ความคิดเห็นที่ 1 อะแฮ่มๆ เริ่มต้นที่ขนาดนะครับ ... สำหรับเรื่องนี้ขอไม่บ้าน้ำลายมาก ให้ดูรูปกันเองละกันครับ ว่ากล้องพ่อ กะกล้องลูก หน้าตาต่างกันยังไงบ้าง รูปแรก จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ใครจะเอาไม้บรรทัดวัดบนหน้าจอผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ หุหุ เอ้า...รูปที่สอง จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 รูปที่สาม จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รูปที่สี่ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รูปที่ห้า จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รูปสุดท้ายสำหรับ Size, does it really matter? ส่วนตัวคิดว่าความหนาบางของกล้องนั้นไม่มีนัยสำคัญสักเท่าไหร่นัก จับถือสลับไปมาไม่รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง R2 นั้นจะสูงกว่า M6 นิดหน่อย น่าจะสูงเท่าๆ กับ M6 TTL แต่...สิ่งที่ R2 เพิ่มเข้ามาซึ่งก็คือส่วนนูนๆ ด้านหลังนั้น ช่วยให้จับถือได้ง่ายขึ้นกว่า M6 บวกกับวัสดุหุ้มปลาย...เอ้ย หุ้มกล้องในส่วนจับถือของ R2 มีความเหนียวกว่า M6 พอประมาณ ผมขอสรุปอย่างหน้าด้านๆ ว่า Ergonomic ดีกว่า M6 ครับ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 20:57:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอแทรกประเด็นตรงนี้หน่อยครับ Function การใช้สอย การวางฟังก์ชั่นต่างๆ ของกล้องทั้งสองตัว ค่อนข้างคล้ายกัน ผิดกันไม่กี่เซนติเมตร หรือไม่กี่มิลลิเมตร ... จากภาพข้างต้น จากการใช้งานจริงพบว่าไม่ได้สร้างความลำบากสักเท่าไหร่นัก แต่ก็มีประเด็นที่ควรกล่าวถึงอยู่ เช่น การโหลดฟิล์ม M6 นั้นใช้การใส่ฟิล์มแบบ Slot-in อาจต้องอาศัยความคุ้นเคยสักพัก บอดี้ R2 เป็นแบบเปิดฝาหลังใส่เหมือนกล้อง SLR ทั่วๆ ไปซึ่งหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันดี อ้อ...ฝาหลังลักษณะนี้ทำให้บอดี้ดูป๊อกแป๊กลงไปพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ซื้อกล้องมือสอง เหมือนซื้อรถมือสอง ชอบเอาหลังนิ้วเคาะๆ หาว่าสีสองชั้นรึเปล่า อะไรทำนองนั้น Hotshoe ในส่วนนี้อาจเป็นสิ่งที่ Voigtlander ไม่ได้คิดถึง คิดไม่ละเอียด ละเลย หรืออาจจะคิดแล้ว ... Hotshoe ของ R2 นั้นไม่ได้จมลงในเนื้อเหล็กของบอดี้เหมือน M6 ทำให้เวลาติด External Viewfinder จะสูงกว่าปกตินิดนึง (M6 จะราบติดกับด้านบนของบอดี้) ถามว่าเป็นปัญหามั๊ย? ... ก็ไม่ได้มากมายอะไรครับ แต่ความสูงที่เพิ่มขึ้นสองสามมิลลิเมตร โดยเฉพาะเมื่อเป็นความสูงของวิวเล็กๆ อันนี้ ทำให้เกิดปัญหาเกะกะในการใช้งานจริงบ้าง ปัญหาในการยัดลงกระเป๋าบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่ผมรับได้ครับ*** Viewfinder ที่ขยับเข้ามาอีกประมาณ 5 มม. ของ R2 นั้น อาจทำให้อั้ม พัชราภา มีปัญหาในการใช้งานบ้าง เพราะทำจมูกมาเยอะไปหน่อย ... แต่ก็นั่นล่ะครับ ก็อาศัยการปรับตัว สร้างความเคยชินกันไป*** คานขึ้นฟิล์ม R2 นั้นไม่ให้ความรู้สึก "รถถัง" เหมือน M6 หรอกครับ มันเบาโหวงเหวงชอบกล ยิ่งถ้าคนที่คุ้นชินกับ M6 มานาน ผมเชื่อว่าเกินร้อยละเจ็ดแปดสิบ ต้องไม่ชอบแน่ๆ ครับ มันจะลื่นแบบหลวมๆ ในขณะที่ M6 จะลื่นแบบแน่นๆ เปรียบเทียบเป็นสาว 24 กับสาว 42 ละกันครับ เอิ๊กๆ *** เรื่องรับได้ไม่ได้จะขอสรุปในประเด็น Price ละกันครับ *** จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Noise เสียง...