บนถนนสายชีวิต

    หวัดดีฟ้า ใสมาแต่เช้าเลยนะ
    หวัดดีลม หอบเอาความเย็นเยียบ 3 องศามาอีกวันแล้ว
    แหม ไม่เห็นใจกันบ้างเลย !

    นาฬิกาส่งเสียงติ๊กๆตีเข็มบอกเวลา 7 โมง 55 นาที
    ไม่ได้การล่ะ ดิฉันจำต้องวางถ้วยโกโก้อุ่นๆที่ถูกสำเร็จโทษไปแล้วครึ่งหนึ่ง
    ท้ิงไว้บนโต๊ะอาหารทั้งอย่างนั้นแล้วออกดำเนิน
    มิเช่นนั้นอาจถึงแก่ไม่เป็นอันทันขบวนรถขนหมู เอ๊ย ขบวนรถไฟ

    หนุ่มหน้าขาวสาวหน้าใสและลุงป้าที่ต้องทำมาหาเลี้ยงปากท้อง
    ของตนและบริวาร สวม เสื้อโค้ทสีดำปกป้องร่างกายจากความหนาวเย็น
    โดยคลุมทับเสื้อผ้า เก๋ไก๋มีราศีจับตามแบบฉบับ ชาวเมืองหลวง
    พวกเขาเดินก้มหน้างุดๆหนีบผ้าพันคอให้ติดแนบลำคอเพื่อที่ว่า
    ลมหนาวบรื๋อๆจะได้เล็ดลอดเข้าไปสวัสดีผิวหนังได้น้อยที่สุด
    แต่จะว่าไปแล้วคนกลุ่มนี้นับว่ายังโชคดีที่เดินเท้าจากบ้าน
    ไปยังสถานีรถไฟได้
    เพราะกลุ่มคนใหญ่กว่าอีกจำนวนหนึ่งต้องปั่นจักรยาน
    ฝ่าลมหนาวหรือลมฝนแล้วนำไปจอดกันเรียงราย ยาวเป็นกิโล ใกล้ๆสถานี
    อย่างไรก็ดี แม้ชั่วโมงแรกของการ เดินทางของเราจะต่างวิถี
    แต่ชั่วโมงต่อไปพวกเราก็ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน
    บนรถไฟขนาดความยาว 12 โบกี้

    ยามเช้าชั่วโมงขนหมูด่วน เอ๊ย ชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้
    นอกจากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีแล้ว
    ยังมีหนุ่มฉกรรจ์อีกราว 5-6 คนร่วมปฏิบัติภารกิจ
    ซึ่งถ้าจะบอกไป อาจมีฮา พอๆกับที่ดิฉันเคยฮามาแล้ว
    กับอาชีพที่ชื่อว่า รับจ้างตบ ตบลูกหนี้/เจ้าหนี้ ตบเมียหลวง/เมียน้อย บอกกันมาได้รับบริการตบทุกรูปแบบ...มีจริงๆ ครั้งละ 500
    กลับมาว่ากันต่อ
    หนุ่มๆกลุ่มนี้มีหน้าที่กึ่งอาชีพเรียกว่า พนักงานดันผู้โดยสาร
    ย้ำ พนักงานดันผู้โดยสาร (กรุณาอย่าฮาหรืออย่าลบหลู่เพราะของเขาแรงจริง อนึ่ง พวกเขาอาจเปลี่ยนเป็นพนักงานยันประตูหรือยันผู้โดยสารได้ หากรถไฟแน่นจนประตูปิดเองไม่ได้จริงๆ)
    ว่ากันว่างานแบบนี้
    อาจมีอยู่ที่มหานครโตเกียวเพียงแห่งเดียวในโลก

    ค่าโดยสารขาเดียวที่ดิฉันต้องจ่ายไปในเช้าวันนี้เกือบๆ200 บาท
    เพราะต้องเดินทางถึงเกือบ 2 ชั่วโมง
    โดยจุดหมายแรกของวันอยู่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว

    ความเบียดอัดในรถไฟชนิดขยับตัวไม่ได้ไม่ทำให้ดิฉัน
    รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
    เพราะเหตุเช่นนี้จะปรากฏอยู่เพียง 10-15 นาทีเท่านั้น
    เมื่อถึงสถานียอดนิยม อาทิ คายาบะโจ หรือ โอเทะมะจิ
    ที่คล้ายๆป้ายอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของกรุงเทพฯ
    นิสิต นักศึกษา ประชาชน ก็จะเฮโลไหลทะลักออกจากตู้รถไฟ
    และสาวเท้าออกไปอย่างไม่แยแสหรือไม่แม้จะหันกลับมามองโบกี้
    ที่เมื่อครู่ยังวิ่งกระหืดกระหอบขอเข้าใกล้ชิด...ดูเอาเถิดหัวใจคนเมือง !

    จุดหมายปลายทางด้านตะวันตกแห่งนี้ยังคงสงบนิ่งเฝ้ารอดิฉัน
    และนักเดินทางคนอื่นๆอยู่เสมอ
    ดิฉันมีเวลาเพียง 2 ชั่วโมง ที่จะอยู่ในบ้านของนักเรียน
    เธอเป็นชาวญี่ปุ่น
    เธอเป็นคุณแม่ยังสาวที่มีลูกสาววัย 3 ขวบ
    เธอเป็นเมียและแม่บ้านของชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
    ที่เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งถูกส่งไปทำงานในบริษัทสาขาที่กรุงเทพ
    และอีกสองเดือน นักเรียนของดิฉันจะ ต้องติดตามสามีไปที่นั่น
    ที่ที่เธอจะต้องพูดและฟังภาษาไทย

    นักเรียนของดิฉันอาศัยอยู่ชานเมืองโตเกียว
    แต่กระนั้น ห้องชุดหลังใหญ่ที่เธออาศัยอยู่กับลูก
    ก็ดูหรูหราเสียจนให้รู้สึกได้ว่าครอบครัวนี้ ในระดับหนึ่งนั้น
    คงมีฐานะกว่าคนญี่ปุ่นทั่วๆไป
    การเรียนภาษาไทยครั้งนี้ เป็นสวัสดิการที่ ต้นสังกัดของสามีมีให้
    กอ่นที่จะส่งพนักงานไปประจำยังต่างประเทศ
    โดยผู้เป็นสามีสามารถเรียนได้ไม่จำกัด
    ขณะที่ภรรยาได้รับอานิสงส์ไม่เกิน 20 ชั่วโมง

    ตามปกติเสียงสระออ และเสียงสระแอ
    เป็นเสียงปราบเซียนญี่ปุ่น
    คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ออกเสียงออ เป็น โอ และ แอ เป็น เอ
    แต่จะด้วยความสามารถในการสอนของดิฉัน
    หรือพรสวรรค์ของนักเรียนก็ไม่อาจทราบได้
    เธอสามารถออกเสียงเหล่านี้ได้อย่างไม่มีที่ติ
    แต่ที่เก่งกว่าเห็นจะเป็นลูกสาววัย 3ขวบ ของเธอ
    ที่พูดเลียนเสียงได้เหมือนคนไทยจริงๆ

    รถไฟยามบ่ายแทบไม่มีผู้คน
    บ้านหลังเล็กๆและอาคารสูงหลายสิบชั้นวิ่งผ่านหน้าดิฉันไป
    แล้วภาพถัดมาเมื่อรถไฟมุดเข้าใต้ดิน ก็เป็นแต่เพียงความมืด
    แต่ความมืดที่ว่านี้กลับเป็นความชื่นชอบของดิฉัน
    เพราะกระจกหน้าต่างที่เคยโปร่งแสงกลับกลายเป็นกระจกเงา
    สะท้อนภาพใบหน้าของดิฉันให้เห็นได้อย่างแจ่มชัด
    การได้เห็นอะไรสวยๆงามๆในระหว่างการเดินทางเช่นนี้
    ทำให้รู้สึกหายเหนื่อยไปอักโข หุ หุ

    จุดหมายที่สองของดิฉันในวันนี้
    เป็นองค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
    เป็นที่ที่ดิฉัน
    ต้องไปให้คนญี่ปุ่น
    ช่วยฝึกการออกเสียงภาษาไทยให้!

    จากคุณ : cold-outside - [ 22 ม.ค. 46 15:37:19 ]