ความคิดเห็นที่ 1 ผมมาถึงสนามบินนานาชาติ Chhatrapati Shivaji ตอนเวลาประมาณทุ่มครึ่ง หลังจากใช้เวลาที่แสนน่าเบื่อบนเครื่องบินอยู่สี่ชั่วโมง โดยปกติผมไม่ชอบการมาถึงเมืองที่ไม่เคยไปมาก่อนในเวลาค่ำ เพราะผมมักจะหลงทิศและอาจจะลำบากในการหาที่พัก แถมมีโอกาสเสียค่าโง่สูง ผมไม่ได้จองที่พักก่อนเดินทางเพราะเชื่อว่าน่าจะหาที่พักได้ไม่ยาก แท็กซี่ที่ให้บริการภายในสนามบินนั้นจะเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าซึ่งมันจะมีเคาน์เตอร์ให้บริการอยู่ด้านในสนามบินและควรจะจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์นี้จึงจะได้ค่าบริการตามจริง แต่ผมซึ่งไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนกระทั่งเดินออกมาด้านนอกแล้วขี้เกียจเดินย้อนกลับเข้าไปใหม่ ก็เลยยอมจ่ายให้แท็กซี่ไป 250 รูปี (208 บาท) ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรถ้าไม่เพราะว่าถูกพามาส่งโรงแรมที่ห่างจากสนามบินแค่ 2 กม. ซึ่งเป็นราคาที่แพงมากๆ เมื่อเทียบกับอัตราปกติ ซึ่งแท็กซี่ก็คงรู้กันกับโรงแรมนั่นแหละ แถมโรงแรมที่ว่าก็เรียกราคาค่าห้องสูงถึง 3,000 รูปี (2,400 บาท) ที่ดูจากสภาพห้องแล้ว เป็นบ้านเรามันก็คงไม่เกิน 600 บาทหรอก ยังดีที่มีห้องน้ำในตัวแต่น้ำก็ไม่ค่อยจะไหลด้วย ผมดึงดันที่จะไม่พักที่นี่จนในที่สุดทางโรงแรมซึ่งพยายามรั้งผมไว้สุดชีวิตก็ลดค่าที่พักเหลือ 2,000 รูปี (1,700 บาท) แม้จะเป็นราคาที่แพงอยู่แต่ตอนนั้นมันก็มืดเกินกว่าจะมัวเดินตระเวนหาที่พัก แถมผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในจุดไหนของ Mumbai แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:17:27 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เวลาไปท่องเที่ยวผมมักจะตื่นแต่เช้าเสมอ ผมออกมาเดินเล่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อเรียกรถยนต์สามล้อให้ไปส่งที่สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด หลังจากศึกษาแผนที่โดยคร่าวและพบว่าลักษณะผังเมืองของ Mumbai ค่อนข้างเข้าใจได้ง่าย คือ สัณฐานของเมืองและเส้นทางคมนาคมสายหลักนั้นสร้างเลียบไปตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันตก มีการแบ่งเมืองเป็นสองส่วนคือ North Mumbai และ South Mumbai แยกกันค่อนข้างชัดเจน เส้นทางรถไฟสองสายหลักที่เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของระบบคมนาคมสาธารณะ ก็มีสถานีต้นทางอยู่ใกล้ๆ กันในย่าน South Mumbai สถานีรถไฟที่ใกล้กับย่านที่ผมพักในคืนแรกคือสถานี Andheri ผมหยิบเอากล้องออกมาถ่ายภาพเป็นครั้งแรกในอินเดียที่บริเวณย่านสถานีรถไฟ ซึ่งผมค่อนข้างเกร็งเอามากๆ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่แถมไม่แน่ใจในสภาพแวดล้อม มารยาทในการถ่ายภาพและความปลอดภัยในบริเวณที่ไม่ได้ถือว่าเป็นบริเวณที่นักท่องเที่ยวควรจะมาเดินเตร็ดเตร่ แน่นอนว่าท่าทางอย่างผมนั้นใครเห็นก็ต้องดูออกในทันทีว่าเป็นนักท่องเที่ยว ในเช้าวันนั้นผมจึงถ่ายภาพในสภาพที่ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:18:31 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คำแนะนำคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานีรถไฟใน Mumbai - สถานีรถไฟที่ใกล้สนามบินนานาชาติมากที่สุดคือสถานี Andheri ห่างจากสนามบินราว 3 กม. ค่าแท็กซี่จากสนามบินมาที่สถานีรถไฟแห่งนี้ไม่ควรเกิน 100 รูปี (83 บาท) แนะนำว่าให้เดินออกมาเรียกแท็กซี่นอกเขตสนามบินจะได้อัตราที่ถูกกว่ามาก อย่างไรก็ตามการเดินทางโดยมีสัมภาระติดตัวจำนวนมากอาจไม่สะดวกในการโดยสารรถไฟท้องถิ่นเพราะคนจะแน่นมากถึงมากที่สุดโดยเฉพาะหลังจากสิบโมงเช้าไปจนถึงค่ำ - สถานี Chhatrapati Shivaji หรือสถานี Victoria เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดใน Mumbai ตัวอาคารสถานีได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาชมให้ได้ครับ หากจะเดินทางไปเมืองต่างๆ ในอินเดียก็ควรมาเริ่มต้นที่สถานีนี้ครับ - สถานี Churchgate เป็นสถานีที่อยู่ใกล้กับย่านโรงแรมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว อากาศดีเพราะอยู่ริมทะเลและเป็นย่านที่ค่อนข้างสะอาดที่สุดแล้วถ้าคุณมาท่องเที่ยว Mumbai เป็นครั้งแรก ผมแนะนำว่าให้ตรงดิ่งมาย่านนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นจุดที่ง่ายต่อการใช้อ้างอิงในการเดินทางไปจุดต่างๆ ใน Mumbai ค่าแท็กซี่จากสนามบินมาที่สถานีรถไฟแห่งนี้ควรตกประมาณ 400-500 รูปี (250-410 บาท) ปล. ใช้เวลาวาดและออกแบบแผนที่นานมาก ถ้าใครจะเอาภาพและข้อมูลไปเผยแพร่กรุณาให้เครดิตผู้ทำไว้ด้วยก็จะขอบคุณมาก แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:19:28 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากเดินวนในละแวกนั้นอยู่พักใหญ่ ผมก็โดดขึ้นบนขบวนรถไฟสายใต้เพื่อจะได้แวะถ่ายภาพตามสถานีต่างๆ บริเวณสถานีรถไฟนั้นจัดว่าเป็นสถานที่ที่มีความวุ่นวายอย่างที่สุด เพราะการเดินทางโดยรถไฟในอินเดียนั้นได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีราคาถูกและมีจำนวนเที่ยวให้บริการมากมาย คือมันจะมีรถไฟมาเทียบชานชลาโดยเฉลี่ยแล้วถี่เอามากๆ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันก็ถี่กว่าอัตราเทียบของรถไฟฟ้าบ้านเราอย่างแน่นอน ยิ่งได้มาเห็นด้วยตาตัวเองทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมอินเดียจึงมีสถิติผู้เลียชีวิตจากอุบัติเหตุโดนรถไฟชนสูงเป็นอันดับแรกๆ ของโลก การได้มีโอกาสถ่ายภาพรถไฟอินเดียถือเป็นเรื่องพิเศษสำหรับผม เพราะรถไฟในอินเดียนั้นถูกจัดว่าเป็นความ “classic” อย่างหนึ่งที่นักเดินทางต้องมาสัมผัสให้ได้ แม้ว่าสภาพมันจะดูโกลาหลไปบ้างแต่มันก็เป็นระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากๆ ในการรองรับปริมาณผู้คนนับล้านที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละวัน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 บริเวณโดยรอบสถานีรถไฟก็ดูเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่แพ้กัน ภาพนี้ผมถ่ายจากบริเวณด้านนอกของสถานีรถไฟ Bandra ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้า ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นเวลาหนาแน่นของการจราจร ช่วงเวลาบ่ายๆ เย็นๆ นั่นแหละที่จะเป็นเวลาวุ่นวายที่สุดของวันในละแวกชุมชนรอบสถานีรถไฟ ภาพนี้ทำให้ผมนึกไปถึงแมลงสาบตัวสีเหลืองแถบดำเวลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง แถมการขับขี่ยวดยานก็เหมือนจะคล้ายการเคลื่อนที่ของแมลงสาบด้วยสิ คือมีทิศทางแต่ไร้แบบแผนน่ะ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:41:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลังจากโดดขึ้นลงรถไฟอยู่หลายสถานีในช่วงเช้าและเดินดูอะไรต่อมิอะไรในบริเวณย่านที่พัก ผมพบว่าในย่านดังกล่าวนอกจากใกล้สนามบินแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจเลย แถมเรื่องความสกปรกตามย่านท้องถิ่นนั้นผมขอบอกแบบนี้ครับว่า