ความคิดเห็นที่ 1 หมายเหตุ   ข้อความต่อไปนี้ส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลจริงที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์  บางส่วนเป็นความเชื่อส่วนบุคคล บางส่วนเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ จขกท  บางส่วนอาจมีมั่วนิ่มบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง  ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน  และห้ามเอาข้อความในกระทู้นี้ไปอ้างอิงใดๆทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็น เวทีพันธมิตร  นปก.   กอ.รมน.  ต.ล.ก.  ขสมก. หรือ สคบ.  ก.ร.ก. ( ฯลฯ )  โดย จขกท. ขอยืนยันว่าจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นกับบทความนี้   ไม่อนุญาตให้เอาข้อความในกระทู้ไปอ้างอิงในศาล  ไม่ว่าจะเป็นศาลเตี้ย ศาลสูง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลโลก ศาลจักรวาลกาแล็กซี่  รับรองว่าผมจะไม่ตามไปเป็นพยานหรือเป็นจำเลยร่วมกับใครเด็ดขาด  ขอบอก วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ ตามตำนานกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ตอนปลาย เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมายได้แก่ พระธาตุลำปางหลวง  เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้าน ภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุน เป็นลวดลายประจำยามแบบต่าง ๆ ลักษณะเจดีย์แบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อพระธาตุหริภุญไชย และพระบรมธาตุจอมทอง ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศา และพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง ที่รั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุมีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฏอยู่ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ้าว ! แล้วหนานทิพย์ช้างคือใคร   ท้าวมหายศเป็นใคร  ติ๊กต่อกๆ  รู้มั๊ยเอ่ย  ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร  โปรดอ่านไปเรื่อยๆ   ที่นี่ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของชาติไทยเรา  คนไทยทุกคนควรรู้จักและทราบถึงประวัติความเป็นมาไว้บ้าง  เพราะที่นี่คือ ทรัพย์สมบัติแห่งศาสนสถานที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างเอาไว้ให้กับลูกไทยหลานไทยโดยคนไทยอย่างแท้จริง จงภาคภูมิใจในความเป็นไทยเถิด ถึงแม้บรรพชนของเราจะสร้างศาสนสถานได้ไม่ยิ่งใหญ่เท่าบรรพบุรุษของชนชาติเขมร  ของเราสร้างวัดด้วยอิฐ ของเค๊าสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง (ไม่รู้ว่ามันขนขึ้นไปได้ไง) แต่คุณค่าทางจิตใจมันก็มากกว่านะ ทำไงได้หละ วิหารเจ้าปัญหานั่นศาลโลกเค๊าก็พิพากษาว่าเป็นของเขมรไปตั้งห้าสิบปีมาแล้ว  แล้วเราก็ปล่อยให้ฝรั่งเศสปักธงอยู่ที่นั่นมาตั้งนานนมเนแล้ว ในทางนิติ การนิ่งเฉยก็เปรียบเสมือนการยอมรับกลายๆนั่นแหละ แหม ! เสียดายจริงๆที่ตอนนั้นมีบางคนยังไม่เกิด หรือว่าอาจจะเกิดแล้วแต่ตอนนั้นยังเกรียนอยู่  ก็เลยไม่ทันได้ล่ารายชื่อ 20000 ชื่อถอดถอนผู้พิพากษาศาลโลกทั้ง 9 คนที่ตัดสินให้ไทยแพ้คดีครั้งนั้น (ฮา) ภาพปลากรอบ : บันไดทางขึ้นวัดพระธาตุลำปางหลวงครับ อยู่ทางฝั่งไทยแน่นอนทั้งทางขึ้นทางลง ไม่ต้องไปเถียงกันวุ่นวายให้ปวดหัว จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:37:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในอดีตนั้น  นครลำปางนั้นเป็นเมืองที่สำคัญของอาณาจักรล้านนามานาน จนถึงยุคที่อาณาจักรล้านนาถูกพม่าแผ่อำนาจเข้ามาปกครองเป็นเวลากว่า 200 ปี ซึ่งพม่าได้ตั้งศูนย์กลางการปกครองอาณาจักรล้านนาอยู่ที่เชียงใหม่   ตลอดระยะเวลาที่พม่าปกครองเชียงใหม่และอาณาจักล้านนานั้น หัวเมืองต่างๆ ชาวบ้านชาวเมืองได้รวมตัวกันพยายามต่อสู้กับพม่าเพื่อความเป็นอิสระหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกระทำการได้สำเร็จ ณ เพลานั้น  ชาวเมืองระส่ำระสาย มีจลาจลวุ่นวาย ทั้งม๊อบ นปก. นปข. นปค. ไปจนถึง นปฮ.   