ความคิดเห็นที่ 1 น่าเสียดายนะคะ กระทรวงวัฒนธรรม น่าจะทำอะไรสักอย่าง จากคุณ : winnie20f เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 19:23:25

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะอัญเชิญกลับประเทศไทยนะครับ จากคุณ : กิ่งก้ามปู เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 20:12:03

ความคิดเห็นที่ 3 เจดีย์ตั้งอยู่ในประเทศของเขา...เขาจะทำอะไรก็ได้... ถ้าประเทศไทย...เสียดาย..อยากเก็บไว้..ก็ขอร้องเขาได้...เรื่องจิ๊บ ๆ เรื่องใหญ่กว่านี้..เป็น 10 เท่า...ยังขอได้นี่นา... จากคุณ : แก้วบางจาก เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 21:04:48

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้ามีพระอัฐิด้วย น่าจะขอกลับมานะ จากคุณ : tee-aun เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 21:46:05

ความคิดเห็นที่ 5 ประวัติศาสตร์ ก็คือประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ บางครั้งการไปแตะต้องประวัติศาสตร์ อาจนำมาซึ่งความบาดหมาง ร้าวฉาน ซึ่งควรจะจบลงไป ปล่อยให้เป็นประวัติศาสตร์ไปตามแบบที่มันควรจะเป็น คนเราบางครั้ง บางคน sensitive ไม่เท่ากัน ทั้งฝ่ายไทย และพม่า(ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่ สปป. ลาว สร้าง อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ริมน้ำโขง) การจะทำอะไรลงไป มีทั้งผลดีผลเสีย ต้องเห็นใจ ซึ่งทางการไทยก็คงคิดดีแล้ว กระมังครับ(กรณีถ้าทางการไทย ไม่ทำอะไรเลย) ที่พูดมา ไม่ได้ต่อต้านหรือสนับสนุน แต่อยากให้เห็นใจ คนที่รับภาระดุแลเรื่องนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 55 22:28:09 จากคุณ : SC25_KU50 เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 22:25:58

ความคิดเห็นที่ 6 รัฐบาลไทยจะอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำเรื่องขอร้องไม่ให้เขารื้อ ก็อาจทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต ทำเป็นนิ่งเฉยซะก็อาจถูกคนไทยบางกลุ่มด่า แต่คาดว่ารัฐบาลไทยน่าจะเลือกทำอย่างหลัง ซึ่งง่ายกว่าและไม่เหนื่อยด้วย จากคุณ : mamao เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:15:38

ความคิดเห็นที่ 7 ช่วยกันโหวตด้วยครับ กระทู้ดีๆ เช่นนี้ จากคุณ : mamao เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:16:33

ความคิดเห็นที่ 8 เจดีย์องค์นี้ไม่ใช่เจดีย์พระเจ้าอุทุมพรครับ!!!! เรื่องเจดีย์องค์นี้นักวิชาการพม่า "มโน" (สร้างจินตนาการ) เพื่อหวังผลให้คนไทยไปเที่ยวดูครับ ไม่มีหลักฐานอะไรรองรับเลยว่าเป็นเจดีย์ของอดีตพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาพระองค์นั้น!!! 1. รูปทรงสัณฐานไม่ใช่ศิลปะไทยเลยครับ จะอ้างว่าช่างที่สร้างไม่ใช่คนไทยเลยทำเจดีย์ไทยไม่เป็น อันนี้เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะกองทัพพม่ากวาดเชลยศึกอยุธยาไปเยอะมากรวมถึงช่างฝีมือแขนงต่างๆ เป็นไปไม่ได้ที่ช่างอยุธยาแท้จะสร้างเจดีย์รูปทรงพิลึกแบบนี้ ช่างศิลป์อยุธยาโดนกวาดมาอยู่พม่าจริงๆครับ พื้นที่กรุงอังวะมก็เคยไป จำได้ว่ามีวัดแห่งนึงชื่อว่า Bagaya Kyaung มีรูปครุฑแกะสลักฝีมือช่างไทยครับ แถมมีเพดานสลักรูปดาวแบบเดียวกับวัดเเถวเมืองเพชรบุรีไม่มีผิด ดังนั้นมีช่างไทยไปอยู่พม่าแน่นอน ตอนที่พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตถ้าจะสร้างเจดีย์ก็คงต้องใช้ช่างไทยที่ถูกกวาดไปเป็นคนสร้างครับ รูปทรงไม่ใช่แบบนี้แน่ 2. ในพระราชพงศาวดารฝ่ายพม่าบอกเองว่า ให้เชลยชาวไทยไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งเมืองสะแคง (Sagaing) ครับ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่กรุงอังวะครับ อันนี้สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพท่านก็รับเองว่าเคยไปหาเจดีย์พระเจ้าอุทุมพรผิดที่ ท่านไปถามที่ฝั่งอังวะขอมรปุระนี่แหละเเล้วไม่พบ จนมาตรวจข้อมูลพบว่าควรไปดูฝั่งเมืองสะเเคงที่ชุมชนชาวอยุธยาถูกกวาดไปอยู่จึงจะถูกครับ ประเพณีที่ไม่ให้คนต่างชาติหรือเชลยศึกอยู่ในกำแพงเมืองหลวง ไทยกับพม่าถือเหมือนกันครับ อย่างชุมชนมอญของไทยจะอยู่สามโคกเกาะเกร็ดและพระประแดง ชุมชนชาวญวนของไทยอยู่ที่วัดราชาธิวาสสามเสน ซึ่งอยู่นอกกำแพงพระนครกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้นครับ พม่าก็เช่นกันครับ จัดให้ชุมชนชาวอยุธยาไปอยู่ฝั่งเมืองสะเเคงครับไม่ได้อยู่ในกรุงอังวะ เหมือนพวกเชลยเชียงใหม่ก็อยู่ฝั่งนั้น ดังนั้น ผมไม่เชื่อว่านี่คือเจดีย์พระเจ้าอุทุมพรครับ...จะทุบก็ทุบไป คนไทยคนไหนเสียใจก็สุดแล้วแต่วิจารณญานครับ แต่ยืนยันแน่ตามข้อมูลที่หักล้างตามนี้ครับ ถ้าคนไทยคนไหนมีวิจารณญานซักนิด ไปลองสำรวจฝั่งเมืองสะเเคง (Sagiang) ครับมีเจดีย์เป็นพันๆองค์ ต้องมีซักที่ที่เป็นของพระเจ้าอุทุมพรอยู่แน่ เบาะแสที่นักวิชาการไทยเจอแล้วก็คือ มีวัดแห่งนึงที่ฝั่งเมืองสะเเคงมีภาพวาดจิตรกรรมฝีมือช่างไทยครับ ลักษณะการวาดต่างจากคนพม่าวาด ผลงานช่างอยุธยาแน่ๆ อย่าไปเชื่อเรื่องเจดีย์ประหลาดที่พม่าหลอกลวงที่อังวะครับ...ร่องรอยบรรพชนพี่น้องสยามนั้นอยู่ที่ฝั่ง Sagiang ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:34:51

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้รูปจากบล็อกคุณปลาทองสยองเมืองครับ เป็นเพื่อนรุ่นน้องของผมเอง เขาเคยไปตามรอยชาวอยุธยาที่ Sagaing จริงๆครับ ถ่ายรูปจิตรกรรมฝาผนังที่นั่นมาฝาก เห็นยอดพระปรางค์มั้งครับ มีนภศูลแฉกแบบยอดพระปรางค์วัดอรุณ นี่แหละช่างไทยชัดๆครับไม่ใช่ช่างพม่าครับ ผมยังคิดว่าถ้าช่างเชลยไทยในพม่ายังวาดรูปพระปรางค์ได้ ทำไมจะสร้างพระปรางค์แบบไทยบรรจุพระอัฐิพระเจ้าอุทุมพรไม่ได้ล่ะครับ ไม่ใช่เจดีย์ประหลาดแบบที่ชาวพม่ามโนมาหลอกคนไทยแน่ๆ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:43:18

