ความคิดเห็นที่ 1 รูปพระโคเนี่ย ไม่ใช่มีแต่องค์ใหญ่หน้าปราสาทที่เดียวนะครับ บนกำแพงหินที่ล้อมรอบปราสาทก็มี “ฝูงพระโค” นั่งกินลมกันสลอนเชียวล่ะ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จากตรงกำแพงนี่ก็หันดูโคปุระกันบ้าง เนื่องจากเป็นช่องประตูใหญ่ก่อนเข้าภายในบริเวณปราสาท แขกไปใครมาก็ต้องผ่านตรงนี้ ก็เลยต้องมียักษ์ใหญ่ทำหน้าที่ “ทวารบาล” (อ่านว่า ทะ-วา-ระ-บาน นะครับ อย่าออกเสียงผิดเป็น ทะ-วาน-บาน ล่ะเดี๋ยวความหมายจะเพี้ยน!!!) หรือผู้ปกป้องคุ้มครองประตูทางเข้า ทำหน้าที่ “สกรีน” ไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้าไปภายในเทวสถาน ยักษ์ใหญ่ตนนี้หน้าตาดีเชียวล่ะครับ ยิ้มแสยะเห็นเขี้ยวยาวๆ ทำท่าทางยังกะกำลังยืนตะกายกระบองฟ้อนรำ “โชว์” นักท่องเที่ยวไปด้วยขณะยืนยาม แหม้ ใจเนี่ยอยากจะทิปพ่อยักษ์ใหญ่ตนนี้ แต่แกคงไม่รับอ่ะนะ อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:49:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ผนังโคปุระใต้เท้ายักษ์ ใหญ่ทวารบาล ก็จะมีภาพสลักเล่าเรื่องเทพนิยายในศาสนาฮินดู อย่างตรงนี้จะเป็นภาพพระศิวะประทับนั่งเอกเขนกเคียงข้างพระอุมา รับการถวายความเคารพจากเทวดาทั้งหลาย โดยมีคนแคระตัวอ้วนกลมเป็น “หน้าห้อง” คอยต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเฝ้า จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พอผ่านโคปุระชั้นในเข้ามายังบริเวณลานปราสาท ก็น่าแปลกนะครับว่า คนเยอะแยะที่ตรงโคปุระเนี่ยหายไปไหนหมด ไม่รู้เดินกันไปทางไหน แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับ เพราะถ่ายรูปได้สะดวกดายไม่ต้องรอหลบคน กว่าจะได้รูปนี้ขอเล่าหน่อยเหอะ ต้องปีนบ่อน้ำถ่ายเอานะครับ ถึงจะไม่สูงนักแต่ก็ตะกายขึ้นไปลำบากน่าดู เสียวตกบ่อจริงๆ แต่เพื่อท่านผู้ชม เราทำได้ 55555 จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มาแล้วววว รอตั้งหลายวันแน่ะ จากคุณ : L a u r e l - [ 20 ก.ย. 47 00:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตรงหน้าปราสาทประธานจะมีอาคารหลังใหญ่หลังนึง ต่อเติมออกมาข้างหน้าเรียกว่า “มัณฑะปัม” ยังสร้างไม่เสร็จอ่ะะครับ จะเห็นว่าข้างบนยังแหว่งๆอยู่ เป็นที่สำหรับคนที่มาไหว้รอเข้าไปสักการะศิวลึงค์ในปราสาทประธานครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปราสาทประธานของเทวสถานราชราเชศวรัม ยิ่งใหญ่ในทุกมุมมองจริงๆ สมกับที่เป็นศูนย์กลางความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรโจฬะ แหะๆๆ ผมว่าเมื่อวานตอนเย็นถ่ายสวยกว่านี้อีก คงเพราะแสงตอนเย็นดูดีกว่าแสงตอนสายๆยังงี้นะครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 และแล้ว พวกผมก็มาถึงบันไดทางขึ้นสู่ตัวปราสาทประธานครับ มียักษ์ใหญ่แกะสลักจากหินเป็น รปภ. อยู่ตามธรรมเนียม แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ คนดีอย่างพวกผมผ่านได้เสมอ อิอิอิ ที่นี่เค้าอนุญาตในพวก Non Hindu อย่างเราเข้าไปข้างในได้ด้วยนะครับ แต่ห้ามถ่ายรูปภายในเด็ดขาด ห้องภายในตัวปราสาทมืดมากพอสมควร ตอนแรกเดินเข้าไปนะเห็นแต่ผนัง พอพรวดพ้นมาตรงกลางถึงเจอคนเพียบเลยในนั้น ที่แท้ผู้คนที่ตอนแรกสงสัยว่าหายไปไหนน่ะ มาออกันอยู่ในนี้ทั้งนั้นเลย จุดหมายของทุกคนคือ การมาบูชา “อภิมหาศิวลึงค์ยักษ์” อันตั้งตระหง่านเป็นประธานอยู่กลางวิมานภายในนี้ไงล่ะครับ ผมกะเจ้าหนึ่งได้แต่ชะเง้อข้ามหัวคน เพื่อจะมองให้เห็นกะตาชัดๆซักที เพราะเค้าไม่ให้เข้าไปใกล้ๆครับ ก็เห็นเป็นแท่งศิวลึงค์ใหญ่โตสูงสัก 4 เมตรเห็นจะได้ ข้างบนเป็นพญานาค 7 เศียรสีเงินวาวๆแผ่พังพานคลุมอยู่เหมือนร่ม มีแท่นยกพื้นสำหรับพราหมณ์ขึ้นไปรดน้ำบูชา แสงประทีปวอมแวมข้างในช่วยเสริมสร้างบรรยากาศขรึมขลังให้กับที่นี่พอสมควร เสียแต่ว่าเงียบไปหน่อยไม่มีดนตรีประโคมเหมือนที่จิตัมพรัม อารมณ์ก็เลย Build ไม่ขึ้นเท่าไรนัก หนำซ้ำยังต้องเบียดคุณลุงคุณป้าหลายท่านที่ดันต่อๆมาจะเข้าบูชาข้างในให้ได้ ซักพักเจ้าหนึ่งก็สะกิดว่าออกมาเหอะ หายใจไม่ออกแล้ว ก็เลยตามมันออกมา แหม้ น่ามีสาวๆในนั้นมั่งนะครับ จะได้มีกำลังใจยืนอยู่เบียดต่อ อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เดินออกมาจากข้างในปราสาท ก็เจอกับ “พระสรัสวดี” มเหสีของพระพรหม ซึ่งศาสนาฮินดูนับถือว่าเป็น “เทพีแห่งสติปัญญาความรอบรู้” เจ้าหนึ่งประเดิมนมัสการท่านก่อน จะได้เรียนจบไวไว ผมเองก็เลยขอพรท่านบ้าง เผื่อว่าขี้เลื่อยในสมองจะมลายหายไป โตขึ้นผมจะได้ฉลาดๆ ..อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:58:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นรอบๆดูภาพสลักที่ประดับประดาตามส่วนต่างๆของปราสาทประธาน สังเกตเห็นว่าประติมากรรมอะไรต่อมิอะไรที่นี่ จะมีการระบายสีเสมอ ดูแปลกไปจากปราสาทหินอื่นนะครับ เพราะปราสาทหินที่ผ่านมาแต่ละแห่งจะเป็นสีเนื้อหินตามธรรมชาติ ไม่มีสีสันระบายตกแต่งอย่างที่นี่ อย่างรูปนี้ก็ “พระศิวนาฏราช” ไงล่ะครับ ดูๆไปเหมือนท่าน Make Up มาเลยอ่ะ โดยเฉพาะกางเกงลายทางๆเจ็บๆเนี่ย คิดได้ไงอ่ะ 55555 จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 00:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ภาพสลักตามชั้นบนๆของตัวปราสาทก็ระบายสีเหมือนกัน ที่เห็นอยู่ในซุ้มเป็นรูปบุรุษยืนถือธนู เป็นปางนึงของพระศิวะนะครับ เรียกว่า “ตรีปุรันตกะ” หมายถึงตอนพระศิวะใช้ธนูวิเศษ ยิงทำลายเมืองเนรมิตของพวกอสูรรวดเดียว 3 เมือง ลูกธนูก็ไม่ได้ใช้วัสดุอะไรหรอกครับ ใช้องค์พระนารายณ์นั่นแหละ ขอให้ท่านแปลงกายเป็นลูกธนู เสร็จปุ๊บพระศิวะก็เอาขึ้นสายยิงทีเดียวอสูรกระจายเลยครับ เทวรูปที่ชั้นบนของปราสาท ก็จะเป็นรูปพระศิวะตรีปุรันตกะทั้งนั้นครับ เห็นเจ้าหนึ่งเล่าว่า “พระเจ้าราชาราชะ” ผู้สร้างปราสาทนี้ ภูมิใจมากๆที่สามารถกินรวบอาณาจักรใกล้เคียงทั้ง 3 แห่งได้ คืออาณาจักรปัลลวะ, ปาณฑยะ, ศรีลังกา เหมือนกับพระศิวะที่ยิงธนูทีเดียวเมืองอสูรแตกไป 3 เมือง ก็เลยแกะสลักรูปพระศิวะปางดังกล่าว ประดับไว้ที่นี่เป็นกรณีพิเศษครับ . จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:01:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นี่ไง ยักษ์ใหญ่ทวารบาล (อ่านออกเสียงให้ถูกนะครับ) ก็ Make Up เหมือนกันนะเนี่ย อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เดินไปเดินมาก็มาโผล่ตรงปราสาทหินหลังน้อย “สุพราหมัณยะวิมาน” ดูห่างๆก็ตกแต่งซะแพรวพราวไปหมด ลองเข้าไปยลโฉมใกล้ๆกันดีก่า... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผนังของสุพราหมัณยะวิมานนั้นเป็นก่อด้วยหินที่ขัดจนเรียบสนิท แล้วจึงมีการสลักเสลาเป้นเสาเป้นซุ้ม ยักเยื้องเป็นเหลี่ยมมุมอย่างสวยงาม สำหรับตรงนี้ก็เป้นซุ้มของ “เจ้าของบ้าน” พระสกันทะ โอรสองค์เล็กของพระศิวะ มีนกยูงเป็นพาหนะ (อยู่ข้างหลังนั่นไงครับ) ชาวทมิฬนิยมเรียกนามท่านว่า “มูรูกัน” เป็นเทพแห่งสงครามของศาสนาฮินดูครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถัดมาอีกด้าน เป็นซุ้มของ “ท่านพี่” พระพิฆเนศร์ โอรสองค์โตของพระศิวะไงล่ะครับ ผนังก็สวยไม่แพ้ด้านท่านน้องเจ้าของบ้านเหมือนกันนะครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:06:57 ]