หนำซ้ำยังมีกลุ่มพันธมิตรออกมากู้ชาติ  บางคนก็กู้หนี้ยืมสิน กู้แบ๊งค์แล้วชักดาบ เต็มท้องถนนไปหมด ( สันนิษฐานว่าคำว่าชักดาบน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยนั้น จากการที่ไปกู้เงินเค๊ามา แล้วพอเจ้าหนี้มาทวง ก็ชักดาบออกมาขู่เจ้าหนี้) พม่านั้นส่งผู้ปกครองมาดูแลหัวเมืองลานนาทั้งหมด  อาทิ เชียงใหม่ เชียงแสน เชียงราย  แพร่ น่าน ลำพูน  ส่วนนครลำปางพม่าแต่งตั้ง ท้าวมหายศ มาปกครอง โดยมีกองทัพของพม่าอยู่ที่เมืองลำพูน  ชาวเขลางค์นครพยายามคิดการณ์ที่จะยึดเมืองลำปางกลับคืนมาอีกครั้ง ผู้คนกลุ่มหนึ่งจึงได้ รวบรวมกำลังเข้าสู้รบกับพม่า แต่ก็ไม่สามารถขับไล่พม่าออกไปได้  ผู้ที่คิดก่อการล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น ลำปางตกอยู่ในครอบครองของท้าวมหายศ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในเขตกำแพงวัดพระธาตุลำปางหลวง ท้าวมหายศทารุณกดขี่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั่วไป เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง  สมัยนั้นยังไม่มีร้านธงฟ้าราคาถูกซะด้วยสิ มาตรการ 6 ข้อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านก็ยังไม่มี จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ฝ่ายพระพะยอม เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วเห็นว่าการที่พิธีกรบนเวทีใช้คำหยาบคายเกินไป จึงออกมาเตือน  อ้าว ! ไม่ใช่   ฝ่ายเจ้าอธิการวัดพระแก้วหรือวัดชมภู (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง) มีความรู้ทางโหราศาสตร์ประชาชนเลื่อมใสสมัครเข้าเป็นบริวารจำนวนมาก ประสงค์จะหาผู้มีความสามารถกู้ชาติคืนจากแม้ว เอ๊ย ! พม่า   และได้มีผู้แนะนำว่า หนานทิพย์ช้างพรานป่าเป็นผู้มีความสามารถ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกำลังกายแข็งแรง รู้จักและชำนาญในการใช้อาวุธทุกชนิด เจ้าอธิการวัดพระแก้วจึงไปขอร้องให้หนานทิพย์ช้างไปกอบกู้บ้านเมืองในครั้งนี้โดยมีข้อเสนอให้ โดยบอกว่าถ้าสามารถกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ ก็จะสถาปนาให้เป็นเจ้าครองเมืองลำปางต่อไป  ( แต่จะปกครองแบบระบอบ 70/30 หรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ) หนานทิพย์ช้างขันอาสาโดยได้นำไพร่พลไป 300 คน ให้ซุ่มรออยู่ข้างนอกวัดพระธาตุลำปางหลวง  จากนั้นหนานทิพย์ช้างได้ลอบเข้าไปในวัดทางท่อระบายน้ำปลอมเป็นคนลำพูนเข้าไปส่งข่าวให้แก่ทัพพม่า ( ปัจจุบันมีหลักฐานในการยิงต่อสู้กันเป็นรอยกระสุนปืนที่ยิงทะลุรั้วทองเหลืองไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์  แต่ท่อระบายน้ำที่หนานทิพย์ช้างลอบเข้าไปนี่ไม่เห็นมีระบุไว้นะครับ  แต่ถึงมีจริงก็คิดว่าคงไม่มีใครสนใจจะมุดลงไปดูหรอกมั๊ง ผมคนนึงหละ ) ภาพปลากรอบ : ซุ้มประตูโขง  มีความสำคัญโดยถูกนำไปใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดลำปาง จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:45:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อสามารถเข้าไปในวัดได้แล้วหนานทิพย์ช้างได้ไปถามทหารพม่าว่าแม่ทัพเป็นคนไหน  ตนมาจากลำพูนเพื่อมาส่งข่าว ทหารพม่าหลงเชื่อ ( ทำไมมันเชื่อง่ายจัง ) ก็ชี้บอกแม่ทัพท้าวมหายศ  ซึ่งขณะนั้นนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในศาลาหลวง เมื่อหนานทิพย์ช้างรู้ว่าแม่ทัพพม่าคือคนไหนก็ใช้ปืนที่พกมายิงจนแม่ทัพพม่าเสียชีวิต  และสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ ครับ  อันนี้ก็เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้  ซึ่งความเห็นส่วนตัวผมก็คิดว่าทุกอย่างคงไม่ง่ายดายอะไรขนาดนั้น  ประเภทที่อยู่ๆก็เดินเข้าไปถามทหารพม่าว่าท้าวมหายศคนไหน  แล้วทหารคนนั้นก็พาซื่อชี้เป้าให้ ( ถ้าเป็นเรื่องจริง ไอ้ทหารคนนั้นมันต้องโดนจับตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรแหงๆ) หลังจากที่แผนลอบสังหารสำเร็จ สามารถสังหารท้าวมหายศจนสิ้นชีพได้  ทหารพม่าก็ระส่ำระสาย กองกำลังของหนานทิพย์ช้างที่ซุ่มอยู่ด้านนอกก็บุกเข้ายึดวัดพระธาตุลำปางหลวงได้เป็นผลสำเร็จ เรื่องตำนานทิพย์ช้างนี้ เคยสร้างเป็นภาพยนตร์สมัยผมเด็กๆ  สมบัติ เมทะนี เป็นพระเอก (เท่ห์มั่กๆ) นางเอกคือ ธัญญรัตน์ โลหะนันท์ (สวยมากสมัยนั้น