ความคิดเห็นที่ 1 สิคิริยา  สวรรค์ลอยฟ้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:54:37

ความคิดเห็นที่ 2 สิคิริยา  เมื่อพุทธปรินิพพานแล้ว 277 ปี  พระเจ้าเทวานัมปินติสสะ  มหาราชของลังกาเสด็จมาประพาสบริเวณนี้  และพระราชทานมงคลนามให้เขาลูกนี้ว่า “ สิงหศีรี ” หรือ “ ขุนเขาราชสีห์ ”  ต่อมาประมาณ พ.ศ. 440 – 454  พระเจ้าปุลหัตถะ  กษัตริย์องค์ที่ 20 ของลังกา  ทรงสร้างป้อมเชิงเทิน  พร้อมกับศาลาโรงธรรมสำหรับภาวนาไว้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:55:42

ความคิดเห็นที่ 3 สมัยพระเจ้าพาหิยะ  ราชโอรสพระเจ้าปุลหตถะ  ได้ทรงสร้างโรงทานสำหรับพระภิกษุสงฆ์ขึ้น  กระทั่งสมัยพระเจ้ากัสยปะ ( พ.ศ. 1020 )  ได้ทรงสร้างสิงหคีรีนี้  เป็นปัอมปราการและพระราชวัง  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว  สิคิริยาก็ได้โอนมาเป็นสังฆาราม  โดยมีพระเถระผู้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์  เป็นหัวหน้าสงฆ์อยู่ที่นี่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:56:18

ความคิดเห็นที่ 4 สิคิริยาสร้างโดยพระเจ้ากัสยปะ  ซึ่งได้สถาปนาตนเป็นกษัตริย์หลังทำการปิตุฆาตปลงพระชนม์พระเจ้าธาตุเสนะ ( พระราชบิดา ) ทรงได้ทำตามคำแนะนำของพราหมณ์มาฆะ  ที่แนะนำให้เจ้าชายกัสยปะสถาปนาพระองค์เป็นท้าวกุเวรุราชเทพ  ผู้มีอำนาจเหนือฟ้าดิน  เพื่อทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีกับพระราชบิดาเกิดความเชื่อถือ  และยังได้ผลิตเหรียญทองขึ้นเพื่อการพาณิชย์  โดยใช้พระนามของท้าวกุเวรุราชเทพ  และกำหนดค่าเหรียญทองนี้  จนเป็นที่ยอมรับของพ่อค้า จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:56:48

ความคิดเห็นที่ 5 ด้วยความดังกล่าวพระเจ้ากัสยปะสร้างปราสาทขึ้นบนยอดเขาอักษรพรรพต  ซึ่งใช้เวลาก่อสร้าง 7 ปี  ใช้เงินประมาณ 70 ล้านเหรียญทอง  จึงเสร็จสมบูรณ์  พระองค์เสวยสุขได้เพียง 18 ปี ( รวมระยะเวลาการสร้างสิคิริยาด้วย )  เมื่อเจ้าชายโมคคัลลานะผู้อนุชาเสด็จกลับมาจากอินเดียพร้อมทหารชาวทมิฬปัณฑยะเป็นจำนวนมาก  หลังการสู้รบระหว่างสองฝ่ายผลปรากฏว่าพระเจ้ากัสยปะถูกเจ้าชายโมคคัลลานะปลงพระชนม์  หลังจากนั้นพระเจ้าโมคคัลลานะได้มอบถวายสิงหคีรีแด่พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:58:02

ความคิดเห็นที่ 6 ภายในสิคิริยาประกอบไปด้วยอุทยาน 4 ชั้น  ชั้นหนึ่งเรียกว่าอุทยานวารี  มีน้ำพุไหลเวียนตลอดปี  พร้อมทั้งบ่อน้ำสำหรับโสรจสรงองค์พระเจ้าแผ่นดิน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:58:28

ความคิดเห็นที่ 7 ชั้นสองเรียกว่าอุทยานหิน  ชั้นสามเรียกว่าอุทยานระเบียง  และชั้นสี่เป็นพระราชวังบนสิงหคีรี  บันไดตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นบนประมาณ 1,200 ขั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:59:06

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพเขียนที่เห็นถูกลบทิ้งโดยพระสงฆ์ที่มานั่งบำเพ็ญ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 18:59:36

