ความคิดเห็นที่ 1 ซักพักนึงพอเริ่มสายก็ออกไปเรียกตุ๊กตุ๊ก (เพราะจะไปดูหลายแห่ง) เจ้าหนึ่งเป็นคนตกลงราคาเป้นมั่นเป็นเหมาะแล้วก้โอเค ไปกันเลยครับ จุดหมายแรกในวันนี้เรียกกันว่า “ถ้ำเสือ” (Tiger Cave) อยู่ทางทิศเหนือของมามัลลปุรัม ห่างขึ้นไปซัก 5 กม. ที่นี่ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดเขื่อง ที่ช่างชาวทมิฬเมื่อพันปีก่อน มาแกะสลักเพื่อดัดแปลงเป็นเทวสถาน แต่ว่ายังไม่เสร็จครับ ถึงชื่อสถานที่จะน่ากลัว แต่พอได้มาเห็นถ้ำเสือกับตา คงต้องบอกว่า “น่ารัก” มากกว่า “น่ากลัว” ครับ เพราะมันดูยังกะฉากการ์ตูนวอลต์ ดิสนีย์มากๆ เสือแต่ละตัวที่โผล่หัวแสยะยิ้มรอบถ้ำ หน้าตาน่าเอ็นดูทั้งนั้น??? สงสัยสถาปนิกที่ออกแบบคงจะกลับชาติมาเกิดเป็นคนเขียนการ์ตูนแน่ๆเลย อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ่ายรูปเสร็จก็ไปกันต่อครับ ที่ต่อไปที่มาดูอยู่ในตัวตำบลมามัลลปุรัมนี่หล่ะครับ เรียกว่า “หน้าผาแม่พระคงคา” เป็นไฮไลต์อย่างนึงของที่นี่ครับ หน้าผาที่ว่านี้นะครับ จะมีร่องน้ำไหลอยู่ตรงกลาง ช่างโบราณมาเห็นเข้าก็ปิ๊งไอเดีย แกะสลักหน้าผาทั้งแผ่นเป็นรูปเล่าเรื่อง “การอัญเชิญแม่พระคงคาลงมาจากสวรรค์” เป็นตำนานโบราณของฮินดูครับ เล่าว่า...กษัตริย์องค์นึงมีบรรพบุรุษไปล่วงเกินพระนารายณ์เข้า จึงถูกเผาจนตายเกลี้ยง ท่านเองเลยต้องมาบำเพ็ญตบะเล่นโยคะเพื่อขอพรพระอิศวร ซึ่งก็ทรงเมตตายอมให้แม่พระคงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ไหลลงมายังโลก เพื่อชำระบาปของบรรพบุรุษของกษัตริย์องค์นั้นจนบริสุทธิ์ วิญญานจะได้ไปสู่สวรรค์ต่อไป....หน้าผานี้จะเป็นภาพเหล่าเทพยดาและสรรพสัตว์นานาชนิด มาร่วมกันแสดงความยินดีที่แม่พระคงคาเสด็จลงมาชำระบาป...โอ้โห...แกะกันเก่งจริงๆ ไอเดียบรรเจิดมากๆครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายบนภาพสลักที่มีทั้ง ช้าง กวาง ลิง สิงโต กินรี กินนร ฯลฯ มีอยู่ตัวนึงที่น่ารักเป็นพิเศษ จนขโมยซีนความเด่นของตัวอื่นๆไปได้ ก็คือ “แมว” ครับ เจ้าเหมียวอายุพันปีตัวนี้ไม่ธรรมดา ก็ตรงที่ช่างแกะสลักให้มันเป็น “แมวเล่นโยคะ” ครับ ดูแล้วก็ฮาดี เห็นฝรั่งบอกว่าเหมือน “แมวเต้นบัลเลต์” มากกว่า ฮ่วย??? แถมยังมีหนูเป็นบริวารด้วยนะ ประหลาดดีครับ เพิ่งรู้ว่าช่างอินเดียโบราณเค้าก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน....อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทักมายเจ้าเหมียวพันปีเสร็จปุ๊บ ก็ไปยังจุดหมายต่อไปครับ เป็นปราสาทหินขนาดย่อม 5 หลังที่แกะสลักจากหินแกรนิตก้อนเดียว เรียกว่า “ปัญจรถะ” ที่นี่เค้ามีล้อมรั้วเก็บตังค์ครับ ชาวต่างชาติคนละ 5 US เพราะเป็นมรดกโลก (ตั๋วนี้เอาไปเที่ยวปราสาทหินริมหาดได้ด้วยครับ) ปรากฏว่าวันนี้มีเด็กชั้นประถมมาทัศนศึกษากันตรึม ทั้งแบบโรงเรียนประชาบาลกะโรงเรียนในเมือง (เห็นเครื่องแบบผิดกันครับ) บรรยากาศโบราณสถานแห่งนี้เลยเป็นเหมือน “งานวันเด็กแห่งชาติ” ก็สนุกสิครับ น้องๆหนูๆทั้งหลายต่างก็แตกฮือกันปีนป่ายปราสาทหินอย่างสนุกสนานราวกับดรีมเวิร์ล มุดหลังโน้นโผล่หลังนี้เป็นที่เบิกบานถ้วนหน้า พวกผมสองคนก็ถ่ายรูปไปตอบคำถามเด็กไปครับ เพราะเด็กๆนักเรียนอินเดียนี่ไม่มีกลัวชาวต่างชาติเลย เห็นปุ๊บพุ่งมาส่งภาษาอังกฤษทักทายเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองไปหมด ฟังๆดูภาษาเค้าดีกว่าผมซะอีก รู้สึกเขินๆเด็กเหมือนกันที่ตอบเค้ามะค่อยได้ (ภาษาปะกิตลุงอ่อนซ้อมไปนิดนะหนู แหะๆๆๆ) จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ปราสาทหลังใหญ่สุดในจำนวน 5 หลังครับ ชื่อว่า "ธรรมราชารถะ"...เด็กตรึม!!! จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:17:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ปราสาทหลังรองๆลงมา "ภีมะรถะ" "อรชุนรถะ" และหลังสุดปลายแถวคือ "เทราปทีรถะ" จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "นกุลสหเทวะรถะ" กับช้างตัวโต...ปราสาทหินทั้ง 5 หลังนี้ เอาชื่อตัวละครในมหากาพย์ "มหาภารตะ" มาตั้งเป็นชื่อปราสาทครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เหนื่อยกะการถ่ายรูปและตอบคำถามเด็กๆจนเสร็จแล้ว ท้องก็เริ่มร้องล่ะสิ ว่าแล้วก็ไปหาของกินดีกว่า เจ้าหนึ่งเลยส่งภาษาบอกตุ๊กตุ๊กว่า ไปร้านอาหาร “non veg” คือมีอาหารพวกเนื้อสัตว์อ่ะครับ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียเป็นมังสวิรัติ ร้านอาหารส่วนมากก็เป็น “veg” ซะหมด ถ้าอยากกินอาหารให้ถูกปากอย่างเคยก็เลยต้องไปร้าน “non veg” ครับ...ตุ๊กตุ๊กคันนี้ก็ดีใจหาย พาเรามาส่งไว้ที่รีสอร์ทหรูริมทะเลแห่งนึง บรรยากาศดีที่เดียว ตอนแรกกลัวราคาจะโหด แต่พอมาดูเมนูแล้วก็โอเคครับ ราคาสมเหตุสมผล มื้อเที่ยงนี้ผมเลยล่อ “Mutton Briyani” เป็นข้าวหมกเนื้อแพะแบบฮินดู แกล้มกับ “Fish Tanduri” เป็นปลาทะเลคลุกเครื่องเทศย่างเสิร์ฟร้อนๆ อร่อยราวกับหล่นมาจากสวรรค์!!! วิวที่กินข้าวก็ดีครับ เพราะติดสระว่ายน้ำของรีสอร์ท ซึ่งอุดมด้วยสาวฝรั่งในชุดว่ายน้ำละลานตา 5555 เมื่ออิ่มท้อง (กะอิ่มตา...