสงฆ์รูปหนึ่งทัดทานว่า  ต้องให้พระเชษฐาพระองค์ใหญ่ขึ้นครองราชย์แทน  พระองค์จึงจำต้องยินยอม  แต่ก็แอบใส่ยาพิษให้เสวยในงานฉลองจนพระเชษฐาสวรรคต  เมื่อขจัดเสี้ยนหนามหมดก็ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์อีกครั้ง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:52:27

ความคิดเห็นที่ 88 พระเจ้านรสุทรงสร้างเจดีย์นี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1167 เพื่อไถ่บาปที่พระองค์ทรงปลงพระชนน์พระราชบิดา  จากนั้นก็ขึ้นเป็นกษัตริย์  อีกทั้งยังหวังจะให้เป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกด้าน  หากคนงานเรียงอิฐไม่สนิทแล้วสอดเข็มเข้าไปได้ต้องถูตัดมือทิ้ง  เมื่อช่างทำไม่ถูกพระทัยก็โดนประหาร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:53:22

ความคิดเห็นที่ 89 พระมเหสียังรังเกียจไม่ยอมให้เข้าใกล้  จึงทรงฆ่าพระนางอีก  เมื่อเจ้าเมืองปัทไทกยะแห่งอินเดียรู้เรื่องที่พระธิดาถูกสังหารจึงส่งทูตทำทีเป็นถือสังข์เข้าถวายพระพร  ทันใดนั้นก็หยิบดาบออกฟันพระองค์ขาดเป็นท่อน  ในขณะนั้นเจดีย์วิหารธรรมยางยีก็ยังสร้างไม่เสร็จ  โดยพระองค์ครองราชย์ได้เพียง 3 ปี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:54:17

ความคิดเห็นที่ 90 เจดีย์ชเวสันดอว์  สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1057 เป็นที่ประดิษฐานพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้า  ซึ่งพระเจ้าอนิรุทธ์ทรงนำมาหลังจากรบชนะเมืองสะเทิม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:55:05

ความคิดเห็นที่ 91 องค์ระฆังตั้งอยู่บนฐานประทักษิณซ้อนลดหลั่นขึ้นไป 5  เจดีย์ชเวสันดอว์  เป็นเจดีย์ที่เหมาะขึ้นไปชมพระอาทิตย์อัสดง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:56:11

ความคิดเห็นที่ 92 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก  ด้านนอกมีบันได้ก่ออิฐแคบชันให้ขึ้นไปด้านบน  ปัจจุบันมีการสร้างราวไว้ให้จับ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:57:26