ความคิดเห็นที่ 9 ประตูทางเข้าสู่สิคิริยา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:00:07

ความคิดเห็นที่ 10 เส้นทางเรียบหน้าผา  เพื่อไปชมภาพเฟรสโก้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:00:34

ความคิดเห็นที่ 11 ปัจจุบันมีบันได้ 2 ทาง  มีทางขึ้นและลงแยกจากกัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:00:59

ความคิดเห็นที่ 12 เสน่ห์ของสิคิริยาที่โดดเด่นคือ  ภาพเขียนนางอัปสรสวรรค์บนหน้าผานี้  เพราะเป็นงานศิลปะชั้นเลิศของฝีมือจิตรกรชั้นเอกในสมัยโบราณ  อายุประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:01:26

ความคิดเห็นที่ 13 ในด้านเทคนิคและวิธีการเขียนภาพเรียกว่า “ เฟรสโก ( Fersco )”  โดยการเขียนสีปูนเปียก  คือการนำเอาวัสดุธรรมชาติมาทำเป็นสีผสมด้วยยางไม้บางชนิด  วาดลงไปบนหน้าผาที่ฉาบด้วยสีปูนเปียก  จิตรกรต้องมีความแม่นยำในการตวัดพู่กันและผสมสีให้ผสมกลมกลืนพอเหมาะ  พอสมกับระยะเวลาที่หน้าผานั้นจะแห้งพร้อมกันกับสีที่วาดเขียนลงไป จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:01:58

ความคิดเห็นที่ 14 นี่เป็นความพิเศษสุดของการเขียนภาพแบบนี้  และเป็นเทคนิคโบราณซึ่งจิตรกรปัจจุบันทำได้ไม่เหมือนคนโบราณ  และภาพก็จะติดทนนานอายุเป็นพัน ๆ ปี  ภาพเขียนสีปูนเปียกที่หน้าผาสูงชันกว่า 100 เมตรหนือระดับน้ำทะเล  มีความยาวถึง 140 เมตร  และมีความสูงของพื้นที่การเขียนภาพนั้นประมาณ 40 เมตร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:02:26

ความคิดเห็นที่ 15 นายจอนห์  สติล  นักสำรวจผู้ที่มาศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1907 – 1915  ได้ให้ทัศนะว่า  ภาพเขียนที่หน้าผาแห่งภูเขาสีหบรรพตนี้  เป็นภาพเขียนสีปูนเปียกที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เท่าที่เคยศึกษามา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:02:51

ความคิดเห็นที่ 16 นักประวัติศาสตร์หลายท่านตีความว่าภาพหญิงสาวที่เห็นเป็นภาพของนางฟ้า  หรือนางอัปสรสวรรค์  เพราะว่าผู้ที่สร้างพระราชวังนี้ต้องการที่จะชะลอสวรรค์มาไว้บนพื้นพิภพ  ดังนั้นจึงต้องมีนางฟ้า  นางสวรรค์มาอวยพร  ด้วยการโปรยดอกไม้และถือเครื่องบรรณาการมาถวายเจ้าแห่งสวรรค์คือ  ลัทธิเทวราชที่พระเจ้ากัสยปะสถาปนาขึ้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:03:21

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนอีกนัยหนึ่งที่นักปราชญ์ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ได้แสดงเอาไว้คือ  รูปเขียนเหล่านี้เป็นภาพวิถีชีวิตของนางสนมกำนันในของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง  เพราะดูจากการแต่งกายของนางกษัตริย์ในสมัยโบราณจะปล่อยหน้าอก  ไม่สวมเสื้อผ้า  เพราะถือ ว่าเป็นธรรมชาติของสตรีที่มีเรือนร่างสวยงาม  สิ่งที่จะอวดโฉมโนมพรรณก็คือปทุมถันที่สวยงามที่สุดในเรือนกายของเธอนั่นเอง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:04:09

ความคิดเห็นที่ 18 ส่วนภาพที่อยู่ด้านทิศตะวันตก  ถูกแดด  ลม  ฝน  ทำให้ลบเลือนหายไปหมด  ตามประวัติบอกว่า  ภาพที่อยู่บนหน้าผาเมื่อถูกแสงแดดตกกระทบก็จะสะท้อนลงไปกระทบที่กำแพงหินฉาบปูนขาวขัดเงาเหมือนกระจก  ที่เรียกว่า Mirror Wall จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:04:39