เถียงกันจริงจัง ลองฟังดูก่อนที่นี่ครับ ห้ามข้ามขั้นตอนเป็นอันขาด http://filmcamera.multiply.com/music/item/4 สำหรับคนที่คุ้นเคยคงจะทายออกอย่างไม่ยากเย็นอะไร และแม้ว่าจะอัดด้วยไมค์เว็บแคมห่วยๆ แต่ก็ให้ความแตกต่างที่ยังพอฟังออกครับ เสียงชัตเตอร์ของ R2 นั้นดังจริงๆ ครับ แตจะดังหรือไม่นั้น...สำคัญว่าเทียบกับอะไร หรือใช้ในสถานการณ์ใดมากกว่า เนื่องจาก R2 มีม่านเปิดปิดรับแสงเป็นโลหะ ไม่เหมือน M6 ที่เป็นผ้า จึงมีเสียงที่ ... "แปร่ง" กว่า M6 เสียงจะไม่นุ่ม อ้วน ทุ้ม เท่ากับ M6 ลองอธิบายเป็นคำพูดก็... กรึบๆ M6 แกรบๆ R2 แต่...ความดังของมันนั้นรับได้หรือไม่? สำหรับผม ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เงียบมากๆ เช่น บนรถไฟฟ้าแปดโมงเช้าวันอาทิตย์ เสียงชัตเตอร์ที่ว่านี้ก็ไม่เป็นปัญหาในการใช้งานครับ แต่...เมื่ออยู่ในสภาพการณ์ที่เงียบ การถ่ายแบบ Cando Candid หรือ Candone เสียงของ R2 จะดึงความสนใจเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ครับ อันนี้จะเป็นปัญหาหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคลครับ ผมมันหน้าด้าน ไม่สนใจอยู่แว้ว จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Weigt & Sturdiness น้ำหนัก ความหนักแน่น M6 หนักกว่าอย่างรู้สึกได้ชัดเจนครับ และไม่มีวี่แววของความป๊องแป๊งให้เห็นตามมาตรฐานของเยอรมัน...ล่ะมั้ง? R2 นั้นเบากว่า และแสดงความบอบบางให้เห็นในบางจุด ซึ่งประเด็นเรื่องน้ำหนักนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากพอๆ กับเรื่องของเสียงดังไม่ดังในฟอรั่มทั่วโลก เอาเป็นว่าเท่าที่หาข้อมูลมา...ไม่มีทางที่จะมีบทสรุปสำหรับเรื่องนี้ครับ เพราะความต้องการของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป สำหรับผมถ้าใช้งานได้เหมือนกัน หรือใกล้เคียงกัน ขอแบกไอ้ที่เบากว่าครับ จบข่าว ในความคิดผมเรื่องของน้ำหนักนี้ก็น่าจะเป็นตัวแปรหนึ่งของเสียงด้วย นั่นเพราะ M6 ทำจากวัสุดที่หนา และหนักกว่า R2 และมีช่องให้เสียงลอดออกมาได้น้อยกว่าอีกนิดหน่อย จึงทำให้เสียงทุ้มกังวานกว่า ... ว่ากันไป หุหุ ความรู้สึกในการจับถือ ... อย่างที่บอกครับว่าน้ำหนักมันแตกต่างกันจริงๆ ตามความรู้สึกทั่วๆ ไปของคนที่จับ M6 มาก่อน R2 ก็คงจะรู้สึกว่า R2 นั้นเบา บอบบาง หลวม ก๊อกแก๊ก หรืออะไรก็แล้วแต่ ... แต่ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็อาจจะไม่เกิดความรู้สึกอะไรเลยก็ได้ เพราะมาตรฐานของกล้องมันก็อยู่ในระดับที่จัดว่าสูงพอสมควรครับ เอาเป็นว่าผมขอสรุปแบบหน้าด้านๆ อีกครั้ง ถ้าใครชอบหนักๆ แน่นๆ ชนิดที่เรียกว่าขาดไม่ได้เลย กูชอบแบบนี้ ก็คงต้องหันไปหา M6 ล่ะครับ ยิ่งถ้าชอบหนักกว่าอีกนิดก็ต้องมองหา M6 สี Chrome แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:30:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 Flash Sync สัมพันธ์แฟลช ถ้าใครไม่นิยมแฟลช ขอให้ข้ามประเด็นนี้ไปได้เลยครับ แต่สำหรับผม...