ขอบอก) เป็นหนังที่ลงทุนมหาศาลในสมัยนั้น  แต่ผมจำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้วอะ   เวลาดูหนังเรื่อง Braveheart  ที่เมล กิบสันแสดงทีไร  ผมก็อดคิดไม่ได้นะ ว่าหากมีคนเขียนบทหนังเก่งๆเจ๋งๆสักคน เขียนเรื่องตำนานหนานทิพย์ช้างสร้างเป็นภาพยนต์ขึ้นมาอีกครั้งคงจะน่าสนุกไม่น้อย   เรื่อง Braveheart พระเอกเป็นชาวนาที่กลายมาเป็นผู้นำชาวสก๊อตกู้เอกราชคืนจากชาวอังกฤษ   ส่วนหนานทิพย์ช้างก็เป็นเพียงควาญเลี้ยงช้างที่มากู้เอกราชจากพวกพม่าจนกลายมาเป็นต้นตระกูลแห่งราชนิกูลทางภาคเหนือในที่สุด   ท่านมุ๊ยน่าจะเอาไปสร้างเป็นหนังอีกครั้งนะ  ผมจะขออาสาเขียนบทให้เอง เอาจาพนมเป็นพระเอก  แค่นึกภาพก็มันส์แล้ว หนานทิพย์ช้างบุกเข้าค่ายพม่า หักกระดูกทหารพม่านอนร้องครวญครางกันเต็มลานวัด (ฮา) ภาพปลากรอบ : วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี (“แต้ม” แปลว่า ภาพเขียน) สร้างเมื่อ พ.ศ.2044 เป็นวิหารเปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดอีกหลังหนึ่งทางภาคเหนือ ภายในเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม ไม่มีฝ้าเพดาน กำแพงด้านพระประธานเขียนภาพลายทองบนพื้นรักแดง มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา แต่ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก และประดิษฐานพระพุทธรูปสัมริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.25 เมตร สูง 1.25 เมตร จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:48:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องราวหลังจากนั้น หนานทิพย์ช้างก็ได้สถาปนาตนเป็น เจ้าทิพยจักรหลวง หรือ เจ้าสุลวฤาไชยสงคราม   ปกครองเมืองลำปางตั้งแต่ พ.ศ. 2275  นาน 27 ปี พระองค์ได้พิราลัยในปี 2302 รวมอายุได้ 85 ปี เจ้าทิพย์ช้างมีโอรสและพระธิดากับเจ้าแม่พิมพา รวม 6 องค์  คือ เจ้าอ้าย (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเยาว์) เจ้าชายแก้ว, เจ้านางคำ, เจ้านางคำปา, เจ้าคำปอเฮือน (ตายในสนามรบ) และเจ้านางกม พระโอรสองค์ที่2 คือ เจ้าฟ้าแก้ว ซึ่งเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวที่เหลืออยู่  จึงได้ครองราชย์ต่อจากพ่อเจ้าทิพย์ช้าง   เจ้าฟ้าแก้วมีโอรส 7 องค์ ธิดา 3 องค์ ได้แก่ เจ้ากาวิละ, เจ้าคำโสม, เจ้าน้อยธรรมลังกา, เจ้าดวงทิพย์, เจ้าศรีอโนชา, เจ้าศรีวรรณ (ถึงแก่กรรม) เจ้าหมู่หล้า, เจ้าคำฝั้น, เจ้าศรีบุญตัน (ถึงแก่กรรม) และเจ้าบุญมา ซึ่งโอรสและธิดานี้ต่อมาก็ได้รับสถาปนาให้ไปปกครองหัวเมืองต่างๆอันเป็นต้นตระกูลของ ณ ทางภาคเหนือ ได้แก่ ณ ลำปาง, ณ เชียงใหม่, ณ ลำพูน, ณ น่าน หนานทิพย์ช้างจึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของราชสกุลทางภาคเหนือ หรือที่เรียกว่าเชื้อเจ้าผู้ครองนครต่างๆและมีทายาทสืบสกุลกันมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นหากได้ยินได้เห็นผู้ที่มีนามสกุล "ณ" นำหน้าจังหวัดทางภาคเหนือ ก็เข้าใจได้เลยว่าต้นตระกูลของบุคคลเหล่านี้ก็คือนักรบผู้กล้าที่มีชื่อว่า "ทิพย์ช้าง" ภาพประกอบ : เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูโขงเข้ามาจะพบกับวิหารหลวง  ซึ่งเป็นวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2019 โดยเจ้าหมื่นคำเป๊ก ภายในมีซุ้มปราสาททองเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเปนที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่งดงามเรื่องทศชาติและพรหมจักร จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:51:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กรุณาเลื่อนลงไป คห.19 ก่อน แล้วค่อยย้อนขึ้นมา คห.8 ครับ นั่นแหละครับ  ข้อความโอวาทอันน่าประทับใจ   หลายๆท่านคงทราบกันดีว่า  แต่ก่อนนั้น คนไทยแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า  แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน  ทุกคนอยากตั้งตัวเป็นใหญ่ ความไม่สามัคคีกันของคนไทยนี่เองทำให้พม่าถือโอกาสเข้ามารุกรานข่มเหงอยู่เป็นเนืองนิจ     ดังนั้น การจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีของเจ้ากาวิละ  จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยได้รวมกันเป็นปึกแผ่นโดยที่ไม่ต้องทำศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันอีกต่อไป ความไม่สามัคคีของคนไทยในอดีตกาลทำให้เราต้องเสียกรุงให้กับพม่าถึงสองครั้ง  นิสัยคนไทยยามไม่มีศึกนอก ก็มักจะก่อศึกทะเลาะวิวาทกันเองเพื่อแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้ได้มาซึ่งอำนาจ  เป็นมาอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัยจวบจนปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นตามท้องถนนและตามสะพาน หรือหน้าโรงเรียน เห็นประเทศอื่นคนในชาติเขาสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อร่วมมือร่วมแรงร่วมใจช่วยกันพัฒนาประเทศชาติแล้วอิจฉา  ทำไมนะ คนไทยเราจึงไม่รู้จักสามัคคี  คนไทยรู้จักแต่สาคูไส้หมู วันๆเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาจะล้างแค้นทำลายล้างกัน เห็นแล้ววัยรุ่นเซ็ง ในสมัยก่อนสมเด็จพระนเรศวรกับพระเจ้าตากกว่าจะกู้ชาติ กอบกู้เอกราชกลับคืนมาให้บ้านเมืองได้ต้องทรงอุทิศพระวรกาย เสี่ยงชีวิตเข้าสู้อริราชศัตรูอย่างกล้าหาญ ความหมายของคำว่า “กู้ชาติ”ในสมัยก่อนของผมจึงดูศักดิสิทธิ์และน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก ต่างกับสมัยนี้ แค่เอาผ้าสีเหลืองมาโพกหัวแล้วเขียนคำว่า “กู้ชาติ” ก็ยืดอกพกถุงได้แล้ว  เออ กู้ชาติสมัยนี้มันทำได้ง่ายกว่าไปกู้อาบังร้อยละยี่สิบซะอีกวุ๊ย    เห็นแล้วก็ได้แต่ เฮ้อ !   ไม่รู้ว่าเคยจำกันได้หรือเปล่าที่พระองค์เคยตรัสท้วงติงเอาไว้ว่า จะไปกู้ชาติทำไม ประเทศเราไม่ได้เสียเอกราชให้ใครสักหน่อยน่ะ ? ภาพประกอบ : ซ้ายมือ วิหารพระพุทธ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง แต่ประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบันเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มอาคาร ก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน และยังปรากฏเงาพระธาตุภายในวิหารอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 51 11:51:33 จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 10:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้  นอกจากจะมีประวัติเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการต่อสู้กับพม่าของหนานทิพย์ช้างที่น่าสนใจแล้ว  ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วดอนเต้าซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่เร้นลับและอาจแฝงไว้ซึ่งปริศนาที่น่าสนใจไม่น้อย อันพระแก้วดอนเต้านั้นเคยประดิษฐานอยู่คู่กันกับพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้วดอนเต้ามาก่อน  เหตุใดถึงได้ประดิษฐานคู่กันกับพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้วดอนเต้า แล้วเหตุใดปัจจุบันพระแก้วดอนเต้าจึงมาอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง  และเหตุใดพระแก้วมรกตปัจจุบันจึงไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามที่กรุงเทพ เรื่องราวเป็นมาอย่างไร พระแก้วดอนเต้ากับพระแก้วมรกตมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร  มาฟังประวัติพระแก้วดอนเต้าก่อนนะครับ ตามตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระมหาเถระเจ้า ต้องการจะแกะสลักพระพุทธรูปด้วยไม้แก่นจันทน์ แต่หาไม้มิได้ พญานาคจึงเนรมิตแก้วมรกตไว้ในผลแตงโม และนำไปวางไว้ในสวนดอกไม้ของนางสุชาดา เมื่อนางพบผลแตงจึงนำไปถวายพระมหาเถระเจ้า เมื่อพระมหาเถระเจ้าพบแก้วมรกตในผลแตง จึงมีดำริจะแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูป พระอินทร์จึงจำแลงเป็นมนุษย์มาขันอาสาสลักให้ โดยได้เนรมิตแก้วมรกตให้เป็นองค์พระอันงดงาม ต่อมานางสุชาดาถูกท้าวพระยาผู้ครองเมืองสั่งประหารชีวิต เพราะมีข้อครหาว่าประกอบมิจฉาจาร กับพระมหาเถระเจ้า ก่อนถูกประหารนางได้อธิษฐานว่า หากแม้นนางบริสุทธิ์ขอจงอย่าให้โลหิตตกลงพื้นดิน เมื่อเพชฌฆาตลงดาบ เลือดของนางได้หายขึ้นไปในอากาศ  เหตุการณ์นี้ได้สร้างความประหลาดมหัศจรรย์เป็นอันมาก   เมื่อท้าวพระยาผู้ครองเมืองทราบเรื่องนี้  ก็เกิดธรรมสังเวช ตรอมใจตายในที่สุด หลังการตายอย่างน่าอนาจของนางสุชาดา     