ความคิดเห็นที่ 1 F มันไม่มีหน่วยวัด เป็นเพียงค่าจากการเปรียบเทียบหนะครับ F91 ของเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงๆ อาจจะมีขนาดทางกายภาพใหญ่กว่า F8 ของเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสต่ำๆ ก็ได้หนะครับ จากคุณ : Roy - [ 17 ก.ย. 51 13:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตามความเห็นที่ 1 เลยครับ ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะครับ จากคุณ : สุพจน์ - [ 17 ก.ย. 51 13:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ได้เห็นชื่อคุณ Roy เสียนาน เอา ไปเป็นกำลังใจก่อนล่ะกานครับ ( ลอกตามคุณสุพจน์ 5555 ) ส่วนเรื่องค่า F1-F91 มีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมหรือเปล่าครับ เพราะปรกติกล้อง Canon ( อย่างน้อยที่ผ่านมือผม ) เริ่มค่า f ที่ 00 ลองถามชาวมือหมุนดูสิครับมันขึ้น f/00 เลย ( เพราะกล้องบอกอัตราส่วนไม่ได้ ) ตกลงอันนี้มันใช้มือหมุนแล้วจะขึ้น 00 เหมือนเดิมหรือเปล่าหว่า ? และขอขยายความส่วนที่คุณ Roy ตอบ คือหมายถึง f เป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องรับแสงกับทางยาวโฟกัส f เท่ากันของเลนส์ต่างทางยาวโฟกัสกันจึงไม่เท่ากัน ยิ่งเลนส์ทางยาวโฟกัสสูงๆช่องรับแสงกว้างสุดจึงยิ่งแคบลง ( เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วน f number ) เฮ้ย... หลังๆจะตอบกระทู้ผ่อนคลายเซ็งหุ้นตกทำไมเจอแต่กระทู้วิชาเกินประจำ เลิกๆๆๆหนูมึนไปหมดแย้ว แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 13:54:36 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 17 ก.ย. 51 13:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แก้ไขข้อความหน่อยนะครับเพิ่งเจอกระทู้ 5D Mark II ข้างล่าง ดีใจไม่มีตังค์ซื้อแล้ว 555 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 17 ก.ย. 51 13:56:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 น้าตืออย่าไปซีเรียสเรื่องหุ้นเลยครับ คิดซะว่าเหมือนขับรถไปเจอสี่แยกไฟแดง วันนี้อาจจะโชคร้าย ติดไฟแดงนานหน่อย จากคุณ : Buddykung - [ 17 ก.ย. 51 14:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 น้าตือวิชาการ อิ อิ เพิ่มบ้าง ผมว่าค่าเอฟมันบอกปริมาณแสงที่ผ่านจากหน้าเลนส์ไปสู่จุดรับภาพครับ f1 = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1 f2 (จริงๆ ต้องเป็น 1:2 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f2) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/2 f4 (จริงๆ ต้องเป็น 1:4 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f4) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/4 f8 (จริงๆ ต้องเป็น 1:8 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f8) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/8 การปรับเปลี่ยนค่าปริมาณแสงที่ผ่านจากหน้าเลนส์ให้มันออกไปท้ายเลนส์ มันทำให้เพิ่มหรือลดได้โดยการเพิ่ม/หรี่ไดอะเฟรมของเลนส์ ซึ่งแน่นอนว่ามันผกผันเป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่าศูนย์กลางของไดอะเฟรม (ช่องรับแสง) กับ ทางยาวโฟกัสของเลนส์ ดังนั้นผมว่าค่า F กับ ขนาดไดอะเฟรม มันคนละตัวกัน ปุจฉา - ว่าแต่จะคุยวิชาการทำไมเนี่ย วิสัจฉนา - รู้เรื่องวิชาการไว้บ้างก็ดี เวลาเจอสถานการณ์จริงที่ต้องคิด มันจะได้มีพื้นฐานว่าต้องทำยังไง ถ่ายยังไง จากคุณ : T* - [ 17 ก.ย. 51 14:25:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 วิชาการบ้างก็ดีครับ   เพราะก่อนจะรู้ "ที่ไป"  เราต้องรู้ "ที่มา" ก่อนครับ จากคุณ : ลิงหกกะล้ม - [ 17 ก.ย. 51 15:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้ว leica 50 mm f/0.95 มันคือ? ไม่ค่อยเข้าใจ รบกวนใขข้อข้องใจด้วยครับ จากคุณ : crabdevil - [ 17 ก.ย. 51 15:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ลองเอา 1 หารด้วย 0.95 ดูครับน้าปีศาจปู จากคุณ : T* - [ 17 ก.ย. 51 15:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แสดงว่าถ้ามีแสงเข้าสู่เลนส์ 1 จะมีแสงออกจากเลนส์ 1.05 (1/0.95) เหรอครับ มันมากขึ้นได้ยังไง? รบกวนอีกครั้ง, ขอบคุณครับ จากคุณ : crabdevil - [ 17 ก.ย. 51 15:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กำลังพิมพ์อยู่เลย เมื่อหารแล้วจะเห็นว่าแสงออกมาจากเลนส์จะได้มากกว่าต้นกำเนิดแสงจริงๆที่ผ่านหน้าเลนส์เข้ามาเสียอีก ถามว่าทำได้ยังไง???? คำตอบ ใช้เลนส์นูนรวมแสงครับ รวมเอาแสงที่อยู่นอกองศารับภาพของเลนส์นั้นเข้ามาช่วย (ไดอะเฟรมก็ต้องใหญ่ตามด้วย) สั้นๆ ง่ายๆ นึกถึงตอนเราเอาเลนส์นูนมารวมแสงอาทิตย์เผากระดาษเล่นตอนเด็กๆครับ แสงก่อนหน้าเลนส์นูนเผากระดาษไม่ได้ แต่แสงตรงจุดรวมแสงหลังเลนส์นูนมันถูกขยายจนมีพลังงานพอจะเผากระดาษได้ แต่เลนส์ 0.95 ไม่ค่อยมีคนทำเพราะอะไร เพราะมันสวนทางกับหลักการของเลนส์ที่ดี เลนส์ที่ดีมันต้องมีนูนมีเว้าบางทีก็เอาเว้าเอานูนมารวมกัน (เลนส์แอสเพอริคัล) เน้นแต่นูนอย่างเดียวไม่เว้าเลยก็ไม่ดี นูนๆเว้าๆ แบบนี้จะเข้าใจไหมเนี่ย ฮ่าๆ ในโลกนี้เห็นมีแต่แคนนอนทำมาตัวเดียวตอนเป็น Rangefinder (เข้าใจว่าทำโชว์มากกว่า) ซึ่งทำได้ง่ายกว่า SLR เพราะจุดรับภาพอยู่ใกล้เลนส์มากกว่า แสงเดินทางสั้น Loss ระหว่างทางก็เลยน้อย เห็นข่าวแว๊บๆว่า leica จะทำมั่ง ไอ้ 0.95 เนี่ยซึ่งก็ใช้กับ Rangefinder อยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังว่ามันจะดีเลิศครับเลนส์พวกนี้ทำมาโชว์อย่างเดียว จากคุณ : T* - [ 17 ก.