PANTIP.COM : O6740232 40D VS D80 []

ความคิดเห็นที่ 19

นึกแล้วเชียว ว่าเดี๋ยวจะต้องเป็นประเด็นร้อน ต้องมีสมาชิกของแต่ละค่ายมาเถียงกัน จริงๆแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องเถียงกันเลยนะครับ ว่าค่ายนั้นดี ค่ายนี้ด้อย เถียงให้ตายยังไง ทางบริษัทแคนอน นิคอน เค้าก็คงไม่ให้เราใช้กล้องฟรีๆ เลนส์ฟรีๆ อยู่ดีแหละครับ สุดท้าย ก็ต้องเสียตังค์ซื้อของเค้ามาใช้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ผมว่าอย่าไปยึดติดอะไรมันนักเลยครับ มาคุยกันด้วยเหตุและผลดีกว่า ...

จริงๆแล้ว คำถามเปรียบเทียบ 40D กับ D80 เนี่ย มีมาจะครบปีแล้วตั้งแต่ 40D ออกใหม่ๆ ก่อนหน้านั้นก็มีการเปรียบเทียบ 30D กับ D80, 350D กับ D80, 400D กับ D80 จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังอุตส่าห์มีคนถามเปรียบเทียบ 450D กับ D80 เข้าไปอีก สรุปว่า ทางหนอนเนี่ย เปลี่ยนไปแล้วราวๆ 5-6 รุ่น แต่ก็ยังมีคนเอาไปเทียบกะ D80 อยู่นั่นเอง (และคงเป็นยังงี้ไปเรื่อยๆ ถ้านิกไม่ออก D90 มาแทนซะก่อน) จากข้อนี้ข้อเดียว คงพอจะเห็นได้นะครับ ว่า D80 นี่มันเป็นกล้องระดับกลางเอามากๆๆๆๆ ถึงได้มีคนเอาไปเทียบกับรุ่นโน้นรุ่นนี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณสมบัติมันไม่ดีจริง คงไม่ต้องเสียเวลาเปรียบเทียบกันขนาดนี้

เข้าประเด็นกันดีกว่า มาดูข้อได้เปรียบอย่างแรกของ 40D ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ live view ซึ่ง D80 ไม่มี แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆ จอ live view ของ 40D ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะพับไม่ได้ ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้โจมตีว่าหนอนออกแบบจอ live view มาไม่ดีนะครับ เพราะของนิกเอง ขนาดตัวท็อปๆอย่าง D300 หรือ D3 จอ live view ก็พับไม่ได้เหมือนกัน พอกันทั้งสองค่าย ที่ผมเห็นมีประโยชน์หน่อย ก็คือของโอลี่ E3 (กับรุ่นเก่า E330) และของโซหนี้ A300 กับ A350 เหตุผลก็อย่างที่ทราบกันดี คือถ้าจอพับได้ ก็ช่วยได้ในเรื่องการถ่ายรูปจากระดับเอว หรือระดับเหนือศีรษะ ถ้าจอพับไม่ได้ ก็ต้องเล็งกันที่หลังกล้อง ซึ่งจริงๆแ้ล้วไม่ต้องใช้ LCD ก็ได้ เล็งด้วยช่องมองก็ได้ผลเหมือนกัน (สำหรับคนที่ใช้คอมแพคมาจนชิน ต้องไปลองมองผ่านช่องมองของ DSLR ดูก่อนนะครับ เพราะช่องมองของ DSLR กับช่องมองของคอมแพคนี่ผิดกันเยอะแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่อึดอัดอย่างที่คิดครับ) เพราะฉะนั้น เรื่อง live view นี่ ไม่น่าจะเอามาเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าไหร่ (ถ้าจอของค่ายไหนระหว่างสองค่ายนี้พับได้ก่อนค่อยว่ากันอีกที)

