ความคิดเห็นที่ 1 *** การใช้งาน *** 1. เรื่องรูปทรงดีไซน์ภายนอก ความคิดส่วนตัว ผมว่าดีกว่ายี่ห้ออื่นในระดับเดียวกัน รูปทรงยังไม่ล้าสมัย ออกแนวสปอร์ตซีดาน ตกแต่งแบบสวยเรียบๆ ก็ได้ ดูภูมิฐานดี หรือตกแต่งแบบแนว Racing Sport ไปเลย ก็สวยดี (Evolution IV - VI) 2. การออกแบบภายใน เรียบง่าย อุปกรณ์ สวิซ์ทต่างๆ ใช้งานสะดวก ไม่เกะกะมือ เนื้อพลาสติกที่ออกแบบ อยู่ในเกรดกลางๆ ไม่ดี หรือแย่เกินไป (ผมเคยเจอบางยี้ห้อเนื้อพลาสติกห่วยมาก กระด้าง แข็ง แตกลายงา) อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีครบในรุ่น Limited สำหรับรุ่น GLX หรือ GLXi สามารถซื้อหาอุปกรณ์มือสอง จากเชียงกงมาติดตั้งเพิ่มได้ 3. เรื่องการประหยัดน้ำมัน รุ่น 1.5 หรือ CK2 จะประหยัดดี ได้ประมาณ 12-14 กม./ล. ในเมือง , 14-16 กม./ล. นอกเมือง(เกียร์ธรรมดา) รุ่น 1.6 ได้ประมาณ 11-13 กม./ล. ในเมือง, นอกเมืองก็ประหยัดอีกนิดหน่อย ตัว 1.8 ค่อนข้างจะซดพอสมควร แต่ได้ความแรงคืนมา ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของเครื่องด้วย เกียร์ธรรมดาจะประหยัดดีกว่าเกียร์ออโต้ฯ ส่วนเกียร์อินเวทท์ทูของมิตซู นุ่มนวลมาก เพราะระยะของแต่ละเกียร์ชิดกันมาก ไม่มีอาการกระตุกเหมือนบางยี่ห้อ แถมมี บวกลบ ให้เล่นเหมือนเกียร์แมนนวลอีก 4. อัตราเร่งผมว่าดีกว่ายี่ห้ออื่นในระดับเดียวกันทั้งหมด (รถ Standard ที่ไม่มีการปรับแต่ง) อัตราเร่งดีตามนิสัยเครื่องมิตซู CK2 แรงบิดดีในช่วงรอบต้น-กลางอาจเป็นเพราะรถเบาก็ได้ ช่วงปลายจะห้อยๆ หน่อย ส่วน CK4-CK5 รอบกลางดีมาก ช่วงปลายไม่ต้องรอรอบจนหืดขึ้นคอ 170-180 ไม่ใช่เรื่องยาก 5. ระบบช่วงล่าง การเกาะถนนดีเป็นที่น่าพอใจ อาจไม่ดีเยี่ยม แต่จัดว่าดีมากในระดับราคาค่าตัวของมัน ช่วงล่าง ใช้ระบบช็อคอัพ + คอยล์สปริงอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแร็คแอนด์พีเนียล ยางเดิมหน้าแคบไปหน่อย ถ้าปรับแต่งโดย การเปลี่ยนยางให้หน้ากว้างขึ้น เปลี่ยนสปริงโหลดให้เตี้ยลงนิดนึงประมาณ 1-2 นิ้ว เท่านี้ก็เยี่ยมแล้วในความเร็วสูง ไม่มีอาการยวบยาบให้เห็น ข้อเสียของช่วงล่างคือเสีงดังน่ารำคาญ เกิดจากชุดแร็คลูกหมาก บูทปีกนกต่างๆ แก้ไขโดย ต้องหมั่นตรวจสอบจุดยึด จุดหมุนต่างๆ 6. ราคาค่าบำรุงรักษา ถ้าเราดูแลเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆ ตามระยะเวลา ไม่น่าจะเกิดปัญหา อะไหล่เก่ามือสอง หาได้ทั่วไปตามเวป หรือเชียงกง มีแน่นอน ของเล่น ของแต่จากญี่ปุ่นมีมากระดับกลางๆ ถ้าเปลี่ยอะไหล่ที่ศูนย์ บางตัวราคาพอรับได้ แต่บางตัวราคาแพงเกินเหตุ จุดที่เสียบ่อยๆ และเป็นจุดด้อยก็มีพวก - ชุดมอเตอร์คุมรอบเดินเบา อยู่ตรงลิ้นปีกผีเสื้อ ตัวนี้เสียเป็นยอดฮิต (แต่ของผมยังไม่เสีย) เนื่องจากเป็นเฟืองพลาสติก พอใช้งานไปนานๆ เฟืองก็ล้ม หรือสึกกร่อนได้ อะไหล่ศูนย์ยกชุดแพง 6-8 พัน เปลี่ยนเอง ไม่เกิน 1,800 - กระจกไฟฟ้า อาการคือตกรางบ้าง มอเตอร์เสียบ้าง เฟืองรูดบ้าง สลิงขาดบ้าง แล้วแต่กรณี - ระบบช่วงล่างที่คำรามโหยหวนเร็วกว่าชาวบ้าน - หลังคาบาง ฝนตกหนักๆ เหมือนนั่งในเพิงสังกะสีซะยังงั้น (ตอนนี้ของผมเริ่มมีอาการยางขอบกระจกรั่ว) - การเก็บเสียงไม่ดีเท่าที่ควร ผมแก้โดยดารแดมพื้นรถ ประตู และยัดสายยางเส้นที่ยางขอบประตู - อะไรอีกล่ะ นึกไม่ออก จากคุณ : ปัญญาชน - [ 14 ต.ค. 47 13:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 *** การตรวจสภาพ *** - สภาพภายนอก สีควรเป็นสีเดิมมาจากโรงงานโดยเทียบกับเล่มทะเบียน - ตรงที่นั่งคนขับ ช่วงใกล้กับกลอนประตูจะมีสติกเกอร์บอกขนาดล้อและลมยาง ถ้าไม่มี อจาเคยทำสีครั้งใหญ่ทั้งคันมาก็ได้ - สีต้องไม่ด้าน หรือแตกลายงา ก้มลงมองแบบแนวเฉียงๆ สังเกตุลักษณะสีและเงา เปรียบเทียนความเข้มสีทั้งกลางแดดและในร่ม - ลองเดินเคาะดูรอบคัน เสียงต้องดังเหมือนเคาะกระป๋อง ถ้าดังแน่นๆ อาจจะผ่านการโป๊วสีมาหนา - ลองเคาะหลังคาดู ถ้าหลังคาเสียงแน่นๆ อาจเคยคว่ำมาก็ได้ - แนวช่องว่างระหว่างประตูหน้ากับหลัง ต้องเป็นแนวตรงเสมอกัน ถ้าช่องว่างไม่สม่ำเสมอ อาจเคยชนมาหนักถึงกับประตูโย้ก็ได้ - แนวช่องว่างระหว่างฝากระโปรงหน้าหลัง กับแก้มซ้ายขวา ต้องเสมอตลอดแนว - ลองเปิดแนวยางหุ้มชิ้นส่วนต่างๆ ดูร่องรอยเพิ่มเติม - ลองปิด, เปิดฝาประโปรงหน้า หลัง ต้องปิดสนิท เสียงแน่นๆ แนวเสมอกัน ไม่เหลื่อมล้ำกัน - ลองเปิด,ปิด ประตูทุกบาน เสียงจะดังเป็นโทรเดียวกัน - เปิดฝากระโปรงหน้าดูแนวตะเข็บ ดูหัวน๊อตต้องไม่เยิน จะมีรอยอาร์คมาจากโรงงาน ระหว่างแก้มหน้าซ้ายขวา กับตัวถัง - ร่องรางน้ำฝนที่ขอบบนหลังคา ต้องเป็นร่องเสอมกัน ถ้าเคยโป๊วมาไม่ดี ตรงนี้จะเป็นตะปุ่มตะป่ำ - ยางขอบกระจกต้องไม่แห้งแตกลายงา - เปิดกระโปรงหลังดู แนวตะเข็บ ดูหัวน๊อตต้องไม่เยิน ช่องเก็บยางอะไหล่ต้องไม่มีคราบสนิม - ลองติดเครื่องฟังเสียงดู เครื่องเดินเรียบ ไม่มีเสียงแปลกๆ อันนี้ต้องใช้ความชำนาญพอควร - เสียงเครื่องยนต์ไม่มีเสียงเหมือนเหล็กสีเหล็ก หรือเสียงแปลกๆ - หัวน๊อตที่เครื่อง แท่นเครื่อง หัวช็อค ต้องไม่เยิน หรือมีร่องรอยการถอดประกอบ - อุปกรณ์ในห้องเครื่องอยู่ครบ เช่นระบบแอร์ ระบบหล่อเย็น ฯลฯ - ไม่มีน้ำมันรั่วซึมตามจุดต่างๆ - ก้มดูที่แซสซี เป็นแนวเหล็กไม่มีร่องรอยการเชื่อม หรือดาม - ยางรองที่หัวช็อคอัพ ไม่ฉีกขาด - เปิดแอร์สังเกตุความเย็น ดูรอบเครื่องยนต์ ต้องไม่ตกวูป - ระบบระบายความร้อนทำงานได้ตามปกติ พัดลมจะสตาร์ทและหยุดตามอุณหภูมิเครื่องยนต์ มีเทอร์โมสตัทเป็นตัวสั่งงาน - เกจ์วัดค่าต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ไม่มีคราบน้ำ หรือโคลน (อาจเคยตกน้ำมา) - เลขไมล์เหมาะสมกับความเป็นจริง ระยะการใช้งาน (ไมล์ดิจิตอลก็จูนได้นะครับ) - รอยต่างๆบนปุ่มควบคุมหรือพวงมาลัย ต้องไม่ลื่นมันวาว สึกจนเป็นมัน แสดงว่าใช้งานมามาก - เปิดพรมดูต้องไม่มีคราบน้ำขัง หรือสนิม - ต้องไม่มีตะเข็บหรือร่องรอยการตัดต่อที่พื้นรถ - ระบบช่วงล่างต้องลองขับทดสอบดูครับ ต้องไม่มีเสียงเหมือนเหล็กเคาะกับเหล็ก - ระบบเบรค ต้องทำงานได้อย่างมั่นใจ - อัตราเร่งตอบสนองดี ไม่ใช่ว่าไม่มีเรียวแรงเลย - อีกเยอะครับ ต้องค่อยๆ ดูไป แล้วจะเจอข้อเปรียบเทียบครับ จากคุณ : ปัญญาชน - [ 14 ต.ค. 47 13:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 *** ข้อแนะนำ *** เมื่อได้คันที่ถูกใจแล้ว สำคัญที่สุดคือเรื่องของทะเบียน ต้องขอดูเล่มทะเบียน ตรวจสอบว่าหมายเลขทะเบียน ตรงกับสมุดหรือไม่ เลขเครื่อง เลขตัวถังตรงกันหรือไม่ ต้องไม่มีการลบหรือขีดฆ่า มีการโอนเปลี่ยนมือกันมากี่ทอด รายละเอียดจะมีบอกในเล่มทะเบียนทั้งหมด ถ้าหมดเล่ม ต่อเล่มสอง ที่เล่มสองก็ต้องอ้างอิงถึงเล่มแรกด้วย (เหมือนสมุดธนาคาร) จากนั้นก็ค่อยดูสภาพอีกที ถ้าจะให้ดีนะครับ ลองหาคนที่ชำนาญรุ่นนี้เป็นพิเศษ เช่นช่างในศูนย์มิตซูใกล้บ้าน หรือช่างที่รู้จัก ชวนเขาไปช่วยดู ให้เขาวิจารณ์เต็มที่เลย ไม่ต้องเกรงใจ เงินอยู่กะเราจะซื้อ ไม่ซื้ออยู่ที่เรา เรามีสิทธิ์ตัดสินใจ ของราคาเป็นแสน ต้องดูดีๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ หา อย่าเอาความอยากได้เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ ขอขับของเพื่อนดู เพื่อเป็นข้อมูลเอาไว้เปรียบเทียบ ถ้าเป็นไปได้ขับหลายๆ รุ่น หรือขับให้มากคันที่สุด เพื่อจับอาการรถให้ได้ แล้วไปลองขับคันที่จะซื้อเพื่อเปรียบเทียบ ขอให้ได้รถที่ถูกใจนะครับ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจนะครับ อย่าเชื่อผมฝ่ายเดียว ลองถามหลายๆคน ไม่มีกฏเกณณ์อะไรตายตัว ทุกอย่างอาจปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับเรารับมันได้หรือไม่ ขอให้เชื่อมั่นในตนเอง ตอนผมซื้อรถผมไปดูเองตั้ง 3 รอบ ไม่มีช่างไปดูด้วย ผมพอใจและตั้งใจว่าถ้าเราเอามาแล้วไม่ดีก็ไม่เสียใจ เพราะเราพอใจมันแล้ว จนทุกวันนี้ถึงแม้มันไม่ดีเหมือนคันอื่นๆ ผมก็ยังพอใจกันมันอยู่ แล้วเราจะมีความสุขที่ได้เดินทางร่วมไปกับมัน ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : ปัญญาชน - [ 14 ต.