สำคัญมากนะเนี่ย ลองคิดดูครับ M6 สัมพันธ์แฟลชที่ 1/50 (เพราะชัตเตอร์ผ้า?) R2 สัมพันธ์แฟลชที่ 1/125 ตามมาตรฐานของกล้องทั่วๆ ไปในระดับราคาของมัน แม้ว่าการใช้งานที่ 1/50 กับเลนส์ 50 มม. โดยเฉพาะที่มันเป็นกล้อง Rangefinder ที่ไม่มีกระจก จะปลอดภัยจากการสั่นไหวได้พอสมควรแล้ว ... แต่เรื่องของความรู้สึกมันห้ากันยากครับ โดยเฉพาะเมื่อเจอนางแบบหน้าตาดี หุ่นดี อกเป็นอก เอวเป็นเอว ... อาจมีอาการมือสั่นกันบ้างล่ะ ก็จิตใต้สำนึกมันห้ามกันยากนี่ครับ ผมเองไม่ได้เก่งเรื่องแฟลชมากนัก ใช้แต่ไกด์ที่มาหลังแฟลชแมนนวลทั่วๆ ไป ไม่เคยรู้หลักการที่แท้จริง แต่ก็นั่นล่ะครับ ในเมื่อกล้องทั่วๆ ไปมัน sync flash ที่ 1/125 ก็หมายถึงแฟลชแมนนวลทั่วๆ ไปมันก็ควรจะให้ค่ามาแบบนั้น ... ก็ไม่ต้องมาคำนวณอะไรให้ยากเย็น มีหน้าที่กดก็กดกันไป และการ Fill Flash ก็ทำได้มากขึ้นสำหรับความต้องการ "หลังเบลอ" แบบเกาหลีๆ ... สำหรับ TTL นั้นข้ามไปเลยครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร (ก็กล้องมันไม่มีนิ) สมัยใช้ EOS 3 กับ 550EX ก็กดแหลกไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ รับรองคอมพิวเตอร์มันฉลาดกว่ามนุษย์แน่นอน เหอๆ มาถึงการใช้งานกับหัวไฟแฟลชดวงโตในสตูดิโอ การ sync flash ได้สูงกว่าย่อมมีประโยชน์กว่าอยู่แล้วแล่ะเนอะ เพราะมันหมายถึงการสร้างสรรค์งานได้หลากหลายกว่า และสามารถใช้กับเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสมากขึ้นไปอีก เช่น 75 90 135 (เหลือแค่ว่าจะมีเงินไปซื้อไอ้เลนส์ที่ว่าๆ มานี้รึเปล่า) สรุป...ถ้าผมต้องใช้แฟลช M6 จะกองอยู่ที่ก้นกระเป๋าชัวร์ๆ ครับ เพราะมันต่างกันจริงๆ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Film's Sprocket รูหนามเตยนั่นเอง ประเด็นนี้ขอสรุปง่ายๆ เลยครับว่าผมไม่ชอบ R2 เพราะรูหนามเตยจะตรงกับ Space ระหว่างเฟรมสองเฟรม หรือเหลื่อมไปนิดหน่อย ... ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าผมใส่ฟิล์มผิดพลาดหรือยังไงนะครับ แต่เท่าที่ล้างออกมาสามสี่ห้าหกม้วน รูหนามเตยมันจะมาตรงกับช่องว่างระหว่างฟิล์ม หรือไม่ก็เหลื่อมๆ ไปซะทุกที จากที่ศึกษาข้อมูลมาพบว่าเป็นเพราะการออกแบบของผู้ผลิตนั่นเองครับ สำหรับ M6 เมื่อใส่ฟิล์มปิดฝาปุ๊บ ขึ้นฟิล์มปั๊บๆ ล้างออกมาจะไม่มีรูมาตรงกับ Space ระหว่างฟิล์มเป๊ะๆ เลยครับ ทำให้การตัดฟิล์มเพื่อเก็บลงซองดูเรียบร้อยกว่าเป็นไหนๆ ไม่มีแหว่งๆ วิ่นๆ สำหรับประเด็นนี้ก็แล้วแต่ความคุ้นเคยของท่านๆ ครับ ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ รับได้หรือไม่ได้ ... สำหรับผม รับได้ครับ แต่ไม่ชอบ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โว๊ย ไม่จบซะที ฮ่าๆ Film Counter Numbering ตัวเลขบนวงแหวนจำนวนภาพ M6 มี 40 เฟรมครับ R2 มี 36 เฟรม ในช่วงสุดท้ายของการใช้งาน M6 ไม่เคยมีปัญหาอะไรครับ แต่ R2 เมื่อขึ้นฟิล์มด้วย Trigger Winder มันดันไม่ติดเหมือนเวลาขึ้นเฟรมสุดท้ายทั่วๆ ไปดิครับ ทำให้ผมถ่ายซ้อนไปสามภาพเต็มๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า...