ความคิดเห็นที่ 16 พอเดินมาข้างหน้าสุพราหมัณยะวิมาน ก็เจอเข้ากับตัวประหลาดอีกแล้วอ่ะ เอ...มองไปมองมาคลับคล้ายคลับคลา ข้างบนเป็นมนุษย์ ข้างล่างมีขาเป็นสิงห์โต ยืนพนมมือไหว้อย่างนี้.....อ้อ ที่แท้ก็ “นรสีห์” สัตว์หิมพานต์ชนิดนึงนั่นเอง แบบนี้ที่วัดพระแก้วบ้านเราก็มีนะครับเด่นมากๆด้วย ถึงว่าสิทำไมคุ้นๆอ่ะนะ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:08:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เหอๆๆ แต่นรสีห์ในศิลปะทมิฬเนี่ย หนวดเครายาวเฟื้อยเป็นรุ่น “คุณลุง” เลยนะครับ ไม่ยักกะเป็นหนุ่มหน้าใสอย่างนรสีห์ไทยๆที่วัดพระแก้วเลยเนอะ ว่าแต่ลุงแกก็ไหว้สวยดีนะ น่าจะไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้แอร์อินเดียได้นะ แข่งกะการบินไทยไงล่ะ...อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:09:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เดินดูบริเวณปราสาทหินราชราเชศวรัมจนถ้วนทั่วพอใจแล้ว เจ้าหนึ่งก็แนะนำให้ไปดูคอลเลคชั่นศิลปวัตถุงามๆ ที่พระราชวังนายักส์ (Nayaks Palace) ไม่ไกลจากปราสาทหินแห่งนี้นัก...พระราชวังดังกล่าวเป็นของมหาราชาราชวงศ์นายกะ ที่ปกครองเมืองตัญจาวูร์ ตั้งแต่ราวๆ 400 ปีก่อน ภายหลังจาการล่มสลายของอาณาจักรโจฬะ พระราชวังที่ว่านี้ทางรัฐบาลอินเดียจัดไว้เป็น “พิพิธภัณฑ์” สำหรับจัดแสดงศิลปะวัตถุหลากหลายอย่างที่พบในเมืองโบราณแห่งนี้ ถึงแม้ว่าสภาพพระราชวังจะดูโทรมไปบ้าง และไม่ร่ำรวยเท่าวังมหาราชาแห่งไจยปูร์ หรือไฮเดอราบัด แต่ก็เป็นที่ที่น่ามาชมครับ เค้าแบ่งออกเป็นหลายส่วนนะครับ อย่างจุดที่ผมมาเนี่ยเรียกว่า “Durbar Hall” หรือท้องพระโรงใหญ่สำหรับมหาราชาเสด็จออกให้ขุนนางเข้าเฝ้าครับ...ปัจจุบันเป็นห้องแสดงประติมากรรมสำริด ซึ่งเป็นเทวรูปโบราณต่างๆมากมาย...ตรงกลางห้องมียกพื้นสูง เคยเป็นที่ตั้งพระราชบัลลังก์ขององค์มหาราชา แต่ตอนนี้เป็นที่ตั้งรูปปั้นหินอ่อนสีขาวของมหาราชาองค์สุดท้ายครับ ตามผนังก็จะตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมที่วาดเป็นลวดลายต่างๆอย่างสวยงามด้วยนะครับ.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ที่ผนังเหนือพระราชบัลลังก์นั้น มีภาพปูนปั้นระบายสีเล่าเรื่อง “รามายณะ” (รามเกียรติ์) ตอน “พระรามครองกรุงอโยธยา” เด่นสง่าเห็นได้แต่ไกล....ตรงกลางภาพที่เป็นบุรุษผิวสีน้ำเงิน ก็คือ “พระราม” ที่ประทับนั่งอยู่ใต้เศวตฉัตร ท่ามกลางความยินดีของเหล่าวานรทั้งปวง ลิงตัวเขียวๆข้างล่างนั่นก็ “หนุมาน” ไงล่ะครับ...สังเกตตรงมุมบนสิครับ มีตัว “คิวปิด” มีปีกแบบฝรั่งแต่นุ่งผ้าโจงสั้นกะโพกหัวแบบแขกด้วยอ่ะครับ สงสัยคงเป็น “เทวดาลูกครึ่ง” อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชมความงามภายในท้องพระโรงแล้ว งั้นเราชมของดีที่เขาโชว์ในห้องนี้กันต่อเลยล่ะกันครับ....ส่วนใหญ่จะเป็นเทวรูปสำริดศิลปะทมิฬสมัยราชวงศ์โจฬะ เนื่องจากช่างหล่อโลหะชาวทมิฬจะมีชื่อเสียงมาก ในเรื่องการสร้างประติมากรรมด้วยโลหะสำริด (เป็นทองแดงผสมกะดีบุกครับ) เทวรูปเหล่านี้ก็เลยมีจำนวนมาก และมีแต่ที่งามๆไร้ที่ติทุกชิ้นเลยครับ....อย่างเช่น เทวรูปพระอุมาชิ้นนี้ โอ้ววว....ดูเอวกับอกท่านสิครับ ในโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนมีหุ่นสุดอลังการเท่านี้อีกแล้ว...