อิอิ) เราก็ให้ตุ๊กตุ๊กพาไปที่ “ปราสาทหินราชสิงเหศวร” ตรงริมทะเลที่เมื่อวานมาเดินเลียบๆเคียงๆรอบนึงแล้ว วันนี้จะเข้าไปถ่ายรูปครับ แม้ว่าปราสาทหินหลังนี้จะไม่ใหญ่โตมากนัก (ขนาดพอๆกับปราสาทพนมรุ้งของบ้านเรา) แต่ความเก่าแก่ผิดกันเยอะครับ กำแพงปราสาทหินนี่ก็น่ารักดีครับ ทำเป้นรูปวัวหมอบเรียงรายกันไป บ่งบอกว่าเป็นเทวาลัยอุทิศแด่ “พระอิศวร” หรือพระศิวะ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้างๆปราสาทจะมีสระน้ำโบราณอันนึง ตรงกลางสระมีรูปหมูป่า ที่อาจหมายถึงพระนารายณ์ก็เป็นได้ แสงแดดตอนนี้ไม่ค่อยเอื้อนัก เลยถ่ายรูปมาได้แต่ตูดหมู!!! จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จากนั้นก็เลาะเลียบเข้ามาถึงตัวปราสาทหิน ซึ่งภาพแกะสลักต่างๆเลือนหายไปพอสมควร เนื่องจากกาลเวลาและการกัดกร่อนจากลมและฝุ่นทราย แต่ก็ยังเหลือความงามในอีกหลายๆมุมครับ.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในซอกหลืบนึงของ "ปราสาทราชสิงเหศวร"...... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:34:34 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เสร็จจากที่นี่ ตุ๊กตุ๊กเขาก็ย้อนมาส่งเนินเขากลางเมืองอีกที เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปตามถ้ำต่างๆทั้งที่ขึ้นไปเมื่อวานกะที่ยังไม่ด้ดูอีกหนนึง เพราะว่ามีหลายถ้ำครับ เริ่มจาก “ถ้ำปัญจปาณฑวะ” อยู่ตรงเชิงเนินติดกับหน้าผาแม่พระคงคาที่ดูไปเมื่อเช้า หน้าถ้ำแกะสลักเป็นเสารูปตรีศูล (หอกสามง่าม) ซึ่งเป็นอาวุธของเทพเจ้า ดูเท่ดีครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เดินต่อมาหน่อยก้จะถึง “ถ้ำกฤษณะมัณฑะปัม” ข้างในถ้ำนี้มีภาพสลักชุดใหญ่ เรื่อง “พระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ” เป็นเรื่องการประลองกำลังระหว่างพระกฤษณะ (เป็นพระนารายณ์อวตาร) กับพระอินทร์ครับ พระกฤษณะท่านเป็นเด็กเลี้ยงวัว เลยทรงพระโชว์พาว ด้วยการใช้หัตถ์เพียงข้างเดียว แบกภูเขาไว้ทั้งลูกเพื่อกำบังฝน เหอๆๆ เท่สุดๆ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:36:49 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพสลักนี้น่าสนใจตรงที่มีรูปการรีดนมวัวด้วย สงสัยตามท้องเรื่องฝนจะตกนาน ก็เลยรีดนมวัวไปพลางๆก่อนละมั้งเนี่ย.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เสร็จแล้วย้อนกลับไปถ่ายรูป “ถ้ำวราหะ” ที่ดูไปเมื่อวานนี้แล้ว จากนั้นก็ปีนขึ้นเนินอีกครั้ง แต่คราวนี้ไปโผล่ตรง “ถ้ำรามานุชะ” เป็นถ้ำโล่งๆ แต่หน้าถ้ำมีเสาหินแกะสลักเป็นรูปสิงห์โต สวยดีเหมือนกันครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เดินจากจุดนี้ขึ้นไปเรื่อยๆอีกก็จะมาจบสุดท้ายที่ “ถ้ำมหิษาสุรมรรทนี” ตรงใต้ประภาคารที่มาชมวิววันก่อนครับ ตรงนี้คนเยอะมาก ต้องรอคิวถ่ายรูปกันเลยล่ะครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จุดเด่นของถ้ำนี้ก็คือภาพแกะสลักที่ผนังถ้ำอ่ะครับ ข้างซ้ายจะเป็นเรื่อง “พระอุมาปราบปิศาจหัวควาย” เป็นที่มาของชื่อถ้ำนี่ล่ะครับ ตำนานบอกว่า ปิศาจหัวควายตัวนี้เทพเจ้าที่เป็นบุรุษปราบไม่ได้เลย ต้องเป็นเทพสตรีเท่านั้น พระอุมาเลยมาในบทโหด ขี่สิงห์โตถือธนูไล่ยิงปิศาจหัวควาย แต่จะว่าไป...