ความคิดเห็นที่ 19 จะมีทางเดินทอดยาวไปตามฝาผนังที่เป็นเงาเหมือนกระจกนี้  เพื่อให้ชมภาพเขียนที่สวยงามของนางอัปสรสวรรค์  และภาพอื่นๆ  น่าจะเรียกว่าเป็นห้องศิลปะของพระราชาที่ใหญ่และอลังการที่สุดแห่งหนึ่ง  นับว่าเป็นแนวความคิดที่แปลกในงานศิลปะเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:05:11

ความคิดเห็นที่ 20 เนื่องจากวันที่เราไปก่อนหน้านี้ได้มีนักท่องเที่ยวถูกตัวต่อต่อยอยู่บนลานสิงหบาท  ทางเจ้าหน้าที่เลยไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเพราะกลัวเกิดอันตราย  แต่เราก็ยืนขอจนเจ้าหน้าที่ใจอ่อนสรุปเลยขึ้นไปได้  แต่เป็นเราคนเดียวและขึ้นได้แค่ลานสิงหบาทเท่านั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:05:45

ความคิดเห็นที่ 21 ลานสิงหบาทแห่งนี้สร้างไว้เป็นลานที่พักของบรรดาข้าหลวง  หรือ  ข้ารับใช้ใกล้ชิดของพระเจ้ากัสยปะและมเหสี  ยามค่ำคืนจะเสด็จขึ้นไปประทับบนปราสาทตามลำพัง  ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปด้วย  จะต้องรอรับใช้อยู่ลานสิงหบาทนี้เท่านั้น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:06:28

ความคิดเห็นที่ 22 ประตูงูจงอาง  คือประตูที่มีรูปสลักหินเหมือนงูจงอางขนาดยักษ์  กำลังแผ่แม่เบี้ยอยู่  เป็นการปกปักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้  เมื่อพระเจ้ากัสยปะสิ้นพระชนม์แล้ว  พระเจ้าโมคคัลลาน์ก็ได้ยกภูเขาสิงหบรรพตนี้เป็นสังฆารามในยุคต่อมา  และเมื่อศาสนาในศรีลังกาเสื่อมลง  สิคิริยามหาวิหารก็ถูกทอดทิ้งจนปล่อยให้ต้นไม้ขึ้นคลุมไปหมด  เป็นที่อาศัยของสิงห์สาราสัตว์นานาชนิด จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:06:56

ความคิดเห็นที่ 23 ระหว่างเดินทางไปดัมบูลล่าเราแวะร้านแกะสลักไม้  คนพื้นเมืองที่นี้สามารถนำแก่นไม้ ( ใจกลางของไม้ ) นำมาผสมกับน้ำร้อน , น้ำมะนาว และอื่นๆ  ทำให้กลายเป็นสีแตกต่างกัน  แล้วนำสีที่ได้นี้มาใช้งานเป็นสีธรรมชาติที่เกิดจากไม้ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:07:39

ความคิดเห็นที่ 24 แวะเติมพลังที่ร้านน้ำปั่น  ใช้ผลไม้สดปั่นผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยอร่อยมากคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:08:18

ความคิดเห็นที่ 25 รังคิริดัมบุลลราชมหาวิหาร  แปลว่า  วัดภูเขาทองแห่งเมืองดัมบุลละ  สันนิษฐานกันว่าเป็นวัดป่าอรัญวาสี  เกิดมีภายหลังพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่เกาะลังกาแล้วไม่นาน  อารามแห่งนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย  เมื่อพระองค์เสด็จหนีราชภัยมาอาศัยวัดถ้ำแห่งนี้ระยะหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 55 19:09:12 จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:08:48

ความคิดเห็นที่ 26 ภายหลังต่อมาครั้นปราบพวกทมิฬขึ้นครองราชย์อีกครั้ง  จึงโปรดให้สลักพระพุทธปฏิมาอีก  ทั้งวาดภาพจิตรกรรมตามผนังถ้ำ  หลายศตวรรษต่อมาพระเจ้านิสสังกมัลละกษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ  โปรดให้บูรณะซ่อมแซมวัดครั้งใหญ่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:09:53