ย. 51 16:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Focal Ratio หรือ F-Ratio หรือ F-Stop ก็คืออัตราส่วน Focal Length / Lens Diameter ครับ เช่นถ้าต้องการเลนส์ 50 มม. F/0.95 จะต้องทำหน้าเลนส์ให้ได้ = 52.63 มม. เป็นอย่างน้อย แต่ประเด็นเรื่องขนาดของเลนส์ไม่ค่อยมีปัญหาถ้าโฟกัสสั้น แต่ปัญหาหลักคือ - ความคลาดสี / chromatic abberation - ความคลาดแบบภู่ / Coma abberation - ความคลาดเอียง / astigmatism - ความคลาดทรงกลม / spherical abberation - ความคลาดทรงกลมในแต่ละสีของแสง / spherochromatism - Distortion แล้วก็ - field curvature แก้ยากหมดเลยถ้าเอฟต่ำ ๆ โดยเฉพาะ coma กับ astigmatism ครับ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 17 ก.ย. 51 17:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ค้านนิดครับ f เป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องรับแสงกับทางยาวโฟกัส f-value = D/f  อันนี้ถูกแล้ว แต่ f1 = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1 f2 (จริงๆ ต้องเป็น 1:2 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f2) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/2 f4 (จริงๆ ต้องเป็น 1:4 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f4) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/4 f8 (จริงๆ ต้องเป็น 1:8 แต่เขาเรียกง่ายๆ ว่า f8) = แสงเข้ามา 1 ออกไป 1/8 อันนี้ผิดครับ f1 -> เข้า 1 ออก1 f1.414 -> เข้า 1 ออก1/2 f2 -> เข้า 1 ออก1/4 f2.828 ->เข้า 1 ออก1/8 f4 -> เข้า 1 ออก1/16 พื้นที่ลดลงครึ่งนึง จะทำให้ เส้นผ่าศูนย์กลาง ลดลง sqrt(2) ครับ จากคุณ : ginosty - [ 17 ก.ย. 51 17:49:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ค้านสูตร คห.13 นิดหนึ่งครับ f-value = D/f  อันนี้ถูกแล้ว  <---- ไม่ถูกครับ ต้องเป็น f-value = F/D  อันนี้ถูกแล้ว f-value = F-Ratio = F-stop F = Focal Length = ความยาวโฟกัส D = ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหน้าเลนส์ หรือ Entrance Pupil ครับ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 17 ก.ย. 51 18:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ข้างบนน่ะผิดหมดเลย ตามที่เรียนมา ถ้าเอฟตัวเลขสูง จะทำให้ฉากหลังชัดมาก เพราะฉะนั้น f91 จะชัดไปถึงดาวพลูโตเลยค่ะ... อิๆๆ แซวเล่นๆ จากคุณ : บ๊วย...นิยามของคำว่าสวย (บ๊วย...นิยามของคำว่าสวย) - [ 17 ก.ย. 51 18:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 รอดูครับ O_o จากคุณ : Allterrain - [ 17 ก.ย. 51 18:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้นี้ อ่านแล้วมึน จากคุณ : อิ๊กคิว..ครับผม - [ 17 ก.ย. 51 19:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับน้า T* , น้า pop, น้า ginosty กลับมาดูช้าไปหน่อย เพิ่งกลับมาถึงบ้านครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 20:36:26 จากคุณ : crabdevil (crabdevil) - [ 17 ก.ย. 51 20:30:23 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เคี้ยก ผิดจริง เอิ๊กๆๆๆ แปะรูป f91 เลย เอิ๊กๆ จากคุณ : ginosty - [ 17 ก.ย. 51 21:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โห....ฝ่ายบุคคลขอบันทึกเข้าแฟ้มคลังกระทู้คร้าบ จากคุณ : ก้อง : ) - [ 17 ก.ย. 51 21:48:56 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อันนี้ F91 สุดเจ๋ง จากคุณ : ก้อง : ) - [ 17 ก.ย. 51 21:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนอันนี้เจ๋งกว่า สดชื่น สดชื่น F5 จากคุณ : ก้อง : ) - [ 17 ก.ย. 51 21:54:28 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เพิ่งกลับจากไปธุระนอกบ้านมาครับ ได้เจอ คห. ที่แตกต่างกันบ้างในกระทู้นี้ก็ถือว่าดีเลย เพราะนานๆห้องเราจะมีประเด็นเรื่องข้อมูลที่ขัดแย้ง+แตกต่างกัน เรามาหาความจริงร่วมกันครับส่วนไหนผิดพลาดไปจะได้ปรับความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องไปเลย เริ่มจากผม ( คห.3 ) ผมอธิบายว่า " f เป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องรับแสงกับทางยาวโฟกัส " คุณตู่ใน คห.6 เห็นว่า F ควรจะปริมาณแสงที่ผ่านจากหน้าเลนส์ไปสู่จุดรับภาพ โดยยก คห. ว่าแสงถูกแบ่งเป็นส่วนๆลงตามค่า f number ซึ่งผมว่าผิดครับ คุณ ginosty ใน คห.13 อธิบายไว้เคลียร์แล้วว่ามันเป็นค่ารูทครับ 1:4 จึงไม่ใช่แสงลดจาก 1:1 สี่เท่า ที่จริงคือ 16 เท่าครับ ยกตัวอย่างสมมุติหากเราใช้ฟิล์มถ่ายซ้อนให้ f/4 ได้ภาพสว่างเท่ากับ f/1 ที่ความเร็วชัตเตอร์เท่ากัน เราต้องถ่ายถึง 16 ครั้งครับ ( ถ่าย 2 ครั้งได้ความสว่าง =  f/2.8 , ถ่าย 4 ครั้งได้ความสว่าง =  f/2 , ถ่าย 8 ครั้งได้ความสว่าง = f/1.4 , ถ่าย 16 ครั้งได้ความสว่าง = f/1 ) ตรงนี้เคลียร์ไปจุดนึงนะครับ ที่มักทำให้พวกเราสับสนก็เพราะตัวเลขค่า F มันดันเป็นค่ารูทเลยทำให้งงกัน ส่วนเรื่องที่คุณ POP_na แก้ไขเรื่องสูตรผมเห็นด้วยครับ ( เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว 555 ) แต่ที่อธิบายว่า D = ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหน้าเลนส์ หรือ Entrance Pupil ผมว่าผิดครับ D ไม่ใช่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหน้าเลนส์แน่ๆครับ ( แต่ยกเว้นว่าเราจะระบุค่า f number จากเลนส์ชิ้นเดียว/ทางยาวโฟกัสเดียว/ไม่มีช่องรับแสง ) ผมยังยืนยันว่าคำอธิบายที่ว่า " ค่า f เป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องรับแสงกับทางยาวโฟกัส " ว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุดอยู่ครับ ที่ใช้คำว่าใกล้เคียงความจริงก็เพราะว่าเลนส์ยุคปัจจุบันมีชิ้นเลนส์มากมาย อีกทั้งการออกแบบก็ซับซ้อนจนไม่อาจระบุค่าเส้นผ่าศูนย์ของไดอะเฟรมกับระยะห่างของจุดรับภาพเป็นค่า f ได้ตรง 100% แต่เมื่อเข้าสูตรทางคณิตศาสตร์วิ่งผ่านชิ้นเลนส์ต่างๆย้อนกลับไปแล้วมันต้องใช่ครับ ค่า D จึงไม่ใช่ขนาดเลนส์ชิ้นหน้า  เพราะเวลาเราหรี่ช่องรับแสงขนาดเลนส์ชิ้นหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนครับ อีกทั้งจะเห็นได้ว่าเลนส์ยาวๆอย่าง 70-200 f/2.8 ขนาดเลนส์ชิ้นหน้าอาจใกล้ๆกับ 17-40 f/4 ซึ่งสั้นกว่า ( ใช้ฟิลเตอร์ 77 มม. เหมือนกัน ) แต่เลนส์ยาวกลับได้ค่า f กว้างกว่าเลนส์สั้นน่ะครับเพราะช่องรับแสงไม่ได้อยู่หน้าเลนส์นั่นเอง ( ลองเอาผังชิ้นเลนส์มาเปรียบเทียบดูก็ได้ครับหากไม่มีเลนส์ ) ดังนั้นเรื่องช่องรับแสงนี่ถ้าเราเข้าใจมันเราก็จะไม่แปลกใจที่มีเลนส์สว่างกว่าค่า f/1.0 ได้ ( มีมาตั้งแต่กล้องเรนจ์ไฟนเดอร์ คาโนเนท สมัยกล้องฟิล์มโน่นแน่ะครับ f/0.95 นี่แหละ ) ไม่ได้แปลว่าถ่ายภาพได้สว่างกว่าความเป็นจริงหรือรวมแสงได้ดีแต่อย่างใด แต่แปลว่าอัตราส่วนของช่องรับแสงโตมากกว่าทางยาวโฟกัสครับ ( ในทางทฤษฎี  การผลิตจริงมีชิ้นเลนส์ซับซ้อนมากมายหลายชิ้นต้องให้วิศวกรคำนวนพิสูจน์ ) โฮ่.. พิมพ์ซะยาวเลย หากผมเข้าใจผิดตรงไหนรบกวนท่านผู้รู้ช่วยให้คำแนะนำเพื่อปรับแก้ไขความเข้าใจใหม่ด้วยครับ รีบพิมพ์ไปหน่อยครับตก+หล่นแก้ไขตรึมเลย 555 ขออภัยๆ รัก จ้า แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 22:34:27 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 51 22:29:06 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 17 ก.ย. 51 22:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อีกนิดครับเมื่อกี้ติดโทรศัพท์ ผมอยากเพิ่มเติมเผื่อมีใครตั้งข้อสงสัยว่าทำไมค่า f ลดลงเป็นค่ารูท 2 ก็ต้องตอบว่าเพราะพื้นที่วงกลมหรือสี่เหลี่ยมจตุรัสลดลง 1 เท่าจากค่ารูท 2 ครับ และถ้าถามต่อไปว่าแล้วทำไมถึงต้องใช้ค่ารูทด้วยล่ะตั้งเป็น 1-2-3-4-5-6 ไปเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ  ละเอียดดีด้วย ( ตรงนี้ลูกสาวถามครับ  เลยมาตอบตรงนี้ด้วย ) ก็ต้องตอบว่าไม่ได้ครับเพราะมันไม่สัมพันธ์กับค่าความเร็วชัตเตอร์ซึ่งเรากำหนดมันไว้ที่ละ 1 เท่าตัว ( 1 สตอป แล้วมาซอยเป็น 1/2 หรือ 1/3 อีกที ) ทว่าถ้าเริ่มอออกแบบกล้องที่แรกไม่ได้กำหนดค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ละเท่าตัว ( 1 , 1/2 , 1/4 , 1/16 , 1/30 , 1/60 , 1/125 , 1/250... วินาที ฯลฯ ) แต่กำหนดเป็นทีละ 1/5 เท่าอะไรแบบนี้ ตัวเลข F ก็จะเปลี่ยนไปจากนี้เท่านั้นเองครับ อาจใช้ F 1.68 กันเป็นหลักก็ได้อะไรแบบนั้น 5555 ไปแระเด้อ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 17 ก.ย. 51 23:01:06 ]

ความคิดเห็นที่ 25 F เป็นค่าตัวเลขเปรียบเทียบ ใส่สูตรแทนค่าได้เลย ไม่มีอะไรอ้อมค้อม ส่วนความมืดความสว่าง น่าจะเรียกว่า T/stop มั้งครับ ..ขอบคุณมากที่ยังจำหน้าจำหนวดกันได้อยู่ มีของเล่นใหม่ๆ มาอีกแล้ว งงเลยผม หวังว่าน้าทุกท่านคงสบายดีเช่นกัน ผมก็สบายดี เพียงแต่ไม่ค่อยได้ผ่านมาห้องหนอนพักใหญ่ น้าตอสระอือ เพื่อนผมบอกว่า ศฐก ลงรอบนี้ของจริง (บอกตั้งแต่ มิ.ย.) ผมเลยยอมเจ็บขายไปเกือบหมด ค้างไว้แถวๆ 10% ของพอร์ทตามระเบียบ จากคุณ : Roy - [ 18 ก.ย. 51 00:24:05 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขออภัยคุณ ตอสระอือ ครับ เนื่องจากผมอาจจะเขียนย่อไปหน่อย ทำให้เข้าใจผิด ผมหมายถึงว่า f ratio คือ f/d ยังยืนยันว่าถูกต้องอยู่ครับ เพราะมันเป็นกฏทางฟิสิกส์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาครับ ไม่ผิดหรอกครับ confirm ครับ แต่ทีนี้เลนส์ในปัจจุบันซับซ้อนขึ้น มีเลนส์หลายชิ้น ดังนั้นการคำนวณค่า f-ratio หรือ f-stop จึงคำนวณซับซ้อนขึ้น แต่ว่าค่าสุดท้ายเลย จะเรียกว่า effective value หรือ effective focal ratio หรือ f.eff ครับ โดยปรกติ ค่า f-eff ถ้าจะคำนวณง่าย ๆ ก็จะใช้กรวยแสงจากเลนส์ชิ้นสุดท้ายมาหาครับ แล้วลากไปจนกระทบกับเลนส์ชิ้นแรกครับ อย่างไรก็ตาม การดูว่า เลนส์ชิ้นหน้าสุดจะใหญ่เท่าไรถึงจะเหมาะสมกับ f-stop ที่กว้างสุด ก็ให้ลากเส้นย้อนกลับครับ (ลองดูรูปที่ผมแนบมาให้ดูครับ) จากคุณ : pop (POP_na) - [ 18 ก.ย. 51 01:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 27 นักวิชาเกินกลับมาอ่าน งานวิชาการ อีกรอบ มึนตึ้บ เก็บเข้าคลังไปแล้ว จากคุณ : สุพจน์ - [ 18 ก.ย. 51 07:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านมาตั้งแต่เมื่อวาน ยันเช้าวันนี้ ผมก็ยังมึนๆอยู่เลยอ่ะ...กรรมของผมจริงๆ อิ อิ จากคุณ : @สนสามใบ@ - [ 18 ก.ย. 51 08:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 กลับมาอีกรอบครับคุณ POP_na เข้ามาชี้แจงเพิ่มเติมจริงๆด้วย แถมยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง effective focal ratio ด้วย ( ซึ่งหาคนเข้าเรื่องแบบนี้ได้น้อยมาก ) ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับที่ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาไปด้วย ทว่าบอกตามตรงผมดูจากภาพผมก็ไม่ศรัทธาเท่าใดเลยครับ ภาพตัวอย่างด้านบนสุดเลนส์ชิ้นแรกเป็นเลนส์นูนเหมือนเลนส์ชิ้นท้ายภาพล่าง แต่องศาการหักเหแสงต่างกันเหลือเกินจนผิดความเป็นจริง ( แต่ในความเป็นจริงยังมีเลนส์ชิ้นกลางๆช่วยหักเหแสงเพิ่มขึ้นอีก  จึงขอยอมรับภาพตัวอย่างไว้เป็นข้อมูลในใจอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ครับ 555 ) ผมเลยเอาไดอะแกรมชึ้นเลนส์มาให้คุณ POP_na ช่วยลากเส้นหา effective focal ratio 3 ตัวดังนี้ ยังไงถ้ารักกันจริงขอความรู้เป็นวิทยาทานด้วยครับ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 18 ก.ย. 51 09:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 โอโห้มาเข้าห้องเช็คชื่อกันเร็วครับเดวเรียนไม่ทันสุดยอดข้อมูล จาก....อ.ระดับเทพ จากคุณ : เล่งฮู้ - [ 18 ก.