รูปสลักปิศาจหัวควายที่นี้ก็น่ารักดีนะครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถัดไปอีกข้างจะเป็นภาพสลัก “นารายณ์บรรทมสินธุ์” ดูท่าทางท่านบรรทมแล้ว สงสัยท่านคงจะรำพึงในพระทัยว่า “การกอบกู้โลกนี่ มันเหนื่อยเสียจริงจริ้งงงง เฮ้อออออ” เพราะเล่นบรรทมอย่างที่เรียกว่า “แผ่สองสลึง” อาการเมื่อยล้าแบบนี้น่าจะเสด็จไป “สปา” ซะก็สิ้นเรื่อง!!! จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้ว เราก็ย้อนกลับลงมาครับ เพราะนี่ก็จะบ่ายสามโมงกว่าๆแล้ว เดี๋ยววันนี้ต้องขึ้นรถไปที่เมืองกาญจีปุรัม (Kanchipuram) ต่อครับ หนทางยังอีกไกล เลยกลับไปเก็บสัมภาระจากที่พัก แบกปุเลงๆไปยังท่ารถประจำตำบลครับ พอถึงก็ต้องร้องเลยครับ เพราะคนเยอะมากๆๆๆๆๆ วันนี้วันอาทิตย์ด้วยคนเค้าเข้าเมืองกัน พวกผมสองคนมะงุมมะหงาหราหารถบัสอยู่ซักพักก็เจอ (ไอ้หนึ่งมันอ่านอักษรทมิฬออกบ้างนิดหน่อย) ก็พอกันโหนขึ้นรถเลยครับ ขอบอกว่ารถคันนี้โครตแน่นโครตๆๆๆๆ เบียดกันจนไม่รู้จะเบียดยังไง ยิ่งมีคนไทยสะพายเป้เบียดขึ้นไปอีก ก็เริ่มมีเสียงบ่นนิดๆจากคนรถ รถบัสนี่ออกไปได้ซักพักคนขับมันก็จอดเลยครับ แล้วมีเด็กรถมาส่งภาษาอัญเชิญหนุ่มไทยทั้งสองลง โทษฐานสะพายของมากเกินเหตุ??? กรูก็งงสิครับ แต่ช่างเหอะ เพราะจะให้ผมยืนโหนอย่างงั้นไปก็ไม่ไหวล่ะครับ ไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน เจ้าหนึ่งเลยชวนเดินกลับเข้าตัวตำบลครับ (นี่ดีนะรถออกมาไม่ถึงกิโล ม่ายงั้นสะพายเป้เดินกันขาลากแน่) พอดีเห็นมีป้ายบริษัทรถเช่า เลยปรึกษากันว่าจะทุ่มทุนสร้างแล้ว เพราะนี่ก็สี่โมงเย็นแล้ว เดี๋ยวจะไปถึงเมืองกาญจีปุรัมไม่ทันค่ำมืด สุดท้ายก็ได้เช่าแท็กซี่รุ่นคุณลุงติดแอร์ธรรมชาติมาคันนึง ถึงจะแก่แต่ก็วิ่งนิ่ม สนนราคาค่าเช่า 600 รูปีครับ ดีกว่าแกร่วอยู่ที่นี่ รถแท็กซี่คันนี้วิ่งนิ่มดีครับ คนขับก็โอเคขับรถใช้ได้ ด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ กับถนนลาดยางสองเลนสบายๆ พวกผมก็มาถึงเมืองกาญจีปุรัมซะทีครับ โอ้โหเฮะ...เมืองใหญ่โตไม่ใช่เล่น ผู้คนเยอะแยะครับ รู้สึกไม่เหงาดี แท๊กซี่เรามาส่งที่โรงแรมแห่งนึงใกล้ๆกับท่ารถประจำเมือง เจ้าหนึ่งส่งภาษาแล้วพากันขึ้นไปดูห้อง ก็พออยู่ได้ครับ มีพัดลมเพดาน ห้องน้ำในตัว หน้าต่างเปิดได้แต่มีเหล็กดัด ใกล้ท่ารถกะแหล่งของกินอีกตะหาก เอ้า คืนนี้นอนนี่หล่ะครับ....