มาถึงเรื่องต่อไป 40D ได้เปรียบที่มีกันฝุ่น แต่ก็อย่างที่เข้าใจกันโดยสากลนะครับ ว่าระบบกันฝุ่นเนี่ย ค่ายไหนก็สู้โอลี่ไม่ได้ (ไม่ได้เป็นแฟนโอลี่โดยเฉพาะเจาะจงนะครับ เพราะผมก็ไม่ได้ใช้โอลี่ แต่ก็ต้องยอมรับแบบไม่ลำเอียงว่า ของเค้าดีจริงๆ) ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะโอลี่พัฒนาระบบกันฝุ่นมาก่อนชาวบ้านเค้า ถึงเป็นต้นตำรับ ของนิกกับหนอนนี่ เป็นที่รู้กันว่าทำมาเอาใจตลาด แต่ใช้งานจริงยังสู้เค้าไม่ได้ ฝุ่นเม็ดเล็กพอไหว เม็ดใหญ่เอาไม่อยู่ เพราะฉะนั้น มีหรือไม่มี ก็ยังไม่ใช่ประเด็นอีก ไว้รอให้เจ้าไหนทำได้เหมือนโอลี่ก่อนค่อยว่ากัน ตกลงก็ไม่ใช่ข้อได้เปรียบเสียเปรียบอีกเหมือนกัน

เรื่องต่อไป บอดี้ 40D สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เพราะเป็นอัลลอยด์ มีการประกอบ การซีล ฯลฯ เรียกว่าทำมาสำหรับเอาไปสมบุกสมบันแบบระดับกล้องโปร ซึ่งอันนี้ผมเชื่อนะครับ ว่าน่าจะสมบุกสมบันได้จริง เพราะขนาดผมใช้ D80 ซึ่งบอดี้เป็นแค่พลาสติก เอาไปลุยมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ โดนน้ำแข็งถล่มใส่เกือบเอาชีวิตไม่รอด (และกล้องก็เกือบไม่รอดไปพร้อมๆกับผม) โดนโคลนดูด ตกเขา เอาไปถ่ายกลางหิมะน้ำแข็งที่ -25 องศา เอาไปถ่ายกลางทะเลทรายที่ 50 กว่าองศา ฯลฯ ไปด้วยกันมาหมดแล้วจริงๆ เจ้า D80 ของผมนี่ก็ยังอึด คว้ามาใช้งานได้ทันทีไม่มีงอแงอยู่เหมือนเดิม ขนาดบอดี้พลาสติกยังทนขนาดนี้ บอดี้อัลลอยด์ของ 40D จะขนาดไหน แต่พูดกันอีกที ถ้าใครเอากล้องไปใช้งานแล้วสมบุกสมบันยิ่งกว่าผม สงสัยว่าไม่ใช่กล้องแล้วละครับ ที่จะต้องห่วงอ่ะ น่าจะห่วงตัวเองมากกว่า ว่าจะอายุไม่ยืนเท่ากล้อง อิ อิ ... จากประสบการณ์ใช้งานจริง ผมเลยไม่คิดว่าเรื่องบอดี้พลาสติก กับบอดี้อัลลอยด์ จะเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันมากมาย เพราะส่วนมากที่ผมเห็นโปรๆทั้งหลาย ใช้กล้องบอดี้อัลลอยด์ ก็เห็นทำไปทำมา ถ่ายกันอยู่แต่ในเมือง ในสตูฯ ซึ่งจริงๆก็ไม่ต้องใช้บอดี้ที่ทนทานขนาดนั้นก็ได้ (ใช้ทะนุถนอมกว่าผมอีก T_T)

เรื่องต่อมา ระบบโฟกัส อันนี้ก็ได้เปรียบเสียเปรียบกันคนละอย่างอีกแหละ 40D มีจุดออโต้โฟกัส 9 จุด ในขณะที่ D80 มี 11 จุด ได้เปรียบกว่านิดหน่อย (แต่ตัวที่จะมาแทนนี่ ถ้าเอาระบบของ D300 มาใช้ ... ซึ่งมีแนวโน้มความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ... ก็จะมีจุดออโต้โฟกัส 51 จุด หายอยากกันไปเลยครับงานนี้) แต่ 40D ก็ชดเชยด้วยเรื่องของความเร็วในการโฟกัสที่เหนือกว่าอยู่นิดนึง ในขณะที่ D80 ก็มีข้อดีเพิ่มมาอีกนิด ตรงที่เปิดปิดเส้น grid ช่วยในการจัดองค์ประกอบภาพได้ด้วยคำสั่งในเมนู (แถมมองเห็นเวลาถ่ายในที่มืดๆได้ด้วย) ซึ่ง 40D ทำไม่ได้ ต้องไปหาแผ่นพลาสติกที่มีเส้น grid มาสอดใต้ปริซึ่ม (ต้องเสียตังค์เพิ่มอีกนิดหน่อย) ก็มีดีมีด้อยกันไปคนละอย่างแบบนี้แหละครับ กินกันไม่ลงอีกตามเคย