ค. 47 13:31:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แนะนำละเอียด ดีมากครับ เสริมนิดนึงละกันนะครับ ให้สังเกตุที่ยางหน้าและหลังด้วยนะครับ ควรจะสึกเต็มหน้า ไม่สึกด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าปกติ เพราะจะบ่งบอกได้ว่าศูนย์ของรถไม่ดีอาจจะชนมาหนักได้ เวลาลองขับก็สังเกตุดูว่ารถไม่วิ่งเอียงไปซ้ายหรือขวาพอจะปล่อยมือขับได้ตรงๆ (ถนนต้องเรียบไม่เอียงด้วยนะ) ขอให้โชคดีได้รถที่ดีครับ จากคุณ : อึ่มคานดิ๊ - [ 14 ต.ค. 47 20:07:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณมากครับ พี่อู๊ด กับ พี่ปอง ที่ให้คำแนะนำ ไว้ถ้าไปบางกอก จะดื่มขอบคุณให้เปรมไปเลย คงต้องขอคำปรึกษาอีกแยะครับ ผมไม่รีบด้วย ไม่อยากจะซื้อมาแล้วรถอยู่ใรอู่มากกว่าอยู่บนถนนอ่ะ ไปดูๆ มาแล้วสองสามคันครับ แต่ยังดูไปเรื่อยๆ ก่อน ไม่รีบครับ ไม่รีบ ส่วนท่านอื่นๆ ที่มีข้อแนะนำก็รบกวนด้วยนะครับ เรื่องเครื่องเสียงด้วย เพราะว่า "ผมอยากทำรถผมเป็นเืธคคคคค" แอ่ะ แอ้ นึกว่าเห็นใจคนบ้านนอกไม่เคยมีรถเก๋งใช้เถอะครับ ใช้แต่รถกะบะมาสองคันแระ มิตซูมาตลอด ไม่อยากเปลี่ยนรุ่น ที่บ้านก็ใช้มิตซูมาตลอด ห้าหกคันแระ แต่ก็กะบะหมด เลยต้องมาหน้าด้านขอความรู้ท่านๆ อย่างที่เห็นนี่แหละครับ จากคุณ : เอ๋ (20th century boy) - [ 14 ต.ค. 47 20:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เครื่องเสียงก๋ต้องถามพี่เสือ แต่ถ้าเครื่องเสีย ต้องหาช่างอย่างเดียว จากคุณ : cinogen - [ 15 ต.ค. 47 07:42:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถูกต้องครับ ดูเรื่องของยางด้วยนะครับ หน้ายางต้องสึกเสมอกัน และสึกเต็มหน้า ถ้ายางสึกตรงกลาง แสดงว่าลมล้อแข็งเกินไป หรือสึกซ้ายกับขวาแสดงว่าลมอ่อนเกินไป (วิ่งที่ลมอ่อนมีโอกาสระเบิดมากกว่าลมแข็งนะครับ เพราะแก้มยางบิดตัวและยืดหยุ่นมากกว่า) หรือถ้าสึกเป็นบั้งๆ แสดงว่าช็อคอัพกลับบ้านเก่าแล้ว คือ ช็อคอัพไม่สามารถหยุดอาการเต้น ขึ้นลงของสปริงได้ สังเกตุจากเวลาตกหลุมหรือจั้มคอสะพาน ตัวรถจะเด้งขึ้น เด้งลงหลายครั้งกว่า จะหยุด นั่นแหละเตรียมเสียเงินได้ จากคุณ : ปัญญาชน - [ 15 ต.