CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    <<<< ตระเวนอินเดียใต้-ไหว้พระอิศวร-ชวนชมศิวลึงค์-ทริปน่าทึ่ง by หนุ่มเมืองกรุง [5] >>>>

    ------- 9 มีนาคม 47 (วันที่ห้า) -------

    มื้อเช้าสำหรับวันนี้ ยังคงเป็น “Poori” หรือที่ผมมาเรียกเอาเองว่า “ลูกโป่งทอด” ก็ในบรรดาอาหารจำพวก “Veg” ก็มีเจ้านี่แหละครับที่ถูกปากแล้ว เฮ้อออ....นึกถึงข้าวผัดไก่ทอดง่ะ....จัดการมื้อเช้าเสร็จ ผมกะเจ้าหนึ่งก็พุ่งตรงมายังเทวสถานใหญ่กลางเมืองจิตัมพรัมทันที เพราะในเมืองนี้มีไฮไลต์อยู่ที่นี่เองล่ะครับ….เทวสถานใหญ่แห่งนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สภานายกะนาฏราชา” ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางใจกลางเมือง อาณาเขตของเทวสถานถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงตระหง่าน ราวกับเป็นเมืองอีกเมืองนึงซ้อนอยู่ภายใน ถ้ามองไปบนสันกำแพงจะเห็นรูปโคนั่งหมอบเป้นระยะ บ่งบอกว่าภายในเขตศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังกำแพงนี้ เป็นเสมือนพระราชวังขององค์พระศิวะเทพ ที่มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราคนแล้วคนเล่ามุ่งหน้ามา เพื่อเข้าเฝ้าขอพรจากพระหัตถ์แห่งเทวะพระองค์นั้น......เอ๊ะ พิมพ์ไปมาสำนวนชักจะออกเป็นนวนิยายเลยอ่ะ???

    ว่ากันต่อครับ...จำได้มั้ยครับว่า ผมเคยเกริ่นเรื่อง “สะดือจักรวาล” ว่าอยู่ที่นี่ หลายท่านคงสงสัยว่าหมายถึงอะไร เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ...เทวสถานแห่งนี้ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง จากชาวฮินดูทั้งหลายทั่วประเทศอินเดียโดยเฉพาะชาวทมิฬ เนื่องจากเชื่อกันว่า บริเวณจุดนี้คือ สถานที่ซึ่งพระศิวะเสด็จลงมาร่ายรำเป็นครั้งแรก ที่เรารู้จักกันดีว่า “ศิวนาฏราช” นั่นเองครับ…ตำนานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มีหลายกระแสครับ เอาที่นิยมเล่ากันหลักๆก็คือ แต่เดิมตรงจิตัมพรัมนี้เป็นป่า มีอาศรมของพวกฤๅษีนอกรีตอยู่กลุ่มนึง ซึ่งประพฤติผิดจากหลักคำสอน (คงจะเป็น “สมี” อะไรทำนองนั้นอ่ะ) พระศิวะทรงทราบเข้าจึงดำริจะสั่งสอนพวกฤๅษีเหล่านี้ ท่านจึงชวนพระนารายณ์แปลงกายเป็น “ฤๅษีหนุ่ม” กับ “เมียสาว” มาหลอกล่อให้พวกฤๅษีอลัชชีเหล่านี้ทะเลาะกัน จนพวกนั้นโกรธมากถึงขั้นจะทำร้ายเทพเจ้าทั้งสอง โดยเสกสัตว์ร้ายและปิศาจไปทำร้าย ครั้นพระนารายณ์จะออกหน้าปราบมารเหล่านี้เอง พระศิวะท่านก็ห้ามไว้ทำนองว่า “น้องไม่ต้อง ครั้งนี่พี่ลุยเอง!!!” ว่าแล้วพระศิวะท่านก็แผลงฤทธิ์ทำลายสิ่งชั่วร้ายที่พวกอลัชชีนั้นเสกมาจนหมดสิ้น เป็นอันว่า “ธรรมะ” ชนะ “อธรรม” ครับ…พระศิวะท่านทรงชื่นชมโสมนัสในชัยชนะครั้งนี้ จึงทรงฟ้อนรำอย่างสง่างามด้วยกระบวนท่าทั้งสิ้น 108 ท่า ทำเอาบรรดาสรรพสัตว์และเทวดาทั้งหลายทุกสวรรค์ชั้นฟ้าต่างตื่นตะลึงกันมาก เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดทั่วทั้งจักรวาลนี้ที่สามารถฟ้อนรำได้สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์เพียงนี้มาก่อน จนทุกคนพร้อมใจกันยกย่องพระศิวะว่า “นาฏราชา” หรือ “ราชาแห่งการฟ้อนรำ” ….

    และที่มีคำกล่าวว่า จุดที่พระศิวะทรงร่ายรำ ณ จิตัมพรัม นี้เป็นเสมือน “สะดือจักรวาล” อันเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในจักรวาล ก็เนื่องจากชาวฮินดูเชื่อว่า “จังหวะการฟ้อนรำของพระศิวะ คือจังหวะการเคลื่อนไหวของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล” เปรียบเสมือนชีวิตมนุษย์ที่ยังคงอยู่ได้ เพราะหัวใจที่ยังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอไงล่ะครับ….อูยยย ปรัชญาลึกซึ้งจริงๆเลยครับ…ซึ่งความเชื่อเรื่อง “ศิวนาฏราช” นี้ยังตกทอดมาสู่วัฒนธรรมไทยเราด้วยนะครับ ในปัจจุบันนี้ เด็กนักเรียนนาฏศิลป์ทุกคนยังต้องไหว้ครู “พระอิศวร” เพื่อรำลึกในพระคุณที่ทรงประทานศิลปะชั้นสูงที่เรียกว่า “นาฏศิลป์” นี้แก่มวลมนุษยชาติ ทำให้ “มนุษย์” ต่างจาก “สัตว์” ตรงที่รู้จักความสุนทรีย์จากศิลปะชั้นสูงแขนงนี้ ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์นั่นเองล่ะครับ

     
     

    จากคุณ : NMkrung - [ 11 ก.ย. 47 00:11:32 ]