ความคิดเห็นที่ 10 รูปนี้รูปปราสาททรงไทยแบบอยุธยาแท้ๆ วัดมหาเตงดอจีในเมืองสะแคง (บางคนอ่านว่าสะกาย) ชุมชาวเชลยอยุธยาอยู่ที่นี่ครับ!!! จากบล็อกคุณปลาทองสยองเมืองเช่นกันครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:45:18

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆแล้วนักวิชาการไทยควรจัดทีมงานวิจัย ลงพื้นที่เมือง Sagaing จึงจะถูกครับ สำรวจข้อมูลร่องรอยชุมชมชาวอยุธยาเดิมอย่างเป็นระบบ อาจจะประสานกับทางพม่าด้วยก็ได้ ไหนๆก็เจอเบาะแสผลงานช่างศิลป์ไทยที่นี่แล้ว จะหาร่องรอยชาวไทยหรือแม้แต่พระเจ้าอุทุมพรเองก็น่าจะใกล้เคียงความจริงมากขึ้นครับ แล้วเลิกเชื่อเรื่องเจดีย์ประหลาดที่อังวะเสียทีครับ นักวิชาการฝ่ายพม่าคงเย้ยหยันเราว่าขนาดฝีมือช่างอยุธยาที่เป็นบรรพบุรุษไทยแท้ๆ คนไทยสมัยนี่ยังไม่มีปัญญาดูออก นึกอยากจะอุปโลกน์เจดีย์แปลกให้คนไทยไปซาบซึ้งได้ตั้งนาน เพลียใจกับคนไทยรุ่นใหม่เสียจริง!!! ฝีมือช่างอยุธยามันต้องอย่างนี้ครับ!!!  วัดมหาเตงดอจีที่เมืองสะแคง จากบล็อกคุณปลาทองสยองเมือง จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:51:49

ความคิดเห็นที่ 12 คห.8 ครับ ร่องรอยของเชลยชาวสยาม อยู่บริเวณ ริมทะเลสาป ในวัดชื่อต๊อกจอขะยี ล่ะครับ รายการที่นี่หมอชิตเพิ่งไปชม มีภาพฝาผนัง ลายกนกฝีมือคนไทยแ้ท้ๆเลยครับ แค่อยู่คนละฝั่งสะพาน กับ เจดีย์(ที่อ้างว่า)อุทุมพรเลยครับ คือร่องรอยคนไทย กระจายอยู่ทั้ง ฝั่งสกาย ฝั่งเมืองอังวะเก่า และเมืองอมรปุระเลยนะครับ คือผมก็ฟังเค้ามาว่า เจดีย์องค์นี้ ก็ไม่ใช่ลักษณะพม่านะครับ ออกจะเป็นลักษณะทางไทยเสียมากกว่าครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 23:58:07

ความคิดเห็นที่ 13 ดูแผนที่นะครับ ผมวงไว้ให้แล้ว วงสีเขียวคือ เมืองมัณฑเล (Mandalay) ราชธานีสุดท้ายของอาณาจักรพม่า วงสีม่วงคือ เมืองอมรปุระ (Amarapura) ราชธานีของพระเจ้าโบดอพญา มีทะเลสาบตองตะมานอยู่ตรงกลาง...เจดีย์ประหลาดที่พม่าหลอกไทยว่าเป็นของพระเจ้าอุทุมพรอยู่ที่นี่ ตามหัวข้อข่าวกระทู้นี้ วงสีฟ้าคือ กรุงรัตนบุระอังวะ (Inwa) ราชธานีของพระเจ้าฉินบูชิน กษัตริย์พม่าที่ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 แล้วกวาดต้อนเชลยศึกกลับมารวมทั้งพระเจ้าอุทุมพร วงสีแดงคือ เมืองสะแคงหรือเมืองสะกาย (Sagaing) เมืองเเห่งทะเลเจดีย์นับพันองค์ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้พุกาม และมีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่า ชุมชนชาวอยุธยาอยู่ที่พื้นที่เมืองนี้ครับ ใครจะไปตามรอยบรรพบุรุษชาวอยุธยา ไปให้ถูกที่นะครับ อย่าไปถูกพม่ามโนหลอกเอาอีกเลย!!! จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:07:09

ความคิดเห็นที่ 14 คุณเต่าไม่กินผักบุ้งครับ วัด Kyauktawgyi ที่ทะเลสาบตองตะมานฝั่งอมรปุระนั่นผมก็เคยไปครับ มีจิตรกรรมช่างไทยจริงครับ แต่เป็นช่างสมัยหลังมากแล้ว วัดนี้สร้างสมัยพระเจ้าพุกามครับตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3-4 ของไทย ซึ่งแน่นอนว่าเวลานั้นพระเจ้าอุทุมพรกษัตริย์อยุธยาสวรรคตไปนานแล้วครับ จะเอาเรื่องจิตรกรรมวัด Kyauktawgyi มาสนับสนุนหลักฐานว่าพระเจ้าอุทุมพรอยู่ฝั่งนี้คงไม่ได้ครับ คนละยุคสมัยกันครับ ส่วนเรื่องเจดีย์ประหลาดที่ยังนั่งยันนอนยันว่าเป็นศิลปะไทยนั้น ลองไปอ่านหนังสือเรื่อง "เจดีย์" ของ ศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรดูนะครับ คุณจะพบว่าระบบระเบียบของการสร้างเจดีย์ไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้น มีองค์ประกอบแน่นอนชัดเจนเป็นระเบียบ มีชุดฐานสิงห์ซ้อนกันเป็นอาทิ ซึ่งต่างจากเจดีย์ประหลาดนั้นแน่นอนครับ คนเรียนวิชาศิลปะไทยรู้แน่ครับว่าเจดีย์องค์นั้นที่พม่าอยู่นอกสารบบศิลปะไทยแน่ๆ แต่คนที่ยังประกาศออกหน้าสื่อป่าวๆว่าเจดีย์ประหลาดที่นั่นคล้ายเจดีย์ไทยนี่น่าเพลียใจมากกว่า ลูกหลานไทยทุกวันนี้ไม่รู้จักศิลปะไทยแล้ว เขาว่าอะไรก็ปลงใจเชื่อกันหมดโดยไม่ตรวจสอบ เพลียใจเหลือเกิน จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:22:49

ความคิดเห็นที่ 15 Kyauktawgyi Paya ที่ผมบอกไว้ในคห.12 วัดนี้ คนไทยเขียนลายฝาผนังไว้นะครับ วัด อยู่ในวงสีม่วงเลยนะครับ คือถึงแม้ว่า จะเขียนในยุคหลัง ร.3-ร.4 แต่ก็หมายความว่า บริเวณย่านนั้น ก็เป็นย่านที่คนไทยอยู่ไม่ใช่เหรอครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 00:29:13 จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:27:04

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องลักษณะทางศิลปกรรมของเจดีย์ คงต้องว่าตามผู้รู้ครับ แต่จะคิดว่า การที่จะสรุปว่าบริเวณนั้นไม่ใช่ชุมชนคนไทย ก็คงไม่ใช่ เพราะ วัดที่ว่าก็มีศิลปไทยปนอยู่เหมือนกัน หรืออาจจะเป็นได้ว่า กลุ่มเชลยหลักอยู่ที่แสกง แต่กลุ่มเชลยสำคัญระดับเจ้าฟ้า อาจจะมาอยู่บริเวณฝั่งนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:34:18

ความคิดเห็นที่ 17 อ่อ ผมไม่ใ่ช่นักวิชาการด้านนี้เลยนะครับ ผมวิศวกรครับ แค่สงสัยไปตามตรรกะของผมครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:36:38