ความคิดเห็นที่ 27 ทั้งวาดภาพและปั้นพระพุทธปฏิมาจำนวนมาก  สุดท้ายพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ  กษัตริย์แห่งอาณาจักแคนดีโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์อีกรอบ  ประกอบได้ด้วยทั้งหมด 5 ถ้ำ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:10:31

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้ำแรก  ชื่อว่า “ เทวราชวิหาร ”  ภายในประดิษฐานพระพุทธปฏิมาปางไสยาสน์ขนาดใหญ่  สันนิษฐานว่าสร้างสมัยพระเจ้านิสสังกมัลละ  กษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:10:57

ความคิดเห็นที่ 29 เหตุเพราะลักษณะคลัายกับพระนอนวัดกัลวิหาร  ด้านพระบาทเป็นรูปปั้นพระอานนท์เถระ  ด้านบนพระเศียรเป็นซุ้มของเทพวิษณุ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:11:22

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนภายนอกเป็นอาคารขนาดย่อมมีเทพวิษณุสถิตภายใน  ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าเทวราชวิหาร จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:13:09

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้ำถัดมาเรียกว่า “ มหาราชวิหาร ”  เป็นถ้ำใหญ่ที่สุด  ประกอบด้วยงานศิลป์ผสมผสานกันระหว่างยุดโปโฬนนารุวะกับยุคแคนดี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:13:34

ความคิดเห็นที่ 32 มีพระพุทธปฏิมาน้อยใหญ่หลายปางรวม 60 องค์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:13:58

ความคิดเห็นที่ 33 ด้านหลังพระประธานมีรูปปั้นเทพเจ้าหลายองค์  เช่น  พระโพธิสัตว์นัฎฐา , พระศรีอริยเมตไตยโพธิสัตว์ , เทพวิษณุ , เทพอุปุลวัน , เทพวิภีศณะ  และเทพสามัน ( เทวดาผู้ปกปักรักษาของชาวสิงหล ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:14:26

ความคิดเห็นที่ 34 ส่วนรูปปั้นของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยและพระเจ้านิสสังกมัลละ  อยู่ด้านหัวมุมติดกำแพง  นักวิชาการต่างพากันยกย่องถ้ำแห่งนี้ว่าเป็นงานชิ้นเอกด้านสถาปัตยกรรม จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:14:54

ความคิดเห็นที่ 35 อีกทั้งภาพจิตกรรมฝาผนัง  เช่น  ภาพพุทธประวัติ  ตอนที่พระองค์ตรัสรู้  ภาพเหตุการณ์ตอนพระเจ้าวิชัย  เสด็จขึ้นเกาะลังกา  และการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ  การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์  และภาพการสู้รบต่อต้านผู้รุกรานประเทศ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:15:28

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนรอยแยกของหินเพดานถ้าอันเกิดจาการ  เคลื่อนตัวของเปลือกโลก  ทำให้มีน้ำขังและไหลหยดลงสู่พื้นถ้ำ  ภายในมีโอ่งตั้งรองรับน้ำที่หยดลงมาไม่ขาดสาย  ทำให้น้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์  ได้นำไปใช้ในการประกอบพิธีสำคัญๆ ทางศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:15:55

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้ำที่สามเรียกว่า “ อลุตวิหาร ”  มีพระพุทธรูปปางประทานอภัย  ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระยืนเอาว์กะนะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:16:20

ความคิดเห็นที่ 38 สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะสมัยแคนดี  นอกจากนั้นยังมีพระปางประทับยืนและประทับนั่งอีก 50 องค์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:16:46

ความคิดเห็นที่ 39 ตามฝาผนังถ้ำเป็นภาพวาดบรรยายเกี่ยวกับพุทธประวัติ  ชาดก  และประวัติศาสตร์ของลังกา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:17:15

ความคิดเห็นที่ 40 บูรณะครั้งสุดท้ายสมัยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะแห่งอาณาจักรแคนดี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:17:42

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้ำที่สี่ชื่อว่า “ ปัจฉิมวิหาร ”  เป็นถ้ำบูรณะขึ้นมาใหม่สมัยอาณาจักรแคนดี  สังเกตได้จากพระพุทธปฏิมาและภาพจิตรกรรมฝาผนังบ่งชี้ว่าเป็นงานศิลป์สมัยแคนดีชัดเจน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:18:11