ย. 51 10:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 31 และเพื่อไม่ให้เป็นความเข้าใจผิดกับเพื่อนสมาชิกที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ว่าผมลองภูมิอะไรคุณ POP_na หรือเปล่า ก็ขอแปะภาพเฉลยเลนส์ พร้อมกับเส้นที่ผมอนุมานลากสมมุติไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ เป็นอันเคลียร์นะครับเรื่องวัดกึ๋นหรือลองภูมิกัน เพราะผมรู้จักตัวจริงคุณ POP_na และถึงจะเคยเจอกันครั้งเดียว แต่ผมรู้ว่าแกเก่งมากๆ  เป็นเกจิในศาสตร์ด้านนี้ตัวจริงคนนึงครับ ( ผมห่างไกลหลายปีแสง  คุณ ROY อีกคนก็เก่งมากๆแต่คนนี้ไม่ค่อยยอมบอกอะไรเคลียร์ๆ ) เส้นที่ผมลากอนุมานมั่วๆนี้ ( สีแดงเป็นเส่นทางเดินของแสงนับแค่เลนส์ชิ้นหน้ากับเลนส์ชิ้นท้าย  สีน้ำเงินเป็นเส้นสมมุติหาค่า effective focal ratio ) ผมทำเร็วๆนะครับดูเวลาใน EXIF ได้ ( ทำเมื่อสัก 9โมงกว่าๆนี่เอง ) ภาพที่ได้สนับสนุนคำอธิบายของคุณ POP_na ใน คห.ที่ 26 ซะเฉยๆเลยครับ จากที่คิดแย้งในใจอยู่หน่อยๆและชักจะคล้อยตามคุณ POP_na ไปเกือบๆ 100% แล้ว ยังไงขอคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องระยะ effective focal ratio กับเลนส์ชิ้นหน้าด้วยครับว่ามันเป็นอัตราอย่างไรถึงเป็นค่า F ได้ ( ใช่ f-value = f.eff/D ไหม ? ) และถ้าเป็นไปได้ผมขอเงื่อนไขข้อขัดแย้งที่จะทำให้ไม่เกิดค่า F ตรงตามทฤษฎีด้วยครับ ( พูดง่ายๆอยากทราบว่าวิธีนี้มีรอยโหว่ไหม  อจ.เคยลองตีมันด้วยโจทย์ยากๆหรือเปล่า ?  ผมใช้ไดอะแกรมของเลนส์เดี่ยวทั้งหมดเพราะมันง่าย ) ถามคุณ POP_na เสียยาวต้องขออภัยจริงๆครับ ที่สงสัยเยอะก็เพราะไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะไปถามใครแล้ว ผมเองจากที่เคยเข้าใจว่าช่องรับแสงเป็นตัวกำหนดค่า F มาตลอด ทั้งที่ดูจากไดอะแกรมแล้วเลนส์บางตัวเรโชมันไม่ตรงกับ F กว้างสุดที่ได้เลยครับ แต่มีคนแนะนำอีกทีว่าคำนวนจากช่องรับแสงเสมือนจริง   ช่องรับแสงในเลนส์เทเลแม้นจากยาวก็จะถูกขยายด้วยเลนส์ชิ้นหน้าซึ่งเป็นเลนส์นูน ทำให้ช่องรับแสงเสมือนจริงโตกว่าปรกติ ค่า F ที่ได้เมื่อเทียบกับความยาวของเลนส์จึงไม่แคบมากนัก แต่ในเลนส์ไวด์เลนส์ชิ้นหน้าจะเป็นเลนส์เว้า ส่งผลให้ช่องรับแสงเสมือนจริงถูกย่อลง แม้นเลนส์จะสั้นก็เลยทำให้ออกแบบเลนส์ช่องรับแสงกว้างๆได้ยากครับ ผมรับเอาคำอธิบายแบบนี้ไว้มาตลอด ( เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เจอคำอธิบายที่ดีกว่านี้ ) ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดว่ามันผิด 100% ครับจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ใช่ ที่จริงแล้วมันอาจมาจากหลักเดียวกันก็เป็นได้ ความจริงเรื่องแบบนี้ไม่น่าปวดหัวนะครับถ้าอาจารย์ป๊อบจะช่วยให้ความกระจ่าง ไม่รู้แหละผมถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคุณ POP_na ที่ต้องมาช่วยฉุดผมกับเพื่อนๆสมาชิดจากความไม่เข้าใจตรงนี้ 555 ฝากด้วยครับ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 18 ก.ย. 51 10:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กินเบียร์ยังๆไม่มึนเท่านี้เลย จากคุณ : Nukie - [ 18 ก.ย. 51 10:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33 f/91 นี่ไม่รู้ว่ามีเลนส์ตัวไหนในโลกนี่หรี่รูรับแสงได้เล็กขนาดนั้น ถ้าคิดจริงๆ มันคงเป็นเลนส์ที่มีขนาดใหญ่ หน้าเลนส์ใหญ่มากๆ ถึงจะหรี่ f/91 แล้วยังมีแสงผ่านได้ ปรกติเลนส์ f กว้างๆ เช่น f/1.2, f/1.4, f/1.8 จะหรี่ได้เล็กสุดหระมาณ f/16-f/22 แต่เลนส์ f/2.8 ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะสุดที่ f/22 f/32 บางตัวก็ได้ถึง f/56 เรื่องค่า f เป็นเลข root ถูกต้องแล้วครับ root 2 นะถ้าจำไม่ผิด พี่ตู่ T* เรื่องนูนๆเว้าๆ นี่ผมเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่นครับ สังเกตุง่ายๆครับ ใครมี 16-35 f/2.8L กับ 70-200 f/2.8L ลองมองผ่านเข้าไปในเลนส์ครับ เลนส์ Canon ปรกติจะเปิดไดอะแฟรมไว้ที่กว้างสุด จะเห็นว่า ไดอะแฟรม ของ 16-35 มีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับ 70-200 f/2.8 ถึงแม้ว่าขนาดหน้าเลนส์ จะมีขนาด 77 mm เท่ากัน เค้าก็แค่บอกว่า กล้องมันสามารถรับเลนส์หรือทำงานสอดคล้องกับเลนส์ได้ตั้งแต่ f เท่าไหร่ ถึง f เท่าไหร่ แค่นั้นแหละครับ แล้ว เลนส์ที่เราใช้กันทั้งหลาย มันอาจจะเขียนว่า f/2.8 หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่จริงๆ f มันอาจจะไม่ใช่ค่าที่ผู้ผลิตว่ามาครับ เรื่องทฤษฏีผมจำไม่ค่อยจะได้อ่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 51 11:23:16 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 51 11:20:29 จากคุณ : <<<...Eagle_Eyes...>>> - [ 18 ก.ย. 51 10:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มาทีไรโดนทุบตลอดเลยผม..   คือ หลักการมันมีแค่นั้นจริงๆ หนะครับ สมการสามค่า ไขว้ไปมา ใส่สูตรแทนค่าปกติ เพียงแต่ต้องเข้าใจความหมายของค่าแต่ละค่าก็เท่านั้นเอง ทางยาวโฟกัส: คือ ระยะห่างของกึ่งกลางเลนส์ไปยังจุดรวมแสง เมื่อแสงนั้นมาจากระยะอนันต์ ..ถ้าเป็นเลนส์ชิ้นเดียวก็ไม่ยากอะไร ถ้าเป็นกลุ่มเลนส์ผมก็หาไม่เป็นเหมือนกัน แต่คิดว่า หากลับทางกันก็น่าจะพอได้ เช่น เอาเลนส์ 50 มม. มาส่องแสงอาทิตย์จนได้จุดรวมแสงที่ชัดในฉาก แล้วก็วัดระยะจากฉากกลับไปหาเลนส์ด้วยระยะ 50 มม. ไม้บรรทัดสุดตรงไหน ตรงนั้นก็เป็นกึ่งกลางเลนส์เสมือน ซึ่งก็คือ f eff ในรูปใน #26 ขยายความ: ในกล้องวิวที่ไม่มีกระจก การออกแบบเลนส์สามารถทำได้อิสระเต็มที่ เลนส์มุมกว้างจึงเป็นประเภท True Design Wide Angle ส่วนในกล้องที่มีกระจกสะท้อนภาพ แค่ระยะกระจกก็ปาไปสัก 30 มม. เข้าไปแล้ว ถ้าใช้เลนส์มุมกว้าง เช่น 24 มม. แสดงว่า เลนส์มันต้องทิ่มเข้าไปอยู่ในระยะดีดตัวของกระจกซึ่งมันจะไปชนกันตอนลั่นชัตเตอร์ เลนส์มุมกว้างพวกนี้จึงออกแบบมาพิเศษ เวลาหากึ่งกลางเลนส์ก็เลยต้องอาศัยการหา กึ่งกลางเลนส์เสมือน น่ันเอง เส้นผ่านศูนย์กลางของช่องรับแสง: ถ้าเป็นวงกลมก็หาความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของช่องรับแสงได้โดยการวัดโดยตรงเลย แต่ถ้าเป็นห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม ก็หาพื้นที่รูปหลายเหลี่ยมนั้นออกมา แล้วแปลงกลับโดยใช้สูตรพท.