พระมหาเถระนั้นก็เกิดความเศร้าสลดเป็นอันมาก   จึงได้นำเอาพระแก้วดอนเต้าออกมาจากวัด    และมาจำศีลอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง    พระแก้วดอนเต้าจึงมาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน ทีนี้มาลองฟังตำนานพระแก้วมรกตแบบย่อๆบ้าง ตามตำนาน  กล่าวว่าเจ้าเมืองเชียงรายได้มาขอพระแก้วมรกตจากเจ้าเมืองกำแพงเพชรไปประดิษฐานที่เมืองเชียงราย  ต่อมา ทางเมืองเชียงรายเกิดสงครามรบพุ่งกับเจ้าเมืองเชียงใหม่  จึงมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตนั้นเอาไปหลบซ่อนไว้ โดยการเอาปูนมาพอกองค์ แล้วประดิษฐานไว้ในเจดีย์องค์หนึ่ง (ปัจจุบันคือ วัดพระแก้ว อยู่ใน อ.เมือง จ.เชียงราย) เมื่อสงครามระหว่างเชียงใหม่กับเชียงรายสงบแล้ว  โดยที่เชียงรายได้เข้าไปอยู่ในอาณัติของเชียงใหม่ตามเดิม พระเจ้าเชียงใหม่ก็เสด็จเข้ามายังเมืองเชียงราย วันหนึ่งได้เกิดอัสนี-วสันต์ (ความจริงมาแค่อัสนี ) ต้องลงที่พระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระแก้วนั้นแตกออก.......... พระเจ้าเชียงใหม่จึงพบว่า เป็นพระแก้วมรกตองค์สำคัญ  จึงมีความคิดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่เชียงใหม่  เนื่องจากเมืองเชียงใหม่ถือเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนา   สมควรที่พระแก้วมรกตองค์นี้จะไปประดิษฐานที่นั่น  พระเจ้าเชียงใหม่จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาไว้ที่เมืองเชียงใหม่ โดยอัญเชิญไว้บนหลังช้าง แล้วออกเดินทางจากเมืองเชียงรายลงมา เมื่อขบวนอัญเชิญเดินทางมาถึงเมืองลำปาง บริเวณวัดดอนชมพู ช้างสำคัญที่อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมานั้นก็ไม่มีอาการขยับเขยื้อนเต่อย่างใด ไม่ว่าควาญช้างจะทำการเกลี้ยกล่อม บังคับขู่เข็ญประการใด ช้างนั้นก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเห็นเป็นอัศจรรย์   จนกระทั่งในที่สุดจึงต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐานไว้ที่วัดดอนชมพู เมืองลำปาง วัดดอนชมพูที่กล่าวถึง ก็คือวัดพระแก้วดอนเต้าในปัจจุบัน ณ วัดพระแก้วดอนเต้าแห่งนี้เอง   ที่พระแก้วมรกตได้มาประดิษฐานอยู่ที่นี่นานถึง 32 ปี จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โห แจ่มเลยครับ เสียดายวันนั้นไม่ได้ขึ้นดอยด้วย *-* คราวหน้าถ้ามาส่งข่าวให้รู้ล่วงหน้าผมจะลางานรอเลยครับพี่  ฮี่ๆ จากคุณ : snoom - [ 23 ก.ค. 51 11:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ณ วัดพระแก้วดอนเต้าแห่งนี้  มีตำนานว่าเมื่อพระแก้วมรกตมาอยู่ที่ จ. ลำปางนั้น ได้ประดิษฐานร่วมกับพระแก้วดอนเต้าในวิหารหลวงของวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ส่วนพระแก้วมรกตนั้น   หลังจากที่อยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้าเป็นเวลา 32 ปี  จึงได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง จ. เชียงใหม่ ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ต่อมา พ.ศ. ๒๐๙๕ พระเจ้าไชยเชษฐา โอรสพระเจ้าโพธิสาร แห่งอาณาจักรล้านช้าง ขึ้นเป็นเจ้าครองเชียงใหม่ ต้องไประงับเหตุจลาจลในล้านช้าง พระองค์จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับไปยังหลวงพระบางด้วย ช่วงนั้นพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอำนาจเหนืออาณาจักรล้านนา พระเจ้าไชยเชษฐาเห็นว่าหลวงพระบางอยู่ในชัยภูมิที่ไม่เหมาะ จึงย้ายราชธานีไปตั้งอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย และประดิษฐานอยู่ยาวนานถึง ๒๑๔ ปี จน พ.