ความคิดเห็นที่ 42 เจดีย์ตรงกลางนามว่า “ โสมาวตีเจดีย์ ”  หลักฐานบอกว่า  พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยสร้างถวายเป็นอนุสรณ์แด่ความกล้าหาญของพระมเหสีนามดังกล่าว จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:18:43

ความคิดเห็นที่ 43 เจดีย์เดิมถูกคนบาปทุบทำลายเพื่อหาของมีค่า  ส่วนของใหม่สร้างขึ้นสมัยปัจจุบัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:19:38

ความคิดเห็นที่ 44 ตามไปเที่ยวต่อคร๊าบบบ จากคุณ : numsiam เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:19:39

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้ำที่ 5 ถ้ำสุดท้ายชื่อว่า “ เทวนาอลุตวิหาร ”  เป็นถ้ำขนาดเล็กที่สุด  บูรณะขึ้นใหม่สมัยปัจจุบันและเปิดให้เข้าชมได้ไม่นาน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:20:19

ความคิดเห็นที่ 46 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์  สลักจากหินและพระพุทธรูปน้อยใหญ่ 11 องค์  นอกจากนั้นเป็นรูปปั้นเทพวิษณุและเทพนาถะ  ถือว่าเป็นศิลปะสมัยแคนดี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:21:10

ความคิดเห็นที่ 47 ออกจากดัมบูลล่าเราแวะสวนสมุนไพร  ซึ่งมีครีมขจัดขนที่ขึ้นชื่อ  เลยหาหนูทดลองพอเดินครบรอบแล้วเช็ดออก  ปรากฏว่าขนหลุดออกเองเลย  คนที่สาธิตบอกว่าถ้าทำติดต่อกันประมาณ 12 ครั้ง  ขนจะไม่ขึ้นอีกเลย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:23:47

ความคิดเห็นที่ 48 เสร็จจากสวนสมุนไพร  เรารีบเดินทางต่อเพื่อไปให้ทันชมการแสดงพื้นเมือง  มีทั้งการแสดงระบำและการแสดงเกี่ยวกับไฟ  ดูจบเราก็ไปวัดศรีตาลดา  มาลิกาวาต่อ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:24:46

ความคิดเห็นที่ 49 วันที่เราไปเป็นช่วงเทศกาลวิสาขบูชาของชาวศรีลังกา  มีการจัดงานแห่พระธาตุเขี้ยวแก้ว  และเปิดให้ได้สักการะพระธาตุเขี้ยวแก้วจนดึก จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:26:10

ความคิดเห็นที่ 50 ศรีตาลดา  มาลิกาวา  หรือ  วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว  เป็นวัดซึ่งอยู่ในพระราชวังหลวง  ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือมาก  ในสมัยโบราณพระธาตุเขี้ยวแก้วมีความสำคัญเกี่ยวกับการปกครอง  ประเทศของเจ้าเมือง  หรือ  กษัตริย์ผู้เป็นพระราชาที่ครอบครองจึงจะเป็นกษัตริย์ที่สมบูรณ์ได้  อีกทั้งเป็นที่หมายปองของเจ้าเมืองอื่น ๆ เพื่อแสดงพระราชอำนาจ  วาสนา  และบารมี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:27:23

ความคิดเห็นที่ 51 พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่ดูแลพระธาตุเขี้ยวแก้วมีสองนิกายคือ  มัลลวัตตะ  และ  อัสสกิริยา  ทำหน้าที่สวดมนต์ปฏิบัติต่อพระธาตุเขี้ยวแก้วทุกวัน  ถวายเครื่องสักการะบูชาในหอพระธาตุเขี้ยวแก้ว  แต่เปลี่ยนกันทำหน้าที่ปีละนิกาย  พระสงฆ์สวดมนต์วันละ 3 ครั้ง  เช่นในตอนเช้ามือ  ตอนกลางวัน  และตอนเย็น จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:28:20