เป็นเพราะอะไร แต่เหมาเอาว่าเป็นเพราะไอ้เจ้านี่ละกันครับ เพราะ M6 นั้นสามารถถ่ายได้ 36+2 หรือ 3 แล้วแต่วิธีโหลดฟิล์ม ... โดยไม่มีการต่อหัวฟิล์มนะครับ แต่ R2 มันมีเลขแค่ 36 ผมจึงเหมาเอาเองว่าปัญหาคงใช่ไอ้นี่แน่ๆ ไว้คราวหน้าจะเตรียมรับมือให้ถูกต้อง แต่ยังไงๆ ก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากน้าๆ ที่ใช้ R ต่างๆ อยู่ด้วยนะครับ เพราะผมก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกัน คงต้องรอท่านที่ใช้มานานกว่าผมมาตอบให้ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 21:52:56 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Frameline self or pre selection สิ่งที่อาจทำให้เรากลายเป็นคนโง่ได้ในพริบตา ... ปกติ Leica M6 นั้น เมื่อใส่เลนส์เข้าไป Mount เลนส์แต่ละช่วงที่แตกต่างกัน จะไปกดกระเดื่องที่ใช้ปรับ Frameline สำหรับช่วงเลนส์ต่างๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ Frameline ในช่องมองเปลี่ยนไปตามเลนส์ที่ใช้นั่นเอง (ตามที่กล้องมีนะครับ เช่น M6 ก็ 35 50 75 90 อะไรทำนองนี้) แต่... R2 นั้นไม่ได้เป็นงั้นสิครับ จากรูปด้านบน จะเห็นว่ากล้องมี Dial ให้ปรับเลือก Frameline สำหรับช่วงเลนส์ต่างๆ ระบบอัตโนมือนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเราเปลี่ยนเลนส์ระหว่างการทำงาน แล้วดันสะเหร่อลืมปรับ Frameline ให้ตรงกับช่วงเลนส์ที่ใช้ ตัวอย่างเช่น เราได้ภาพพริตตี้มอเตอร์โชว์ที่หัวขาด นมขาด จากเลนส์ 50 มม. เพราะถ่ายด้วย Frameline สำหรับ 35 มม. หลายๆ ท่านคงเคยพลาดมาบ้าง สำหรับผมไม่พลาดบ้างล่ะครับ พลาดเต็มๆ เลย อิอิ แต่คิดว่า...ในอนาคตถ้าใช้จนเคยชิน ติดมือ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรครับ เหมือนพ่อผมขับรถยุโรป สลับกับรถญี่ปุ่น แรกๆ ก็ปัดน้ำฝนแทนเปิดไฟเลี้ยว สุดท้ายก็ไม่มีพลาดให้เห็นอีก ถ้าวัยขนาดพ่อผมทำได้ ผมก็คงทำได้ล่ะมั้ง? จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Trigger Winder อุปกรณ์ยอดคุณ ก่อนอื่นขอให้ไปดูที่นี่ก่อนครับ ห้ามข้ามขั้นตอน http://filmcamera.multiply.com/video/item/1 อุปกรณ์ชิ้นนี้คือ Winder ครับ ทำหน้าที่เหมือน Motor Drive, Motor Winder เพื่อช่วยในการขึ้นฟิล์มนั่นล่ะครับ คนที่เคยใช้กล้อง Rangefinder มาบ้าง หรือคนที่เคยใช้กล้อง Manual มาบ้าง เคยประสบปัญหาการถ่ายต่อเนื่องบ้างรึเปล่าครับ? ผมเชื่อว่าบางคนไม่เคยมีปัญหานี้เลยครับ แต่สำหรับผม เวลาจะขึ้นฟิล์มผมต้องละสายตาออกจากกล้อง ขึ้นฟิล์ม ประกบลูกกะตาเข้าไปใหม่... ไอ้สามจังหวะที่ว่ามาเนี่ยมันก็กินเวลาเอาการอยู่ แล้วผมก็ไม่สามารถขึ้นฟิล์มทั้งๆ ที่กล้องติดตาอยู่ได้ เคยพยายามแล้วครับ แต่ก็ไม่สำเร็จ จากการวิจัยพบว่ามีอุปกรณ์อยู่สองสามอย่างที่สามารถแก้ปัญหานี้ให้ผมได้ ตามรูปละกันครับ รูปแรก Leica Motor Winder M มีส่วนที่ยื่นออกมาลักษณะเหมือนกริป ช่วยให้จับถือได้ถนัดมือมากๆ ครับ มีที่พักนิ้วด้วยนะเออ สนนราคาก็ 18,000 บาท มือสองนะจ๊ะ คุณสมบัตินอกเหนือจากนี้ก็สามารถขึ้นฟิล์มอัตโนมัติด้วยความเร็วสูงสุด 2 เฟรมต่อวินาที ... เคยได้ยินมาว่าไอ้ตัวนี้มีปัญหาอยู่สองอย่าง อย่างแรก ปลายๆ เฟรมของรูปจะไม่ค่อยชัด เพราะมันดึงฟิล์มก่อนที่ม่านจะปิด ... คุ้มค่ามั๊ยนี่? อย่างที่สอง ราคามันแพงสิครับ ตัวก็ใหญ่ ใครจะไปใช้อ่ะ? จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:10:23 