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ Kyauktawgyi ไม่ใช่ชุมชนไทยครับ กษัตริย์พม่าสร้างวัดดังกล่าวโดยนำแบบอย่างมาจากเจดีย์อานันทะที่พุกาม แล้วให้ช่างไทยมาเขียนรูปเทวดาบางส่วนครับ ไม่ใช่ว่ามีชาวอยุธยาตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงนั้นนะครับ ผิดประเพณีและขัดกับพงศาวดารพม่าครับที่ยืนยันว่าเชลยไทยอยู่ฝั่งสะกายครับ กรณีเดียวกับวัด Bagaya Kyaung ที่กรุงอังวะ ซึ่งมีดาวเพดานเหมือนวัดในเพชรบุรี นั่นก็ช่างไทยทำตามรับสั่งกษัตริย์พม่าครับ ช่างศิลป์สามารถเข้ามาทำงานในเมืองหลวงได้ แต่ชุมชนเชลยศึกต้องอยู่นอกกำแพงพระนครเสมอครับ ไม่มีอาณาจักรไหนเอาเชลยไว้ในเมืองหลวงครับ สรุปว่าจะให้เจดีย์ประหลาดที่อมรปุระเป็นของพระเจ้าอุทุมพรให้ได้รึเปล่าครับ เพลียใจกับการศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทยจริงๆ ขนาดศิลปกรรมที่เป็นอัตลักษณ์ของยุคสมัยอยุธยา คนไทยเดียวนี้ยังแยกไม่ออกดูไม่เป็น ต่อไปเปิดเสรีอาเซียน AEC ก็ให้ครูชาวพม่าชาวเวียดนามมาสอนวิชา "ศิลปะไทย" แล้วกันครับ!! จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:37:32

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องประวัติศาสตร์มันมีขนบจารีตประเพณีกำกับอยู่ครับ ดังนั้นอย่าเอาความคิดแบบคนปัจจุบันไปจับเรื่องในอดีต เพราะคนละบริบทกัน ผมยังยืนยันนะครับว่าประเพณีที่ให้คนต่างชาติต่างภาษาอยู่นอกพระนครนั้นมีจริงๆ ทั้งไทยและพม่า ไทยเรายังยึดถือมาจนสมัยรัชกาลที่ 4 ไม่งั้นจะตัดถนนเจริญกรุงให้ฝรั่งไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทางริมแม่น้ำทำไมครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:40:42

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าคุณเต่าไม่กินผักบุ้งบอกว่าวัดจ็อกต่อจีมีศิลปะไทยอยู่ก็ต้องมีคนไทยอยู่...ผมขอยกกรณีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในกรุงเทพฯละกันครับ วัดนี้อุดมด้วยศิลปะจีนมากมายเป็นส่วนประดับ แต่ไฉนเลยพระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์จึงให้ชุมชนชาวจีนย้ายจากท่าเตียนไปอยู่สำเพ็งในช่วงที่สร้างกรุงล่ะครับ ก็เพราะมันมีประเพณีกำกับอยู่ไงล่ะครับ ในกำแพงพระนครอาจจะมีศิลปะต่างชาติต่างภาษาได้ตามพระราชนิยมกษัตริย์ แต่ไม่ใช่ต้องมีการตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนนะครับ ผิดธรรมเนียมครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:45:10

ความคิดเห็นที่ 21 "เพลียใจกับการศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทยจริงๆ ขนาดศิลปกรรมที่เป็นอัตลักษณ์ของยุคสมัยอยุธยา คนไทยเดียวนี้ยังแยกไม่ออกดูไม่เป็น" ผมว่าคุณหนุ่มเมืองกรุง เกินไปมั้ยครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:48:08

ความคิดเห็นที่ 22 การที่ไม่ให้เชลยศึกหรือแม้แต่ชุมชนต่างชาติต่างภาษาอยู่อาศัยเป็นชุมชนในเขตเมืองหลวง ก็เพราะต้องการตัดปัญหาเรื่องการก่อกบฏวุ่นวายในเมืองหลวงครับ ให้ไปอยู่เสียนอกกำแพงพระนครครับ ระยะพื้นที่ที่ให้คนต่างชาติต่างภาษาอยู่อาศัยคือ นอกกำแพงเมืองหลวง แต่ไม่ไกลจนเกินไปนัก สามารถตรวจตราสอดส่องได้อยู่ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:50:16

ความคิดเห็นที่ 23 เคสวัดโพธิ์ สำหรับคนทั่วไป ถ้าไม่เคยอ่านประวัติว่า ร.1 ท่านให้ย้ายคนจีนออกไปจากตรงนั้น ไปอยู่สำเพ็ง วัดที่มีศิลปะจีนเยอะอย่างนี้ ถ้ามีคนมาบอกผมว่า บริเวณนี้คนจีนอาศัยอยู่ ผมก็เชื่อครับ ผมว่า คุณหนุ่มเมืองกรุง เอาวิจารณญาณ คนที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม มาต่อว่า คนปกติ พ่อค้าแม่ค้า ว่าหลงงมงาย อันนี้ก็คงไม่ค่อยถูกนักล่ะครับ คนที่เชื่อเรื่องเจดีย์นี้ก็คือคนปกติทั่วไปแหละครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:54:19

ความคิดเห็นที่ 24 ที่คุณเต่าไม่กินผักบุ้งติงผมมานั้น ผมน้อมรับครับ แต่ยืนยันว่าไม่เกินไปหรอกครับ ผมอยากให้คนไทยใส่ใจกับศิลปวัฒนธรรมตัวเองให้มากกว่านี้ เรื่องลักษณะเจดีย์ยุคสมัยอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นไม่ยุ่งยากซับซ้อน ควรจะเรียนจะสอนกันในโรงเียนด้วยซ้ำไปครับ เพราะวัดวาอารามดบราณสถานสำคัญในยุคนี้มีเยอะแยะทั้งในกรุงเทพฯ อยุธยา และจังหวัดอื่นๆ ถ้าคนไทยเข้าใจเรื่องนี้มากๆจะยิ่งดี ไม่หลงเชื่อข้อมูลอะไรโดยไม่ตรวจสอบอย่างเจดีย์ประหลาดที่พม่าแห่งนี้ครับ ต้องให้อธิบายต่อมั้ยครับว่า "เจดีย์ยุคสมัยอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้น" เป็นอย่างไร ต่างจากเจดีย์พิลึกที่พม่าอ้างเป็นศิลปะไทยอย่างไร ถ้าต้องการผมจะอธิบายให้ แต่ถ้าไม่ชอบไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไรครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 00:55:16

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่ออกความเห็นเรื่องเจดีย์  เพราะไม่มีความรู้เลย แต่จะบอกว่าได้ความรู้มากมายครับ จากคุณ : บุรุษพัฒนา เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:01:52

ความคิดเห็นที่ 26 เอาจริงๆผมน่ะชอบเรื่องนี้ครับ แต่ไม่เคยลงลึกถึงขั้นเจดีย์ยุคไหน ยุคไหน เจดีย์ทรงระฆังคว่ำผมก็ยังรู้จักหมดนะครับ เสาหาร ปล้องฉไน ฐานปัทม์ แค่นี้ผมว่า ก็มีคนน้อยคนในประเทศรู้ แล้วล่ะครับ แต่ถึงแยกออกแต่ละยุค เกินความสามารถผมจริงๆครับ ถ้าคุณหนุ่มเมืองกรุง จะเป็นวิทยาทานผมจะรออ่านครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 01:06:02 จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:02:33

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณเต่าไม่กินผักบุ้งนะครับที่ชวนผมคุยต่อ จริงๆผมก็ทึ่งคุณนะครับเป็นวิศวกรแต่รู้จักองค์ประกอบของเจดีย์พอสมควรทีเดียว นับว่าคุณเต่าก็ใส่ใจในศิลปวัฒนธรรมไทยเราดีครับ เจดีย์ในสมัยอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้น จุดเด่นที่เห็นชัดๆคือ ยุคสมัยนี้ศิลปะไทยเรานิยมสร้างเจดีย์รูปทรงที่เรียกว่า "เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง" ครับ พบมากในวัดที่สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปราสาททองถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวงครับ และนิยมต่อมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ที่เรียกว่าเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เพราะลักษณะเจดีย์รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยม ที่มุมทั้งสี่จะแตกเป็นสามมุมย่อย นับรวมมุมทั้งหมด 4 X 3 = 12 เป็นที่มาของคำว่า ย่อมุมไม้สิบสองครับ ป.ล. เพิ่มเติมครับ บางทีเจดีย์อาจจะทำย่อมุมเยอะกว่า 12 ก็ได้ครับ อย่างในรูปตัวอย่างนี้เป็นเจดีย์ "ย่อมุมไม้ยี่สิบ" คือทั้งสี่มุมมี 5 มุมย่อย 4 X 5 = 20 ครับ แต่ก็อนุโลมจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกรวมๆว่าเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองนี่ล่ะครับ รูปประกอบจากเว็บ http://cendru.eng.cmu.ac.th/ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 01:42:37 จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:36:41