ถ้ามีใครสักคนเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับความสกปรกในอินเดียก็อย่าเพิ่งเชื่อครับ เพราะบางทีมันอาจจะสกปรกมากกว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่คุณจะพบเห็นความไม่สวยงามได้ทั่วไปในทุกแห่งหนของ Mumbai ถ้าให้เปรียบเทียบ ย่าน Andheri ก็คงเหมือนดอนเมืองล่ะครับ คือเป็นชุมชนที่นักท่องเที่ยวไม่ควรมาคาดหวังอะไรจากย่านนี้ หลังจากนั่งตรองดูแล้วถ้าผมพักในละแวกนี้กับช่วงเวลาที่เหลืออีกกว่าสี่วันก็คงจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ในช่วงบ่ายผมจับแท็กซี่เพื่อเดินทางไปหาที่พักเอาดาบหน้าในย่าน South Mumbai จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:42:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอเล่าถึงรถรับจ้างสาธารณะใน Mumbai คร่าวๆ นะครับ (1) รถสามล้อเครื่อง (Auto rickshaw) สภาพเหมือนตุ๊กตุ๊กบ้านเรา พบเห็นได้ทั่วไปตามตลาดและสถานีรถไฟ ยกเว้นแต่ในเขต South Mumbai ซึ่งไม่อนุญาตให้รถประเภทนี้เข้าไปวิ่งได้ เข้าใจว่าเพื่อลดปัญหาจราจรน่ะ เพราะรถประเภทนี้มักจะเป็นเหมือนกันทุกประเทศคือเป็นรถเล็กแต่ใจใหญ่น่ะ ยิ่งตามตลาดนี่ชนิดที่ว่าถนนมีสี่เลนพวกพี่แกก็จอดซ้อนกันสามเลนเข้าไปแล้ว การต่อรองค่าโดยสารก็เหมือนบ้านเราคือถ้าคุณมีหน้าตาเป็นนักท่องเที่ยวก็ขอให้ต่อรองหนักๆ เข้าไว้ครับ สอบถามราคากันให้ดีก่อนขึ้นไปนั่งนะครับเพราะส่วนใหญ่โก่งราคาเหมือนปล้นกันกลางแดดดีๆ นี่เอง แนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก็เลี่ยงๆ ไว้นะครับ แต่ถ้าอยากนั่งขำๆ กินลมชมวิวก็ตามสะดวกครับ (2) รถแท็กซี่ติดแอร์ (Cool cab) สังเกตง่ายคือมีแต่สีฟ้าเท่านั้นครับ หาใช้บริการได้น้อยมากด้วย ส่วนใหญ่หาได้แถวๆ Gateway of India น่ะ ผมก็ไม่ได้ลองนั่งด้วยสิ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 02:01:15 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 (3) รถแท็กซี่ทั่วไป (Premier Taxi) เป็นรถ Fiat รุ่นโบราณสีดำหลังคาสีเหลือง แทบทุกคันสภาพเก่าถึงเก่ามากที่สุด อย่าไปหวังว่าจะมีระบบปรับอากาศ แค่ประตูปิดได้สนิทก็ดีถมไปแล้ว พบเห็นได้ตลอดเวลาและมีอยู่ทั่วไปหมด โดยเฉพาะในย่านที่พักของนักท่องเที่ยวจะเป็นแบบมีมิเตอร์ติดอยู่ด้านนอกของรถด้านซ้ายมือ สภาพของมิเตอร์ส่วนใหญ่ดูไม่น่าเชื่อว่ามันจะยังใช้การได้ ตัวเลขที่แสดงบนมิเตอร์จะไม่ใช่ราคาค่าโดยสารนะครับ แต่เป็นตัวเลขที่จะต้องเอามาแปลงหน่วยกับแผ่นตารางขนาด A4 ซึ่งแท็กซี่ทุกคันจะต้องพกติดตัวไว้ด้วย จึงจะได้เป็นราคาค่าโดยสาร ผู้โดยสารมีสิทธิดูตารางได้ครับแต่ระบบการทำงานของเลขมิเตอร์ค่อนข้างเข้าใจลำบากสำหรับนักท่องเที่ยว ค่าแท็กซี่เทียบกับบ้านเราแล้วถือว่าราคาถูกกว่ามาก (สมกับสภาพรถ) ราคาเริ่มต้นประมาณ 25 รูปี ผมประเมินค่าโดยสารเฉลี่ยน่าจะตกประมาณ 10 รูปีต่อ 1 กม. ซึ่งผมก็ได้ใช้บริการของ Premier Taxi แทบจะเป็นส่วนใหญ่ตลอดช่วงเวลาหลายวันใน Mumbai แท็กซี่ประเภทนี้เท่าที่ผมพบเจอปรากฎว่าให้บริการดีเกินคาด คือไม่ขับพาวนให้เปลืองเลขมิเตอร์ บอกอัตราค่าโดยสารตามจริง และไม่พูดคุยไร้สาระ เท่าที่ทราบมีหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับแท็กซี่ประเภทนี้คอยควบคุมอยู่ด้วย ทำให้แท็กซี่ไม่ค่อยสร้างปัญหากับผู้ใช้บริการ อีกอย่างหนึ่งคือแท็กซี่ส่วนใหญ่มักจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีหรือไม่งั้นก็พูดไม่ได้เลย แต่ก็พอที่จะเข้าใจชื่อสถานที่ในย่านสำคัญได้อยู่ และอย่าคาดหวังว่าแท็กซี่จะรู้ดีไปเสียทุกหนทุกแห่งนะครับ ดังนั้นควรจดจำตำแหน่งและชื่อสถานที่สำคัญไว้อ้างอิงด้วยจะเป็นประโยชน์มาก ภาพประกอบเป็นบรรยากาศในรถซึ่งถ้าเป็นหน้าร้อนก็คงได้นั่งซับเหงื่อชมวิวกันไป กับภาพด้านซ้ายเป็นลักษณะของโชเฟอร์ที่ส่วนใหญ่มักแต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตแบบซาฟารี แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:22:22 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:21:06 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเดินทางเข้าสู่เขต South Mumbai บนเส้นทางเลียบแนวชายฝั่งทะเลอาราเบียน ซึ่งเป็นถนนที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในชื่อ Marine Drive สภาพถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องในย่านนี้ค่อนข้างสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยเพราะเป็นย่านที่มีโรงแรมในระดับคุณภาพค่อนข้างดีขึ้นไปถึงดีมากสร้างเรียงรายตลอดไปจนสุดทางของถนน ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้มาเห็นบริเวณนี้ในครั้งแรกหลังจากที่ในช่วงเช้าต้องพบเห็นแต่ความวุ่นวายและสภาพอันแออัดของเมืองในเขต North Mumbai ภาพประกอบเป็นบรรยากาศของ Marine Drive ในช่วงเย็นซึ่งจะมีผู้คนมากมายมานั่งสัมผัสไอทะเลอาราเบียนและรอชมพระอาทิตย์ตก ถือเป็นจุดที่มีความสะอาดและปลอดภัยมากแห่งหนึ่งใน Mumbai แม้ว่าทะเลที่นี่จะดูไม่สวยเอามากๆ ถ้าเทียบกับทะเลบ้านเรา จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อัตราค่าที่พักของโรงแรมในย่าน Marine Drive นั้นค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉลี่ยห้องพักแบบ Standard ในโรงแรมระดับสามดาวจะมีราคาตั้งแต่ 2,200 รูปี (1,850 บาท) ขึ้นไปจนถึง 4,000 รูปี (3,300 บาท) และอาจจะสูงขึ้นอีก 10%-30% ในช่วงวันหยุด ที่เรียกว่าแพงในความหมายของผมก็คือถ้าคุณจ่ายในราคาเดียวกันนี้ที่ภูเก็ตหรือที่สิงคโปร์คุณจะได้ห้องพักที่ดูดีกว่าที่นี่อย่างแน่นอน อันที่จริง Mumbai ถูกจัดว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงมากเมืองหนึ่งในอินเดีย แถมโรงแรมที่พักก็มีให้เลือกค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้ไม่นานเพราะมันก็ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมากมาย ส่วนใหญ่มักจะแวะพักที่นี่เพื่อจะได้เดินทางต่อไปเมืองอื่นๆ ในอินเดีย หรือไม่ก็มาเพื่อติดต่อทำธุรกิจ สำหรับคนที่เดินทางคนเดียวอย่างผมที่หาห้องพักเพื่อใช้เก็บสัมภาระและซุกหัวนอนเท่านั้น ดังนั้นการต้องจ่ายค่าห้องพักในราคาเกือบสองพันบาทจึงเป็นเรื่องที่ออกจะเกินตัวไปสักหน่อย แต่ในที่สุดทางโรงแรมก็มีทางออกให้โดยเสนอห้องพักแบบเตียงเดี่ยว ขนาดห้องพักประมาณเมตรครึ่งคูณสามเมตร คือมันคงเคยเป็นห้องเก็บของมาก่อนน่ะ เฟอร์นิเจอร์มีแค่เตียงเดี่ยววางชิดผนัง โต๊ะวางของเล็กๆ กับพัดลมแบบติดเพดาน แน่นอนว่ามันไม่มีห้องน้ำในตัว แต่สภาพห้องโดยรวมดูสะอาดสะอ้านดีมาก (จะว่าไปแล้วมันสะอาดกว่าห้องนอนของผมที่อยู่ทุกวันนี้เสียอีก) สภาพห้องน้ำรวมก็จัดว่าสะอาดดูดีเช่นกัน ราคาค่าห้องก็อยู่ในอัตราที่ผมตกลงในทันทีคือ 750 รูปี (625 บาท) ต่อคืน ส่วนภาพประกอบเป็นโรงแรม Intercontinental ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ซึ่งผมไม่มีปัญญาพักที่นี่หรอกด้วยอัตราห้องพักต่ำสุดของที่นี่ประมาณ 320 USD (10,500 บาท) แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 00:51:34 