ก่อนอื่นผมบอกก่อนนะครับว่าผมยังไม่ได้ดูเรื่อง 'เพื่อนสนิท'
และที่สำคัญผมไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่อง 'เพื่อนสนิท' เลยแม้แต่นิดเดียว
เ นื่องจากว่าผมได้ยินใครต่อใครหลายคนบอกว่าดูเพื่อนสนิทแล้ว อยากไปเห็น ม.ช. จริง ๆ บ้างจัง หรือไม่ถ้าเป็นเด็ก ๆ มัธยมก็เริ่มชักอยากเอนท์เข้า ม.ช.ล่ะ
ผมก็เลยขุดเอาประสบการณ์ ความประทับใจ ของ ม.ช. มาเล่าให้ฟังละกันนะครับ เผื่อว่าบรรยากาศในหนัง 'เพื่อนสนิท' จะได้คุกรุ่นขึ้นมาอีก (พีอาร์ให้ทีมงานประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นเพื่อนผมซะงั้น)
อ่ะ มาว่ากันเลย
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ ม.ช. มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตมาก อยู่เชิงดอยสุเทพ ดังนั้น ม.นี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า มอเฌองดอย
ม. ช. มีทั้งหมด 3 โซน (ที่ใช้เป็นที่เรียนทั่วไป) คือฝั่งสวนสัก (เด็ก ๆ ปีหนึ่งมักเข้าใจว่าเป็นฝั่งสวนสัตว์ เพราะโซนนี้ติดกับสวนสัตว์เชียงใหม่) ฝั่งสวนดอก (เด็กสายสุขภาพ คุณหมอ ฯลฯ เขาเรียนกัน) แล้วก็ฝั่งแม่เหียะ (โซนนี้ก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างชวนให้หลง เหมาะอย่างยิ่งกับการหัดขี่ม้า)
- ม.ช. เป็นมหาลัยเชิงดอย ดังนั้นไม่แปลกที่ภูมิประเทศในมอ.จะเต็มไปด้วยเนินมากมาย พาหนะที่สบายที่สุดคือการใช้มอเตอร์ไซค์ ขี่ไปขี่มา ไปปุ๊บ แป๊บ ๆ ก็ถึง
แ ต่ทว่า มหาวิทยาลัยไม่ค่อยอยากให้เด็กใช้มอเตอร์ไซค์กันเท่าไร เพราะอยากให้ปั่นจักรยานกันเสียมากกว่า อาจด้วยกลัวเด็กตกงาน จะได้ไปหาจ๊อบเสริมปั่นซาเล้งส่งของก้ได้มั้ง
ใครมีเพื่อนเป็นเด็ก ม.ช. แล้วเห็นน่องกล้ามเป็นมัด ๆ ไม่ต้องสงสัยน่ะว่าทำไม
- อ่างแก้ว เป็นสัญลักษณ์หนึ่ง ของ ม.ช. อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ก่อสร้างขึ้นมาเมื่อไรผมไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยเห็นภาพตอนกำลังสร้างมหาวิทยาลัยช่วงปี 2506 - 07 ก็มีปรากฎให้เห็นแล้ว
อ่างแก้วอยู่ติดกับดอยสุเทพ หากนั่งเล่นตรงริมสันเขื่อน คุณสามารถมองเห็นดอยสุเทพได้โดยไม่มีอะไรบดบังแม้แต่น้อย อากาศยามเย็นสุดยอด ผมว่าใครจะสารภาพรัก มานั่งกันสองคนยามเย็นในช่วงหน้าหนาว สมหวังแน่
เนื่องจากอ่างแก้ว เป็นแหล่งน้ำประปาในมอ.อยู่ติดกับสวนสัตว์เชียงใหม่ ทำให้มีเรื่องขำ ๆ ว่า ทุกวันนี้เด็ก ม.ช.กินฉี่ของฮิปโปฯอยู่ เนื่องจากว่าเวลาเขาล้างคอกฮิปโป น้ำก็จะมาลงอ่างแก้ว ให้เด็ก ม.ช. ได้กินได้อาบกัน