ค. 47 10:38:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องเครื่องเสียง ผมว่าต้องเลือกตามลักษณะแนวการฟังด้วยครับ เพราะบุคคลิกเสียงของเครื่องเสียงแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกัน บางตัวออกแนวใสทุ้ม นุ่ม เบสลงลึก ตามสไตล์ซับของ JL หรือบางตัวเบสตูมตามหนักแน่น เช่นซับของ MTX ถ้าให้ดีต้องลองไปฟังดูตามร้านเครื่องเสียงครับว่าเราชอบแบบไหน เอาแบบ Bi-Amp ก็ดีไม่เลว 4Ch ขับ 2 คู่ (คู่หน้า + 6 นิ้วเสียงกลาง) อีกตัวเป็น 2Ch ขับ ซับซัก 10 นิ้ว 1 คู่ ตีตู้แบนพาสที่กระโปรงหลัง ใช้ครอสโอเวอร์ในตัวเลยนะครับ จะได้สูญเสียสัญญาณน้อยสุด สายไฟ สายสัญญาณเกรดกลางๆ ไม่ต้องแพงมาก แค่นี้ก็เปิดได้ไม่อายใครแล้วครับ จากคุณ : ปัญญาชน - [ 15 ต.ค. 47 10:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณมากครับ ทุกๆ คนที่ให้ความรู้ โดยเฉพาะพี่อู๊ด ผมได้ความรู้ใหม่ๆ จากพี่เยอะเลยครับ พอผมได้รถแล้ว คงต้องพึ่งเรื่องเครื่องเสียงต่อล่ะครับ แฮ่ๆ จากคุณ : เอ๋ (20th century boy) - [ 15 ต.ค. 47 17:33:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ซับ JL ผมขายเพื่อนไปแล้ว ไม่มีปัญญาหาแอม จากคุณ : cinogen - [ 15 ต.ค. 47 17:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับรถเก๋ง ระบบBi-Amp.จะลงตัวเหมาะสมมากที่สุด กลางแหลมแยกชิ้นขนาด6นิ้วหน้าหลัง ซับใช้ขนาด10นิ้ว1คู่ แต่แนวเสียงของกลางแหลมกับSub.จะต้องกลมกลืนกันหรือไปในแนวทางเดียวกันนะ ไม่งั้นตีกันตายเลย sub.10นิ้วควรจะต้องตีตู้ที่ได้ปริมาตรถูกต้องตามสเป็คจากโรงงาน ชอบแนวทางนุ่มลึกควรเลือกSub.ในแนวนี้และตีตู้ปิด(seal) ส่วนถ้าชอบแนวทางกระแทกกระทั้นก็ต้องเลือกคSub.ในแนวนี้ควรตีตู้เปิด(port)และจูนท่อ(port)ให้อยู่ในช่วงควรถี่70-90Hz. สำหรับแอมป์ที่ใช้ขับSub.10นิ้วจะต้องมีกำลังขับไม่น้อยกว่า100w.RMS.ต่อข้าง ระบบBi-Amp.ที่ดีควรจะมีเครื่องแบ่งความถี่ Electronic-Crossover เพราะว่าจะได้เลือกจุดตัดความถี่ของความถี่กลางแหลมและความถี่ต่ำได้หลายรูปแบบ จะได้สามารถเลือกจุดตัดได้ดีที่สุด รถแต่ละคันสภาพอะคูสติกของเสียงไม่เหมือนกัน จุดตัดความถี่ที่เหมาะสมย่อมแตกต่างกัน บางคนเล่นแบบซีเรียสมากๆถึงกับต้องหาพวกอีควอไลเซอร์มาช่วยปรับแต่งด้วยเลย นอกจากนี้ถ้าคิดจะติดตั้งระบบเสียงแบบBi-Amp. จุดที่สำคัญที่ตกม้าตายกันไปหลายคันแล้วก็คือระบบไฟ เท่าที่เห็นๆมา พวกรถไอ้ยุ่นมักจะใส่แบต.ลูกเล็กๆมาจากโรงงาน ถ้ากะจะเล่นระบบเสียงแบบนี้ให้ชัวร์จะต้องเปลี่ยนแบต.ซะใหม่ ให้อย่างน้อยจะต้องมีความจุไฟให้ได้ไม่น้อยกว่า70Amp.และไดชาร์ทจะต้องมีความสามารถในการชาร์ทไฟให้ได้พอสำหรับแบต.ขนาด70Amp. คือว่าคงจะต้องเปลี่ยนไดชาร์ทใหม่ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและตั้งการชาร์ทไฟให้ได้เหมาะสมด้วย ถ้าจะเสริมพวกCAP.คาปาซิสเตอร์)ขนาดซัก5หมื่นถึง1แสนฟารัด.ไว้เป็นถังสำรองก่อนเข้าแอมป์ขับSub.