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หลังจากโยนสัมภาระที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ในห้องพัก ผมออกไปเดินเล่นตามเส้นทาง Walking tour ที่ถูกแนะนำไว้ใน Lonely Planet โดยเป็นการเดินระหว่างสถานีรถไฟ Churchgate ถึงจุดที่เป็น Landmark สำคัญของ Mumbai คือ Gateway of India ซึ่งเป็นเส้นทางเดินยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะจะได้เพลิดเพลินกับการเดินชมอาคารสถาปัตยกรรม วิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น นักเดินทางหลากหลายเชื้อชาติ และความมีสีสันของเมืองในแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภาพประกอบเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมที่จะได้เห็นตลอดระยะทางเดิน 2.5 กม. ซึ่งมีทั้งโรงภาพยนตร์ มหาวิทยาลัย อาคารที่ทำการของรัฐ ศาสนสถาน รายละเอียดเพิ่มเติมหาอ่านได้ตาม guidebook ทั่วไปครับ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และแล้วผมก็เดินมาถึงสถานที่ที่ถือเสมือนว่าหากไม่ได้มาที่นี่ คุณก็ยังมาไม่ถึง Mumbai ที่นี่คือ Gateway of India ถูกสร้างเป็นอนุสรณ์ของการมาเยือนโดยราชวงศ์อังกฤษเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้ว น่าเสียดายที่ว่าตอนที่ผมไปนั้นตัวอนุสรณ์สถานอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซม สภาพจึงยังดูไม่สมบูรณ์และไม่สามารถเดินเข้าไปชมภายในได้ ดูตามภาพประกอบนะครับ ด้านซ้ายคืออนุสรณ์ Gateway of India ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ มีลานหินโล่งที่มีพื้นที่แค่ประมาณหนึ่งในสี่ของสนามหลวงบ้านเรา อาคารขนาดใหญ่สองอาคารทางด้านขวาคือโรงแรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศอินเดีย Taj Mahal Palace & Tower หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า “ The Taj ” จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:54:54 ]

ความคิดเห็นที่ 13 The Taj ถูกสร้างโดยนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศสเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หน้าตาของอาคารเป็นการผสมผสานระหว่าง Florentine Renaissance และ Moorish Styles เรื่องแปลกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับโรงแรมนี้คือ มันถูกสร้างผิดแบบน่ะ ด้านของโรงแรมที่อยู่ติดวิวทะเลซึ่งผู้ออกแบบตั้งใจให้เป็นด้านหน้า แต่ช่างในสมัยนั้นอ่านแบบคลาดเคลื่อนหรืออย่างไรไม่ทราบ กลับหมุนอาคารกลายเป็นเอาด้านหลังมาไว้แทนด้านหน้าจนทุกวันนี้ สำหรับส่วน Tower นั้นถูกสร้างขึ้นภายหลัง เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลเดียวคือเพื่อทำรายได้จากจำนวนห้องพักที่มากขึ้น ทั้งสองอาคารมีชื่อเรียกตามลักษณะคือ The Palace Wing และ The Tower Wing สถานที่แห่งนี้ได้ถูกใช้รับรองบุคคลที่มีชื่อเสียงมาตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งร้อยปี บุคคลหนึ่งที่ถูกจดจำเป็นพิเศษคือ John Lennon สำหรับท่านที่ต้องการสัมผัสความคลาสสิกระดับนี้ก็สามารถจ่ายได้ในราคาขั้นต่ำคืนละประมาณ 12,000 รูปี (10,000 บาท) สำหรับห้องพักในส่วน Tower Wing และขั้นต่ำ 21,500 รูปี (17,900 บาท) สำหรับห้องพักในส่วน Palace Wing จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ไกลจาก Gateway of India คือถนนยอดนิยมของนักท่องเที่ยว Colaba Causeway เปรียบเทียบกับบ้านเราที่นี่ก็เหมือนถนนข้าวสารนั่นแหละ แต่พื้นที่เล็กกว่าและดูวุ่นวายน้อยกว่าบ้านเรา เป็นย่านที่มีร้านอาหารแบบสากลสำหรับนักท่องเที่ยว ผับ บาร์ที่เปิดกันได้ดึกดื่นที่สุดแล้วใน Mumbai โบสถ์แบบคริสเตียนที่สร้างติดกันกับผับนั่นแหละ โรงแรมระดับสองถึงสามดาวเป็นส่วนใหญ่แทรกอยู่ตามตรอกซอกซอย แผงลอยขายของที่ระลึกยาวหลายช่วงตึก สรุปคือเป็นอีกย่านที่นักท่องเที่ยวต้องมาเดินให้ได้ โดยเฉพาะช่วงบ่ายๆ เย็นๆ จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แท็กซี่ และสารพัดเสียง ภาพประกอบคือจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Colaba Causeway มีโรงภาพยนตร์ Regal อยู่ทางด้านซ้ายของภาพ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 02:56:56 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แค่เพียงครึ่งวันก็สามารถเดินชมสถานที่สำคัญในย่าน South Mumbai ได้เกือบจะทั่วแล้วครับ ถ้าไม่มัวพิถีพิถันกับการหามุมถ่ายรูปอะนะ ถนนหนทางในย่าน Churchgate ถึง Colaba ก็เดินเล่นได้ปลอดภัยดีครับ สภาพโดยรวมถือว่าสะอาดแล้วนะครับถ้าเทียบกับย่านอื่นๆ ของ Mumbai แต่เทียบกับกรุงเทพฯ แล้วก็ต้องบอกว่าย่านสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเรานั้นสะอาดกว่ามาก ภาพประกอบเป็นอาคารมหาวิทยาลัยด้านริมถนน Mahatma Gandhi ครับ ช่วงเดือนที่ผมไปนั้นเป็นหน้าฝน มีเมฆปกคลุมแทบจะตลอดทั้งวัน แต่ยังโชคดีว่าฝนมักจะตกในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 00:59:19 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เช้าของวันที่สามใน Mumbai ผมออกไปเดินเล่นเพื่อดูแสงยามเช้าบนเส้นทางเดิมของเมื่อวานนี้ การเดินเล่นในบรรยากาศช่วงเช้าที่นี่นั้นเป็นความผ่อนคลายอย่างหนึ่ง เพราะความวุ่นวายของผู้คนและรถราบนท้องถนนนั้นมีน้อยมาก ดูเหมือนว่ากิจกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในเขต South Mumbai จะเริ่มหลากหลายขึ้นหลังจากสิบโมงเช้าไปแล้ว เนื่องจากในย่านนี้มีค่าครองชีพสูงมากสำหรับคนท้องถิ่น ดังนั้นเขตพื้นที่พักอาศัยจึงมีไม่มากนัก ถ้ามีก็จัดว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะ ระหว่างที่เดินเล่นจะมีภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปคือคนไร้บ้านที่อาศัยนอนตามท้องถนนหรือซอกตึก พอถึงตอนเช้าก็จะตื่นขึ้นมาแปรงฟันและอาบน้ำอาบท่ากันริมถนนนั่นแหละ มีคนเข็นรถลากที่บรรทุกถังน้ำขนาดประมาณ 60 ลิตร เดินตระเวนไปมาให้คนระดับล่างๆ ได้ใช้บริการ บางแห่งก็จะมีโต๊ะขายสิ่งที่ดูคล้ายอาหาร ให้คนจนได้ทานยังชีพในราคาที่ถูกมากๆ แต่สภาพของสิ่งที่อยู่ในจานมันก็ดูแย่เอามากๆ เลยล่ะ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:01:07 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ในความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ Mumbai เป็นเมืองที่มีความแตกต่างทางสังคมสูงมาก คุณสามารถเห็นบรรดาเศรษฐีนักธุรกิจเดินเข้าออกในตึกรูปทรง French Colonial โดยที่มีคนไร้บ้านนอนพิงเสาหินทรายอยู่ใกล้ๆ กันได้ปกติทั่วไปที่นี่ ล่าสุดในปีนี้ Mumbai ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความน่าลงทุนทางธุรกิจมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ในเอเชีย (อันดับหนึ่งคือฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้และกัวลาลัมเปอร์) และมีอีกหนึ่งสถิติที่ยังคงรักษาไว้ได้เหนียวแน่นคือเป็นเมืองที่มีสลัมขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียอีกด้วย จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:04:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ในช่วงสายผมโดดขึ้นรถไฟเพื่อหวังจะได้มีโอกาสถ่ายภาพผู้คนตามสถานี ในวันนี้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าวันแรกที่มา  และรู้สึกปลอดภัยพอที่จะคว้ากล้องออกมาถ่ายภาพในเมืองที่มีผู้คนแออัดมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปบริเวณใกล้สถานีรถไฟ คือชุมชนแออัดขนาดใหญ่ จะเรียกว่ามันคือชุมชนที่สร้างจากขยะและขยายจนกลายเป็นเมืองก็ว่าได้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรใน Mumbai อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด สลัมที่นี่เป็นผลมาจากการเข้ามาตั้งรกรากของคนยากจนในแคว้นข้างเคียง เพื่อมาเสาะแสวงหางานและความหวังในยุคเฟื่องฟูช่วงทศวรรษที่ 50 และตั้งรกรากเรื่อยมาถึงปัจจุบันจนมีคำเรียกแบบเสียดสีว่า “Slumbai” ชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย อยู่ที่นี่และมีชื่อว่า Dharavi * เกร็ดความรู้โลก-สลัมที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Soweto อยู่ในแอฟริกาใต้ ตัวเลขที่แน่นอนของผู้อาศัยในสลัมนั้นยากที่จะประเมินแต่คาดกันว่ามีประมาณหนึ่งล้านสองแสนคน และแห่งที่สองคือ Kibera ในประเทศเคนยาด้วยประชากรชาวสลัมหนึ่งล้านคน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:06:54 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Dharavi เป็นชื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยฟรีสำหรับประชากร 350,000 คน บนพื้นที่ 2.2 ตร.กม. ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คือแผนการควบคุมการขยายตัวของชุมชนแออัดนั่นแหละ โครงการ Dharavi ถือว่าเป็นโครงการต้นแบบให้กับชุมชนแออัดอีกนับร้อยแห่งทั่ว Mumbai การเดินทางไปเยี่ยมชม Dharavi ที่สะดวกคือโดยสารรถไฟไปลงที่สถานี Mahim คือพอออกจากเขตสถานีก็จะเข้าสู่เขตชุมชนแออัดทันที ผมได้เข้าไปเดินเล่นอยู่บริเวณที่เป็นชายขอบของชุมชนแออัด แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมนั้นสกปรกและแออัดอย่างร้ายกาจ แต่ผู้คนในละแวกนั้นก็ดูไม่ใส่ใจนักท่องเที่ยวที่สะพายกล้องอย่างผมสักเท่าไหร่ และไม่ได้มีสิ่งบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรจากชุมชนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามด้วยบรรยากาศที่ไม่ใช่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวควรจะมาเดินเตร็ดเตร่ ทำให้ผมเก็บกล้องถ่ายรูปใส่กระเป๋าเพราะไม่อยากทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจในละแวกนั้น สำหรับภาพประกอบนั้นไม่ใช่สลัม Dharavi นะครับ แต่เป็นสลัมอีกแห่งที่อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ Bandra ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไม Mumbai ถึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Slumbai” แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:23:30 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเดินเล่นบริเวณชายขอบสลัม Dharavi อยู่พักใหญ่ ก็รู้สึกตัวว่าผมคงไม่สามารถเดินลำพังเข้าไปถึง Dharavi ได้แน่ๆ เพราะนอกจากเส้นทางที่สกปรกไม่น่าเดินแล้ว ภาพของบ้านเรือนและผู้คนในละแวกนั้นทำให้ผมรู้สึกสลดหดหู่ และตระหนักว่าตัวเองโชคดีมากที่ไม่ต้องเกิดมาในสภาพดิ้นรนเพื่อจะพยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้ในแต่ละวัน น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นผมไม่สามารถถ่ายภาพใดๆ ได้เลย เพราะรู้สึกว่าบางทีอาจจะเป็นเรื่องไม่สุภาพที่คนต่างถิ่นอย่างผมจะทำอะไรแบบนั้นโดยไม่มีใครรับรอง ภาพประกอบที่เห็นนั้นเป็นแค่ริมขอบนอกสุดของบริเวณที่พวกเราเรียกกันว่าสลัม แต่สำหรับพวกเขา ที่นี่คือบ้านซึ่งบางฤดูฝนมันก็จะถล่มลงมาในบางจุดที่ต่อเติมจนทานน้ำหนักไม่ไหว หรือโชคร้ายกว่านั้นก็คืออัคคีภัย อันที่จริงมันมีบริการรับจัดทัวร์พาชม Dharavi สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ใครสนใจก็หาข้อมูลเพิ่มเติมตาม guidebook เอานะครับ เห็นว่ารายได้ส่วนหนึ่งมอบให้ NGO ที่ดูแลพื้นที่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตามย่านชุมชนแออัดก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน โปรดใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังอย่างมาก แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 51 21:25:56 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่าอินเดียเป็นชาติที่มีจำนวนประชากรสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน ด้วยจำนวนผู้คนที่มากกว่าหนึ่งพันล้านคน ซึ่งมากกว่าประชากรทั้งหมดของยุโรปและอเมริกาเหนือบวกรวมกันเสียอีก หรือเฉลี่ยประชากรโลก 58 คน จะเป็นคนของประเทศอินเดีย 10 คนเข้าไปแล้ว มีการประเมิณทางสถิติที่น่าสนใจว่าในอีกประมาณ 15 ปีข้างหน้า ประชากรของอินเดียมีแนวโน้มจะมากกว่าประชากรของประเทศจีน และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดอย่างน้อยก็ในยุคสมัยของคนรุ่นเรา ผมแน่ใจได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น รัฐบาลอินเดียต้องใช้กำลังสติปัญญาอย่างมหาศาลต่อการรับมือกับปัญหาประชากรในระดับหนึ่งพันห้าร้อยล้านคนเป็นประเทศแรกในโลก และเวลานั้นโลกจะมีประชากรถึงหลัก 8,000 ล้านคน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:13:29 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Land area ของ Mumbai นั้นมีขนาดพอๆ กับประเทศสิงคโปร์คือ 484 ตร.กม. แต่มีประชากรมากกว่าสิงคโปร์เกือบสามเท่าตัว ด้วยจำนวนประชากร 14.4 ล้านคน เทียบกับสิงคโปร์ซึ่งมีประชากรทั้งประเทศประมาณ 4 ล้านคน และ Mumbai มีความหนาแน่นของประชากรต่อหนึ่งตารางกิโลเมตรสูงเป็นอันดับหนึ่งในโลกคือประมาณ 29,650 คนต่อตร.กม. (สิงคโปร์มีความหนาแน่นประมาณ 8,350 คนต่อหนึ่งตร.กม. และกรุงเทพฯ มีความหนาแน่นประมาณ 6,450 คนต่อตร.กม. ) ดังนั้นถ้าใครอยากจะมาท่องเที่ยวเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ก็น่าจะหลีกเลี่ยงที่จะมาที่นี่นะครับ แต่สำหรับผู้สนใจศึกษาด้านประชากรศาสตร์และการจัดการผังเมือง Mumbai เป็นกรณีศึกษาที่ดีมากสำหรับการบริหารเมืองที่มีประชากรในระดับอภิมหานคร จนมีการบัญญัติศัพท์เกี่ยวกับกรณีศึกษาของ Mumbai ว่า “Bombayology” จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:14:40 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ใน Mumbai มีการสัมมนาโดยเหล่านักคิดกว่าสามร้อยท่านซึ่งประกอบไปด้วย นักผังเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักมานุษยวิทยา และสถาปนิก เพื่อแสดงทัศนคติต่อทิศทาง ผลกระทบและแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ในที่ประชุมนั้นมีการย้ำเตือนถึงผลกระทบในทางเลวร้ายจากปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ผลกระทบจากความหนาแน่นของประชากรใน Mumbai สามารถมองเห็นได้ทั่วไปตามสถานีรถไฟ โดยปกติรถไฟหนึ่งขบวนสามารถบรรทุกผู้โดยสารไม่ควรเกิน 1,700 คน แต่ในชั่วโมงเร่งด่วนนั้นปริมาณผู้โดยสารอาจปาเข้าไปถึง 4,700 คน หรือพื้นที่ในรถไฟ 1 ตร.