ว่ามั้ย จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ส่วนชิ้นนี้เป้นรูป “นักบุญ” ในศาสนาฮินดูครับ ท่าทางนี่ยังกะยืนพิงอะไรซักอย่างนะ ดูๆไปก็เหมือนท่านกำลัง “ถ่ายแฟชั่น” เลยอ่ะ โพสท่าได้อารมณ์อย่างนั้นเลย ถ้าอยู่ถึงปัจจุบันท่านคงได้ขึ้นปกหนังสือแฟชั่นแล้วล่ะ หุ่นเพรียวมากๆ โพสท่าขึ้นกล้องอีกต่างหาก... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อลังการงานสร้างจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากเลย รองจากเขมรคงเป็นอินเดียนี่แหล่ะที่ต้องไปก่อนตายให้ได้ จากคุณ : horseshoes - [ 20 ก.ย. 47 01:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใกล้กับท้องพระโรงจะเป้น “หอคอย” สูงเด่นตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของพระราชวังนี้ มหาราชาผู้ครองวังนี้สร้างขึ้นเป็นอาคารสูงหลังคาซ้อนเป็นชั้นๆ เลียนแบบยอดปราสาทหินราชราเชศวรัม เพื่อใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรทิวทัศน์นอกพระราชวัง ข้างใต้หอคอยนี้จะเป้นห้องโถงโล่งกว้าง ผนังทาสีเขียวสดสะท้อนแสงโดดเด่นเห็นแต่ไกล ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงประติมากรรมโบราณที่แกะสลักจากหิน หลายชิ้นที่อยู่ที่นี่อายุเป็นพันปีเลยนะครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อย่างเช่นชิ้นนี้...เป็นเทวรูป “ศิวะคชสังหารมูรติ” เป็นเหตุการณ์ตอนพระศิวะฆ่าปิศาจช้าง ประติมากรรมชิ้นเอกของที่นี่เลยล่ะครับนี้ แต่เดิมอยู่ที่ปราสาทหินไอราวเตศวร ที่เมืองกุมภโกนัม (เราไปเที่ยวมาแล้วเมื่อวันก่อนไงล่ะครับ) แต่เนื่องจากความงดงามเป็นเอก ทางการอินเดียจึงให้เคลื่อนย้ายมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งนี้ เพื่อความปลอดภัย.....ดูๆไปก็น่าห่วงนะครับ เพราะแกะสลักได้สวยมากจริงๆ พระศิวะในรูปนี้มีแปดกร กำลังเอี้ยวตัวอย่างสง่างาม ราวกับจะเริงระบำฉลองชัยชนะเหนือปิศาจช้าง ที่ถูกพระองค์แหวะหนังกางออกจนดูเหมือนผ้าคลุม...ฝีมือแกะชั้นดีอย่างงี้ ถ้าเผลอๆล่ะก็ “วีซ่าผ่าน” เสด็จไปต่างประเทศถาวรแน่ๆ เลยต้องเชิญมาอยู่ในพระราชวังนี้เป็นการถาวรครับ.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อันนี้ออกแนวน่ารักครับ....เป็นแก็งค์คนแคระนักดนตรี คอยเล่นเพลงถวายพระศิวะบนวิมานเขาไกรลาส ตัวข้างซ้ายหน้าเป็นสิงโตทำหน้าที่ “มือกลอง” ตัวข้างขวาหน้าเป็นคนกำลังสั่นกระดิ่งไปส่ายสะโพกไป อืมม...น่ารักจริงๆเลยอ่ะ น่าเอาไปเลี้ยงที่บ้านสักตัว ว่ามั้ย... แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 47 01:21:48 จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:20:31 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนคู่นี้ก็สวีทกันจัง (มีโอบเอวด้วย) เป็นเทวรูป “พระกามเทพ” กับชายา พระกามเทพอินเดียไม่ได้เป็นเด็กตุ้ยนุ้ย มีปีกถือศรอย่าง “คิวปิด” ของฝรั่งนะครับ หากแต่จะเป็นบุรุษรูปงาม ถือคันศรที่ทำจากต้นอ้อย มีสายธนูเป็นตัวผึ้งต่อกัน และใช้ลูกศรดอกกุหลาบสำหรับยิงใส่คู่รักทั้งที่เป็นมนุษย์และเทพ (พระศิวะมาลงเอยกะพระอุมา ก็ฝีมือการยิงของกามเทพนี่ล่ะครับ) เทวรูปนี้จะเห็นว่า...พระกามเทพโอบเอวนางรตี ชายาของพระองค์ ขึ้นประทับบนรถม้าออกท่องเที่ยวทั่วจักรวาล เพื่อแสวงหาคู่รักที่เหมาะสม แล้วจึงแผลงศรปักใส่เพื่อให้สมหวังในรักด้วยดี....ระวังนะครับ ท่านอาจจะมาแอบอยู่ข้างหลังคนอ่านแล้วนะ เดี๋ยวอาจโดนยิงจนตกหลุมรักกันโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ...อิอิอิ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จากห้องจัดแสดงข้างล่าง พวกผมก็ขึ้นบันไดอันแสนจะซับซ้อนของหอคอยนี้ เพื่อขึ้นไปดูวิว “เลียนแบบ” มหาราชาแห่งตัญจาวูร์บ้าง ปรากฏว่า งงเต็กเลยครับ บันไดมันซับซ้อนมาก เดี๋ยวโผล่ซ้ายเดี๋ยวโผล่ขวา เดี๋ยวเป็นอุโมงค์เดี๋ยวเป็นห้องโถง เดินไปงงไปแต่ก็โผล่ขึ้นไปบนห้องชั้นบนจนได้ วิวดีลมตึงตลอดเลยไม่มีร้อน สามารถมองเห็น “ต้นแบบ” ของหอคอยแห่งนี้ (ปราสาทหินราชราเชศวรัม) ในระยะไกลได้ด้วยนะครับ.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:25:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรานั่งตากลมชมวิวเป็นมหาราชาบนหอคอยนี้นานพอดู จนเจ้าหนึ่งสะกิดว่าจะเที่ยงแล้ว ถึงเวลาต้องมูฟต่อแล้ว ก็เลยพากันออกจากพระราชวังนี้เพื่อกลับไปเอาสัมภาระที่ที่พัก พอไปถึงห้องก็เจอ “สาวก LP” เป็นฝรั่งเดินทำหน้างงปนอึ้ง มาเข้าพักที่ห้องข้างๆเรา เห็นสีหน้าเค้าแล้วก็ขำดี นึกถึงพวกผมเมื่อวานก็สภาพนี้เลยตอนมาเห็นครั้งแรก เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็ดีที่นอนหลับสนิทไร้ปัญหาใดๆ คนดีพระคุ้มครองอย่างงี้แหล่ะ 55555 บ๊ายบายคุณลุงเจ้าของคุก เอ๊ย ที่พักของเราเสร็จแล้ว ก็เดินต่อไปยังท่ารถซึ่งก็ไม่ไกลจากที่พักนัก เพื่อจะเดินทางต่อไปยังเมืองติรุจิรัปปัลลิ (Tiruchirappalli) ปรากฏว่าท้องร้องซะก่อน ผมกะเจ้าหนึ่งเลยสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง ก็ไปเจอะอยู่ร้านนึงหน้าท่ารถครับ เป็นตึกแถวใหม่ๆหน่อยดูสะอาดสอ้านมาก แต่ที่ทำให้ตัดสนใจพุ่งเข้าไปนั่งทันทีก็เพราะขึ้นป้ายไว้ใหญ่โตว่า “Non Veg available”.... สภาพร้านดูดีมากๆ พวกผมสั่ง “Chicken Briyani” กับ “Fish Masala” เป็นข้าวหมกไก่กับแกงปลาใส่เครื่องเทศ เค้าเสิร์ฟมาอย่างดีเชียว ข้าวหมกไก่พูนจานโปะหน้าด้วยไข่ต้ม แถมมาด้วยแกงถั่วกับหอมแดงสับดองเปรี้ยว ส่วนแกงปลาก็สีสันจัดจ้านดี ก็เลยได้ถ่ายรูปมาฝากยั่วน้ำลายเล่น...พอเค้าเห็นผมถ่ายรูปอาหาร ก็ดูท่าทางดีใจกันทั้งร้านเลยอ่ะ คงนึกว่า “หมึกแดง” มาทำรายการมั้งเนี่ย แต่ของจริงเค้าก็อร่อยนะครับ...ว่าไม่ได้เชียวล่ะ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 01:26:11 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ท้องอิ่มแล้วกองทัพก็เดินทางต่อได้แล้วล่ะ สำหรับเมืองติรุจิรัปปัลลิ (Tiruchirappalli) ที่เราจะไปกันตอนบ่ายนี้ อยู่ไม่ไกลมากนักครับ ห่างจากเมืองตัญจาวูร์นี้ประมาณ 1 ชม. ไปได้ทั้งทางรถประจำทางและรถไฟ ตอนแรกผมก็ชวนนั่งรถไฟไป เพราะสถานีรถไฟก็อยู่ใกล้ๆเนี่ย แต่เจ้าหนึ่งบอกว่าไม่ควร เพราะเราไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า ถึงจะไปได้ก็อาจจะเป็นตั๋วยืนนะครับ เพราะคนอินเดียนิยมรถไฟมากๆ เราน่าจะเดินทางโดยรถบัสอย่างที่แล้วมามากกว่า ผมก็ตกลงตามนี้ครับ แหม้...ไม่เชื่อเจ้าถิ่นแล้วจะเชื่อใครล่ะเนี่ย อิอิอิ ท่ารถเนี่ยก็อยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยครับ ผมกะเจ้าหนึ่งเดินเมียงมอจนรอบท่า ก็ไม่ยักกะมีรถคันไหนไปยังเมืองดังกล่าวเลย แปลกมากๆเพราะเมืองอยู่ใกล้กันแท้ๆ แต่ทำไมไม่มีรถไปถึง เลยลองถามป้าที่ขายของแถวๆนั้น เธอบอกว่าต้องขึ้นรถที่ท่ารถใหม่นอกเมืองโน่น....เซ็งเลยกรู แล้วนี่จะออกไปยังไงเนี่ย ฉับพลันเจ้าหนึ่งก็มาลากตัวผมขึ้นรถบัสคันนึงออกไปทันที....ระหว่างที่ผมนั่งงงๆนั้น รถคันนี้วิ่งชิวออกจากตัวเมืองไปเลย ชิบหายละซินี่มันจะพาไปไหนก็ไม่รู้...