วงกลม เพื่อให้ได้ค่า เส้นผ่านศูนย์กลางเทียบเท่า ใส่สูตรแทนค่า (น่่าจะ) จบ ส่วนจะเว้าแล้วเล็ก นูนแล้วใหญ่ ผมคิดว่าไม่น่่าจะใช่ ไม่แน่ใจ ไม่เคยได้ยินเหมือนกันครับ ค่า D ในรูปใน #26 น่าจะแสดงถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดลำแสง ไม่ใช่แสดงถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้า   พอดีภาพนั้นคงแสดงตอนเปิดกว้างสุด แต่ตอนหรี่ไม่ได้แสดง เพราะเวลาหรี่แล้วยังไงมันก็ต้องเล็กลง ค่า D ก็ต้องน้อยตาม ไม่งั้นค่า F/stop มันไม่เปลี่ยนตาม เช่น เลนส์ 50 มม. เมื่อหรี่ช่องรับแสงมาที่ F/8 นั่นคือ 50/6.25 จากคุณ : Roy - [ 18 ก.ย. 51 11:08:35 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สิ่งที่คุณ Roy พูดมาถูกแล้วครับ ถ้าเลนส์กล้องถ่ายภาพเป็นเลนส์ชิ้นเดี่ยวๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหามันเกิดขึ้นที่เป็นเลนส์หลายชิ้น และหลากหลายประเภทมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นเลนสนูนสองด้าน นูนด้านเดียวอีกด้านเรียบ หรือนูนด้านหนึ่งแล้วเว้าอีกด้านหนึ่ง ฉะนั้น การหาโฟกัสของเลนส์ จึงจะวัดจากจุดกึ่งกลางของเลนส์ไปยังจุดเกิดภาพ ไม่ได้ ต้องอาศัยการคำนวณอย่างเดียว รวมถึงค่า F ที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ด้วย สมการ f=F/D (ความยาวโฟกัสของเลนส์ หารด้วย เส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ ชิ้นหน้าสุด) จึงใช้ไม่ได้สำหรับกรณีนี้ แต่ก็พอเทียบเีคียงได้ สมการดังกล่าว ใช้ได้ดี สำหรับระบบแสงที่ไม่มีความซับซ้อน เช่น เลนส์ของกล้องดูดาว ซึ่งประกอบด้วยชิ้นเลนส์แค่ไม่กี่ชิ้น f=F/D จึงใช้ได้ผล f/ สำหรับระบบต่างกัน อาจวัดความสว่างได้ไม่เท่ากัน เช่น กล้องส่องดูดาว ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์วัตถุ 60cm มี f/10 กับอีกตัว ขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์วัตถุกว้างเพียง 30cm มี f/10 เท่ากัน ถึงแม้จะ f/10 เท่ากัน แต่ภาพที่ได้กล้องตัวที่ใหญ่กว่า (คือเส้นผ่าศูนย์กลาว 60cm) ให้ภาพได้สว่าง กว่าตัวเส้นผ่าศูนย์กวาง 30cm มาก ผมพยายามค้นหาสมการที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับค่า F และ f/ ของเลนส์กล้อง ถ่ายภาพมานานแล้ว แต่ดูเหมือนเรื่องดังกล่าวอยู่ในวงจำกัดไม่ค่อยมีการเปิด เผย หรืออาจเป็นไปได้ว่าผมค้นคว้ายังไม่มากพอ หรือเพราะเป็นเรื่องยากเกิน ระดับความสามารถของผมเอง กล่าวมาเสียยาว ต้องขออภัยด้วยครับ ถ้าออกนอกเรื่องไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 51 13:28:02 จากคุณ : Chandaiam - [ 18 ก.ย. 51 13:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อืม.. ยินดีต้อนรับคุณ Chandaiam ครับ ดีครับที่มีสมาชิกที่สนใจเรื่องค่า F เพิ่มเติม ผมเองคิดว่าเรื่องนี้ทำให้มันกระจ่างได้ไม่ยากนัก ( แม้นจะไม่ง่ายนักด้วยเช่นกัน ) ผมว่าจะรอคุณ POP_na เข้ามาอธิบายเรื่อง  Effective focal เพิ่มเติม แต่พออ่านเจอ คห. ของคุณ Roy ก็เลยคิดว่าขอเข้ามาชี้แจงอะไรเพิ่มเติมนิดนึงดีกว่าครับ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเราจะถกกันไม่ตรงประเด็นไป เอาเป็นว่ากระทู้นี้เบี่ยงเบนมาเป็นเรื่องที่มาของค่า F บนเลนส์ก่อนนะครับว่ามีที่มาอย่างแน่ชัดอย่างไร เรื่องสูตร f-value = F/D  อันนี้ก็ถูกต้องเช่นกันไม่มีใครแย้งนะครับ F = Focal Length = ความยาวโฟกัส ตรงนี้คุณ POP_na ให้ความเห็นว่าเลนส์ที่เราใช้งานจริงประกอบด้วยเลนส์ซับซ้อนหลายชิ้น ค่า F = Focal Length จึงสามารถหาได้จากภาคตัดกรวยแสงของเลนส์ชิ้นหน้าและชิ้นท้าย จะได้ค่า Effective focal ออกมาใช้แทนค่า F ในเลนส์ที่ประกอบด้วยเลนส์หลายชิ้น ตรงนี้ต้องถามว่ามีผู้รู้พอที่จะหักล้างข้อมูลตรงนี้ได้หรือเปล่านะครับ ถ้าได้ต้องช่วยนำเสนอแก้ไขก่อนที่พวกเราจะรับเอาทฤษฐีนี้เป็นความรู้ติดตัวเราต่อไป ( ผมเองก็เพิ่งทราบครับ ) ส่วนเรื่องเดิมที่ผมเชื่อนั้นขอยืนยันกับคุณ ROY นะครับว่าไม่ได้มั่ว มันเป็นสูตรการออกแบบชุดเลนส์เลยครับว่าเลนส์เทเลโดยองครวมต้องเป็นเลนส์นูน ( ขยายภาพ/ลดองศาการรับภาพ ) และเลนส์มุมกว้างค่าโดยรวมต้องเป็นเลนส์เว้า ( ย่อภาพ/เพิ่มองศาการรับแสง ) ถ้าตรงนี้เข้าใจไม่ตรงกันมันจะงงครับ ยังไงลองสังเกตดูจาก Convertor ของพวกกล้องคอมแพคได้ครับพวกนั้นเลนส์ไม่กี่ชิ้น ( พวก 1.5X , 2X จะเป็น Tele Convertor ส่วนพวก 0.7X , 0.5X จะเป็น Wide Convertor ) และเรื่องช่องรับแสงเสมือนจริงนั้นถึงจะฟังดูประหลาดแต่ลองพิจารณาเรื่อง effective focal ดูนะครับมันอาจเป็นคนละเรื่องเดียวกันก็ได้ ( ประมาณว่า effective aperture ) คนอธิบายให้ผมฟังเขาเป็นวิศวกรโรงงานครับถ่ายภาพไม่เป็นแต่เก่งโปรแกรม CAD D = ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหน้าเลนส์ ซึ่งในเลนส์ 1 ชี้นเราเข้าใจตรงกันหมด แต่ในเลนส์ที่เราใช้กันที่ซับซ้อนมากกว่า  ผมเข้าใจว่าค่า D เป็นขนาดช่องรับแสง คุณ POP_na กลับมาย้ำว่าเป็นขนาดเลนส์ชิ้นหน้าจริงๆ ( Entrance Pupil ) พร้อมให้วิธีคิดค่า Effective focal เพื่อเอามาเป็นฐานคำนวนค่า F คุณ Roy และคุณ Chandaiam เหมือนจะเข้าใจว่าเป็นขนาดช่องรับแสงเหมือนผมตอนแรกๆหรือเปล่าครับอ่านแล้วไม่ค่อยเคลียร์ แต่ตรงนี้ขอ คุณ ROY ทีนึง 555 ภาพใน คห.26 อ่ะไม่ได้ใช้ไม้บรรทัดวัดหาค่า F