เฮ้อ จบไปอีกวันแล้วครับ (รูปสุดท้าย...ตำบลมามัลลปุรัม มองจากถ้ำรามานุชะครับ)... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 7 ก.ย. 47 03:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Very very nice picture จากคุณ : Mr.dear (Mr.Dear) - [ 7 ก.ย. 47 07:55:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ยังตามมาเที่ยต่ออยู่นะครับ อย่าหายไปนาน อิอิ ขอบคุณครับ จากคุณ : jojo02 - [ 7 ก.ย. 47 08:20:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตามมาSAVEนะคะท่านพี่ ทำไมคุณพี่จำรายละเอียดได้เยอะจัง เวลาเราไปเที่ยวกลับ มาแล้วมันก็หายไปไหนหมดไม่รู้ ข้อมูล ข้อมึนเนี่ย นับถือจริง จากคุณ : ลมแล้ง - [ 7 ก.ย. 47 11:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อลังการงานสร้างแต้ ๆ ครับ จากคุณ : ฮิมดอย - [ 7 ก.ย. 47 13:39:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ท่าทางน่าสนุกจัง แต่คงเหนื่อยนะคะ เล่นปีนป่ายปราสาทหินทั้งวัน แต่รูปแกะสลักสวยดีค่ะ น่ารักดี โดยเฉพาะน้องเหมียว (ที่จริงต้องเป็นทวดของทวดสินะ อายุเป็นพันปี) จากคุณ : Red Apple - [ 7 ก.ย. 47 16:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตามไปเที่ยวด้วยครับ จากคุณ : <---TUk---> - [ 7 ก.ย. 47 17:34:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตามเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : หนุ่มเฮสเซ่น (Hessenboy) - [ 7 ก.ย. 47 17:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาเซฟอีกกระทู้ครับ จากคุณ : kiuchi - [ 7 ก.ย. 47 20:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ต่อๆๆ :D มารอฟังค่ะ จากคุณ : ปอมมี่ (freedom_pomme) - [ 7 ก.ย. 47 22:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เราก็ไปเมืองนี้มาแล้วตอนเดือนเมษา ที่นี่น่าสนนะ อยากจะเพิ่มอีกเมืองที่อยู่ระหว่าง mahabalipuram and kancipuram มีเมืองที่น่าแวะนะ ชื่อ tirukalikundram มีเทวสถานของพระศิวะอยู่บนยอดเขา ต้องปีนขึ้นไป เหนื่อยมาก แต่คุ้มสุดๆ และเมื่อมองลงมาข้างล่าง ก็จะเห็นเมืองนี้ มีเทวสถานตั้งอยู่กลางเมือง และมีโคปุระ (ซุ้มประตูทางเข้าวัด) ตั้งตระหง่าน สูงราวตึก 10 ชั้น ตั้งอยู่ทั้งสี่ด้านของเมือง อลังการจริงๆ เป็นเทวสถานของพระศิวะที่สร้างรุ่นหลังๆ ประมาณช่วงของราชวงศ์วิชัยนคร,ราชวงศ์ nayaka ประมาณนี้นะ อลังการจริงๆ จากคุณ : น้องภูเก็ต - [ 14 ก.ย. 47 22:34:33 A:202.129.51.190 X: TicketID:073132 ]