ความคิดเห็นที่ 28 จุดสังเกตที่โดดเด่นอีกอย่างนึงของเจดีย์ไทยยุคนี้ นอกจากเรื่องย่อมุมแล้ว นั่นก็คือ "ชุดฐานสิงห์ซ้อนกันสามฐาน" ครับ เป็นเอกลักษณ์ของช่างศิลป์ไทยยุคนี้เลย ขาดไม่ได้เลยครับ เลยเป็นข้อหักล้างสำคัญที่ผมยืนยันว่าเจดีย์ประหลาดในกระทู้นี้ไม่ใช่ศิลปะไทยครับ ชุดฐานสิงห์ซ้อนกันสามฐาน อยู่ตรงวงสีแดงครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:40:11

ความคิดเห็นที่ 29 ฐานสิงห์ คือฐานสิ่งก่อสร้างในศิลปะไทย ที่มีรูปลักษณ์ดัดแปลงมาจากขาสิงห์ครับ ศิลปะไทยเราชอบใช้ฐานสิงห์กับพระเจดีย์มากๆโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายมาครับ รูปจากเว็บลักษณะไทยครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:49:49

ความคิดเห็นที่ 30 ดูชัดๆครับ นี่แหละครับ "ฐานสิงห์" ถ้าเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองก้เอาไปซ้อนๆกันเป็นส่วนฐานเจดีย์ครับ เอกลักษณ์ศิลปะไทยแน่นอนครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:52:10

ความคิดเห็นที่ 31 เจดีย์แบบนี้ จำได้ ที่หน้าปราสาทเทพบิดร สีทองสององค์ครับ รู้สึกว่าไทยแท้ๆดีครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:53:24

ความคิดเห็นที่ 32 เสียดายที่ตอนเรียนพวกพี่เอาแต่เล่นกันตอนไปทัศนศึกษา ไปแต่ทำรายงานเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจรับความรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยเลย มาซึบซับตอนจากบ้านเกิดไปนานทำให้คิดถึงศิลปะไทย ปัจจุบันจึงชอบเที่ยวและเก็บภาพโบราณสถานและโบราณวัตถุบ่อยๆ ถ้ามีโอกาสอยากกลับศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรมไทยอีก ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ นะคะ อ.น้องหนุ่มอธิบายได้ละเอียดมากเลยล่ะค่ะ (เสียดายกิ๊ฟท์หมด โหวตแทนละกันนะคะ) แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 02:13:41 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 01:56:39 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 01:55:53 จากคุณ : เด็กศิลป์ (Artiste) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 01:54:59

ความคิดเห็นที่ 33 ยินดีที่คุณเต่าและพี่แอ๊ะเด็กศิลป์ยังอยู่เป็นเพื่อนกันนะครับ เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ที่มีฐานสิงห์รองรับเช่นนี้ นิยมมากในศิลปะอยุธยาตอนปลายครับ ไปที่ไหนก็เจอประจำครับ รูปนี้วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยาครับ โดยคุณสร้อยฟ้ามาลา จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:15:21

ความคิดเห็นที่ 34 จริงแล้วศิลปะอยุธยาตอนปลาย นิยมใช้ฐานสิงห์แบบดังกล่าวกับ "พระปรางค์" ด้วยครับ ไม่จำกัดเฉพาะเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองอย่างเดียว รูปนี้วัดสระบัว เพชรบุรีครับ จากเว็บ http://www.holidaythai.com/niramisa/blogs-5841.htm จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:19:56

ความคิดเห็นที่ 35 ในจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาก็วาดรูปเจดีย์มีฐานสิงห์ชัดเจนเช่นกันครับ อย่างรูปนี้ที่วัดเกาะเเก้วสุทธาราม เพชรบุรีครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:22:26

ความคิดเห็นที่ 36 อันนี้เจดีย์วัดโพธิ์เก้าต้น สิงห์บุรีครับ...เห็นมั้ยครับว่าถ้าสังเกตบ่อยๆ เราจะเห็นเอกลักษณ์ของเจดีย์ศิลปะอยุธยาตอนปลายแท้ๆแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆครับ ซึ่งต่างจากเจดีย์ประหลาดที่พม่านั่นอย่างคนละเรื่องไปเลยครับ รูปจากเว็บ http://www.siamjurist.com/forums/member14374-albums322-2872.html จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:29:05

ความคิดเห็นที่ 37 เหลือแต่ฐานสิงห์โล้นๆ เจดีย์พังหมด เราก็รุ้แน่ว่านี่คือศิลปะอยุธยาตอนปลายครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:38:21

ความคิดเห็นที่ 38 เจดีย์หน้าปราสาทพระเทพบิดร ที่คุณเต้าไม่กินผักบุ้งเอ่ยถึงนั่นก็ถูกเผงเลยครับ เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 1 ช่างที่สร้างทันเห็นงานยุคสมัยอยุธยาตอนปลายแน่นอนครับ เลยออกแบบได้ตามขนบธรรมเนียมการสร้างเจดีย์ แต่เจดีย์ยุครัตนโกสินทร์นี่จะนิยมใส่ลายประดับเพิ่มเติมบนเจดีย์ย่อมุมเหล่านี้อีกครับ เลยดูหรูหราอลังการขึ้นกว่าสมัยอยุธยาครับ รูปจากเว็บ http://www.baanmaha.com/community/thread38815.html จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 02:50:04

ความคิดเห็นที่ 39 สุดท้ายก็ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯครับ...อุดมไปด้วยเจดีย์ย่อมุมมากมาย ทั้งย่อมุมไม้สิบสอง ย่อมุมไม้ยี่สิบ...เจดีย์เหล่านี้มีทั้งที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 และส่วนใหญ่มาสร้างสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยครับ ยังขาดฐานสิงห์ไม่ได้เลยนะครับ ต้องมีคู่กับเจดีย์ตลอดมา รูปนี้จากเว็บ http://www.wallpaperstravel.com/view/wat-pho-bangkok-thailand-1024x768-travel.html จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 03:01:13

ความคิดเห็นที่ 40 ตบประเด็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิอีกสักนิด...อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ศิลปะไทยมีรูปแบบเจดีย์ที่ค่อนข้างชัดเจนแน่นอน โดยเฉพาะกระเเสความนิยมเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองตั้งแต่ศิลปะอยุธยาตอนปลาย - รัตนโกสินทร์ตอนต้น ทำให้เห็นว่าเจดีย์ทรงนี้เป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของช่วงยุคสมัยดังกล่าวแน่นอน การที่ช่างไทยนึกจะสร้างพระเจดีย์บรรจุอัฐิกษัตริย์ ก็คงไม่แหวกขนบไปสร้างเจดีย์ประหลาดอย่างที่พม่าแน่นอนครับ ตัวอย่างชัดๆเต็มๆ..."เจดีย์บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" วัดอินทาราม ฝั่งธนบุรีครับ...ยังคงเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีฐานสิงห์รองรับ ตามประเพณีและรูปแบบศิลปะเป๊ะเลยครับ รูปจากเว็บ http://www.klongdigital.com/webboard3/21626.html จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 03:08:14