ความคิดเห็นที่ 52 พิธีสรงน้ำพระธาตุมีทุกวันพุธ  ด้วยน้ำอบน้ำหอมซึ่งเรียกว่า “ น้ำมนต์ ”  น้ำมนต์นี้มีความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้  และปะพรมให้แก่ประชาชนที่อยู่ร่วมพิธี  เป็นธรรมเนียมของชาวสิงหลที่มีความเคารพนับถือในองค์พระธาตุเขี้ยวแก้ว  จะเดินทางมาปฏิบัติถวายความเคารพสักการะด้วย  ดอกไม้หอมสีขาว  และเครื่องบูชาอื่นๆ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:29:07

ความคิดเห็นที่ 53 ก่อนที่พระธาตุเขี้ยวแก้วจะอยู่ที่ศรีลังกาได้อยู่ที่ประเทศอินเดียประมาณ 800 ปี  สาเหตุที่ถูกอัญเชิญมาที่ศรีลังกา  ในช่วงเวลานั้นประเทศที่มีชายแดนติดกับแคว้นกาลิงคะพยายามทำสงครามเพื่อแย่งชิงพระธาตุเขี้ยวแก้ว  และในขณะนั้นพระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนลังกาแล้ว  อีกทั้งกษัตริย์ลังกามีความใกล้ชิดกับกษัตริย์อินเดีย  ด้วยเหตุนี้ในขณะที่กษัตริย์กาลิงคะเกือบจะแพ้สงคราม  พระองค์จึงได้ส่งพระธาตุเขี้ยวแก้วไปถวายแก่กษัตริย์ศรีลังกาซึ่งเป็นสหาย จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:30:27

ความคิดเห็นที่ 54 พระองค์จึงให้พระเจ้าทันตกุมาร  และพระนางเหมมาลาแปลงตัวเป็นฤาษี  แล้วนำพระธาตุเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ในมวยผมเพื่อมิให้คนเห็น  นำออกจากอินเดียไปสู่ศรีลังกา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:31:24

ความคิดเห็นที่ 55 เจ้าชายทันตกุมาร  และเจ้าหญิงเหมมาลาได้เดินทางโดยเรือจากท่าเรือโบราณชื่อ  ตัมระลิปติ  ไปยังท่าเรือลังกาปัตนะ  ของแคว้นตรินโคมมะลี  ของเมืองลังกา  ในขณะเดินทางพระธาตุเขี้ยวแก้วได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง  ในที่สุดพระธาตุเขี้ยวแก้วได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงอนุราธปุระ  ตามคัมภีร์  ตาลดา  สิริตะ  ของสิงหล  กล่าวว่า  พระธาตุเขี้ยวแก้วได้ถูกเก็บไว้ที่เมฆคีริวิหาร  ในพระราชอุทยานชื่อมหาเมฆวัน จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:32:07

ความคิดเห็นที่ 56 ในขณะที่พระธาตุเขี้ยวแก้วเดินทางมาถึงเกาะลังกานั้น  พระเจ้ามหาเสนะ  ซึ่งเป็นพระสหายของพระเจ้าคุหะสีวะ ( กษัตริย์ผู้ครองอินเดีย )  ได้สวรรคต  และพระราชโอรส  พระนามว่า  พระเจ้ากีรติศรีเมฆวัน  ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ได้ขึ้นครองราชย์  พระเจ้ากีรติศรีเมฆวันได้นำเอาพระธาตุเขี้ยวแก้วประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ด้วยพระองค์เอง  เพื่อแสดงความเคารพอย่างสูง จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:32:40

ความคิดเห็นที่ 57 ตามคัมภีร์มหาวงศ์  กล่าวว่า  พระเจ้ากีรติศรีเมฆวัน  ได้ประดิษฐานพระธาตุเขี้ยวแก้วด้วยเครื่องราชกกุฏภัณฑ์  อันเป็นเครื่องแสดงยศของพระราชา  ไว้ที่ธัมมจักกะเคหะ  ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะในพุทธศตวรรษที่ 3  นักโบราณคดีได้ตั้งข้อสังเกตว่า  ตึกนี้อยู่ข้าง ๆ กับโรงทานถวายอาหารพระที่ปรากฎชื่อว่า  มหาปาลี จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:33:10