ได้ก็ดี ระบบไฟบอกคร่าวๆได้ดังนี้ จากขั้วแบต.ควรจะใช้สายไฟเส้นใหญ่หน่อยขนาด4AWG. จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 15 ต.ค. 47 23:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พิมพ์ยาวก็เลยหลุด มาต่อเลย ยาวประมาณซัก1-2ฟุตแล้วต่อเข้ากับแผงฟิวล์แบบ1ออก3 จุดที่1ต่อเข้าไปใช้หล่อเลี้ยงพวกFront(แหล่งกำเนิดเสียง)และพวกอุปกรณ์เสริมเช่นElectronic-crossover,ปรีแอมป์เป็นต้นใช้สายไฟขนาด14-18AW.ก็พอ จุดที่2 ต่อเข้าหล่อเลี้ยงแอมป์ขับกลางแหลม(ส่วนใหญ่เค้าก็ใช้แอมป์แบบ4แชนนอลขนาด25-50คูณ4)สายไฟที่ใช้ต้องไม่ต่ำกว่าขนาด12AWG. ยิ่งถ้าใช้แอมป์ขนาด50*4W.RMS.ควรจะต้องใช้ขนาด8AWG. จุดที่3 ต่อเข้าไปหล่อเลี้ยงแอมป์ขับSUB.ควรจะใช้สายไฟเส้นใหญ่หน่อยขนาด4-8 AWG. เพราะว่าแอมป์ขับSUB.มันมีกำลังขับมากดังนั้นจึงต้องใช้สายไฟที่ใหญ่เพื่อให้มันได้กระแสไฟที่เพียงพอต่อความต้องการของมัน จะได้ไม่เกิดอาการแป๊ก ที่แนะนำมานี้ มาจากประสบการณ์ที่เคยเจอฟันและลองผิดลองใหม่(ก็ยังถูกฟันไปอีก) จนหมดไปเยอะและเจ็บใจจนต้องไปศึกษาข้อมูลต่างๆมาเล่าให้ฟังแบบยาวเยียด จนได้ข้อสรุปว่า อย่าไปฟังคารมของร้านติดตั้งแบบที่มันกล่อมเราจนเคลิ้ม และการฟังในห้องฟังเสียงของที่ร้านก็ไม่ชัวร์เสมอไป ถ้าให้ดีต้องฟังในรถที่ร้านมันติดตั้งว่าพอใจไหม การจัดงบประมาณสำหรับการติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ควรจะใช้สูตรคำนวนดังนี้ 3/3/3/1 หมายความว่าควรแบ่งงบ.เป็น10ส่วน สมมุติว่างบ.1แสนบาท ควรแบ่งงบเป็น ข้อหนึ่ง 3หมื่นบาท สำหรับแหล่งกำเนิดเสียงFront(วิทยุ+ตู้ซีดี) ถ้าเซฟงบได้ต่ำกว่านี้ก็เอาไป+ในข้อที่4 ข้อที่สอง 3หมื่นบาท สำหรับลำโพงกลางแหลมหน้าหลัง+SUB.1คู่ ข้อที่สาม สำหรับแอมป์4Ch.ขับกลางแหลมและแอมป์ขับSUB. (ข้อนี้ผมว่าอาจจะเกิน3หมื่นบาท ตัวแปรราคาอยู่ที่แอมป์ที่ใช้ขับSUB.) ข้อที่สี่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจากทางร้านรวมไปถึงอุปกรณ์เสริม การตีตู้SUB. แต่หากว่าเราซื้อของจากร้านที่เราติดตั้งค่าใช้จ่ายตัวนี้อาจจะไม่ถึงก็ได้ ข้อนี้ไม่รวมถึงการเปลี่ยนแบต.และการเปลี่ยนไดชาร์ท จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 16 ต.ค. 47 00:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ที่ผมแนะนำมา ผมจะไม่เน้นเรื่องเกี่ยวกับสายสัญญาณหรือสายลำโพงซะเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าใช้สายทั้งสองอย่างที่ว่ามานี้ เลือกที่ดูมีมาตรฐานซักหน่อยก็ไม่ทำให้คุณภาพเสียงด้อยลงไปจนหูของคนเราฟังออกหรอก ถ้าเป็นพวกเครื่องเสียงบ้านก็เป็นไปได้ ที่สำคัญที่ควรจะเน้นจริงๆคือพวกสายไฟหล่อเลี้ยงแอมป์ ในแนวทางที่แนะนำมานี้ ถ้าเอ๋สามารถพลิกแพลงได้ตามความเหมาะสม รับรองได้ว่าไปเปิดโชว์ชาวบ้านไม่อายใครในระบบBi-Amp.