เด้อ ทั้ง 3 ตัวอย่างมี effective focal ที่แตกต่างกันมหาศาล ภาพบนกลางๆ , ภาพที่ 2 f.eff ยาว และภาพล่างสั้นนิดเดียวครับ ( ไม่น่าใช่กึงกลางเลนส์เสมือนเพราะระยะ effective focal ตกอยู่นอกชิ้นเลนส์หน้าหลังด้วยซ้ำ  วางช่องรับแสงไม่ได้ครับ ) และเพิ่มเติมในส่วนของคุณ ROY ที่ตั้งข้อสังเกตว่า " ค่า D ในรูปใน #26 น่าจะแสดงถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดลำแสง ไม่ใช่แสดงถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้า " " พอดีภาพนั้นคงแสดงตอนเปิดกว้างสุด แต่ตอนหรี่ไม่ได้แสดง เพราะเวลาหรี่แล้วยังไงมันก็ต้องเล็กลง ค่า D ก็ต้องน้อยตาม " ผมขอตอบตามความเข้าใจของผมเองแทนคุณ POP_na ดังนี้ครับ ภาพ คห.26 เป็นภาพสาธิตการหา effective focal ratio อย่างเดียวครับ และเป็นการไม่เอาช่องรับแสงมาเกี่ยวด้วย ซึ่งถ้าเอาช่องรับแสงมาเกี่ยวด้วยผมว่าต้องถกกันอีกยาว ตอนแรกผมเชื่อว่าต้องเอาช่องรับแสงมาเกี่ยวด้วยเหมือนคุณ ROY แหละครับเพราะไม่งั้นมันจะหรี่ได้ไง แต่ผมกำลังจะเปลี่ยนแนวคิดแล้วครับเพราะรู้สึกว่าจะผิด 555 เข้าใจว่าค่าเลนส์ชิ้นหน้าก็ส่วนนึง ส่วน F ที่แคบลงก็เพราะเราวางม่าน Iris ตรงจุดภาพกลับหัวในเลนส์ บีบให้แสงมันลดลงอีกทีครับ ภาพประกอบเป็นการจัดวางชิ้นเลนส์ที่ถูกออกแบบด้วยโปรแกรม CAD ครับ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 18 ก.ย. 51 15:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 และถ้าใครสนใจออกแบบเลนส์ก็ลองดูที่นี่เลยครับ ( 555 ถ่ายภาพอย่างเดียวก็ปวดหัวตายแล้ว ) http://www.yabeopt.de/example.htm มีการออกแบบเลนส์ , วิธีลด Cost และมีการออกแบนเลนส์ตัวอย่าง 28-103mm F3.7-9.1 ให้ดูด้วย ว่ากันตามจริงอยากเข้าเข้าเรื่องแบบนี้แบบละเอียดๆถ้าเก่งๆ CAD + พื้นฐานดีๆผมว่าเข้าใจไม่ยากครับ ส่วนผมงูๆปลาๆเลยต้องเปลี่ยนความเชื่อไปเรื่อยๆตามความสามารถในการเข้าใจได้ของตนเอง 555 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 18 ก.ย. 51 15:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ii จากคุณ : มินซูโกะ (มินซูโกะ) - [ 19 ก.ย. 51 00:29:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณคุณตอสระอือ และทุกท่านมาก ๆ ครับ ที่ให้เครดิตผมจัง อยากจะบอกว่า ไม่ถึงกับขนาดนั้นหรอกครับ เขินหมดเลย ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงคำถามที่ถาม ๆ ค้างไว้ ต้องใช้เวลาอธิบายยาวครับ ขออนุญาตติดไว้ก่อน แล้วค่อยมาผ่อนใช้ทีหลังนะครับ พอดีตอนนี้เป็นเวลางานอ่ะครับ เขียนนานไม่ได้ เดี๋ยวโดนเหล่ คงต้องใช้เวลาสักพักครับ แล้วจะมาตอบให้ใหม่นะครับ เอาแบบให้เข้าใจเคลียร์ ๆ กันในระดับหนึ่งครับ ประมาณว่า จะเอารูปแบบการวางชิ้นเลนส์มาให้ดูว่า จริง ๆ แล้วมีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง และมีผลกระทบกับเรื่อง focal ratio, focal length, etc. ขอบคุณครับ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 19 ก.ย. 51 12:45:26 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตอบคุณ Chandaiam คห.35 ก่อน ยังไงวิธีการหาค่า effective focal ratio หรือ f-stop ก็ยังสูตรเดิมครับ คือ f = F/D ครับ เพียงแต่ว่า เลนส์ในระบบมีจำนวนชิ้นมากขึ้น ดังนั้น "การขยับเลนส์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งในระบบ ย่อมกระทบกับค่าความยาวโฟกัสสุดท้ายของเ ลนส์ทั้งระบบด้วย ดังนั้นการหรี่ ไดอะแฟรม หรือเปิดไดอะแฟรม จึงต้องมีการชดเชยค่าเหล่านี้ด้วยครับ แต่ก็ยังคงใช้สูตรเดิมครับ ชิ้นแก้ว ชิ้นเลนส์ทั้งหลายทำยากครับ ถ้าไม่จำเป็น ไม่มีใครอยากทำชิ้นใหญ่ครับ เพราะแพงทั้งค่าวัสดุ และค่าฝนชิ้นเลนส์ที่มีอย่างน้อย 2 ผิวสำหรับเลนส์ชิ้นเดียว และมากกว่าสำหรับเลนส์หลายชิ้น ดังนั้นไม่มีใคาอยากทำชิ้นแก้วใหญ่ถ้าไม่จำเป็นครับ เพิ่มติมอีกหน่อยสำหรับเรื่อง 2X, 1.4X, 0.5X พวกนี้นะครับ เอาทีละอย่าง โดยปรกติ ถ้าต้องการเพิ่ม effective focal length หรือเพิ่มความยาวโฟกัสรวมของระบบ เรานิยมเอาเลนส์เว้า มาปิดท้ายชุดเลนส์เลยครับ เพราะทำได้ง่ายกว่ามากครับ เพราะโดยคุณสมบัติพิเศษของเลนส์เว้าคือ มันจะเพิ่มความยาวโฟกัส และช่วยลด field curvature ไปในตัวด้วยครับ ดังนั้นชิ้นเลนส์พวกนี้จะน้อยชิ้นกว่า เราเรียกคุณสมบัติพวกนี้เป็น tele-converter + field flattener ส่วนถ้าต้องการลดกำลังขยาย ก็เอาเลนส์นูนมาปิดท้ายเลนส์ได้ หรือจะส่วนอื่น ๆ ก็ได้นะครับ เมื่อปิดท้ายแล้ว ความยาวโฟกัสก็จะลดลงไปตามค่าที่คำนวณไว้ก่อน แต่ผลที่มักจะตามมาอีกหลายอย่างคือ - strong field curvature - coma - astigmatism - spherical abberation และตัวการอีกอันหนึ่งที่มีคือ CA หรือ chromatic abberation ครับ ด้งนั้นชิ้นเลนส์ที่จะมาทำ focal reducer ให้เป็นพวก 0.8X, 0.5X ก็ตาม ชิ้นเลนส์จะมากกว่า และยิ่ง X น้อย ๆ ก็ยิ่งทำยาก และแพงด้วย และก็จะเกิด vignett ด้วยครับ สำหรับคุณตอสระอือ ที่พยายามเขียนเส้นทางเดินของแสง และให้ผมช่วยเขียนให้ด้วย ผมขออกตัวก่อนนะครับว่า เขียนให้ไม่ได้ครับ สาเหตุเนื่องจาก ผมไม่ทราบว่าเลนส์ที่เป็น compound lens หรือ groupping lens เป็นเลนส์อะไร อาจจะเป็นเลนส์เว้า หรืออาจจะเป็นเลนส์นูนก็ได้ ทำให้ไม่สามารถลากเส้นรังสีแสงได้ครับ และการลากเส้นรังสีแสง จะไม่ลากแค่ชิ้นสุดท้ายไปยังชิ้นหน้าสุด แต่จะต้องลากทีละเส้น จากเลนส์ตัวแรกผ่านไปทุกเลนส์จนกระทั่งถึงเลนส์ชิ้นสุดท้ายเลยครับ ถึงจะดูค่า F-eff ได้ครับ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเลนส์นูนหรือเลนส์เว้า เพราะผมไม่ใช่คนคำนวณเลนส์ชิ้นนั้น ๆ ครับ และไม่รู้ค่าดัชนีหักเหแสงของแก้วที่มาทำเลนส์ด้วยครับ โดยปรกติ การคำนวณความยาวโฟกัสของเลนส์นั้น เราจะต้องรู้ ค่าดัชนีหักเหแสงของชิ้นแก้วที่ใช้ทำเลนส์ และต้องรู้ค่ารัศมีความโค้งของด้านหน้าเลนส์ และด้านหลังเลนส์ ของเลนส์แต่ละชิ้น แล้วค่อย ๆ คำนวณเอาครับ ซึ่งก็สูตรเดิมที่เรียนมาสมัยมัธยมล่ะครับ แต่ซับซ้อนกว่าเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 13:11:24 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 13:08:59 จากคุณ : pop (POP_na) - [ 19 ก.