ศ. ๒๓๒๑ เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเวียงจันทน์ ได้อัญเชิญมาประดิษฐานยังโรงพระแก้ว ณ พระราชวังเดิมในกรุงธนบุรี ครั้นเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชทานนามว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” พร้อมกับทรงสร้างเครื่องทรงฤดูร้อนและฤดูฝนถวาย ภาพประกอบ : พระแก้วดอนเต้า อยู่ในลูกกรงเหล็กล้อมรอบแน่นหนา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญได้เป็นอย่างดี ภาพนี้ถ่ายผ่านลูกกรงเข้าไปนะครับ ในนั้นผมไม่เห็นป้ายห้ามถ่ายรูปก็เลยเอากล้องแนบลูกกรงถ่ายมา  จริงๆก็ดูน่าหดหู่นะครับ ที่พระแก้วดอนเต้า ต้องมาอยู่ภายใต้ลูกกรงเหล็ก พวกนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเห็นแล้วก็พากันร้องหา ไวน์ กันเป็นแถวด้วยความสงสัย   ก็ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ พระพุทธรูปที่มีคุณค่าความสำคัญขนาดนั้นย่อมเป็นที่หมายปองของผู้สะสมของเก่า  และที่นี่เคยถูกขโมยลักลอบเข้ามาทำการโจรกรรมแล้วถึงสองสามครั้ง จนต้องสร้างลูกกรงล้อมรอบคล้องด้วยกุญแจแน่นหนาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:05:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หวัดดีครับ หนุ่ม วันนั้นขึ้นดอยไปก็ไม่ได้ถ่ายอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เจอแต่ลมฝนกับเมฆหมอก เนื่องด้วยเหตุที่พระแก้วดอนเต้ากับพระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ด้วยกันนี่เอง  ทำให้เกิดมีคำเล่าขานสืบต่อกันมาว่าแท้ที่จริงแล้วเรื่องพระมหาเถระกับนางสุชาดา  รวมทั้งเรื่องพระแก้วดอนเต้าที่แกะสลักจากมรกตในผลแตงโมอะไรนั่นอาจจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ   จริงๆแล้วพระแก้วดอนเต้าที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงนี่แหละน่าจะเป็นพระแก้วมรกตองค์จริง  ส่วนองค์ที่ถูกอัญเชิญไปเชียงใหม่นั่นคือองค์ที่ทำจำลองขึ้นมาด้วยความรักและเสียดายของชาวเมืองเขลางค์ที่ไม่อยากสูญเสียพระแก้วมรกตไป  เพราะอุตส่าห์มาประดิษฐานอยู่ที่ลำปางนี้ถึงสามสิบกว่าปีจนกลายเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง  ก็เลยมีการแอบสับเปลี่ยนองค์พระแก้วมรกตนี้ขึ้นมา โดยที่มีผู้รู้เรื่องนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น? ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ  สุดแท้แต่วิจารณญาณของแต่ละคน ประวัติศาสตร์ไทยก็สุดแท้แต่จะเขียน  เชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ว่ากันไป เรื่องบางเรื่องหรือหลายๆเรื่องก็เล่าสืบต่อกันมา จริงบ้าง มั่วบ้าง สำหรับความเห็นของผม ถ้าคุณเชื่อว่าพระแก้วดอนเต้าแกะสลักจากมรกตในผลแตงโมได้  ก็น่าจะพอเชื่อเรื่องเกี่ยวกับปริศนาพระแก้วมรกตที่อาจถูกแอบสับเปลี่ยนได้เหมือนกัน จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จะอย่างไรก็แล้วแต่ ปริศนาเรื่องนี้ก็เป็นเพียงโจทย์ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ  เพราะพระแก้วทั้งสององค์ ปัจจุบันก็ถือว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของทั้งกรุงเทพและลำปาง  ไม่ว่าองค์ไหนจะมีประวัติความเป็นมาอย่างไรก็คงไม่สำคัญเท่ากับเป็นศูนย์รวมใจและรวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ได้มากราบไหว้บูชา ทั้งพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระแก้วดอนเต้าที่วัดพระธาตุลำปางหลวง สุดท้าย กระทู้นี้อาจมีความคิดเห็นส่วนตัว กัดโดนใครเจ็บๆคันๆไปบ้าง ไปกระทบกระทั่งฝ่ายไหน หรือทำให้ขัดใจใครก็ต้องขออภัย  และขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ  ขอให้คนไทยรู้รักสามัคคีกันให้มากๆ เมื่อก่อนเราเคยได้ยินแต่พวกเขมรสามฝ่าย  แต่ถ้าคนไทยยังมีความรู้สึกอาฆาตเคียดแค้นไล่ล่าล้างแค้นกันไม่เลิกแบบนี้  อีกหน่อยเราคงได้เห็นไทยสามฝ่าย สี่ฝ่าย แบ่งพวก แบ่งภาคกันปกครองเป็นแน่ ขอบคุณครับ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:13:39 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตามมาเที่ยววัดด้วยครับ จากคุณ : alfajet - [ 23 ก.ค. 51 11:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อยากไปมากๆแต่กลัวรถม้าชนเอาน่ะ.. จากคุณ : บึงฉวาก - [ 23 ก.