ความคิดเห็นที่ 41 ส่วนรูปเจดีย์ทรงแปลกจากหัวข้อกระทู้นี้ที่พม่าครับ ชัดๆจากเว็บ http://board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=2&topic_no=198740&topic_id=201279&page=2 คนไทยหลายคนที่ไม่ทราบเรื่อง ยังคงศรัทธาเจดีย์นี้อยู่ด้วยเข้าใจผิด...แต่จากหลักฐานรูปแบบศิลปะอยุธยาตอนปลาย รวมถึงตัวอย่างเจดีย์บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ลงรูปไว้ ลองเอามาเทียบกับเจดีย์แปลกองค์นี้ ผมยังไม่เห็นความเชื่อมโยงใดๆกับศิลปะไทยเลยครับ...คงเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อพระเจ้าอุทุมพรสวรรคตในพม่า ยุคที่ช่างศิลป์ไทยที่ถูกกวาดมาจากอยุธยายังทำงานกับราชสำนักพม่า ณ กรุงอังวะมากมาย จะไม่มีช่างไทยสร้างเจดีย์ไทยได้ถุกต้องจนเพี้ยนรูปทรงถึงเพียงนี้ หากในเจดีย์องค์นี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผมขอน้อมคารวะนะครับ...ที่กล่าวมานี้เพียงเพื่อต้องการชี้ประเด็นให้เห็นชัดว่า เจดีย์ทรงแปลกองค์นี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับศิลปะอยุธยาเลย และนำไปสู่เรื่องที่สามารถปฎิเสธได้ว่าคงไม่ใช่ที่บรรจุอัฐิพระเจ้าอุทุมพรครับ ป.ล. ไปตะลุยสืบหาร่องรอยที่เมือง Sagaing กันเถอะครับ ดีกว่าจะยังเชื่อถือเรื่องเจดีย์องค์นี้อยู่ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 03:16:41

ความคิดเห็นที่ 42 ขออภัยคุณหนุ่ม ที่หลับไปก่อนนะครับ เดี๋ยวสายๆมาตามอ่านครับ ขอบคุณที่ตั้งใจสอนครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 07:38:41

ความคิดเห็นที่ 43 ความรู้เพียบ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเจดีย์องค์นี้ไม่ใช่ของพระเจ้าอุทุมพร ตามที่คุณหนุ่มเมืองกรุงว่าไว้จริงๆ ทั้งเรื่องรูปแบบเจดีย์และเรื่องราวในพงศาวดาร   แต่ถึงจะเป็นเจดีย์ของเราจริงๆ ถ้าอยู่ในบ้านเค้าแล้วเค้าจะรื้อ เราจะไปทำอะไรได้นะ จากคุณ : apple a day เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 08:16:08

ความคิดเห็นที่ 44    ได้รู้ขึ้นเยอะครับ..............ขอบคุณ คุณ @ NMkrung มากๆครับ ปล...ช่วยกันโหวตนะครับ ปล...กดเก็บนะครับ จากคุณ : Low Batt เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 09:18:28

ความคิดเห็นที่ 45 คุณหนุ่มเมืองกรุงครับ แวบแรกที่ผมคิดว่า เจดีย์ที่ว่า เหมือนของไทย เพราะผมคิดว่าทรงของเจดีย์เหมือนกับ โกศลองในบรรจุพระศพเลยครับ พอจะมีเค้ามั้ยครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 09:34:18

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณ คุณหนุ่มเมืองกรุง มากๆครับ ได้ความรู้เยอะเลย อยากไปพม่าบ้างจังครับ ทริปที่ผ่านมาดันยกเลิกเพราะกลัว เอาไว้เก็บไว้ในลิสต์ครับผม จากคุณ : ^_^Ohng^_^ เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 09:34:40

ความคิดเห็นที่ 47 อีกอันครับ มองในแง่นึง นักวิชาการคนแรกๆที่สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ไทย อาจจะมองว่า รูปทรงคล้ายๆโกศที่ใช้สำหรับเจ้านายไทยหรือไม่ครับ อ้อ แล้วอยากถาม คุณหนุ่มเมืองกรุงครับว่า ในบริเวณเมืองสะแกงนั้น มีเจดีย์หรือสถาปัตยกรรมอื่นๆที่เป็นของชาวสยามบ้างมั้ยครับ เชลยหลักหมื่นคน ตั้งบ้านตั้งเรือนอยู่น่าจะมีนะครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 09:37:16

ความคิดเห็นที่ 48 มาเก็บความรู้ค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล..ค่ะ จากคุณ : Talay&Me เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 10:35:32

ความคิดเห็นที่ 49 กระทู้นี้ แปะยกอาจารย์หนุ่มเมืองกรุงให้เป็นพระเอกเรยครับเนี่ย ความรู้แน่นทุกตัวอักษรเลย ขอบคุณนะครับสำหรับการแชร์สาระดีๆ จากคุณ : อาแปะพาหลง เดี๋ยวก็งงได้อีก!! เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:04:50

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณ คุณหนุ่มเมืองกรุง คุณเต่าไม่กินผักบุ้ง ที่ถกกันในเรื่องที่ทำให้ได้ประโยชน์อย่างมาก รวมถึงนายช่างผู้จุดประกายเรื่องนี้ครับ ยอมรับว่าไปเดินท่อมท่อมดูนั้นที นี้ที ก็ได้รับเท่าที่ไกด์เล่าให้ฟัง จะจริงหรือไม่ก็ไปตามนั้น มาตอนนี้ กลับไปร์้อรูปมาดู มาเทียบ ได้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากครับ จากคุณ : ห้าสิบป่าย เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:25:26

ความคิดเห็นที่ 51 สวัสดีเวลาเพลครับทุกท่าน คุณเต่าไม่กินผักบุ้งตั้งข้อสังเกตได้น่าสนใจครับ ประเด็นที่ว่ารูปทรงเจดีย์ประหลาดดูคล้าย "พระโกศ" ซึ่งตามประเพณีสมัยอยุธยาก็มีการถวายพระโกศทรงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินจริงๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตอีกอย่างที่น่าสนใจคือ รูปทรงของพระโกศนั้นไม่เคยมีช่างศิลป์ไทยนำไปทำเป็นสถาปัตยกรรมถาวรจริงจังเลยครับ พยายามหาตัวอย่างก็ไม่มี อีกทั้งข้อสังเกตนี่ยังดูแหวกขนบธรรมเนียมศิลปกรรมไทยไม่น้อยที่เอารูปร่างพระโกศมาสร้างเป็นเจดีย์ถาวรครับ โกศสำริดที่ยกตัวอย่างมานั้นก็เป็นของเล็กที่บรรจุอยู่ในเจดีย์ที่เป็นสิ่งก่อสร้างอีกชั้นนึง ประเด็นนี่จึงยังไม่หนักแน่นพอที่จะบอกว่าเจดีย์องค์นี้รูปร่างคล้ายพระโกศเลยควรเป็นศิลปะไทย ข้อสนับสนุนของผมอีกอย่างคือ จากการบูรณะเจดีย์ศรีสุริโยทัยที่อยุธยา มีการค้นพบเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาดเล็กด้วย ซึ่งจะเห็นชัดเจนเลยว่า ที่บรรจุพระบรมธาตุนั้น ช่างศิลป์สมัยอยุธยาทำเป็น "พระโกศทองคำ" ขนาดเล็กแล้วทำครอบเป็น "เจดีย์แก้วผลึก" ที่ใหญ่กว่าครอบไว้พร้อมประดับเครื่องสูง ซึ่งถูกต้องตามขนบที่ว่าพระโกศต้องเป็นของเล็กที่บรรจุอยู่ในเจดีย์ครับ ไม่ใช่เอารูปทรงพระโกศมาสร้างเป็นเจดีย์ของใหญ่เลยครับ รูปประกอบจากเว็บโอเคเนชั่น บล็อกคุณ buppha ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:26:56

ความคิดเห็นที่ 52 อีกรูปนะครับ จากเว็บโอเคเนชั่น บล็อกคุณ buzz ครับ พระโกศต้องบรรจุอยู่ในเจดีย์ครับ ไม่ใช่เอารูปแบบพระโกศมาสร้างเป็นเจดีย์ครับ...ช่างศิลป์อยุธยาทราบประเพณีนี้แน่นอนครับ ดังนั้นเจดีย์ทรงประหลาดที่อมรปุระไม่น่าจะใช่ศิลปะไทยแน่เพราะไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมสมัยอยุธยาครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:32:43