ข้อต่อมา ที่เห็นเป็นประเด็นร้อนในกระทู้นี้ คือ 12 bit กับ 14 bit จริงๆผมก็อยากได้นะครับ 14 bit เนี่ย แต่คอมพ์ที่บ้านไม่เป็นใจครับ 555 ขืนเอามานั่งโพรเซสกันทีคงใช้เวลากันเป็นวันกว่าจะได้ซักรูปนึง แต่อันนี้ต้องยอมรับครับ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ 40D ทำได้เหนือกว่า D80 ดังนั้น ผมให้ 40D นำไปหนึ่งคะแนนตรงจุดนี้ครับ (หลังจากที่เสมอกันมาหลายยกแล้ว)

หัวข้อต่อมา แน่นอนครับ เรื่องแฟลช คงไม่ต้องอธิบายเยอะ เพราะหลายท่านได้พูดถึงไปแล้ว อันนี้ต้องให้คะแนน D80 ครับ เพราะสามารถสั่งงานแฟลชแยกแบบไร้สายได้ (ถ้าท่านใดสงสัย ขออธิบายคร่าวๆว่า สมมติว่ามีแฟลชแยกอยู่ตัวนึง ถ้าคุณใช้ D80 คุณจะสามารถแยกเอาแฟลชที่มีนั่น ไปวางไกลๆได้ เช่นอาจจะเอาไปวางอีกมุมหนึ่งของห้อง แล้วเอาแฟลชหัวกล้องเป็นตัวสั่งงาน ทำให้แฟลชที่อยู่มุมห้องทำงานได้ โดยไม่ต้องมีสายระโยงระยางเกะกะ และไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นๆเพิ่ม ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ 40D ทำไม่ได้ ต้องไปหาอุปกรณ์มาเสริม) ที่สำคัญ D80 ไม่ได้สั่งงานแฟลชแยกแค่ทีละตัว แต่สั่งพร้อมกันได้ทีละหลายๆตัว อันนี้ต้องให้คะแนน D80 ไปหนึ่งคะแนน (กลับมาเสมอกันอีกแระ)

ไหนๆก็พูดถึงแฟลชแล้ว ถ้าอยู่ในสตูฯ เนี่ย พวกไฟสตูฯทั้งหลายที่มีสายซิ้งค์ สามารถเอามาเสียบกับ 40D ได้เลยทันที เพราะ 40D มีรูให้เสียบสายซิ้งค์แบบมาตรฐาน อันนี้ D80 อด!!! เพราะมีแต่รูให้เสียบสายซิ้งค์ของนิคซึ่งมีลักษณะเฉพาะเท่านั้น ไปถึงสตูฯ จะสั่งไฟแฟลช ไฟสโตรป ให้ทำงานพร้อมกัน สำหรับ D80 ต้องใช้รีโมทแบบไร้สายอย่างเดียว (หรือไม่ก็ต้องใช้แฟลช SB800 เป็นตัวสั่ง) แบบมีสายที่ใช้กันทั่วไป เอามาใช้ไม่ได้ อันนี้ผมยกคะแนนให้ 40D ไปอีกหนึ่งคะแนน เพราะสามารถใช้งานร่วมกับไฟสตูฯ ได้หลากหลายกว่า (นำไปอีกแล้ว เย้ๆๆ)