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถัดมาครับ Leicavit M ลักษณะก็เหมือน Trigger Winder ของ Voigtlander ต่างกันที่ราคา ราคาที่ต่างกันลิบลับ มือสองอยู่ที่หมื่นกว่าบาท เกือบหมื่นห้า ในขณะที่สามารถซื้อ Trigger Winder ของ Voigtlander ได้ในราคาห้าพันกว่าบาท วิธีการใช้งาน Leicavit M ก็เหมือนกับ Trigger Winder อีกนั่นแล่ะครับ "กระชาก กด" แล้วก็ "กระชาก กด" แต่เนื่องจากราคามหาโหด ความต้องการอันสูงส่งในตลาดมือสอง Supply ที่เบาบางไม่เพียงพอกับ Demand ราคามือสองจึงมีแต่พุ่งขึ้น พุ่งขึ้น และพุ่งขึ้น ... แล้วถ้าเราอยากใช้อุปกรณ์แบบนี้จะทำยังไงล่ะครับ??? จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:15:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาดูกันอีกซักรูปนะครับ วิธีการติดไอ้ตัวนี้เข้าไปก็คือ ถอดฝาปิด Film Chamber แบบปกติออก แล้วก็เอาอีตัวนี้ใส่เข้าไปแทน ... ไม่ได้ใช้วิธีการ "แปะ" เข้าไปเหมือน Bessa R2 อ้อ...ภาพข้างบนเป็น Leicavit MP ผลิตในจำนวนจำกัด ส่วนใหญ่จัดเป็น Package มากับ MP ล่ะมั้ง ราคาก็...แพงกว่าแบบปกติเข้าไปอีก เฮ้อ...อะไรกันนี่ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 17 They say; Voigtlander's got remedy for Leica's poison!  I say it's true. นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากพูดถึงครับ ถ้าชอบ Rangefinder อยากใช้ Leica อยากได้คุณภาพของ Leica อยากเล่น Leica แต่...ติดปัญหาเรื่องเงินตรา... Voigtlander ช่วยคุณได้ครับ เพราะ Voigtlander มีแทบทุกอย่างที่ไลก้ามี ในราคาที่เบาบางกว่าพอสมควร ของเล่นต่างๆ ก็เพียบพร้อมให้ลองเลือกสรร (เดี๋ยวไปต่อประเด็นนี้ที่ Price ละกันครับ) ตัวอย่างเช่นไอ้นี่...Trigger Winder มันคืออุปกรณ์ที่มีฟังก์ชั่นใช้งานเหมือนกัน ในราคาที่แตกต่างกัน ดังนั้น...ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ อยากใช้ หรืออยากลองใช้ แต่ไม่อยากจ่ายเงินเยอะ ไม่อยากเจ็บตัวแบบไม่จำเป็น ก็นี่ล่ะครับ Voigtlander มันช่วยท่านได้จริงๆ พอจะจินตนาการออกเลยใช่มั๊ยครับ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:24:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นมั๊ยครับ มีกริ๊ปมาให้พร้อมเลย แถมรูร้อยสายแขวนกล้องแนวตั้งซะด้วย (เกะกะชิบ) ใช้งานสนุกสนานมากครับ ขึ้นฟิล์มได้เร็วตามที่สมองสั่งการ ยกเว้นน้าๆ ที่มือไว ปากว่ามือถึง อิอิ จากสถานการณ์จริง ผมลอง Waist Action พบว่าลดความโดดเด่นของท่าทางการขึ้นฟิล์มแบบเดิมๆ ลงได้พอสมควรครับ แล้วมันก็ยังช่วยให้การจับถือมั่นคงขึ้นซะด้วย ที่สำคัญสุดคือมันแก้ปัญหาการขึ้นฟิล์มในขณะที่กล้องยังอยู่ติดหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งโดยคุณสมบัติของกล้อง Rangefinder ข้อนึงที่ว่าไม่มีการ Black Out หรือวิวไฟน์เดอร์มืดลงชั่วขณะเหมือนกล้อง SLR ที่มีกระจกสะท้อนภาพตีขึ้นเวลากดชัตเตอร์ (ยกเว้นพวกรุ่นพิเศษ เช่น EOS 1n RS) นั่นหมายถึงเราสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกขณะที่กำลังเกิดขึ้น ผ่านวิวไฟน์เดอร์ และเลือกกดชัตเตอร์ได้ตรงกับจังหวะที่เราต้องการ ไอ้ Trigger Winder ตัวนี้ก็แก้ปัญหาให้ผมได้ดีเลยล่ะครับ เพราะผมไม่ต้องลดกล้องลงมาก่อนขึ้นฟิล์มอีกแล้ว เย่ ปล.