ความคิดเห็นที่ 53 ส่วนที่ถามว่าฝั่งเมือง Sagaing มีศิลปกรรมอยุธยาหรือร่องรอยเพิ่มเติมอีกมั้ย อันนี้แหละครับที่ผมบอกไว้ใน คคห.ที่ 11 ว่า "จริงๆแล้วนักวิชาการไทยควรจัดทีมงานวิจัย ลงพื้นที่เมือง Sagaing จึงจะถูกครับ สำรวจข้อมูลร่องรอยชุมชมชาวอยุธยาเดิมอย่างเป็นระบบ" เนื่องจาก Sagaing เป็นเมืองที่มีวัดและเจดีย์เยอะมากๆ เพื่อนผมที่ศึกษาศิลปะพม่ายังเอ่ยปากว่ากษัตริย์พม่าสมัยอังวะตั้งใจจะให้ Sagaing เป็น "ทะเลเจดีย์" แบบเมืองพุกาม ต้องไปสำรวจและศึกษาอย่างจริงจังจึงน่าจะค้นพบร่องรอยชาวอยุธยาเพิ่มขึ้นครับ รูปเมืองสะแคง (สะกาย = Sagaing) จากเว็บ http://maxweb.ca/Burma/Inwa/Inwa.html จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:46:40

ความคิดเห็นที่ 54 สมมติ เราสรุปว่า เจดีย์ประหลาดนั้นไม่ใช่ของชาวไทย ไม่ทราบว่า ทางนักวิชาการพม่าเค้าเองก็ สรุปเหมือนกันมั้ยครับ ว่า ทรงมันก็ประหลาดกว่าจะเป็นเจดีย์พม่าครับ อันนนี้สงสัยเฉยๆครับ ว่าเจดีย์นี้ ลักษณะคล้ายเจดีย์ของศิลปะไหนมั้ยครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 11:46:49

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : แก่ คนไกลบ้าน เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 12:03:02

ความคิดเห็นที่ 56 เห็นแล้วอยากทำวิจัยเรื่องศิลปะไทยหรือประวัติศาสตร์ศิลป์เหมือนกัน เสียดายที่พี่ไม่ได้จบด้านนี้เลยไม่ตรงสาย แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 55 12:35:18 จากคุณ : เด็กศิลป์ (Artiste) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 12:26:41

ความคิดเห็นที่ 57 อืมมมม ไปพม่ามาเเท้ๆ เเต่ตัวฉันนี้ไม่รู้อะไรเลย ขอบคุณคุณหนุ่มเมืองกรุงมากๆครับ จากคุณ : Traveller Among Mountains เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 12:35:15

ความคิดเห็นที่ 58 ผมชอบกระทู้แบบนี้จริงๆ มีหลักฐานมาแสดงร่วมกับการวิเคราะหื ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยวิจารณญาณ แบบนี้ซิจึงสมควรเป็นกระทู้แนะนำ ขอบคุณหนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) อยางมากเลยครับ  คุณเต่าด้วยครับ จากคุณ : Bernadette nort เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 13:52:24

ความคิดเห็นที่ 59 ผมเห็นว่าก่อนที่พม่าจะรื้อ เราอย่าเพิ่งตัดประเด็นว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้าถูกทำลายแล้วภายหลังมีหลักฐานว่าใช่ ก็จะสายเกินที่จะทำอะไรได้ อาจจะมีเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึง อย่างการสร้างฉุกระหุก มีการบูรณะโดยช่างที่ไม่มีความรู้จริง ฯลฯ อย่างน้อยก็อัญเชิญกลับมาก่อน ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง เพราะทางพม่าเค้าไม่สนใจอยู่แล้ว ถึงสุดท้ายจะไม่ใช่ที่คาดหวังก็ไม่ต้องกลัวหน้าแตก เพราะมันยังดีกว่าไม่ทำอะไรแล้วเสียใจภายหลัง จากคุณ : กิ่งก้ามปู เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 14:16:54

ความคิดเห็นที่ 60 ได้ความรู้มากมายครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : วิทย์ (s_witthaya) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 14:23:49

ความคิดเห็นที่ 61 ในคคห.แรกๆที่คุยกันว่าควรมีการสอนเรื่องพวกนี้ในโรงเรียน เราจำได้ว่า เรื่องพวกนี้ เราเคยเรียนตอนม.ปลายนะคะ พวกเจดีย์ย่อไม้มุมต่างๆ ศิลปะพระพุทธรูปสมัยต่างๆเนี่ย มันน่าจะเป็นว่าเด็กเรียนแล้วไม่จำมากกว่า ตอนเรียนเราก็คิดว่ามันน่าเบื่อมากเหมือนกันนะ เพราะไม่รู้จะเรียนแล้วได้ประโยชน์อะไร แต่พอดีเป็นคนชอบอะไรเก่าๆ ก็เลยพอจะจำได้ คิดว่าถ้าไปถามเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายๆคน คงมีน้อยคนที่จำได้ว่าเคยเรียน ^-^ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 15:26:59

ความคิดเห็นที่ 62 เพิ่งเห็นกระทู้นี้ มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ขอบคุณคุณหนุ่มเมืองกรุงที่เอาสาระมาแบ่งปันกัน เราเป็นคนไทยแท้ๆ กลับไม่รู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมไทยเลย น่าอายจัง >.< จากคุณ : ยูจินคุง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 15:32:51

ความคิดเห็นที่ 63 กระทู้อุดมปัญญาจริงๆค่ะ จากคุณ : SuPerHyPerOverUltraGLUE เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 15:35:34

ความคิดเห็นที่ 64 อาจารย์หนุ่มคะ จัดทริปค่ะ จัดทริป ลงชื่อคนแรก ไปช่วงวันแม่นี่เลยค่ะ อยากไปๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : letsgokrabi เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 15:39:55

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณคุณหนุ่มเมืองกรุงมากคับ จากคุณ : นายนพพร เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 17:52:07

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณ คุณหนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) และคุณเต่าไม่กินผักบุ้ง สำหรับข้อมูลหลายๆด้านมากๆ ข้อมูลของคุณหนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เป็นประโยชน์และน่าติดตาม ค้นหาข้อมูลเพิ่มจริงๆค่ะ เคยจำแต่ข้อมูลว่า พม่ากวาดต้อนเชลยชาวกรุงศรีไปที่เมือมัณฑเลย์ พูดตรงๆดิฉันเพิ่งได้รู้ข้อมูลใหม่วันนี้ คนไทยหลายๆคนแทบไม่รู้จักเมืองสะแคงหรือเมืองสะกาย (Sagaing) พอเห็นรูปแผนที่ใน คห. 13 ขนลุกเลยค่ะ -/\- ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลนะคะ ยังเกาะกระทู้ต่อไปนะคะ จากคุณ : xjo ^^ (iad234) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 18:44:00

ความคิดเห็นที่ 67 เข้ามาโหวตค่ะ ยังรอเก็บความรู้อยู่นะคะ จากคุณ : i am obojama เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 19:34:53

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณ อ.หนุ่มมากๆ เลยครับที่มาให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์มากๆ แล้วทีนี้ เจดีย์ทรงประหลาดที่ว่า ถ้าไม่ใช่ศิลปะไทยแล้ว จะเป็นศิลปะของชาติใดอ่ะครับ เป็นแบบพม่าหรือเปล่า หรือว่า อาจจะเป็นของมอญ แต่มอญก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหัวเมืองมอญสำคัญอยู่ที่หงสาวดีหรือพะโค ไม่ใช่อังวะแน่ๆ จากคุณ : David_kop เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 21:44:14