ทีนี้มาว่าถึงความเร็วบ้าง ตามสเป็ค 40D รัวได้ 6.5 รูปต่อวินาที ว่ากันจริงๆแล้ว เร็วกว่านิกรุ่นพี่อย่าง D300 (ใช้แบตธรรมดา) ซะอีก เอามาเทียบกับ D80 นี่ ไม่เหลือเลย D80 ยิงได้แค่ 3 รูปต่อวินาทีเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากประสบการณ์ที่ถ่ายกีฬา งานโชว์ งานอีเวนท์ ฯลฯ อยู่บ่อยๆ (คอนเสิร์ตบ้างเป็นบางครั้ง) ฟังก์ชั่นถ่ายรัว เป็นฟังก์ชั่นที่ผมไม่เคยใช้เลย ถึงเวลาจริงๆก็กดทีละช็อตๆมาทุกที แล้วก็ไม่ค่อยจะพลาดช็อตสำคัญๆซักเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า คนที่ใช้กล้องโดยทั่วๆไป ถ่ายวิวกะพอร์ต เป็นหลักนี่ จะรัวไปทำไมกัน เพราะแบบก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว รัวมากเดี๋ยวกล้องพังเร็วอีกตะหาก แถมรัวๆไปโฟกัสหลุดหมด ไม่มีประโยชน์อีกด้วย ข้อนี้ ผมเลยไม่ให้ใครเลยซักคะแนน เพราะคิดว่าไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าไหร่ เ้ว้นแต่กับคนที่ต้องถ่ายรูปกีฬาเป็นประจำ หรือทำงานแนว photojournalist อาจจะมีความจำเป็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับคอขาดบาดตาย

เรื่องต่อมาก็ความเร็วของชัตเตอร์ ข้อนี้ 40D เร่งได้ถึง 1/8000 วินาที ในขณะที่ D80 ได้ 'แค่' 1/4000 วินาที แต่พูดกันจริงๆ ถึงจะเป็นกลางวันแสกๆ จะใช้สปีดขนาด 1/2000 วินาทีนี่ก็ต้องอัด ISO 1000 โน่นแล้ว โอกาสที่จะใช้ความเร็วสูงขนาดนั้น ว่ากันจริงๆก็มีน้อยครับ นอกจากจะพยายามถ่ายมาโครหลังดำ หรือพยายาม stop action ซึ่งจริงๆ แค่ 1/1000 นี่ก็เหลือๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ยกนี้ ผมให้คะแนนพอๆกันอีก

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของน้อยซ์ มาถึงวันนี้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในบรรดากล้อง APS หรือกล้องตัวคูณทั้งหลายในตลาดตอนนี้ ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับ 40D ก็คงจะมีแต่ D300 เท่านั้นเอง (ไม่นับ 1D ของแคนอนเอง ซึ่งเป็นกล้องระดับโปรและสามารถคุมน้อยซ์ได้ดีกว่า 40D ขึ้นไปอีก) สำหรับ D80 นั้น ยังต้องยอมรับว่าตามหลัง 40D อยู่พอสมควรในเรื่องของการควบคุมน้อยซ์ จากที่เคยใช้งานมา D80 สามารถควบคุมน้อยซ์ให้อยู่ในปริมาณที่พอรับได้จนถึงราวๆ ISO 1250 ซึ่งสำหรับ CCD รุ่นเก่า ได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ถึงยังไงก็คงจะเทียบกับความสามารถของ CMOS ที่ใช้ใน 40D ไม่ได้ สำหรับ 40D ถึงเร่ง ISO 1600 ก็ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ตรงนี้ต้องให้คะแนน 40D นำไปอีกหนึ่งคะแนน