ด้วยกัน แต่ถ้าอยากจะไว้ฟังเฉพาะคนในรถไม่ต้องเผื่อแผ่ชาวบ้านแบบว่าได้ระบบที่มีทุกความถี่เสียงตามต้องการก็สามารถเซฟงบ.ลงได้มากกว่านี้ร่วมครึ่งนึง ถ้าสนใจก็ว่ามาจะได้ร่ายมาให้อ่านต่อไปอีก แต่แนะนำอีกอย่างให้รู้ว่า อย่าไปเล่นพวกแอมป์มัลติพวก5แชนนอล นะ ถ้าต้องการที่จะอัดเสียงดังๆ แอมป์ประเภทนี้เหมาะสำหรับฟังสบายๆไม่เหมาะสำหรับการอัดเผื่อแผ่ชาวบ้าน แอมป์พวกนี้ถ้าเปิดอัดเมื่อรัย ฟังได้ไม่นานก็เสียงจะแป๊ก จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 16 ต.ค. 47 00:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ส่งท้ายอีกนิดนึง ซับJL.ที่เจ้าโดมมันว่าอ่ะ มีหลายรุ่น เสียงดีแน่ แต่ราคาสูงเอาเรื่องและที่สุดยอดกว่านั้น หาแอมป์ที่จะขับมันให้มีประสิทธิภาพได้สูงสุด ในราคาที่พอสู้ราคาไหว หาได้ยาก ยิ่งเจ้าJL.รุ่น W6 แอมป์ที่จะขับมันไหวได้เต็มความสามารถ ราคานี่อ่ะ 3หมื่นขึ้นทั้งนั้น เพราะว่า มันเป็นพวกวอยล์คอยคู่ โหลตแอมป์น่าดูกินวัตต์สุดๆเลย เจ้าโดมที่ว่ามาถูกต้องแล้ว จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 16 ต.ค. 47 00:55:54 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณอีกทีครับ สำหรับคำแนะนำ ได้รถแล้วครับ เด่วจะไปตั้งกระทู้บอก จากคุณ : เอ๋ (20th century boy) - [ 18 ต.ค. 47 09:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เยี่ยมครับพี่เสือ เอ๋ครับ เรื่องเครื่องเสียงคงต้องพี่เสือแหละครับ แน่นกว่าผมเยอะครับ พี่เสือ ขอปรึกษานิดนึงสิพี่ คือผมจะ upgrade เครื่องเสียงในรถผมอ่ะครับ ทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ตอนนี้ยังขาด Sub (ทรัพย์) อย่างเดียวอ่ะ ทำไงดี จากคุณ : ปัญญาชน - [ 18 ต.ค. 47 09:39:12 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กู้เมีย คือคำตอบสุดท้าย จากคุณ : เสือปลาขี้เมา - [ 18 ต.ค. 47 21:47:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่ค่อยนรู้เรื่อง แต่ก็มาอ่านอะครับ อ๋อ ที่สำคัญอีกเรื่องคือ สังเกต เวลารถวิ่งด้วย ต้องตรงตามแนวเส้นถนน ไม่ใช่ เซไปข้างใดข้างหนึ่ง อิอิ จากคุณ : Mathius - [ 19 ต.ค. 47 18:16:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมใช้เครื่อง1.8อยู่อ้ะ จี๊ดจ๊าดดี 190 ไม่ยาก แต่ต้องเซ็ตช่วงล่างใหม่ ไม่งั้น"บิน" ขอให้ได้รถดีๆถูกใจนะครับ จากคุณ : A-tarO - [ วันปิยมหาราช 14:40:29 ]