ย. 51 13:07:39 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผ่านไป 3 วัน  กลับมาอ่าน ก็ยังมึนเหมือนเดิม จากคุณ : อิ๊กคิว..ครับผม - [ 19 ก.ย. 51 13:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 42 โฮ่.. คุณ POP_na เข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติม ผมนึกว่าหายกันหมดแล้วนะครับกระทู้นี้เมื่อวานเข้ามาดูก็นิ่งๆ ผมว่ามันถ่ายทอดกันไม่ได้ใจความหรืออย่างไรก็ไม่รู้อ่านแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ( รวมทั้ง คห. ตัวเองด้วยครับ 555 ) เส้นที่ผมเอามาให้คุณ POP_na ลองลากดูไม่สามารถทำได้หรือครับ... โธ่ ผมเอามาจาก คห.26 ของคุณ POP_na เองนะครับ ที่ว่า " โดยปรกติ ค่า f-eff ถ้าจะคำนวณง่าย ๆ ก็จะใช้กรวยแสงจากเลนส์ชิ้นสุดท้ายมาหาครับ แล้วลากไปจนกระทบกับเลนส์ชิ้นแรกครับ " ตกลงมันต้องลากติดต่อเชื่อมกันทุกชิ้นเลยใช่ไหมครับ ? ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นอันจบเห่เราหมดสิทธิหาค่า f-eff เองแน่ๆ ถกกันต่อไปสงสัยจะก้าวเข้าไปสู่ความว่างเปล่า ? กำลังจะเชื่อสูตรนี้อยู่เลยเชียวเพราะมันง่ายดี 555 ที่คล้อยตามทีแรกก็เพราะว่าเริ่มมองจากเลนส์ทางยาวโฟกัสเดียว/ชิ้นเลนส์เดียวน่ะครับ พอออกแบบให้มันคุมช่องรับแสงได้-ปรับโฟกัสได้-ก็ต้องเพิ่มเติมเลนส์เข้าไปอีกหลายชิ้น แต่สุดท้ายมันก็ต้องจบที่เลนส์ชิ้นท้ายเป็นตัวรวมแสงอยู่ดี ดังนั้นผมเลยคิดว่าถ้ามีสูตรที่ดีพอ  เรารู้ต้นทางกับปลายทางและระยะระหว่างเลนส์ชิ้นหน้า-ชิ้นท้าย และเซนเซอร์ก็อาจหา f-eff ได้ เลนส์ช่วงกลางๆมันเป็นชุดโฟกัส , แก้ความคลาดอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ( ผมอนุมานมั่วๆเอาแบบนี้ ) พอมาเจอ คห. 40 หงายท้องเลยครับ... มิสามารถทำความเข้าใจต่อได้แน่ๆ ( แต่อย่างไรก็เป็นความรู้ครับคุณ POP_na เขียนมาเหอะ  ขอตามอ่าน ) ส่วนเรื่อง 2X, 1.4X, 0.5X ที่ยกตัวอย่างใน คห.40 อ่ะครับเป็นเรื่องที่ผมเจอถามมาแล้วอึ้ง โดนถามมาว่าเลนส์ทางยาวโฟกัส 50mm ใส่คอนเวอร์เตอร์หน้าเลนส์ 2X แล้วได้ทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 100mm ใช่ไหม ? ผมก็ตอบว่าใช่ แล้วถามต่อว่าช่องรับแสงละเสียแสงไหม ? ก็ต้องตอบว่าไม่เสียเพราะวัดแสงแล้วได้ใกล้เคียงเดิม หรือต่อให้ใส่ 0.5X ก็ไม่ได้แสงเพิ่ม ก็โดนถามต่อมาอีกว่าถ้าอย่างนั้นทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้น-ช่องรับแสงกว้างเท่าเดิม-เอฟเรโชไม่เปลี่ยนได้ไง ? ( หากค่า D คือเลนส์ชิ้นหน้านี่ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ) แต่ถ้าคิดว่า D คือขนาดช่องรับแสงก็ถือว่าไม่เปลี่ยนได้เพราะ ช่องรับแสงกว้างเท่าเดิมอยู่ตำแหน่งเดิม อย่าคิดว่า 2X เป็นส่วนเกินเพิ่มเข้ามานะครับเพราะเราออกแบบกระบอกเลนส์ใหม่ให้มันรวมกันมาได้ ( ไม่คำนึงถึงเรื่องคุณภาพ ) ผมก็เชื่อของผมอย่างนี้มาตลอกว่า D คือค่าของช่องรับแสง จนมาวันนึงได้คำอธิบายอีกมุมว่าเหตุที่ใส่ 2X หน้าเลนส์แล้วไม่เสียแสง ก็เพราะเลนส์ชิ้นหน้าที่ใส่เข้าไปเสมือนว่าขยายช่องรับแสงให้ใหญ่ขึ้นเท่าตัว ( ในกรณี 2X ครับ ) ทางยาวโฟกัสถึงเพิ่มขึ้นมาประมาณ 1 เท่าตัวเหมือนกันก็เลยหักล้างกันไปถือว่าค่า f ไม่เปลี่ยน และเช่นเดียวกันในกรณีใส่ 0.5X เลนส์เว้าหน้าเลนส์จะเสมือนว่าย่อช่องรับแสงจริงในเลนส์ลง แต่ F ไม่ได้แคบลงก็เพราะทางยาวโฟกัสถูกหารตามไปด้วย ( เรโชมันเลยเท่าเดิม ) เจอคำอธิบายแบบนี้ก็งงเหมือนกันครับเพราะผมก็ไม่เคยได้ยินที่ไหน แถมคนอธิบายถ่ายภาพไม่เป็นทำแต่งานออกแบบแม่พิมพ์โลหะ 555 ผมไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ใครฟังนะครับเพราะว่าผมคิดว่ามันต๊องๆแต่ก็หักยังล้างไม่ได้ เล่าสู่กันฟังในกระทู้นี้หนุกๆครับ ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้มันเขียนให้เข้าใจได้ง่ายๆหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะขู้ลมูลจริงหนึ่งข้อมูลมันนำเสนอได้หลายแบบ เช่น " วันนี้เข้าเว็บ Pantip 2 รอบ " " เว็บ Pantip วันนี้ถูกเราใช้งาน 2 รอบ " " เป็นจำนวน 2 รอบที่เว็บ Pantip ถูกเราใช้งานในวันนี้ " จะเห็นว่าข้อมูลเดียวกันแต่วิธีอธิบายยืดยาวขึ้นไปเรื่อยๆ ( นี่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเลยว่าเข้าไปที่ไหนกี่โมงกี่นาที 555 ) ดังนั้นผมว่าเรื่อง F ต้องมีคนอธิบายให้รู้เรื่องได้สั้นๆมุ่งตรงเข้าสู่ความจริงได้แน่ๆเลยครับ แต่คนนั้นไม่ใช่ผมแน่เพราะผมไม่รู้ลึกพอและพิมพ์ยาวอีกต่างหาก 55 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 19 ก.