ม. นั้นจะมีผู้โดยสารยัดทะนานกันอยู่ถึง 17 คน และโดยเฉลี่ยในหนึ่งวันจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 8 คน จากอุบัติเหตุทางรถไฟ ภาพประกอบที่เห็นนั้นไม่ใช่สลัมนะครับ เป็นสภาพบ้านเรือนทั่วไปตามตลาดเมืองน่ะ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:16:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 หลังจากที่ในช่วงเช้าผมได้เห็นสัจธรรมของ “Slumbai” แล้ว ในช่วงบ่ายผมจึงตัดสินใจหันหน้าเข้าวัด และเป็นวัดฮินดูซึ่งมีชื่อเสียงมากด้วย นั่นคือ Haji Ali Dargah สร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาร่างของนักบุญชาวมุสลิมนามว่า Haji ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญจำนวนมากเดินเท้ามาตามถนนคอนกรีตที่ทอดยาวจากริมฝั่งมาที่มัสยิดกลางน้ำแห่งนี้เพื่อสักการะร่างของนักบุญผู้ล่วงลับ ตลอดเส้นทางการเดินบนถนนคอนกรีตจะมีทั้งขอทาน ผู้ทุพพลภาพ และผู้คนที่อนาถา คอยนั่งหรือนอนเพื่อรอรับบริจาคเศษสตางค์โดยตลอดช่วงของเส้นทางเดินเป็นที่น่าเวทนา แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 01:19:16 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ภายในอาณาบริเวณของมัสยิด มีลานหินพื้นที่พอประมาณ มีอาคารหอกลางหลังคารูปโดมแบบหัวหอมเป็นศูนย์กลางของศาสนสถานแห่งนี้ รายละเอียดทางสถาปัตยกรรมไม่ได้ดูโดดเด่นหรือน่าตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด เพราะเราสามารถพบเห็นมัสยิดที่ใหญ่โตและมีรายละเอียดมากกว่านี้ได้มากมายตามตลาดทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้สถานที่แห่งนี้น่าประทับใจคือสีสันของผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศเพื่อจะได้มีโอกาสใช้มือสัมผัสพื้นบันไดตรงธรณีประตูก่อนก้าวข้ามมาเพื่อกระทำสักการะ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ผมโชคดีมากที่ได้มีโอกาสมาในช่วงน้ำลด ทำให้ได้มีโอกาสถ่ายภาพผู้คนที่ถือโอกาสพักผ่อนหย่อนใจบนลานหินน้ำลดที่อยู่รอบนอกของมัสยิด ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันธรรมดาแต่ก็มีผู้คนหลั่งไหลมาชมสถานที่แห่งนี้ไม่ขาดสายตลอดทั้งวัน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความพิเศษคือทำเลที่ตั้ง แม้ว่าตัวสถาปัตยกรรมออกจะดูธรรมดาไปสักหน่อย แต่สัมผัสของการเข้าถึงตามทางเดินที่ทอดยาวจากผืนแผ่นดินสู่ทะเลนั้นน่าประทับใจ คล้ายกับการได้ก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดโบสถ์ที่สร้างอยู่บนยอดเนิน แต่ Mumbai นั้นไม่มีภูเขาสูงพอให้สร้างสถานที่ทางจิตวิญญาณที่โดดเด่น การที่มัสยิดแห่งนี้ได้ถูกสร้างบนแผ่นดินที่โอบล้อมด้วยทะเลจึงถือเป็นเรื่องพิเศษอย่างมาก จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมใช้เวลาเดินเล่นและถ่ายภาพผู้คนตามลานหินอยู่หลายชั่วโมง แม้ว่าสภาพแสงในตอนนั้นมันไม่ดีเอาเสียเลยแต่บรรยากาศในเวลานั้น ดูสวยงามมากในความรู้สึกของผม จนเรียกได้ว่าความรู้สึกไม่ชอบในบางอย่างของ Mumbai นั้นถูกลบล้างออกจากหัวผมไปจนหมดเมื่อได้ใช้เวลาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:23:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ชายทะเลของ Mumbai นั้นจะหาบริเวณที่เป็นหาดทรายได้น้อยมาก ที่พอจะดูเป็นหาดทรายอยู่บ้างก็มีที่ Chowpatty Beach ในย่าน Marine Drive แต่มันก็สกปรกเหลือทน โดยปกติแล้วการเล่นน้ำตามชายหาดรอบเขตเมืองนั้นจัดว่าเป็นการฆ่าตัวตายอย่างหนึ่ง เพราะทะเลริมฝั่งนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดปริมาณมหาศาลที่ถูกระบายทิ้งมาตลอดชั่วนาตาปี ยกเว้นแต่ทะเลในย่านนี้ที่พอจะมีสภาพดูดีอยู่บ้าง จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ดูภาพประกอบกันไปนะครับ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:25:18 ]

ความคิดเห็นที่ 31 .. จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:25:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ... จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 33 .... จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:28:44 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปัญหาอย่างหนึ่งของเมืองใหญ่คือ สัดส่วนของพื้นที่โล่งและสวนสาธารณะมีแต่จะน้อยลงเรื่อยๆ ดูไปแล้วบรรยากาศแถวนี้ก็เหมือนสวนสาธารณะแห่งทะเลอาราเบียน สำหรับผมในช่วงเวลานั้น Haji Ali คือเกาะเล็กๆ ที่มีแต่สันติภาพ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:29:31 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เช้าของวันที่สี่ใน Mumbai ผมยังคงปฎิบัติเหมือนเช่นทุกวันคือออกไปเดินเล่นแต่เช้า พลางถ่ายรูปผู้คนไปเรื่อยเปื่อย ตามที่ผมได้ยินคำบอกเล่ามาคือผู้คนในแถบอินเดียใต้ส่วนใหญ่มีอัธยาศัยดีต่อนักท่องเที่ยว แม้ว่าหน้าตาผิวพรรณอาจจะดูไม่ชวนให้น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่ ซึ่งตลอดช่วงเวลาหลายวันที่ผมตระเวนโดยลำพังไปตามที่ต่างๆ ใน Mumbai ก็ไม่เคยมีใครพยายามเข้าใกล้ผมด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจแต่อย่างใด แต่แน่นอนครับว่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกก็พึงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ช่วงบ่ายผมตัดสินใจย้ายที่พักมาอยู่ในย่าน Colaba ราคาที่พักในย่านนี้ก็จัดว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสภาพห้อง ส่วนใหญ่แล้วห้องพักที่มีห้องน้ำในตัวจะมีราคาตั้งแต่ 1,000 รูปี (830 บาท) ขึ้นไป แต่ข้อดีคืออยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักและมีร้านค้า ร้านอาหารกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 03:16:50 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมถ่ายภาพนี้เพราะถูกคนที่ถือกาน้ำในภาพด้านซ้ายเดินเข้ามาทัก และขอร้องให้ผมถ่ายภาพเขาและเพื่อนๆ เป็นที่ระลึก ผู้คนมักคิดว่าผมเป็น Journalist แม้ว่าผมจะปฎิเสธและบอกพวกเขาไปว่าเป็นแค่นักท่องเที่ยวธรรมดา ผู้คนที่ขอร้องให้ผมถ่ายภาพให้บ้างก็คาดหวังว่าผมจะได้นำรูปของพวกเขาไปเผยแพร่ในที่ใดที่หนึ่ง บางทีคนเราก็คงอยากแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า เรานั้นมีตัวตนอยู่ แม้แต่การเขียนบทความนี้ก็อาจจะอยู่ในเหตุผลเดียวกัน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:31:11 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อาชีพหนึ่งที่พบเห็นได้ตามสถานีรถไฟแทบทุกสถานีคืออาชีพรับขัดรองเท้า รูปแบบการบริการนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ลูกค้าเพียงเดินเข้ามา ยกเท้าข้างใดข้างหนึ่งวางบนแท่น ช่างขัดรองเท้าผู้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพด้วยท่วงท่าการเคลื่อนไหวของมือที่คล่องแคล่วอย่างมีศิลปะ การทำงานทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณไม่เกินห้านาที โดยไม่จำเป็นต้องมีการสนทนาใดๆ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:31:42 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมเดินเข้าไปหากัลบกกลุ่มนี้เพื่อขอถ่ายภาพเพราะชอบบรรยากาศที่พวกเขานั่งพักผ่อนรอลูกค้ากันแบบสบายๆ น่ะ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมมาเห็นในภายหลังว่าประโยคที่อยู่บนอกเสื้อของผู้ชายในภาพนั้นมีเนื้อหาน่าคิดอยู่ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ผมเชื่อว่าคนอินเดียอย่างน้อยก็ใน Munmbai มีนิสัยรักการอ่าน เห็นได้จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายหัวและแผงหนังสือมือสองที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:33:37 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งของ Mumbai คือ Bollywood ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียก็มีฐานการผลิตอยู่ที่นี่ครับ ใน guidebook ทุกเล่มจะมีการบอกไว้ด้วยว่านักท่องเที่ยวอาจจะมีโอกาสถูกแมวมองมาทาบทามให้เข้าร่วมรับบทตัวประกอบซึ่งมีค่าตอบแทนให้ด้วยนะ ใครสนใจก็ลองไปเดินเล่นแถวแหล่งราตรีในย่าน Colaba ดูนะครับ ผมก็ไปเดินวนอยู่หลายวันแต่ก็ไม่ยักกะมีใครมาติดต่อ โปสเตอร์หนังที่เห็นในภาพเป็นหนังอินเดียเรื่อง Kismat Konnection ครับ ดูมีบรรยากาศแบบหนังเกาหลีปนๆ อยู่นะ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กีฬายอดนิยมของอินเดียคือ Cricket ครับ ตามลานว่างต่างๆ จะมีผู้คนเล่นกันแต่กีฬานี้ครับ จะหาพวกเด็กเล่นฟุตบอลนี่ไม่มีให้เห็นเลย ผมก็ไปนั่งดูเขาเล่นกันอยู่พักใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันสนุกตรงไหน ในภาพประกอบผู้เล่นตำแหน่ง batsman ที่เป็นตัว striker ออกจะมีหุ่นลงพุงไปสักหน่อย จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องน้ำดื่มและอาหารการกินในอินเดีย ดูจะเป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนไม่กล้าจะมาท่องเที่ยว สำหรับ Mumbai คุณสามารถหาร้านอาหารที่ได้รับการรับรองด้านสุขอนามัยได้ทั่วไปในย่าน South Mumbai คือร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีป้ายที่ออกให้โดยหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ ระดับคุณภาพมีตั้งแต่หนึ่งดาวถึงสามดาว แต่ก็ไม่ต้องไปมัวสังเกตหาป้ายรับรองนี้หรอกครับเพราะมันเป็นแผ่นป้ายขนาดไม่ใหญ่ แถมมักจะถูกนำไปติดอยู่ด้านในของร้าน ซึ่งมักจะทำให้มองหาไม่ค่อยเจอ เอาเป็นว่าเลือกดูตามสภาพร้านก็พอครับ ถ้าได้พักในย่านนักท่องเที่ยวแล้วเรื่องอาหารการกินนี่ไม่ต้องไปกังวลครับ มีร้านให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารจีน อาหารยุโรปหรือฟาส์ทฟูดส์ก็มีทั้งนั้น ร้านอาหารไทยก็น่าจะมีนะแต่ผมหาไม่เจอน่ะ แต่ถ้าไปในย่านอื่นที่ไม่ใช่ย่านที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ก็อาจจะหาร้านที่น่านั่งลำบากหน่อยครับ ส่วนเรื่องน้ำดื่มก็ควรซื้อน้ำที่บรรจุขวดเท่านั้นครับ แต่น้ำเปล่าที่ให้บริการตามร้านอาหารที่มีสภาพร้านดูดีก็ดื่มได้ไม่มีปัญหาสำหรับผม (แต่อาจจะไม่ใช่กับทุกคนครับ ดังนั้นเรื่องน้ำดื่มควรระมัดระวังไว้ก่อนก็ดีครับ เจ็บป่วยขึ้นมาก็หมดสนุกกันพอดี) ดังนั้นขอบอกครับว่ามันไม่ได้ดูแย่อย่างที่หลายคนคิด แต่แนะนำว่าควรนำยาแก้อาการท้องเสียติดตัวไปด้วยไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็แล้วแต่ นี่เป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารการกินใน Mumbai เท่านั้นครับ ถ้าเป็นเมืองอื่นในอินเดียผมไม่ทราบ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:35:43 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มีร้านอาหารฟาส์ทฟูดส์แบบอาราเบียนที่ผมชอบไปนั่งบ่อยๆ ในย่าน Colaba ชื่อร้าน Falafel เป็นอาหารที่มีต้นตำรับจากอียิปต์น่ะ คือมันอร่อยไปทุกอย่างเลย ถ้าผมรวยผมคงไปซื้อเฟรนไชส์มาเปิดขายในเมืองไทยแน่นอน หากมีโอกาสไป Mumbai ลองไปหาทานดูนะครับ ร้านอยู่ตรงข้าม Regal Theatre น่ะ หาไม่ยากครับ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45 สุภาพสตรีในชุดพื้นเมืองสีสดใสเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:36:51 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ตลาดท้องถิ่นที่น่าสนใจใน Mumbai มีสองแห่งคือ Chor Bazaar นี่เหมือนย่านสะพานเหล็กกับคลองถมบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นร้านรับซื้อของเก่าจำพวกเฟอร์นิเจอร์กับเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ อีกแห่งคือ Crawford Market ที่นี่เหมือนสำเพ็งน่ะ ถ้าจะหาซื้อพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับก็ต้องมาที่นี่ครับ มีคำแนะนำคร่าวๆ นะครับว่าตลาดทั้งสองแห่งนั้นวุ่นวายมากๆ แถมสภาพตลาดมันก็คือชุมชนที่กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ การเดินตลาดก็คือการเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ดังนั้นถ้าใช้เวลาเดินไปซักพักก็จะต้องหลงทางแน่นอนครับผมขอยืนยัน ถ้าไม่หลงก็แสดงว่าเดินได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงจะหลงทางก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะมีแท็กซี่ให้เรียกใช้บริการมากมาย ดังนั้นถ้าเจอร้านที่มีของที่ถูกใจก็ควรต่อรองและซื้อไปเลยครับ เพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสหาร้านนั้นพบอีกเป็นครั้งที่สอง สำหรับวันอาทิตย์ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดเหมือนบ้านเรา แต่ถ้ามีเวลาน้อยหรือไม่อยากไปเดินตามตลาดท้องถิ่นที่แสนจะวุ่นวายก็หาซื้อของฝากเอาแถว Colaba นั่นก็สะดวกที่สุดแล้วครับ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:37:20 ]

ความคิดเห็นที่ 47 สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งในการไปเดินเล่นตามตลาดคือการได้มีโอกาสเที่ยวชมวัดฮินดูและมัสยิดใหญ่น้อยที่ถูกสร้างแทรกตัวอยู่ในย่านชุมชน จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:37:56 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ในช่วงเย็นวันสุดท้ายใน Mumbai ผมใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นและถ่ายภาพในบริเวณ Colaba การถ่ายภาพโดยใช้ขาตั้งกล้องนั้น มักจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่นี่ โดยปกติผมจะหิ้วขาตั้งกล้องออกมาใช้งานในช่วงเย็นซึ่งทุกครั้งก็จะมีคนท้องถิ่นเดินเข้ามาด้อมๆ มองๆ ด้วยความสนใจในระหว่างที่ผมถ่ายภาพอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งแถว Gateway of India ที่ผมโดนตำรวจเรียกไปสอบถามเพราะพี่แกสงสัยว่าไอ้ท่อนโลหะสามท่อนที่ผมหิ้วอยู่มันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใดถ้าจะนำมาใช้งานที่นี่ สองคนในภาพนี้เป็นคนที่คอยจัดระเบียบที่จอดรถตรงบริเวณที่ผมไปปักหลักถ่ายภาพ ทั้งสองคนขอร้องให้ผมถ่ายภาพพวกเขาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกน่ะ     แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 01:45:03 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:38:34 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่ผมถ่ายใน Mumbai ก่อนจะเดินทางกลับ เป็นช่วงหัวค่ำหลังพระอาทิตย์ตก ตามท้องถนนนั้นนองไปด้วยน้ำฝน ผมใช้เวลาถ่ายภาพในบริเวณนี้อยู่พักใหญ่ ตลอดช่วงเวลานั้นมีผู้คนมากมายที่ยิ้มและโบกมือให้กับกล้องของผม หลายคนเดินเข้ามาทักและถามว่าผมมาจากประเทศใด ซึ่งผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ตอบคำถามนี้ น่าเสียดายที่กล้องของผมไม่สามารถจับภาพผู้คนเหล่านั้นไว้ได้ด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำกว่าปกติ แม้ว่าผมจะใช้เวลาหลายวันใน Mumbai เพียงแค่เมืองเดียว แต่ก็มีสถานที่น่าสนใจอีกหลายที่ที่ผมไม่มีเวลาพอที่จะไปได้ทั่ว ความรู้สึกของผมในวันสุดท้ายนั้นต่างจากวันแรกๆ อย่างสิ้นเชิง ในช่วงวันแรกนั้นผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพเมืองที่วุ่นวายและความสกปรกตามท้องถนน แต่หลังจากใช้เวลาไปสักพักก็เริ่มจะเข้าใจถึงวิถีชีวิตของเมืองและผู้คน ความเข้าใจนั้นช่วยให้มองเห็นด้านที่สวยงามของประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ในวันสุดท้ายผมมีความรู้สึกที่อยากจะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย และหวังว่าจะได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวอินเดียอีกครั้ง แต่ในครั้งหน้าคงเป็นการเดินทางไปทางตอนเหนือบนเส้นทางยอดนิยมคือ Delhi-Agra-Ladakh-Kashmir จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:39:33 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แนะนำหนังสือครับ Lonely Planet นี่ไม่ต้องอธิบายครับรู้จักกันดีอยู่แล้ว ถ้าไปอินเดียตอนใต้ก็ต้องเล่มนี้ครับ ตามปกนี้เป็น 4th edition อีกเล่มที่ควรต้องมีคือ Time Out: Mumbai & Goa เล่มนี้แนะนำว่าให้ไปหาซื้อที่ Mumbai ครับจะได้ราคาถูกกว่าที่ขายในบ้านเรามากแถมต่อราคาได้ด้วย ตามปกนี้เป็น 2nd edition อีกเล่มสำหรับผู้ที่ต้องการแผนที่ Mumbai แบบละเอียดมากๆ ครับ EICHER นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการทำแผนที่อินเดียที่แม่นยำดีครับ หาซื้อได้ทั่วไปใน Mumbai ก่อนซื้ออย่าลืมตรวจสอบครั้งล่าสุดของปีที่ตีพิมพ์จากเว็บไซท์ของสำนักพิมพ์ก่อนทุกครั้งครับ จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ทุกภาพถ่ายด้วย Olympus E-510 + Lens Kit 14-42 ครับ ขอย้ำให้ทราบว่าเนื้อหาข้างต้นเป็นเพียงบันทึกภาพและประสบการณ์ของผู้เขียน และเพื่อทัศนคติที่ดีต่อความหลากหลายของผู้คนบนโลกใบเดียวกัน โปรดใช้วิจารณญาณกรณีจะนำไปใช้อ้างอิงเพื่อการใดๆ เพราะข้อมูลอาจจะไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับสภาพปัจจุบันที่เมืองมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และพบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับ สำหรับการเดินทางครั้งหน้าซึ่งหวังว่าอาจจะเป็นช่วงเดือนตุลาคมนี้ คงได้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังอีก ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ทราบครับว่าจะไปที่ไหน แต่คงเป็นละแวกใกล้บ้านเรานี้แหละ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความคิดเห็นครับ ปล. 1 กรณีนำเนื้อหาและภาพไปใช้กรุณาให้เครดิตผู้เขียนด้วยจักขอบคุณมากครับ เพราะใช้พลังงานในการเขียนและจัดการเกี่ยวกับภาพถ่ายไปไม่น้อยเลย ปล. 2 อ่านกระทู้เก่าๆ ของการเดินทางที่ผ่านมาของผมได้ตามข้างล่างนี้ครับ *เมษายน 2551 – เวียดนามกลาง: http://www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G6568244/G6568244.html *ธันวาคม 2550 - หลวงพระบาง, ลาว: http://www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G6135063/G6135063.html Namaskar แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 01:47:04 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 01:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คิตตี้ 14-42 ไม่ธรรมดาเลยจิงๆ ภาพแต่ละภาพสื่อความหมายได้ดี เดินทางคนเดียวด้วย ชอบมากครับ ถ้าชอบบรรยากาศขุนเขาและวิถีชีวิตชาวเขา ทริปหน้าแนะนำซาปา เวียดนามเหนือครับ อิๆ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 01:47:42 จากคุณ : GEARSOLID - [ 17 ส.ค. 51 01:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 53 จบแล้วนะ ไม่กล้าปาดเลยครับ เห็นความตั้งใจผู้ตั้งกระทู้แล้ว ขาปาดนั่งอ่านแบบเจี๋ยมเจี้ยมไปเลย 5555 ภาพและเรื่องราวยอดเยี่ยมเสมอกันเลยครับ แถมพอรู้ว่าเลนส์คิท อึ้งๆๆๆๆ ถามนิดนึง ค่าตั๋วเครื่องบินไปเท่าไรครับ งบในการเดินทางตกประมาณเท่าไร จากคุณ : Papercut - [ 17 ส.ค. 51 01:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ได้เห็นรูปแต่ละ่รูปประทำใจดีจริงๆครับ จากคุณ : ninjathai - [ 17 ส.ค. 51 01:51:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สุดยอดมากๆเลยครับ นั่งอ่านแบบไม่ข้ามเลย ถ่ายรูปว่าเยี่ยมแล้ว การถ่ายทอดเรื่องราวออกมาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลยจริงๆครับ จะมีโอกาสได้เห็นหนังสือแนะนำที่ท่องเที่ยวจากพี่ Filmlandscape บ้างมั้ยครับ ปล.อยากเห็นภาพพระอาทิตย์ตกที่ชายฝั่งทะเลอาราเบียนอ่ะครับ ไม่ทราบว่าจะรบกวนเกินไปมั้ย จากคุณ : yutei - [ 17 ส.ค. 51 02:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สุดยอดเลยครับน้า รูปงามดีแท้ จากคุณ : หลานยายจุล - [ 17 ส.ค. 51 02:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 57 Reply คห.53: K. Papercut - ค่าตั๋วเครื่องบินแบบ round trip กรุงเทพฯ – มุมไบ ราคาโดยเฉลี่ยของแต่ละสายการบิน (ที่ไม่ใช่ low cost) ประมาณ 17,000 – 22,000 บาทครับ แต่ตอนนี้ราคาไม่แน่นอนตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน ผมใช้บริการของ Cathay Pacific ครับ การบินไทยก็มีให้บริการครับแต่แน่นอนว่ามีราคาสูง - ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยใน Mumbai จะแพงตรงค่าที่พักครับ ส่วนค่าเดินทางและค่าอาหารอยู่ในอัตราที่ไม่แพงและค่อนข้างสมเหตุสมผล ประมาณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ตกประมาณ 1,500 – 2,500 บาท ต่อวันสำหรับการเดินทางคนเดียวและพักในโรงแรมระดับสองดาวครึ่งขึ้นไป แต่ถ้าสามารถพักในห้องพักที่ต้องใช้ห้องน้ำรวมได้และไปกันอย่างน้อยสองคนก็จะลดค่าใช้จ่ายได้มาก อาจจะเหลือประมาณ  800 – 1,500 บาท ต่อคนต่อวัน Reply คห.55: K. yutei ผมโชคไม่ดีครับที่ไม่มีโอกาสเห็นภาพพระอาทิตย์ตกลับทะเลอาราเบียน เพราะเป็นช่วงหน้าฝน ท้องฟ้าปิดในช่วงตอนเย็นแทบทุกวันครับ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 51 02:31:12 จากคุณ : Filmlandscape - [ 17 ส.ค. 51 02:29:10 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เยี่ยมมากเลยครับ... ผมชอบ #12 ครับ กว้างดี... จากคุณ : kk45 - [ 17 ส.