อืม น้ำฮิบโป ว่าไปก็สยอง
- ม.ช. ถือว่าเป็นมหาลัยที่ค่าครองชีพอยู่ในเกณฑ์ถูกถึงถูกมาก ใน อ.มช. ซึ่งเป็นโรงอาหารกลาง หรือตามโรงอาการหอใน คุณสามารถกินข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ได้ในราคา 10 บาท (คนจะเยอะมากโดยเฉพาะเวลาสิ้นเดือน)
ต อนผมกลับไปรับปริญญาเมื่อต้นปี สั่งข้าวมาหนึ่งจานน้ำตาแทบไหล อะไรจะเยอะขนาดนี้ ถามป้าเจ้าของร้านว่าเท่าไร ป้าบอกว่า "สิบห้าบาทเจ้า"
ใ ครไป ม.ช. ผมแนะนำชุดอาหารที่ อ.มช. ของ 'อีคุณหยวน' เกย์ยักษ์ร่างอ้วน เพื่อนผมเอง มันกินแบบนี้จนเพื่อน ๆ เลียนแบบกันเกือบทุกคน ชุดอาหารของหยวนก็คือ ข้าวแกง (เพิ่มข้าว + กับสามอย่าง) ไม่เกิน 20 บาท + เกาเหลาป้าติ๋ม 10 บาท (หยิบผักเพิ่มได้เองเพราะซี้ป้า) + น้ำหวานแล้วแต่อารมณ์ (3 บาท) + ขนมหวาน (5 บาท)
เพียงเท่านี้คุณก็อิ่มตั้งแต่เช้ายันเย็นได้ เพราะว่าเยอะมาก
- พูดถึงอาหารประจำชาติของเด็ก ม.ช. ยอมไม่มีอะไรเกินไปกว่าหมูกระทะ เชียงใหม่นี้อุดมไปด้วยหมูกระทะมากมาย ผ่านไปทางไหนก็มีแต่หมุกระทะ
ที่เป็นที่นิยม อาจเป็นเพราะว่า มันเป็นบุฟเฟต์แล้วก็ถูก กินกันให้ตายก็คงไม่เกินร้อยกว่าบาท บางร้านมีโค้กเป็ปซี่ให้ฟรีอีก
ท ี่สำคัญคือ การกินหมูกระทะในหน้าหนาวเป็นอะไรที่เวิร์คมากครับ อากาศเย็น ๆ มานั่งปิ้งนั่งคุย สัมผัสไออุ่น (แต่ทำให้หัวเหม็นสุดๆ) ต่างจากการกินหมูกระทะในกรุงเทพเหลือเกิน ปกติก็ร้อนอยู่แล้ว มากินอะไรร้อน ๆ เพิ่มเข้าไปอีก ตาย ๆ
ที่สำคัญตั้งแต่ผมกินหมูกระ ทะมา ผมว่าร้านชุมแพเนื้อกระทะ ที่เชียงใหม่อร่อยสุดล่ะ ใครไปเชียงใหม่อย่าลืมไปลองกัน (ไปร้านไหนก็จะเจอแต่เด็ก ม.ช. พายัพ ราชภัฏ ฯลฯ เต็มไปหมดเลยน่ะ)
- พูดถึงบุฟเฟต์ นอกจากหมูกระทะแล้ว รอบ ๆ ม.ช.เต็มไปด้วย ร้านอาหารบุฟเฟต์เยอะมาก ตั้งแต่ร้านข้าวแกงอาหารไทย สเต็กบุฟเฟต์ อาหารเวียดนาม หรือแม้แต่ลูกชิ้นบุฟเฟต์ (กินกันตายไปข้างเลย)
เพื่อ นหญิงและเพื่อนสาวของผมหลาย ๆ คน บอกว่ามาอยู่ ม.ช. ฉันจะลดน้ำหนัก แต่ผ่านไปสักเทอม น้ำหนักขึ้นกันกระจายทุกคน (ผมท้าให้ลองเลยอ่ะ)
นอ กจากร้านบุฟเฟต์แล้ว ก็ยังมีร้านนมเยอะมาก ทั้งหน้ามอ.และหลังมอ. เด็กกรุงเทพฯหลาย ๆ คนคงงงที่เห็นร้านนมมนต์ที่เชียงใหม่คนน้อย ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯที่แทบจะเหยียบกันตายดั่งได้ฟรี เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่เขาก็ไปกินร้านอื่นกันหมด