ค. 51 11:34:42 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทำไม คห.7 โดนลบ ? ( อ๋อ ! เข้าใจแล้ว ต้องทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษนี่เอง ) แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 51 11:53:13 จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:39:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ในยุคของเจ้ากาวิลละ ( โอรสของเจ้าแก้วฟ้าที่ครองราชย์ต่อจากหนานทิพย์ช้าง ) ได้มีบทบาทในการต่อสู้กับพม่าอีกครั้ง    เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยาจักรี ( ภายหลังคือ รัชกาลที่ 1 )และเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกองทัพไปตีพม่าที่เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ เจ้ากาวิละ จึงพาอนุชาทั้งหกเข้าสวามิภักดิ์ แล้วนำทหารชาวนครลำปางเข้าสมทบยกขึ้นไปตีเชียงใหม่ พม่าได้จับเจ้าฟ้าหลวงชายแก้วไว้เป็นประกัน เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปเชียงใหม่  เจ้ากาวิละจึงนำทหารชาวนครลำปางตีหักเข้าเมืองได้ก่อนช่วยพระบิดาออกจากที่คุมขังได้สำเร็จ แล้วนำกำลังสมทบกับกองทัพไทยใต้ตีพม่าแตกพ่ายไป   ความดีความชอบครั้งนี้ เจ้ากาวิละได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง "นครลำปาง" และต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ตามลำดับ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นครองราชย์  ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น (พ.ศ. ๒๓๒๘) เจ้ากาวิละได้นำกองทัพเข้าร่วมกับกองทัพหลวงเข้าตีกระหนาบพม่าที่ล้อมเมืองลำปางจนแตกพ่ายไป และได้กล่าววาทะที่สำคัญ ที่ผมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้รวมเป็นราชอาณาจักรไทยจวบจนถึงปัจจุบันนี้ ในปีจุลศักราช ๑๑๘๑ (พ.ศ. ๒๓๓๗) เจ้ากาวิละได้เรียกพระอนุชาทั้ง ๖ เข้าเฝ้าแล้ว มีโอวาทคำสอน โดยมุ่งให้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีสาระสำคัญ ตอนหนึ่งว่า "ตั้งแต่เจ้าเราทั้งหลายไปภายหน้าสืบไป ถึงชั่วลูก ชั่วหลาน เหลน หลีด หลี้ ตราบสิ้น ราชตระกูลแห่งเราทั้งหลาย แม้นว่าลูกหลาน เหลน หลีด หลี้ บุคคลใดยังมีใจใคร่กบฏ คิดสู้รบกับ พระมหากษัตริย์เจ้า แห่งราชวงศ์จักรี แล้วเอาตัวและบ้านเมืองไปพึ่งเป็น ข้าม่าน ข้าฮ่อ ข้ากูลา ข้าแก๋ว ข้าญวน ขอผู้นั้นให้วินาศ Chip หาย ตายวาย พลัน Chip หายเหมือนกอกล้วย พลันม้วยเหมือนกอเลา กอคา ตายไปแล้วก็ขอให้ตกนรกแสนมหากัปป์ อย่าได้เกิดได้งอก ผู้ใดยังอยู่ตามโอวาทคำสอนแห่งเรา อันเป็นเจ้าพี่ ก็ขอให้อยู่สุข วุฒิจำเริญ ขอให้มีเตชะฤทธีอนุภาพปราบชนะศัตรูมีฑีฆา อายุมั่นยืนยาว" แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 51 11:49:13 จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 11:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เขาพระวิหารสำหรับผมไม่ได้มีความสำคัญกว่า วัดข้างบ้านผมแต่อย่างได ผิดกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เอาเ็ป็นโลโก้ ธงชาติ ถึงจะเสียไปก็ไม่เสียดาย ว่าแต่เราสามารถ copy สร้าง new เขาพระวิหาร หรือ อภิมหาวัดอื่น (ที่ไม่มีพระ) ขึ้นได้ไหมครับ จะผิดไหมนี่ เมืองไทยจะได้มีแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้นอีก จากคุณ : ATK-Almira - [ 23 ก.ค. 51 12:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 - ผมเคยไปเที่ยวพระธาตุลำปางหลวงแต่ไม่รู้ประวัติเลยพึ่งได้ความรู้เพิ่มเติม ขอบคุณ - รูปสวยมากครับ ใช้เลนซ์ตาปลาหรือครับเก็บภาพได้กว้างมากครับ จากคุณ : skpg (SKPG) - [ 23 ก.ค. 51 13:16:38 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สุดยอดเลยน้านุ... อ่านซะเพลินเลย... แถมมีหยอดมุกขำๆอีด้วย 55555... ปล.ป๋มก็รักชาตินะ แต่เท่าที่มีอยู่ก็ยังเดินดูไม่ทั่วเลยอ่ะ หุหุ... จากคุณ : rraiwa - [ 23 ก.ค. 51 13:36:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 1 โหวต สำหรับรูปสวยๆ และสาระความรู้ดีๆ ที่สู้อุตส่าห์มีน้ำใจกับชาวกล้องครับผม ... ชอบครับ ชอบๆ จากคุณ : หลังอาน - [ 23 ก.ค. 51 15:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คิดถึงบ้าน... จากคุณ : หนุ่มลำปางตามเมีย (BCT) - [ 23 ก.ค. 51 15:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สวัสดีค่ะ น้านุ วัดสวยงาม มากๆ ค่ะ เห็นแล้วรู้สึกสงบดีจัง ที่จริง ตั้งท่าว่าจะไปเขาพระวิหารหลายรอบ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปถ่ายรูปสักที จากคุณ : filmgus - [ 23 ก.ค. 51 15:41:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพแรกๆ ใช้เลนส์อะไรถ่ายหรอครับ รู้สึกว่ากว้างดี ^.