ทั้งหมดผมกล่าวในกรณีที่ต้องการถ่ายภาพเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันไปนะครับ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เดินไปเจออะไรง่ายๆ ถ่ายไปคิดไป ... โคตรเกะกะเลยครับไอ้ตัวเนี้ย จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 รักไลก้า หลงไลก้า เล่นBessa ครับ จากคุณ : George (Sonnar Devotee) - [ 4 เม.ย. 50 22:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อกี้มีคนโทรมาบอกว่า "จบซะทีเหอะ สาดดดดด" เอาล่ะครับ ประเด็นสำคัญที่สุด Price "ราคา" ขอยกเรื่องจาก คคห. 17 มาก่อนนะครับ "นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากพูดถึงครับ ถ้าชอบ Rangefinder อยากใช้ Leica อยากได้คุณภาพของ Leica อยากเล่น Leica แต่...ติดปัญหาเรื่องเงินตรา... Voigtlander ช่วยคุณได้ครับ เพราะ Voigtlander มีแทบทุกอย่างที่ไลก้ามี ในราคาที่เบาบางกว่าพอสมควร ของเล่นต่างๆ ก็เพียบพร้อมให้ลองเลือกสรร (เดี๋ยวไปต่อประเด็นนี้ที่ Price ละกันครับ)" สรุปให้สั้นๆ เลยว่าถ้าท่านใช้บอดี้ของ Voigtlander จะช่วยประหยัดเงินไปได้โข มีส่วนต่างไปบวกที่งบซื้อเลนส์อีกพอสมควรเลยครับ สองกล้องที่เห็นเนี่ยราคาต่างกันสามหมื่นห้า เงินสามหมื่นห้านี่ก็เกือบได้เลนส์ 35 หรือ 50 ของ Leica สภาพกลางๆ รุ่นดีๆ แล้วล่ะครับ เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่กล่าวมา สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้่ใช้เองครับว่ารับได้หรือไม่ได้ เพราะสุดท้ายถ้าคนอื่นบอกดี แต่เราใช้เท่าไหร่ก็ไม่ชอบ มันก็แค่นั้นล่ะครับ จบครับ ติชมได้นะครับ สงสัยตรงไหน ผิดพลาดตรงไหน ไม่เห็นด้วยตรงไหน บอกได้เลยครับ ไม่ว่ากัน จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อิอิ น้าจอร์จมาแว้ววว... พอใช้ได้มั๊ยครับคุณจอร์จ ขาดตกบกพร่องอะไรบ้างรึเปล่าครับ? ผมแถมตัวนี้ให้อีกตัวครับ มือสองอย่างต่ำก็สามพัน มีแต่กริปนะจ๊ะ ไม่มีอย่างอื่นเลย เป็นไง ตกใจราคากันมั๊ยล่ะคร๊าบพี่น้องคร๊าบบบ จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 22:45:20 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบพระคุณมากๆครับ ปล. request ตอนหน้าเป็น Rolleiflex VS Yashica ได้ไม๊ครับ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 50 00:00:05 จากคุณ : วันละเป๊ก - [ 4 เม.ย. 50 22:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอา Rolleiflex + Yashica กับฟิล์ม 120 ให้ผมซักสิบม้วนนะครับ อิอิ รับรองเลย จากคุณ : Rangefinder - [ 4 เม.ย. 50 23:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ยาวดี เขียนด้วยความตั้งใจโชว์ของ เอ้ย...ถ่ายทอดความรู้โดยแท้ อ่านตั้งแต่เริ่มเปิดกระทู้ จนผมเอากล้องออกมาmount กับเลนส์ ถ่ายรูปเสร็จพร้อมจะเอาลงแจมด้วย ยังหาจังหวะปาดเหมาะๆไม่ได้เลย แอบคิดในใจเหมือนคนที่โทรไปเหมือนกันว่า "จบซะทีเหอะ สาดดดดด" เท่าที่ทราบมา คนที่ใช้ Leica M มี Bessa กันแทบทั้งนั้นแหละครับ บางคนมี M เอาไว้นั่งลูบๆคลำๆอยู่กับบ้าน ออกสนามจริงเอา Bessa ไปลุยก็เคยได้ยินมา ยังนึกไม่ออกว่าจะเพิ่มเติมเสริมอะไรรีวิวตอนนี้เพราะเขาทำซะละเอียดยิบอยู่แล้ว ได้แต่อยากเน้นแนวคิดใน คห.17 ด้วยคนครับ แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 50 09:50:18 จากคุณ : Sonnar Devotee - [ 4 เม.ย. 50 23:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ร่ายซะยาว แต่เป็นรีวิวที่เยี่ยมครับ ว่าแต่จะปล่อยเท่าไหร่ .... อิอิอิอิ จากคุณ : บ่าววว (บ่าวเคิ๊น) - [ 5 เม.ย. 50 08:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านสนุกยอดเยี่ยมกระเทียมดอง จากคุณ : judgee - [ 5 เม.ย. 50 10:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เขียนได้ยาวดีจัง อ่านยังไม่จบเลย  แต่ละเอียดมาก เห็นภาพไปด้วยเลย ขอชื่นชมครับ ขยันสุดยอด อย่าลืมลง Multiply นะครับ จากคุณ : lol - [ 5 เม.ย. 50 12:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 28 review ได้เยี่ยม !! จากคุณ : nop0611 - [ 5 เม.ย. 50 14:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แหะๆ บ้าน้ำลายน่ะครับ ขอโทษที่ยาวไปหน่อย (จริงๆ แล้วมีปมด้อย มีอะไรสั้นๆ อยู่เยอะ อิอิ) จากคุณ : Rangefinder - [ 5 เม.ย. 50 21:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เยี่ยมเลยครับ เห็นภาพเลย อ่านจบแล้วอยากได้เลยครับ โดยเฉพาะไลก้าสีดำนั้นน่ะ บวก 24 มาด้วยก็แจ๋วเลย ฮิฮิ จากคุณ : heronop2003 - [ 5 เม.ย. 50 23:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่เห็นพูดถึงความสว่างและคอนทราสต์ของviewเลยครับ??? จากคุณ : ..... (เสือตุ๋งติ๋ง) - [ วันจักรี 12:28:40 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ลืมไปเลยครับ นึกว่าเขียนเรื่องนี้แล้ว แต่ที่ไหนได้ดันเป็น PM กับคุณจอร์จไปซะงั้น วิวของ Voigt กับ M6 ตัวที่ผมใช้อยู่นี้ จะเห็นได้ชัดเลยครับว่าวิวของ Voigt นั้นสว่างและสดใสกว่า อารมณ์เดียวกันกับ External Viewfinder (วิวแยกที่ใช้เสียบบนฮอทชู) ของสองยี่ห้อนี้ที่มีความใส และความชัดเจนของ Frameline ที่แตกต่างกัน วิวไฟน์เดอร์ที่ตัวกล้องของ Voigt นั้นค่อนข้างใสสว่างครับ โดยเฉพาะตรง Rangefinder หรือตรง Double Image ที่ต้องทำให้ทับกันเวลาโฟกัสนั้น จะมีความเปรียบต่างที่ค่อนข้างชัดเจน คือ...ช่วยให้โฟกัสง่ายครับ ในสภาพแสงต่างๆ กันการใช้งานถือว่าง่ายกว่า M6 ตัวเก่าค่อนข้างมาก และเรื่องการโฟกัสก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นมาก...ใช่มั๊ย? สำหรับ M6 นั้นภาพสองภาพที่จะเอามาทับกัน บางที ในสภาพแสงต่ำๆ ก็มีปัญหาเหมือนกันครับ เพราะความแตกต่างของสองรูปแทบมองไม่ออก ... ผมอธิบายไม่ค่อยถูก เอาเป็นว่า Voigtlander Bessa R2 สว่างกว่า ใสกว่า ละกันครับ ในขณะที่ External Viewfinder ของสองยี่ห้อนี้ก็เหมือนกันครับ คือ...Voigtlander นั้นสว่างใสกว่าเยอะ และมีเฟรมไลน์ (ของ Voigtlander เรียกว่า Brightline) ที่ชัดเจนมากสมชื่อ เท่าที่ทราบยังมีพี่ๆ หลายคนที่มีวิวของ Leica แต่ใช้วิวของ Voigtlander เป็นประจำ เพราะว่าใสกว่า และ..."ถูกกว่า" นั่นล่ะครับ วิวของไลก้าตกชิ้นละ 8000 - 10000 บาท ในขณะที่วิวของ Voigtlander ราคาไม่เกินชิ้นละ 5000 บาท (36 บาท ต่อ 1USD)เมื่อเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว จึงมีผู้หันมาใช้วิวของ Voigtlander เป็นจำนวนมาก โดย..."เก็บ" วิวของไลก้าไว้ใน Package สุดหรูของมัน เพื่อรักษาราคารอวันขายต่อ สุดท้ายละครับ ผมคิดว่า Voigtlander นั้น "คุณภาพเกินราคา" จริงๆ ครับ แม้จะเป็นงานผลิตในญี่ปุ่น แต่ของบางอย่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าต้นตำรับเลย เพียงแต่ว่า...Reputation มันต่างกัน การพูดถึง การถูกจดจำก็แตกต่างกันไปด้วย ยังไงลองพิจารณาดูครับ ปล.รบกวนคุณเสือ และทุกๆ ท่านช่วยกันโต้แย้ง หรือเพิ่มเติมประเด็นต่างๆ ด้วยก็จะดีมากเลยครับ จากคุณ : Rangefinder - [ วันจักรี 12:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านจบแล้วครับ เด่วต้องมีการขาของแบบหนังขายยามั๊ย น้า จากคุณ : tokina - [ 7 เม.ย. 50 18:11:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอเสริมส่วนที่ไม่ได้กล่าวถึงแล้วกันครับ Bessa R2 R2a R3a จะเคลือบผิวสีดำด้าน ทำลายที่เรียกว่า leather tone พื้นผิวแบบนี้มีข้อดีคือ จะมองเห็นริ้วรอยเหงื่อ-ขี้มือเวลาใช้งานได้ยาก และสามารถทนต่อการขีดข่วนได้ระดับหนึ่ง (ยกเว้นR2 oliveที่จะเคลือบสีเขียวแบบเรียบๆ) จากคุณ : ..... (เสือตุ๋งติ๋ง) - [ 7 เม.ย. 50 20:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณทุกๆคนครับ ที่มาช่วย Review ผมง้างงงงงงง อยากได้ Bessa มาใช้อยู่นาน ไปอ่านบาง Foum (คงมี Leica user เยอะ) เจอว่า Bessa R2 Shutter เบากว่า FM2 นิดเดียว :P จากคุณ : Rubik - [ 8 เม.ย. 50 11:16:36 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ก็นั่นแล่ะครับพี่ tokina กำลังจะขายอยู่เชียว ตั้งเท่าไหร่ดีน๊า จากคุณ : Rangefinder - [ 8 เม.ย. 50 12:28:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขึ้นฟิล์มขณะมองวิวไม่ได้ ปั้นใช้ตาซ้ายเล็งเหรอ ? จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 08:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบพี่ไว ป่าวครับ ใช้ตาขวานี่ล่ะพี่ แต่...มันเป็นความเคยชินที่แก้ไม่หายครับ คือไม่ชอบขึ้นฟิล์มทั้งๆที่มันยังติดหน้าอยู่ ไม่รู้เป็นไร... จากคุณ : Rangefinder - [ 16 เม.ย. 50 00:34:30 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อืมมมม ขอบคุณนะคราบบบบบบบ คารวะงามๆ 1 จอก จากคุณ : thichachan - [ 18 เม.ย. 50 07:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คือที่ถาม เพราะปกติเค้าจะให้ใช้ตาข้างที่ถนัดที่สุดเล็งวิว แต่ผมเคยวัดสายตาแล้ว ตาซ้ายผมดีกว่าตาขวานิดนึง แล้วก็รู้สึกได้เลยว่าตาซ้ายมันเห็นชัดกว่าจริงๆ เวลาเล็งกล้องมองวิวก็จะใช้ตาซ้ายอย่างเดียวมานานละ ทีนี้เวลาขึ้นฟิล์ม ถ้าไม่ยกกล้องออกมาห่างหน้าก่อน คานเลื่อนฟิล์มจะจิ้มตาขวาพอดี น่าเกลียดตายห่ะ จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 18 เม.ย. 50 21:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อ่านแล้วได้ความรู้ดี............ขอบคุณขอบคุณ จากคุณ : punam02 - [ 4 พ.ค. 50 15:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาเก็บความรู้อยู่เรื่อยๆครับ จากคุณ : siamsummer - [ 14 พ.ค. 50 23:53:09 ]