“เอ็งรู้ป่าวว่าต้องไปที่ท่ารถใหม่นอกเมืองนะเว้ย นี่เอ็งพาข้าขึ้นรถผิดรึป่าววะ” “เออๆ ข้าก็เพิ่งนึกออกว่ะว่าต้องไปท่ารถใหม่ ก็คันนี้แหละที่ไปท่ารถนอกเมือง”...เจ้าหนึ่งตอบขาดคำ รถก็เลี้ยวเข้า “ท่ารถใหม่” นอกเมืองตัญจาวูร์ ที่ตั้งอยู่เดียวดายกลางทุ่งโล่งๆฝุ่นเยอะๆยังกะหนังคาวบอย เดชะบุญว่ากินข้าวกันมาแล้วนะเนี่ย ไม่งั้นหิวตายชักเลย เพราะที่ท่ารถใหม่เนี่ยมองๆไปไม่มีที่กินเลย...เจ้าหนึ่งลงไปถามคนข้างล่างได้สักครู่ ก็ส่งสัญญาณให้ย้ายของไปรถบัสอีกคันนึงครับ โอเคและ...จะได้ไปถึง Trichy (ชื่อเล่นของเมืองที่เรากำลังจะไป) กันซะที.... รถบัสคันใหม่นี้ออกวิ่งทันทีหลังจากพวกผมขึ้นประจำที่เรียบร้อย คนไม่แน่นครับนั่งสบาย แต่อากาศยามบ่ายๆนี้ร้อนระอุดุเดือดน่าดู และแล้วก็ตามระเบียบครับ ไอ้หนุ่มก็คอพับคออ่อนเมาลมจนหลับไป ส่วนไอ้หนึ่งหลับล่วงหน้าไปก่อนแล้ว....ร้อนๆหยังงี้เรื่องเพลียเป็นของธรรมดา....ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่หลับไป รู้แต่ว่าพอผมตื่นขึ้น มองเห็นวิวข้างหน้าเป็นภูเขาหินโดดๆมากมาย บางลูกก็มีเทวสถานอยู่บนนั้น ก็นึกว่าจะถึงแล้ว (เมือง Trichy จะมีเทวสถานบนภูเขาเป็นสัญลักษณ์) เตรียมสะพายเป้แบกของเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าแค่เมืองเล็กริมทางยังงั้น เลยเก้ออยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงอ่ะครับ ถึงจะเข้าเขตตัวเมือง Trichy จริงๆ (ก็มันไม่รู้นิว่าถึงรึยัง เตรียมพร้อมไว้แหละดี อิอิอิ)...... ตัวเมือง Trichy มีขนาดใหญ่มากพอสมควร ขนาดต้องตัดถนนเลี่ยงเมืองซะใหญ่โต ไม่นานนักหลังจากเตรียมตัวเก้อ รถบัสนี้ก็มาจอดที่ท่ารถประจำเมือง ซึ่งอยู่ใจกลางย่านชุมชนของเมืองนี้พอดี...ภารกิจอย่างแรกหลังลงจากรถก็คือ หาที่พักครับ เพราะนี่เพิ่งบ่ายสองกว่าๆ อากาศก็ร้อนมากๆ ควรจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยซะก่อน เจ้าหนึ่งก็ลากผมข้ามถนนอย่างว่องไวไปยังฝั่งตรงข้ามท่ารถ เพราะมีโรงแรมชั้นดีปานกลางตั้งอยู่หลายแห่ง....ซึ่งก็มาลงเอยได้ห้องพักที่ Hotel Mathura ครับ ครั้งนี้เจ้าหนึ่งทุ่มทุนสร้างมหาศาล เปิดห้องแอร์อย่างดีนอนเลยครับ สนนราคา 650 รูปีพี่แกควักจ่ายเดี๋ยวนั้นเลย...“คืนนี้ขอนอนหรูหน่อยเหอะ เมื่อคืนกรูนอนไม่ค่อยหลับว่ะ”... อ้าว ที่แท้ก็ฝังใจเรื่องเกสต์เฮาส์สภาพระทึกขวัญเมื่อคืนนี่เอง ถึงขนาดทุ่มทุนยอมนอนอย่างดีเลยอ่ะวันนี้....แต่ก็ดีครับ ผมเองก็รู้สึกผ่อนคลายเยอะเลยเมื่อเจอแอร์เย็นๆฉ่ำๆ เลยนอนหลับไปอีกหนึ่งตื่นครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตื่นมาอีกทีก็บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว เลยเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ให้สดชื่นขึ้น (รู้สึกจะสะดวกสบายจนหายเหนื่อยไปเลย) จากนั้นพวกผมก็ออกท่องเมือง Trichy กันเลย...เรานั่งตุ๊กตุ๊กมุ่งหน้าขึ้นไปทิศเหนือของตัวเมือง ระหว่างทางที่ผ่านมีแต่ชุมชนหนาแน่นและร้านรวงที่คึกคัก บ่งบอกว่า Trichy เป็นเมืองใหญ่ที่ประชากรหนาแน่นแห่งหนึ่งของรัฐทมิฬ น่าจะใหญ่กว่ากาญจีปุรัม หรือกุมภโกนัมที่เที่ยวผ่านมาแล้วอีก ถนนหนทางเมืองนี้ก้สะดวกดี เทศบาลก็ดูแลใช้ได้ เพียงแต่เรื่องฝุ่นยังมีอยู่พอสมควร....จากตัวเมืองย่านชุมชนสมัยใหม่ตรงโรงแรมที่เราพัก ประมาณซัก 15 นาทีก็มาถึงเขตเมืองเก่า ที่มีตึกรามร้านรวงผู้คนหนาแน่นไม่แพ้เขตเมืองใหม่ ซึ่งตรงกลางเขตเมืองเก่านี่เองเป็นจุดหมายที่เรามาเที่ยวครับ เรียกว่า The Rockfort The Rockfort (ชื่อยังกะผับเลยอ่ะ) เป็นภูเขาหินลูกโตตั้งอยู่ใจกลางเขตเมืองเก่าของ Trichy พอดี บนเขาลูกนั้นจะมีเทวสถานฮินดูก่อสร้างด้วยหินเป็นกำแพงสูงใหญ่อยู่ข้างบน มองไกลๆจะเหมือนป้อมค่ายปราสาทโบราณของยุโรป ก็เลยเป็นที่มาของชื่อเรียกดังกล่าวไงล่ะครับ....