ความคิดเห็นที่ 58 พิธีถวายการบูชาสักการะพระธาตุเขี้ยวแก้วจะมีทุก ๆ วันเพ็ญ 15 ค่ำ  นอกจากถวายสักการะในแต่ละวัน  แต่ละอาทิตย์  หรือแต่ละเดือนแล้ว  ยังมีพิธีพิเศษอีก 4 ครั้งในแต่ละปี  ที่เรียกว่า  อลุธ  สหาล  มังคลายา , อวุรุดู  มังคลายา , เอสลา  มังคลายา  และ  คาร์ติกะ  มังคลายา  ในบรรดาวันเหล่านี้  ที่สำคัญคือ  เอสลา  มังคลายา จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:33:34

ความคิดเห็นที่ 59 ทุกเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมของทุกปี  ( พิธีเอสลา  มังคลายา )  จะมีพิธีแห่แหนพระธาตุเขี้ยวแก้วพร้อมทั้งเหล่าเทพเจ้าผู้อารักขาเกาะลังกา  ถือว่าเป็นงานยิ่งใหญ่ที่สุดบนเกาะลังกา  ทั้งนี้เพราะชาวศรีลังกาเชื่อถือกันว่า  หากทำพิธีแห่พระธาตุเขี้ยวแก้วเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด  ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล  ข้าวปลาอาหารจะอุดมสมบูรณ์ไม่อัตคัดขัดสน  จนชาวศรีลังกาขนานนาม  “ พระธาตุเขี้ยวแก้วว่าพระผู้ประทานฝน ” จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:34:04

ความคิดเห็นที่ 60 พระธาตุเขี้ยวแก้วจึงมิใช่เป็นเพียงศูนย์กลางแห่ศรัทธาของชาวลังกาเท่านั้น  หากเป็นบุณยสถานศักดิ์สิทธิ์เสมือนสังเวชนียสถานดินแดนแห่งอินเดียประเทศ  นักจาริกแสวงบุญจากหลากหลายประเทศต่างเดินทางมุ่งหน้ามาเพื่อสักการบูชาพระธาตุเขี้ยวแก้วครั้งหนึ่งในชีวิต จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:34:34

ความคิดเห็นที่ 61 แม้ชาวศรีลังกาเองต่างเชื่อกันว่า  ทุกปีหากมีโอกาสจำต้องเดินทางมาสักการะพระธาตุเขี้ยวแก้วให้ได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง  เพราะเชื่อมั่นกันว่าพระธาตุเขี้ยวแก้วเป็นเสมือนพระพุทธเจ้าผู้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ การเข้าสักการะแต่ละครั้งเปรียบเสมือนการได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:35:17

ความคิดเห็นที่ 62 วันนี้พาลูกทัวร์ตะลอนกันจนดึก  หลังจากสักการะพระธาตุเขี้ยวแก้วเสร็จถึงค่อยกินข้าวเย็น  กว่าจะเข้าที่พักก็ดึกมากๆอีกแล้ว  ยังดีที่พรุ่งนี้โปรแกรมสบายๆ  เพราะต้องให้ร่างกายพักเพื่อการเดินทางสู่เขาศิริปาทะจะได้ไหว ( อันนี้โหดมาก ๆ คะ ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:36:47

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณคุณ numsiam ที่เข้ามาชมคะ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 19:38:22

ความคิดเห็นที่ 64 ตามไปอิ่มบุญครับ จากคุณ : net อนุชิต เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 20:22:39

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณสำหรับรีวิวครับบ........ จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 20:48:33

ความคิดเห็นที่ 66 ตามมาเที่ยวตอนที่ ๓ ค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ^^ จากคุณ : เด็กดอย เจ้าแม่ปาเงิน เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 21:01:58

ความคิดเห็นที่ 67 ขอตามมาชม และขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ จากคุณ : Sweety-around-the-world เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 55 22:41:04

ความคิดเห็นที่ 68 สวย  ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 12:50:02

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชมคะ  ตอนหน้าโปรดอย่าพลาดเพราะศิริปาทะรอเราอยู่ จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 20:35:22

ความคิดเห็นที่ 70 (CR) ตะลอนทัวร์พาตีลังกา ณ ศรีลังกา ตอนที่ 4 นมัสการรอยพระบาทบนยอดเขาศิริปาทะ (ตอนจบ) จากคุณ : อมรปุระ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 20:42:12