ค. 51 03:13:18 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ก็ว่าน้าหายไปนานเลย ผมล่ะชอบผลงานของน้ามากๆเลยครับ แอบเซฟเก็บทุกครั้งที่เห็น จากคุณ : Nettyna - [ 17 ส.ค. 51 04:57:00 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เพอร์เฟคเลยล่ะครับ ภาพ เรื่องราว อารมณ์ในภาพ อารมณ์ของผู้ถ่ายทอด เยี่ยมทุกซี่รี่ส์เลยท่าน จากคุณ : Azimo - [ 17 ส.ค. 51 08:00:04 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สุดยอดมากๆ ครับ.. ทั้งภาพ เรื่องราว ดูแล้วเป็นกระทู้ที่เจ้าของกระทู้ตั้งใจทำ และทำได้ดีมากครับ..ดูรูปและอ่านเพลินเลย และยิ่งรู้ว่าใช้แค่เลนส์ Kit ติดกล้อง ผมยังงงๆเลยครับ บางภาพมุมกว้างดีจริงๆ อยากดูกระทู้แบบนี้อีก ขออนุญาตเซฟกระทู้ไว้นะครับ.. จากคุณ : ขวางโลก (โทษที ชื่อนี้มีแล้ว) - [ 17 ส.ค. 51 08:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ตามไปเที่ยวด้วยครับ ขอบคุณมากสำหรับภาพสวย ๆ และข้อมุลแน่นปึ๊ก  :D จากคุณ : chotto - [ 17 ส.ค. 51 09:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เป็นอีกหนึ่ง login ที่เห็นชื่อแล้วผมต้อง click เข้ามาอ่าน แล้ว save เก็บไว้ครับ ชื่นชมผลงาน และ ความตั้งใจ มากๆครับ อินเดียผมเคยไปทำงานที่ chennai หนึ่งอาทิตย์ กลับมาได้ข้อคิด หลายเรื่องในการดำเนินชีวิตเลยครับ เพราะคนที่ลำบากกว่าเรามีอยู่ตั้งมากมายในโลกนี้ ได้เห็นว่าชีวิตที่ดิ้นรนในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ทำให้ผม ปลง ได้หลายๆเรื่องเลยครับ กลับมาเลย รักเมืองไทย ขึ้นอีกเยอะเลย จากคุณ : อาตี๋ตัวกลม - [ 17 ส.ค. 51 09:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มาชมด้วยคนนึงครับ....ยอดเยี่ยมมากครับทั้งภาพและการบรรยาย... จากคุณ : lineman - [ 17 ส.ค. 51 10:13:00 ]

ความคิดเห็นที่ 65 สวยงามมากๆ จากคุณ : แม่ไอ้ฟู - [ 17 ส.ค. 51 10:48:26 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สวยงาม ประทับใจ kit จริง ๆ ภาพถ่ายยอดเยี่ยม จากคุณ : chaiyoo - [ 17 ส.ค. 51 11:09:10 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณที่นำสิ่งดี ๆ มาให้ชมครับ เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยครับ จากคุณ : dogleg - [ 17 ส.ค. 51 11:18:05 ]

ความคิดเห็นที่ 68 สุดยอดเลยครับน้า ดูตั้งใจมากๆ กล้ามากที่เดินดุ่ยๆ ถ่ายภาพในบางที่ที่ผมเองไม่กล้าชักกล้องออกมา ภาพประกอบเรื่องราวยอดเยี่ยมครับ จากคุณ : น้องครับผม - [ 17 ส.ค. 51 11:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 69 สุดยอดมากๆ ชอบมากเลยอุปกรณ์เป็นเพียงแค่เครื่องมือจริงๆ ภาพดีๆอย่างนี้อยู่ที่คนถ่ายทอด..เอวัง จากคุณ : hotman_cj (hotman_cj) - [ 17 ส.ค. 51 12:03:00 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ทั้งความสนุก ความรู้ และประทับใจครับ ขอชื่นชมในความสามารถครับ จากคุณ : nantnant - [ 17 ส.ค. 51 12:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 71 จับจังหวะภาพดีจังเลยค่ะ ชอบมากๆ ขอบคุณค่ะที่เอามาแบ่งปันกัน จากคุณ : วายร้ายตัวไม่เล็ก - [ 17 ส.ค. 51 12:14:03 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ยอดเยี่ยมมากครับ จากคุณ : กาแฟเย็นใส่นมเยอะๆ - [ 17 ส.ค. 51 12:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 73 น้าถ่ายและทำไฟล์ได้เทพจริง ๆ ครับ... อย่างกับดู National GEO แน่ะ... จากคุณ : Photio - [ 17 ส.ค. 51 12:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เวลาถ่ายรูปคนต้องไปขอเขาก่อนปะครับ? เดินไปถ่ายเลยจะโดนต่อยปะครับ? จากคุณ : vee_r - [ 17 ส.ค. 51 14:46:41 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เยี่ยมๆจริงๆครับ  ได้ทั้งภาพทั้งประสบการณ์ต่างเมืองด้วย ดีจริงๆครับ จากคุณ : อัคนีรุทร์ - [ 17 ส.ค. 51 15:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เมืองนี้ แปลกตาดี จากคุณ : hookman13 - [ 17 ส.ค. 51 15:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เยี่ยมมากๆค่ะ ทั้งภาพ+เรื่องราว มุมมอง สีสัน เนตที่บ้านช้ามากๆ เข้ามาโหลดดูหลายครั้ง กว่าจะดูครบทุกรุป อิๆ จากคุณ : ป.ปัน (kannar) - [ 17 ส.ค. 51 15:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เยี่ยมยอดครับ ทั้งรูปถ่าย ทั้งเนื้อหา ^^ จากคุณ : azoons - [ 17 ส.ค. 51 16:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 79 pantip นี้ลบกระทู้เก่าๆ ทิ้งเรื่อยๆ? ผมว่าน่าจะหาที่ host ที่ถาวรกว่า pantip ขนานกันไปด้วยนะครับ ภาพดีๆ เนื้อหาดี เสียดาย จากคุณ : vee_r - [ 17 ส.ค. 51 16:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 80 บอกได้คำเดียวครับว่าสมบูรณ์แบบมากๆ ทั้งภาพ และ คำบรรยาย จากคุณ : yugyun - [ 17 ส.ค. 51 19:09:05 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ตัดสินใจไม่ซื้อเลนส์เพิ่มแล้วค่ะ ถ่ายเลนส์ kit ให้สวยแบบนี้ก่อนดีกว่า..ฮึ่มม จากคุณ : yuinaya - [ 17 ส.ค. 51 20:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 82 สุดยอดจริงๆครับ จากคุณ : . (DominoX) - [ 17 ส.ค. 51 23:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เยี่ยมยอดครับ ทั้งเนื้อเรื่องและภาพ จากคุณ : ahced - [ 18 ส.ค. 51 00:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ไม่มีคำอธิบาย แต่มันยอดเยี่ยมมาก ทั้งภาพ การจัดวาง ข้อความ เป็นสารคดีท่องเที่ยวที่เยี่ยมมาก จากคุณ : lumpoo - [ 18 ส.ค. 51 07:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอดดดดดดดดดดดดด สุดยอดดดดดดดดดดดดด ไม่เคยเบื่อกับงานสวยๆของน้าแก สุดยอดดดดดดดดดดดดด จากคุณ : sicty - [ 18 ส.ค. 51 08:27:31 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ชอบครับแต่เดียวกลับมาอ่านนะ ครับบงานเยอะแต่แค่ดูรูปก็สุดยอดแล้ว ถ้าอ่านคง*2 จากคุณ : คนดงบ้านดอน - [ 18 ส.ค. 51 11:24:37 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เป็นบันทึกการเดินทางที่เยี่ยมยอดจริงๆครับ ขอบคุณที่แบ่งปัน จากคุณ : Free copy - [ 18 ส.ค. 51 13:43:16 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ต้องไปบอกจอร์จ ว่ามันยอดดดดมาก สวยงามมากครับ ครบเครื่อง ทั้งภาพ ข้อมูล และเรื่องราว ข้าน้อยขอคาราวะหนึ่งจอก ซู้ดดดดด... จากคุณ : schwanz (schwanz) - [ 18 ส.ค. 51 14:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แวะมาชม ยอดเยี่ยมที่สุดครับ จากคุณ : พ่อน้องตอง - [ 21 ส.ค. 51 20:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 15 ก.ย. 51 08:16:08 ]

ความคิดเห็นที่ 91 บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดดดดจริงๆ เลยครับ เนื้อหาข้อมูล น่าิติดตามจริงๆ ดูแล้วได้แง่คิดดีๆ เยอะเลยครับ ภาพประกอบสวยมากก ผมชอบแนวสีแบบนี้จังพอแนะนำผมหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : mr_nutty - [ 20 ก.ย. 51 00:30:46 ]