สระน้ำที่เห็นข้างหน้าในรูปเนี่ย ความจริงแล้วก็เป็นสระประจำเทวสถานบนภูเขานั่นล่ะครับ แต่เดี๋ยวนี้เป้นที่พายเรือเล่นไปแล้ว สวยดีนะครับ...บนภูเขานั้นจะมีเทวสถาน 2 แห่งครับ เทวสถานใหญ่กลางเขาที่เห็นเหมือนป้อมนั้น เรียกว่า “ทยุมนัสวามี” (Thayumanaswamy) เป็นเทวสถานของพระศิวะ อีกแห่งนึงเป็นเทวสถานน้อยบนยอดสูงสุดนั้น เรียกว่า “วินายะการ์” (Vinayagar) เป้นเทวสถานของพระพิฆเนศร์ครับ..... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:23:28 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ก่อนขึ้นไปข้างบน ซื้อมาลัยซะหน่อยดีมั้ย... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:26:18 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ทางขึ้น The Rockfort อยู่กลางตลาดพอดีเลย ซึ่งตรงบริเวณนี้ส่วนมากจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าครับ มีผ้าผ่อนแพรพรรณกะส่าหรีสวยๆเพียบ ก็เลยแวะซื้อผ้าสวยๆกลับไป “จิ้มก้อง” มารดาข้าพเจ้าที่บางกอกซะหน่อย (ส่วน “แม่คุณ” ยังบ่มีครับ ยังโสดอยู่อ่ะ สนใจกันรึเปล่า...อิอิอิ)...เสร็จแล้วก็พร้อมขึ้นข้างบนเทวสถานแล้วล่ะครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:31:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ถัดจากซุ้มประตูข้างหน้านั่นขึ้นไป จะเป็นบันไดที่อยู่ภายในระเบียงหินใหญ่โต เหมือนๆทางขึ้นสู้ป้อมโบราณยังงั้นเลย เราต้องถอดรองเท้านะครับ....ตะกายบันไดอยู่พักใหญ่ก็มาถึงทางเข้า “เทวสถานทยุมนัสวามี” ขณะที่ผมกับเจ้าหนึ่งกำลังก้าวเท้าพ้นธรณีประตูเทวสถานนั่นเอง ก็มีเจ้าหน้าที่ออกมาห้ามและชี้แจ้งว่า Non Hindu ห้ามเข้าครับ ซึ่งท่าทางเขาก็ชี้แจ้งสุภาพดีครับ ไม่มีเขี้ยวเหมือนที่เคยโดนไถที่ติรุภูวนัม พวกผมก็ยอมเขาโดยดีครับ ปีนขึ้นชั้นบนต่อดีก่า....ผ่านจากตรงหน้าเทวสถานนั้นขึ้นมาก็สุดเขตระเบียงครับ เป็นทางเดินกลางแจ้งที่ลมพัดแรงดีจริงๆ และแล้วก็มาเจอะเข้ากับ “ถ้ำ” หน้าตาคุ้นๆเหมือนที่มามัลลปุรัม (ในทริปวันแรก) เลยอ่ะครับ.... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้ำที่ว่านี่ สร้างขึ้นโดยพระราชโองการของกษัตริย์นามว่า “พระเจ้ามเหนทรวรมัน” แห่งราชวงศ์ปัลลวะ เมื่อราวๆ 1,200 ปีก่อน โดยการขุดควักหน้าผาหินเรียบๆให้กลายเป็นถ้ำเพื่ออุทิศแด่องค์พระศิวะ ที่รู้แน่ก็เพราะข้างในนั้นมีภาพแกะสลักรูป “พระศิวะคงคาธร” คือตอนที่ พระศิวะกำลังปล่อยแม่น้ำคงคาลงมายังมานุษยโลกครับ....สังเกตได้จากเส้นยาวๆที่พระศิวะดึงออกมาจากพระเศียรท่านไงล่ะครับ อันนั้นแหล่ะก็คือ “แม่น้ำคงคา” ที่ชาวฮินดูนับถือในความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะไหลผ่านออกมาจากเศียรของเทพเจ้าครับ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถัดจากตรงถ้ำพระเจ้ามเหนทรวรมันขึ้นมาตามทางเดินเรื่อยๆ เราก็จะเจอโค้งหักศอก ซึ่งเมื่อผ่านโค้งนี้แล้วจะถึงบันไดทางขึ้นสุดเสียวที่ทอดยาวไปยัง “เทวสถานพระพิฆเนศร์” ที่ว่าเสียวก็เพราะมันเป็นบันไดที่ใช้วิธีตัดก้อนหินธรรมชาติเป็นขั้นๆครับ ถึงจะมีราวให้เกาะ แต่สองข้างทางเนี่ยไม่มีต้นไม้ใดๆทั้งสิ้น เป็นหินโล้นๆเลย ถ้าเผลอมองไปข้างทางล่ะก็ วิวสวยแต่เสียวววสุดๆๆ... จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:38:54 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อผ่านความเสียวมาได้ เราก็จะมาถึงจุดที่สูงสุดของ The Rockfort แล้วล่ะครับ ซึ่งมีเทวสถานขนาดเล็กสร้างใหม่อุทิศถวายพระพิฆเนศร์ ซึ่งทั้งผมและเจ้าหนึ่งก็ได้เข้าไปบูชาท่านสมปรารถนา เนื่องจากพราหมณ์บนนี้ค่อนข้างเฟรนลี่ ถือว่าโชคดีจริงๆครับ....