^ จากคุณ : ต้นแพร - [ 23 ก.ค. 51 17:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หวัดดีครับ ป้านัน น้าแฮ๊งค์ และทุกๆคน ตอบน้า  skpg และน้า ต้นแพร   ใช้ กล้องนิคอน D70s + เลนส์ ซิกม่า 10-20mm ครับ แถมภาพวัดพระธาตุจอมปิง อยู่ห่างจากวัดพระธาตุลำปางหลวงประมาณสิบกว่ากิโลครับ จากคุณ : บางระจันวันเพ็ญ - [ 23 ก.ค. 51 17:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 - เล่าเรื่องดี - ภาพถ่ายเยี่ยมครับ ไม่อยากพูด  เราเสียเปรียบฝรั่งเศสมันตั้งแต่สมัย ร.5 ฝรั่งเศสมันใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาดินแดนเราไป     แล้วต่อมาก็มาเสียเขาพระวิหารให้มัน(เขมร)ไปอีก   ถึงแม้จะเสียพื้นที่เขาพระวิหารไปให้มัน  แต่ประเทศไทยก็เป็นเอกราช   ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร (เอาไว้ด่าพวกเขมรมัน)... จากคุณ : thamma_kkh - [ 23 ก.ค. 51 19:14:37 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รูปสวย บทความดี(มีกัดบ้างพอเจ๊บๆคัน) เยี่ยมมากที่เดียว จากคุณ : หมูป่าเดียวดาย ภาคพิเศษ - [ 24 ก.ค. 51 02:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณจากใจจริง ^^ จากคุณ : Oz (ขาตั้งกล้อง) - [ 24 ก.ค. 51 08:39:20 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ยอดเลยครับน้าบางระจันวันเพ็ญ  เหมือนได้เรียนประวัติศาสตร์ พร้อมภาพประกอบการเรียนด้วยครับ จากคุณ : หนุ่มสีวลี - [ 24 ก.ค. 51 10:42:26 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพสวย... เนื้อหาอ่านสนุกมาก ๆ ครับ ได้ความรู้ทั้งทางประวัติศาสตร์... และได้ความฮาติดตัวกลับไปด้วยครับ... จากคุณ : old technician - [ 24 ก.ค. 51 11:57:19 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ครับผม ผมเคยไปเขาพระวิหารมาแล้ว ผิดหวังมาก ไม่มีความสวยงามเลย เศษขยะเยอะมาก บางแห่งก็มีแต่หินปรักหักพัง ปราสาทหินบ้านเราสวยกว่าเยอะ วัดที่เจ้าของกระทู้เอารูปมาให้ชม ผมก็เคยไปมาแล้ว สวยๆ ^___^ จากคุณ : Alohasodae - [ 24 ก.ค. 51 14:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สวยครับ  เห็นแล้วอยากไป.....  และถ่ายรูปบ้างครับ  ขอบคุณครับที่เอารูปสวยๆมาฝากกัน จากคุณ : Boath7 - [ 24 ก.ค. 51 16:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เขียนหนังสือนำเที่ยวได้เลยนะครับเนี่ย แจ่มจริงๆ ครับ จากคุณ : Kawpod - [ 24 ก.ค. 51 20:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 36 กระทู้รักล้านนา จากคุณ : zardamonoxication (zardamon) - [ 25 ก.ค. 51 09:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เล่าเรื่องดี ภาพถ่ายเยี่ยมครับ จากคุณ : winme46 (winme46) - [ 25 ก.ค. 51 12:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ภาพสวยมากมายครับ ใช้กล้องอะไรเหรอครับ จากคุณ : Electric Dreamz - [ 26 ก.ค. 51 12:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พระธาตุองค์นี้ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดคนเกิดปีฉลู อิอิ หนูเพิ่งไปไหว้มาสองสามครั้งเองอ้ะค่ะ ป.ล. รูปน้ำตกที่อินทนนท์ หนูยังไม่ได้ covert raw file ให้เป็น jpeg เลย แง่กๆ ขอบคุณที่มาพาคนเชียงใหม่เที่ยวเชียงใหม่ ก่อนลงไปลำปางนะคะ จากคุณ : มรกตนาคสวาท - [ 27 ก.ค. 51 00:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตามมาแอ่วตวยคนเน้อพี่นุ...555 ว่าแต่เล่าซ่ะรู้ลึก รู้จริง กว่าคนมีบ้านอยู่ทางนู้น...น...ซ่ะอีก อายเลยวุ้ยเรา ปล.ตอนเราถ่ายมาก็ไม่งามแบบเนี้ยเลย...แถมคนยั้วเยี้ยไปหมด ดีเน้อ...ได้ไปเที่ยวตอนคนทั่วไป...เค้าทำงานปกติ อิจฉาอ่ะพี่นุ...แอบกัดเล็กน้อย คิคิ จากคุณ : น้องลาเต้ - [ 28 ก.ค. 51 08:25:27 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมว่านะครับ วิหารแบบขอม ที่มีศิวะลึงค์ทุกที่ เหม็นฉี่ทุกที่เลย ผมเลยไม่ค่อยชอบไป ของไทยๆดีกว่าครับ เห็นด้วย ภาพสวยครับ จากคุณ : Allterrain - [ 28 ก.ค. 51 18:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เขียนเรื่องได้เยี่ยมมากครับ จะหาโอกาสไปเที่ยวซักครั้งในชีวิตครับ... จากคุณ : Tanoshii - [ 31 ก.ค. 51 20:48:39 ]