เรื่องกินนี้มีมั นกินทั้งวัน ไม่ว่าจะดึกขนาดไหน หลังเที่ยงคืน ก็เรื่องน่าสนุกที่จะได้ไปกินไก่กำแพงดิน แถวใกล้ ๆ ไนท์บาซ่า เกือบตีสามตีสี่ ร้านข้าวหลังมอ.บ้างร้านก็ยังเปิดอยู่ (มันก็มีคนไปกินน่ะ) เช้ามาตลาดต้นพยอมหลังมอ.คนก็เริ่มเยอะ
ออกจากมอ.ตอนนั้นก็มีให้กินทุกเมื่อ แล้วแบบนี้จะไม่ให้อ้วนกันได้ไง
- อากาศหนาวเป็นสิ่งคู่กับ ม.ช. แม้ว่าสองสามปีมานี้จะได้แค่เย็น ๆ ก็ตาม ช่วงหน้าหนาวเป็นช่วงที่เหมาะแก่การนอนอยู่หอมาก (อยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ สุดยอดแล้ว) ดังนั้นจึงเป็นเวรเป็นกรรมมากสำหรับใครที่มีเรียนแปดโมง เพราะจะต้องใจแข็งปลุกตัวเองจากความขี้เกียจมาเจอกับน้ำเย็นมันแสนหนาวเหน็บ
ว ันดีคืนดี ใครอยู่หอในก็อาจได้ยินเสียงกระเทยกรี๊ดร้องอย่างกับโดนข่มขืน เหตุไม่ใช่อะไร ชีโดนน้ำเย็นเข้าโดยไม่ทันเตรียมใจเลยกรี๊ดลั่น พลอยทำให้ผู้ชายทั้งหอวิ่งมาดู เพราะคิดว่ามีกระเทยเสียซิง
- หอใน ม.ช. อยู่ใกล้กับตึกเรียนมาก ๆ อย่างหอห้าชายอยู่ห่างคณะวิศวะเพียงแค่ถนนสองเลนคั่น ส่งผลให้เด็กมหาลัยนี้เป็นโรคขี้เกียจสุด ๆ เรียนเก้าโมง ตื่น 8.55 ก็ทัน ชีวิตไม่ต้องรีบร้อน ชิล ๆ ไปเรื่อย ๆ
ส่วนหอนอก ก็ไม่ไกลจากมอ.มากนัก บิดมาห้านาทีก็ถึง รถไม่มีติดแบบกรุงเทพฯ ยังไงก็มาเรียนทัน (ถ้ามันไม่โอ้เอ้กันน่ะ)
- ประเพณีรับน้องของ ม.ช.ที่ขึ้นชื่อคือ 'รับน้องขึ้นดอย' ซึ่งเป็นการเดินขึ้นดอยสุเทพ สำหรับสายตาคนนอกจะมองว่าประเพณีป่าเถื่อน โหด น้องจะเดินกันไหวหรอ (เด็กปีหนึ่งมาใหม่ ๆ ก็คิด)
แต่พอได้เดินข ึ้นแล้ว ก็รู้ว่าประเพณีนี้คือประเพณีที่เด็ก ม.ช. ทั้งเก่าและใหม่เฝ้ารอเสมอ การเดินขึ้นนั้นแท้จริงสนุกมาก เดินทางเฮฮาไป เหนื่อยก็พัก (ยกเว้นคณะบ้าพลัง) รุ่นพี่ที่จบไปก็จะกลับมากันวันนี้เยอะมาก ได้พบปะเพื่อนๆ พี่ ๆ น้อง ๆ กัน สนุกครับ
- อีกประเพณีหนึ่งที่เด็กใน ม.ช. ทุกคนเฝ้ารอ ประเพณีนี้ไม่มีเวลากำหนดแน่ชัดว่าวันไหน เพราะต้องรอให้สักวันไฟดับ ประเพณีที่ว่านี้คือ "แจกของ" เวลาไฟดำทีไร ต้องได้แจกของทุกที ยิ่งดับนาน ของก็ยิ่งมาก ด้วยจรรยาบรรณพร้อมกับพูดในที่สาธารณะ ทำให้ผมไม่สามารถบอกได้ว่าของที่ว่านั้นคืออะไร (ว่าแล้วอยากแจกแฮะ)
นี้ก็เป็นบรรยากาศใน ม.ช.นิดหน่อยนะครับ ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันเพิ่มเติมกันหน่อยเร็ว
ใครไปเชียงใหม่อย่าลืมไปเที่ยว ม.ช.นะครับ
ป.ล. ฝากตอบในบล็อกหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 48 20:35:33
จากคุณ :
I will see U in the next life.
- [
18 ต.ค. 48 20:35:13
]