สรุปนะครับ (เขียนมายาวมากแล้วเนาะ) ถ้าจะพูดกันตามสเปคจริงๆเนี่ย สามวันก็เทียบกันไม่จบครับ กล้องสองตัวนี้ พูดง่ายๆว่า ทั้งสองค่าย ต่างก็ไม่ได้วางกล้องของตัวเองมาชนกันแบบจะจะอยู่แล้ว 40D เป็นกล้องในระดับที่สูงกว่า D80 แต่ต่ำกว่า D300 เพราะฉะนั้น การเอามาเทียบกับ D80 แล้วจะให้ฟันธงว่าตัวไหนคุ้มกว่า จึงเป็นไปไม่ได้ครับ จะทำไ้ด้อย่างมากก็เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า ฟังก์ชั่นอะไรที่สำคัญสำหรับเรามากน้อยแค่ไหน อย่างความสามารถในการเชื่อมต่อกับสายซิ้งค์สำหรับไฟสตูฯ ก็ต้องมานั่งคิดกันอีกที ว่าเราจะมีโอกาสถ่ายในสตูฯมากน้อยแค่ไหน บ่อยพอที่จะเอามาเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจหรือเปล่า หรือเรื่อง การบังคับแฟลชแบบไร้สาย ก็ต้องดูอีก ว่าเราจะมีโอกาสได้ใช้แฟลช 3-4 ตัวหรือเปล่า หรือว่าสุดท้ายแล้ว ก็กล้องตัวเดียว เลนส์ตัวเดียว แฟลชตัวเดียวจบ หรือเรื่องของสปีด ก็ต้องดูอีก ว่าเราต้องการ 6.5 รูปต่อวินาทีจริงๆหรือเปล่า 3 รูปต่อวินาที เพียงพอสำหรับเราไหม ฯลฯ ทุกอย่างนี้ อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้นครับ ที่จะบอกได้ว่า คุณสมบัติอะไรที่เราต้องการ หรือไม่ต้องการ อย่างไร ไม่มีใครตอบคำถามเหล่านี้ให้กับเราได้หรอกครับ นอกจากตัวเราเอง

แต่อย่างหนึ่งที่อยากจะฝากไว้อีกนิดก่อนตัดสินใจ ก็คือ ควรจะคิดเรื่องเลนส์เผื่อไว้ด้วย เพราะสองค่ายนี้ มีเลนส์ให้เลือกต่างกันบ้างนิดหน่อย สมมติเช่น ค่ายนิก มีเลนส์ 18-200 VR ซึ่งเป็นสุดยอดเลนส์เอนกประสงค์ของกล้องตัวคูณ ในขณะที่ทางหนอนไม่มี แต่ไปมีเลนส์ 28-300 IS แทน ซึ่งเหมาะกับกล้องฟูลเฟรมมากกว่า ถ้าคิดว่าจะใช้กล้อง APS ไปอีกหลายปี และชอบเลนส์เอนกประสงค์ นิคอนก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าคิดว่าจะขยับไปเล่นฟูลเฟรมเร็วๆนี้ แคนอนก็น่าจะเหมาะสมมากกว่า หรืออย่างเลนส์มาโคร ทางนิกมีแต่เลนส์ 1:1 ถ้าอยากขยายให้ใหญ่กว่านั้นก็หมดสิทธิ ในขณะที่หนอนมีเลนส์เทพ 65mm MP-E ซึ่งขยายได้ถึง 5:1 ถ้าชอบกำลังขยายเยอะๆ เล่นหนอนก็น่าจะดีกว่า ในขณะเดียวกัน สำหรับคนชอบเล่นเลนส์มุมกว้างๆ นิกมี 10.5mm ฟิชอาย ซึ่งใช้กับกล้องตัวคูณได้ดี ในขณะที่หนอนมีแต่ 15mm ซึ่งเหมาะกับฟูลเฟรมมากกว่า เอามาใส่กับกล้องตัวคูณก็ไม่กว้างเท่าไหร่ ฯลฯ อะไรแบบนี้แหละครับ ต้องเอามาคิดประกอบกันด้วย เผื่อไว้ในระยะยาว จะได้ไม่้มานั่งเสียดายทีหลังว่าเลือกค่ายผิด เพราะไม่มีอุปกรณ์เสริมที่เราต้องการ

สรุปว่า ไม่เชียร์ตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะครับ แต่อยากให้ไปลองนั่งคิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้นดูอีกที แล้วลองค้นหาคำตอบที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดให้เจอครับ ถ้ายังมีข้อสงสัย หลังไมค์ได้เสมอนะครับ

จากคุณ : Sandhill - [ 26 มิ.ย. 51 16:46:49 ]