ความคิดเห็นที่ 69 สวัสดียามดึกนะครับ อยู่กันอุ่นหนาฝาคั่งมากๆครับ สำหรับคุณเต่าและคุณ David_kop ถามเรื่องเจดีย์ทรงแปลกที่เชื่อกันมานานว่าเป็นของพระเจ้าอุทุมพรนั้นเป็นศิลปะอะไร ผมเองก็ยากจะฟันธงได้ครับ เพราะรูปทรงเจดีย์ที่ว่านี้แปลกจากสารบบทั้งศิลปะไทยและพม่าไปเลยครับ จะว่าเป็นอะไรแน่นอนนั้นคงยากพอสมควร แต่เดี๋ยวก่อนครับ!!! สังเกตส่วนกลางเจดีย์แปลกนี้มั้ยครับ ที่มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกกลมๆตรงๆ (ไม่เหมือนพระโกศไทยนะครับที่เป็นทรงกระบอกปากผาย) ผมชักคุ้นๆล่ะครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 00:54:23

ความคิดเห็นที่ 70 มันมีเจดีย์อยู่กลุ่มนึงในศิลปะพม่าสมัยอังวะครับ เป็นแบบที่มีน้อยมากและหายากครับ ลักษณะเด่นของเจดีย์กลุ่มนี้คือการทำส่วนกลางเป็นแท่งทรงกระบอกกลมนี่ล่ะครับ ตัวอย่างเช่น Myint-mo Taung Pagoda (เจดีย์เขาพระสุเมรุ) อยู่ในกรุงอังวะครับ รูปจากวิกิพีเดียครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 00:57:58

ความคิดเห็นที่ 71 อีกที่นึงที่เป็นแบบนี้ มีแท่งทรงกระบอกเป็นองค์ประกอบสำคัญ นั่นคือ Hsinbyume Paya เจดีย์เจ้าหญิงอันเป็นที่รัก ณ เมืองมินกุน กลางเเม่น้ำอิระวดีครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:00:15

ความคิดเห็นที่ 72 อีกประเด็นนึงคือ "ลายบัวฟันยักษ์" ครับ ซึ่งแตกต่างจากลายกระจังในศิลปะไทย จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:02:54

ความคิดเห็นที่ 73 บัวฟันยักษ์เรียงกันถี่ๆตรงส่วนฐานนี้ ก็เป็นอีกรูปแบบนึงที่พม่าทำกันบ่อยๆครับ ผมเองไม่ได้ฟันธงนะครับว่าเจดีย์ทรงแปลกนี้เป็นศิลปะพม่าจริงแท้แน่นอนหรือไม่ เพราะตัวอย่างที่เหมือนกันเป๊ะๆนั้นไม่มีให้เทียบเคียง ผมเพียงชี้ให้เห็นว่าเจดีย์แปลกองค์นี้มีกลิ่นอายศิลปะพม่ามากกว่าศิลปะอยุธยาครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:07:11

ความคิดเห็นที่ 74 ได้ความรู้เพียบเลยครับ จากคุณ : สำลีแอลกอฮอล์ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 01:36:41

ความคิดเห็นที่ 75 ถ้าดูเทียบกันอย่างนี้ ก็ดูเหมือนเจดีย์พม่ามากกว่าเจดีย์ไทยจริงๆนะคะ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 11:30:32

ความคิดเห็นที่ 76 จริงแล้วๆ ผมเองไม่ใช่คนแรกที่พูดเรื่องนี้หรอกครับ...ระดับผู้เชี่ยวชาญจริงๆ (ที่ไม่ใช่มือสมัครเล่นอย่างผม) ก็เคยเขียนบทความวิเคราะห์หลักฐานเอกสารต่างๆเกี่ยวกับเจดีย์องค์นี้ไว้แล้ว แม้ว่ามันจะยากที่จะทำให้คนไทยยอมรับในเรื่องนี้ตามเหตุผลวิชาการโดยปราศจากเรื่องอารมณ์ความรู้สึกก็ตามครับ บทความนี้เขียนโดย อ.พิเศษ เจียร์จันทร์พงษ์ หนึ่งในผู้ทรงคุณวุฒิทางดบราณคดีและประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ปีที่ 23 ฉบับที่ 10 (สิงหาคม 2545) ครับ...บทความยาว 8 หน้า อัดแน่นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานเอกสาร ความเชื่อและความเป็นไปได้ตามวิชาการครับ ผม scan มาให้ดูเพียงหน้าต้นและหน้าท้าย ถ้าท่านใดสนใจจะอ่าน ลองไปหาตัวบทความนี้ได้ตามห้องสมุดสถาบันการศึกษาต่างๆนะครับ ป.ล. ขออนุญาตเซ็นเซอร์ 3 บรรทัดสุดท้ายของบทสรุป อ.พิเศษครับ เกรงจะไปกระทบใจท่านอื่นๆที่ยังเชื่อถืออยู่ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 12:31:49

ความคิดเห็นที่ 77 เป็นกระทู้ที่เต็มไปด้วยความรู้แต่อ่านสนุกมากจริงๆค่ะ ขอบคุณอาจารย์หนุ่มที่มาให้ความรู้   ที่จริงมีแพลนจะไปพม่าเดือนมกราหน้า ก็กะว่าจะแวะๆไปดูเมืองสะกายด้วย แต่พอเจอภาพพาโนราม่าของอาจารย์หนุ่มเข้าไป สงสัยจะแค่แวะไม่ได้ ต้องไปดูให้เห็นกับตาชัดๆ จากคุณ : narawen เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 14:46:36

ความคิดเห็นที่ 78 ถามคุณหนุ่มนะครับ สมมติ เจดีย์นี้เป็นแบบพม่าแท้ๆ มีรูปแบบซักเจดีย์นึงที่เหมือนเป๊ะ และหลักฐายยืนยันว่าเป็นแบบพม่าแน่นอน ในทางวิชาการโบราณคดี จะสรุปได้ทันทีมั้ยครับว่า องค์นี้ไม่ใช่สถูปขุนหลวงหาวัด ไม่นับเรื่องตำแหน่งของเจดีย์ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 55 23:31:44

ความคิดเห็นที่ 79 การที่ว่าเจดีย์ศิลปะเดียวกันต้องเหมือนเป๊ะไม่จำเป็นครับเพราะถ้าเหมือนเป๊ะหมายถึง "การจำลองแบบ" ครับ การจะดูว่าสถาปัตยกรรมใดโน้มเอียงไปทางศิลปะไหน ใช้วิธีตรวจสอบองค์ประกอบสถาปัตย์ครับ อย่างเช่นระบบฐาน ระบบลวดบัว ลวดลายปูนปั้น ฯลฯ ประมาณนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาไม่ใช่แค่ความรู้สึกครับ อย่ายึดเพียงว่ามันต้องเหมือนเป๊ะๆแล้วจึงจะใช่เท่านั้น ผมยกตัวอย่าง "เจดีย์ทรงลังกา" ในศิลปะไทย ทั้งที่รูปร่างทรวดทรงต่างจากเจดีย์ในศรีลังกาคนละเรื่องเลย แต่ทำไมเราจัดอยู่ในสกุลวิวัฒนาการเดียวกันได้ ก็เพราะมีองค์ประกอบที่คล้ายกันไงครับ ทั้งระบบฐานและระบบบัลลังก์สี่เหลี่ยม เป็นต้น ในกรณีเจดีย์แปลกองค์นี้ ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วข้างต้นเรื่องระบบลวดบัวและการใช้ส่วนกลางเป็นทรงกระบอกของโบราณสถานพม่าสมัยอังวะบางแห่ง ซึ่งคุณเต่าฯอาจจะไม่เชื่อผมก็ได้ครับ เพราะเหมือนคุยมานานแล้วเราก็ยังมองเห็นในคนละเเบบอยู่ดี ดังนั้นผมไม่ขอรบกวนพื้นที่กระทู้มากกว่านี้แล้วกันนะครับ ผมก็บรรลุวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งแล้วตรงที่ได้นำข้อมูลต่างๆเชิงวิชาการมานำเสนอให้ใครต่อใครได้รู้กัน ท่านใดจะเชื่อไม่เชื่อก็พิจารณาตามเหตุผลของตนเองนะครับ ผมว่าทุกคนคงมีคำตอบในใจซึ่งอาจจะเหมือนผมหรือต่างจากผมก็ได้ อย่างน้อยผมก็ได้อธิบายในสิ่งที่อยากบอกไปแล้วครับ ป.ล. ขออนุญาตกลับไปทำการบ้านทริปญี่ปุ่นนะครับ อีกไม่กี่เดือนจะไปแล้ว  ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 00:48:36

ความคิดเห็นที่ 80 ลืมตอบในเชิงโบราณคดี (Archaeology) เพราะทั้งหมดที่พูดมายืดยาวในกระทู้นี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะ (Art History) ขออีกนิดละกันครับ การพิสูจน์ในทางโบราณคดี ทำได้ด้วยการขุดแต่งเจดีย์หรือแม้แต่การเจาะพระเจดีย์ครับ จนกว่าจะพบหลักฐานที่ร่วมสมัยในจริงๆ เช่น พบพระโกศอัฐิ จารึกลานทอง เครื่องราชูปโภค ฯลฯ คือถ้าแค่ยืนดูสถูปเฉยๆประกอบคำบอกเล่ามุขปาฐะของชาวพม่าแล้วเอาใจไปเชื่อถือว่านี่แหละใช่ ไม่ใช่หลักการของวิชาโบราณคดีครับ นักโบราณคดีต้องพูดตามหลักฐานที่ระบุได้เท่านั้น มันจึงเป็นที่มาไงล่ะครับว่าไม่มีนักโบราณคดี (Archaeologist) คนไหนเชื่อเรื่องเจดีย์องค์นี้เลยครับ เรื่องเจาะเจดีย์ไม่ใช่การทำลายโบราณสถานนะครับ สมัยที่บูรณะวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) ก็เคยมีการเจาะพระมหาเจดีย์จนพบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจริงๆมาแล้วครับ นอกจากคำถามมากมายแล้วนี่ คุณเต่าไม่กินผักบุ้งมีคำตอบให้ผมมั้ยล่ะครับว่า "ทำไมจึงเชื่อว่าเป็นสถูปพระเจ้าอุทุมพรจริง" ผมก็อยากฟังคนที่เชื่อถือกันเรื่องนี้อ่ะครับว่ามีหลักเหตุผลอย่างไรบ้าง เผื่อมีหลักการและเหตุผลที่น่าสนใจจะคล้อยตามได้บ้างครับ แต่ถ้าจะไม่อธิบายให้ผมฟัง ก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่บังคับ แค่อยากถามความเห็นดูบ้างเท่านั้นเองครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 01:04:38

ความคิดเห็นที่ 81 อาจารย์หนุ่มคะ คาใจค่ะ ขอสามบรรทัดสุดท้ายด้วยค่ะ ไม่งั้น ไม่ "ฟิน" จากคุณ : letsgokrabi เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 04:29:54

ความคิดเห็นที่ 82 ผมก็เชื่อเพราะเค้าบอกว่า ชาวบ้านพูดกันมาว่าใช่ แล้วก็มีส่วนว่าเจดีย์ ไม่เหมือนของพม่าที่ไหนก็แค่นั้น แค่นั้นครับ อันนี้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ถือเป็นสมมติฐานเบื้องต้น ถ้าจะปฎิเสธสมมติฐานนี้ ก็ต้องมีหลักฐานชัดเจนกว่านี้หรือไม่ครับ ส่วนอคติว่า พม่าหลอกเพื่อจุดประสงค์ทางท่องเที่ยว ไม่มีน้ำหนักเลย เพราะเค้าปล่อยเจดีย์นี้ร้าง อยู่ในกองขยะ และไม่โปรโมตเลย มีน้องคนนึงเค้าก็ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าสมมติเจดีย์นี้สร้างด้วยศิลปะพม่าจริงๆ ก็ยังไม่ใช่ข้อหักล้าง100% ของสมมติฐานครับ ตามหลักวิชาการน่าจะเป็นแบบนี้ครับ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:44:48

ความคิดเห็นที่ 83 ^ ^ ^ ผมเห็นคำตอบคุณเต่าไม่กินผักบุ้ง...ผมก็ค่อยคลายสงสัยแล้วครับ เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ "ใจ" คุณเต่าล้วนๆเลยครับ สมมติฐานเป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่ใช่ข้อสรุป แต่ในใจคุณเต่าเองได้สรุปไปแล้ว ดังนั้นผมขอจบดีกว่าครับ กระบวนการมองเราไม่เหมือนกัน คุณเต่าฯอาจจะยังคงไม่เข้าใจหลักการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะซึ่งเท่าที่อ่านดูบางท่านในกระทู้นี้ก็เริ่มเข้าใจแล้ว ในเมื่อใจคุณยังไงก็ปฏิเสธก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องอธิบายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี่ครับ ส่วนที่ว่าพม่าไม่โปรโมต กรุณาไปหาบทความนี้อ่านก่อนนะครับ เพราะมีหลักฐานอยู่ในบทความต้นเรื่องที่แปลมาจากภาษาพม่าตีพิมพ์ในวาสารการท่องเที่ยวของทางการพม่า วิธีการโปรโมตไม่ได้หมายความว่าต้องกั้นรั้วทำปะรำหรือบูรณะให้ยิ่งใหญ่นะครับ การที่ให้สถูปคงสภาพข้างกองขยะนี้ก็ช่วยเสริมอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจในแก่ผู้พบเห็นอีกแง่นึงครับ ซึ่งประสบความสำเร็จเสียด้วย....คุณเต่าเองก็ดูราวกับติดกับเขาไปแล้วนะครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 14:45:48

ความคิดเห็นที่ 84 คุณเต่าไม่กินผักบุ้งคะ ว่างๆลองไปแอบฟังไกด์แถววัดพระแก้วบรรยายให้ฝรั่งฟังดูนะคะ บางครั้งไกด์ก็พูดในสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากฟัง เช่น ปราสาทพระเทพบิดร กลายเป็นบ้านพักนางแอนนางี้ หอพระนาก เป็นที่เก็บสมบัติงี้ อิฉันยังเคยเห็น ไกด์ชี้ๆไปที่พระที่รั่งจักรี แล้วบรรยายเป็นคุ้งเป็นแคว ว่าคิงพักห้องนั้น ควีนอยู่ห้องนี้ ด้านนู้นเป็นครัว   ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ จากคุณ : letsgokrabi เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 14:58:00

ความคิดเห็นที่ 85 "วิธีการโปรโมตไม่ได้หมายความว่าต้องกั้นรั้วทำปะรำหรือบูรณะให้ยิ่งใหญ่นะครับ การที่ให้สถูปคงสภาพข้างกองขยะนี้ก็ช่วยเสริมอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจในแก่ผู้พบเห็น" ผมจะพยายามเข้าใจอันนี้ครับ ส่วนเคสนี้ ผมหวังว่า นักวิชาการโบราณคดีทั้งไทยพม่า น่าจะหาหลักฐานมายืนยัน หรือมาหักล้าง สมมติฐานข้างต้นได้มากกว่านี้ หรือเมื่อถึงวันที่ ทุบเจดีย์ทิ้งไปแล้ว ก็อาจจะได้พบหลักฐานอะไรข้างในก็ได้ว่าใช่ไม่ใช่ ก่อนถึงวันนั้น ผมก็ขอ "เชื่อ" คำบอกเล่านี้ไปก่อนครับ ไม่เสียหาย แต่ก็คงไม่ได้ดิ้นรน หรือสนับสนุนกระบวนการอะไรให้ไปประท้วงอะไรพม่าหรอกครับ คิดว่าคงไม่เกิดผล ผมแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาๆทีสนใจด้านประวัติศาสต์ศิลปะ เล็กๆน้อยๆ พอโม้ให้เพื่อนฟังได้เท่านั้น ของที่เราต้องอนุรักษ์อยู่เมืองไทยเยอะแยะก็ดูแลกันไม่ไหวแล้วล่ะครับ ผมคิดงั้นนะ จากคุณ : เต่าไม่กินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 21:30:34