วิวจากบนนี้ก็สวยจริงๆครับ สามารถมองเห็นตัวเมือง Trichy ได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีแต่ตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด นึกถึงวิวกรุงเทพที่มองลงมาจากภูเขาทองเลยครับ....เมื่อมองมาทางทิศเหนือ ก็จะเห็นแม่น้ำสายใหญ่ที่หน้าแล้งอย่างนี้ค่อนข้างแห่งผากเป้นพื้นทราย นั่นก็คือ “แม่น้ำกาเวริ” สายน้ำหลักที่สำคัญเส้นนึงของรัฐทมิฬนาฑุ ถัดจากตัวเมืองข้ามไปยังอีกฟากนึงของแม่น้ำ เราก็ได้เห็นทิวทัศน์อันตื่นตาของซุ้มโคปุระมหึมาสูงใหญ่โดดเด่นอยู่กลางดงมะพร้าว....และที่นั่นเองล่ะครับคือจุดหมายปลายทางของเราในวันพรุ่งนี้.............อุบไว้ก่อน อุบไว้ก่อน ??? จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 กินลมชมวิวอยู่บนนั้นนานพอดูจนเย็นแล้ว อีกทั้งกระเพาะก็เริ่มทำงานแล้ว (สงสัยจะเสียพลังตอนปีนขึ้นมาเนี่ย) ก็เลยชวนกันลงมาหาอะไรกินที่ตลาดข้างล่างครับ มื้อค่ำวันนี้ก็เลยเลื่อนขึ้นมากินเย็นเลย....ไม่นานนักหลังจากนั่งในร้าน Non Veg ข้าวหมกเนื้อแพะใส่เครื่องเทศสุดอร่อยก็ลงท้องไปลบความหิวในท้องได้แยะเลย จากนั้นก็ตบท้ายด้วยไอติมวานิลลาอีกถ้วย....โอ้...อะไรก็รสดีถูกใจปานนั้น สงสัยคืนนี้รู้สึกเหมือนจะได้นอนหลับสนิทบนห้องพักสุดหรู หยั่งกะวังมหาราชาเลยอ่ะครับ...อิอิอิ ขออนุญาตจบแบบห้วนๆยังงี้นะครับ เดี๋ยวค่อยเจอกันใหม่ตอนหน้าครับ จากคุณ : หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung) - [ 20 ก.ย. 47 04:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อื้อ...สวยมากๆ จะติดตามต่อไปอย่างไม่ลดละ จากคุณ : แอบรักแอบหลง - [ 20 ก.ย. 47 07:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาลงชื่อ ตามระเบียบ อิอิ จากคุณ : jojo02 - [ 20 ก.ย. 47 08:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาลงชื่อคอยอ่านตอนต่อไปครับ จากคุณ : โสฬส16 - [ 20 ก.ย. 47 11:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แฟนคลับมาลงชื่อกันเต็มเล้ย จะรออ่านต่อนะท่าน จากคุณ : ลมแล้ง - [ 20 ก.ย. 47 11:25:57 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ภาพสวย และได้ความรู้ดีค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : หลักสี่ - [ 20 ก.ย. 47 11:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ดูแล้วอยากไปรู้จักอินเดียมากขึ้นทันทีเลยค่ะ จากคุณ : serath - [ 20 ก.ย. 47 12:24:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มาอ่านต่อๆ จากคุณ : Red Apple - [ 20 ก.ย. 47 14:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45 บรรยายมันมาก ๆ ครับ อิ อิ จากคุณ : dont wanna no - [ 21 ก.ย. 47 09:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 46 จาอ่านอีก.....ปั่นต้นฉบับเร็วๆๆๆหน่อย คนรออ่านเพียบ จากคุณ : pukpik - [ 23 ก.ย. 47 17:26:52 A:203.144.212.233 X: TicketID:046800 ]

ความคิดเห็นที่ 47   ตอน 7, 6, 5 อยู่หนาย.... จากคุณ : กินนรเริงร่า เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 52 19:42:49