ความคิดเห็นที่ 4
เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูแล้วนะครับ...มองไปก็จะเห็นซุ้มประตูชั้นถัดไปอีก อีก อีก และก็อีก....(ที่นี่แผนผังสลับซับซ้อนมากจริงๆครับ เดินไปก็เริ่มงงกันเองแล้วว่าเราอยู่ในเขตชั้นที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย???)....
ในเมื่องงๆก็เลยมีการกางแผนที่นับครับ โอ้ว...พระเจ้า มหาเทวสถานศรีรังคนาถสวามีแห่งนี้ มีกำแพงหินมั่นคงแข็งแรงยังกะกำแพงเมืองล้อมรอบถึง 7 ชั้น!!! ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่โตโอฬารภายในถึง 600 เอเคอร์ ตรงโคปุระใหญ่ยักษ์ที่เราเพิ่งจะผ่านเข้ามานั้น เป็นเพียงกำแพงชั้นที่ 7 ครับ ดังนั้นเราจึงต้องผ่านกำแพงอีกหลายชั้นกว่าจะถึงตัวเทวสถานจริงๆครับ....พื้นที่ภายในแนวกำแพงเหล่านี้เนี่ย เหมือนเป็นเมืองอีกเมืองนึงซ่อนอยู่ข้างในเลยครับ สองข้างทางที่เราเดินผ่านเข้าไปเรื่อยๆ มีแต่ร้านรวงผู้คนเต็มไปหมด จนผมนึกไม่ถึงว่านี่เป็นเขตพื้นที่ของเทวสถานแห่งเดียวเท่านั้น น่าตื่นตะลึงจริงๆครับ เท่าที่เดินผ่านมาเนี่ยก็สังเกตเห็นว่า เขตตั้งแต่กำแพงชั้นที่ 7, 6, 5 จนกระทั่งชั้นที่ 4 เทวสถานยกพื้นที่ให้เป็นที่ตั้งบ้านเรือนราษฎรครับ ซึ่งปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่ในเขตกำแพงชั้นที่ 7-4 เนี่ยประมาณ 50,000 คนเชียวนะครับ!!! ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า มหาเทวสถานศรีรังคนาถสวามีถือได้ว่าเป็น เทวสถานที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ก็คงไม่เกินไปจากความจริงเลยนะครับเนี่ย...
หลายคนคงอยากจะรู้แล้วว่า อภิมหาเทวสถานกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีความเป็นมาอย่างไร งั้นจะเล่าให้ฟังคร่าวๆระหว่างเดินเข้าไปละกันนะครับ.....ที่นี่มีตำนานเก่าแก่เล่าย้อนหลังไปถึงยุคมหากาพย์รามายณะ (รามเกียรติ์) ว่า พิเภก น้องชายทศกัณฐ์ ได้รับการราชาภิเษกจากพระราม ให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกาต่อไป ครั้งนั้นพระรามได้ประทาน ปราสาทหินที่บรรจุเทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ แด่พิเภก จะได้เอากลับไปตั้งบูชาเป็นสิริมงคลที่กรุงลงกา พิเภกได้รับของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้จากพระรามแล้ว ก็ใช้พลังยักษ์ยกปราสาทหินดังกล่าวเหนือหัว แล้วเหาะลงมาทางทิศใต้มุ่งหน้าสู่กรุงลงกาทันที....ขณะที่เหาะมาไกลจนถึงแม่น้ำกาเวริในเขตรัฐทมิฬ พิเภกรู้สึกเมื่อยขบเป็นอันมากอยากจะพักซักหน่อย ก็เลยแว่บลงมานั่งเล่นริมน้ำ ด้วยความที่เมื่อยจัด พิเภกก็เลยวางปราสาทหินทั้งหลังไว้ริมน้ำ ตัวเองก็ลงไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ครั้นเมื่อจะเดินทางต่อ ปรากฏว่า ปราสาทหินเกิดอาการ รากงอก ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน....สงสัยเทวรูปพระนารายณ์ท่านคงอยากจะ Long Stay อยู่ที่นี่ ไม่อยากไปกรุงลงกาซะแล้ว พิเภกจึงจำต้องยอมให้ปราสาทหินตั้งอยู่ตรงนั้น และอุทิศพื้นที่กว้างไกลสร้างเป็นเทวสถานขึ้น โดยมีนามว่า ศรีรังคนาถสวามี ซึ่งแปลว่า พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ครับ....นับแต่นั้นเป็นต้นมา มหาเทวสถานนี้ก็ได้รับการสร้างเติมเสริมแต่งให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆโดยกษัตริย์โบราณหลายอาณาจักร หลายราชวงศ์ ที่ผลัดเปลี่ยนกันมีอำนาจในดินแดนแถบนี้ครับ เพราะต่างก็นับถือในความศักดิ์สิทธิ์ของ พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่ ด้วยเชื่อกันว่า เป็นเทวรูปที่พระราม ผู้เป็นนารายณ์อวตารประทานมาให้จริงๆนะครับ....โว้ววว...อะไรจะเก๋ากึ้กปานนั้นน่ะ
ฟังผมโม้เรื่องตำนานเทวสถานแห่งนี้ซะเพลิน เราก็เดินมาจนถึงโคปุระของกำแพงชั้นที่ 4 แล้วล่ะครับ ซึ่งจะเป็นเขตที่เป็นเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์จริงๆแล้วล่ะครับ....แล้วก็ตามธรรมเนียมนะครับ มาถึงจุดนี้ต้องถอดรองเท้าด้วยครับ...
จากคุณ :
หนุ่มเมืองกรุง (NMkrung)
- [
23 ก.ย. 47 21:09:47
]
|
|
|