ย. 51 19:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ถึงคุณ ตอสระอือ ครับ ในความเข้าใจของผมเรื่อง D ในสมการ f/ =F/D อักษร "D" หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ครับ แต่ปัญหาก็คือ ถ้า D ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพหมายถึง เลนส์ตัวหน้าสุด ทำไมเวลาปรับช่องแสงในตัวเลนส์แล้ว ค่า f/ ถึงเปลี่ยน ในเมื่อเลนส์ตัวหน้าสุดยังโตเท่าเดิม (ไม่เล็กลงเลย) ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดก็คือ 1) f/ ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพ ไม่ใช่ f/ ที่เกิดจากอัตราส่วนของ F/D (โฟกัสของเลนส์ / เส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์หน้าสุด) แต่อาจเป็นไปได้ว่า f/ ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพ เป็นค่าที่เกิดจากการเทียบเคียงกับมาตราฐาน ของอะไรสักอย่าง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า มาตราฐานที่ว่านี้อาจเป็นการเทียบกับความสว่างของ ภาพถ่ายที่ได้จากเลนส์นูน (เลนส์ตัวเดี่ยวๆ ) ทีมีความยาวโฟกัส และเส้น ผ่าศูนย์กลางเท่ากัน ก็เป็นได้ (คือหมายความว่า เทียบความสว่างของภาพที่ ถ่ายมา เพื่อหาค่า f/ เหมือนกับเทียบเลนส์ของกล้องดิจิตอลกับกล้องฟิล์ม เพื่อให้ง่ายต่อการกะมุมรับภาพ) คิดง่ายๆ เอาว่า ทำไม่เลนส์ canon 2 ตัว ระหว่าง EF-s 18-55mm (kit 450D) ถึงทำ f/ ต่ำสุดได้ที่ 3.5 (ระยะซูม 18mm) ซึ่งกว้างกว่า EF-s 17-85mm f/4 - 5.6 IS USM ทั้งๆ ที่หน้าเลนส์ของ 17-85 ก็กว้างกว่า แถมโฟกัสก็สั้นกว่าคือ 17mm แต่กลับมี f/ ได้กว้างสุดแค่ f/4 หรือ 2) สมการคงไม่ได้มีแค่ f/ = F/D เพราะในการนำเลนส์หลายๆ ชิ้นมา ประกอบกัน นอกจากปวดหัวกับการคำนวนณความยาวโฟกัสแล้ว แสงมักมี การสูญเสียไปกับการสะท้อนและหักเหอยู่แล้ว แม้จะเคลือบผิวเลนส์ได้ดี เยี่ยมเพียงใดก็ตาม และยิ่งใช้เลนส์ที่มีความหนามาก หรือมีมากชิ้น ยิ่งทำ ให้มีการสูญเสียแสงในเลนส์มากขึ้นด้วย ฉะนั้นต้องมีสมการคำนวณการสูญ เสียปริมาณแสงในเนื้อเลนส์มาเกี่ยวข้องด้วย ผมเองก็สงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยได้ข้อสรุปเสียที จะ เป็นการดีมาก ถ้าสมาชิกที่พอจะความรู้เรื่องฟิสิกส์ของแสง มาช่วยกันค้นคว้า หาข้อสรุปกันเยอะๆ ผมไม่ได้กะจะลองภูมิ หรืออวดเก่งแต่อย่างใด เพียงอยากให้ช่วยกันหาข้อสรุป แก้ไขพิมพ์ตก แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 23:35:35 จากคุณ : Chandaiam - [ 19 ก.ย. 51 23:34:05 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เรียนคุณตอสระอือ กับคุณ Chandaiam ครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เรื่อง Focal Length กับ Focal Ration (f-stop) น่ะ ผมยังขอยืนยันครับว่า สูตรเหมือนเดิมครับ คือ f = F/D ครับ ไม่ว่าจะเอาเลนส์อะไร ไปใส่ไว้หน้า ไว้กลาง หรือไว้หลัง สูตรเดิมครับ เพียงแต่ว่าเจ้าค่า F (focal length) มันเปลี่ยนครับ พอมันซับซ้อน เค้าเลยต้องมีค่าตัวแทนมาค่าหนึ่งไงครับ เป็นค่าโฟกัสรวมของเลนส์ทั้งระบบ เสมือนหนึ่งว่าเป็นเลนส์ชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งค่า F นั้นก็คือ Effective Focal Length ครับ หรือ F-eff ครับ ในทำนองเดียวกันกับ Effective Focal Ratio เช่นเดียวกันคือคือ f-eff ครับ (อันนี้ f ตัวเล็กนะ) ส่วนเรื่องเอาเลนส์นูนหรือเว้ามาแปะหน้าเลนส์ชิ้นหน้าสุด (objective lens) ก็มีหลักการเดียวกันครับ เพราะถือว่าเป็นเลนส์เหมือนกันชิ้นหนึ่ง ก็เลยต้องคำนวณค่ F สุดท้าย (Effective Focal Length) เมื่อได้มาแล้วก็มาหารกับ D ก็จะได้ค่า Effective Focal Ratio ครับ เหมือนกันทุกประการครับ อันนี้ ยืนยัน นะครับ เพราะเป็นกฏทางฟิสิกส์ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 51 00:51:27 จากคุณ : pop (POP_na) - [ 20 ก.ย. 51 00:33:10 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรียนน้าตอสระอือ ผมก็ว่าผมยังคิดเหมือนเดิม (คิดว่าน่าจะคล้ายกับคุณ pop (POP_na) นะครับ) 1) การหา effective focal length สำหรับเลนส์หลายชิ้น คือ ในเมื่อถ้าเป็นเลนส์ชิ้นเดียว เราก็หาโดยการใช้ไม้บรรทัดมาวัดจากจุกกึ่งกลางเลนส์ไปยังจุดรวมแสง เมื่อแสงนั้นมาจากระยะอนันต์ แล้วทำไมผมจะวัดกลับทางกันไม่่ได้?? (ผมแทนเลนส์หลายชิ้นด้วยเลนส์ชิ้นเดียวตามรูปประกอบ) เหมือนผมวัดระยะทางจากบ้านผมไปบ้านน้า ก็ต้องเท่ากับ ระยะทางจากบ้านน้ามาบ้านผม น่ันเอง (คาดว่าน่าจะโดนทุบอีก.. ) ส่วนปัญหาที่ว่า ตกขอบเลนส์ หรือ ทิ่มไปอยู่ในระยะกระจกดีดตัว นั่นเป็นเพราะการออกแบบที่ไม่ใช่ True Design Wide Angle นั่นเอง ถ้าลองแงะกลุ่มเลนส์ไวด์ในกล้องวิวก็จะเห็นว่าเลนส์ออกแบบมาค่อนข้างจะสมมาตรมากๆ (True Design Wide Angle) เนื่องจากไม่กลัวกระจกดีด ส่วนที่ผมไม่แน่ใจคือ ช่องรับแสงอาจจะไม่จำเป็นต้องวางไว้ที่กึ่งกลางเลนส์เสมือน คือผมคิดว่าวางไว้ที่ไหนก็ได้ที่ยังสามารถปรับเปลี่ยนขนาดลำแสงได้อยู่หนะครับ 2) เส้นผ่านศูนย์กลางที่ใช้ในสูตรถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว f/stop มันจะเปลี่ยนได้ยังไง?? ส่วนเรื่องปริมาณแสงไม่เท่ากันที่ f/stop เท่ากัน ผมว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเหมือนความเพี้ยนของอุปกรณ์ ต้องหาค่าการชดเชยกันออกมาเอง (T/stop) ดอกสอง.. ที่น้าบอกว่า เลนส์เทเลองค์รวมเป็นเลนส์นูน เลนส์ไวด์เลนส์เว้า คือ งั้นผมขอย้อนกลับไปประเด็นคลาสสิกที่คุยกันมาหลายตลบ คือ เลนส์ 90 มม. นี่มันเป็นเลนส์เทเลหรือเลนส์ไวด์ ตอบว่าตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดฟิล์ม ถ้าฟิล์มเล็กก็เทเล ถ้าฟิล์มใหญ่ก็ไวด์ ดังนั้นผมก็เลยคิดว่า ไม่สามารถสรุปได้ว่า เทเลนูนไวด์เว้า หนะครับ จากคุณ : Roy - [ 20 ก.ย. 51 01:14:26 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ลืมรูปประกอบ.. จากคุณ : Roy - [ 20 ก.ย. 51 01:15:44 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เข้าใจในส่วนของคุณ Roy ที่มาเพิ่มเติมแล้วครับ ( ส่วนของคุณ POP_na กับของคุณ Chandaiam ไว้ก่อนนะครับ ) เรื่องเลนส์นูนเลนส์เว้าผมก็ลืมระบุไปว่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานระบบ 35มม. ที่เราคุ้นเคย ( ตรงนี้ขอ คุณ Roy หน่อยไม่รู้ว่าจะจุกจิกปานนี้ 555 ) เอาเป็นว่าผมยืนยันแล้วกันว่าองครวมของเลนส์เทเล ( เมื่อเทียบกับขนาดเซนเซอร์แล้ว ) ต้องเป็นเลนส์นูน ( ขยาย ) ส่วนเลนส์ไวด์ต้องเป็นเลนส์เว้า ( ย่อ ) ตรงนี้เป็นวิทยาศาสตร์ครับไปศึกษาภัณฑ์ซื้อเลนส์มา 1 ชิ้นดูได้เลย 555 ( มีขายทั้งนูนและเว้า ) ว่ากันตามตรงเรื่องค่า F ที่เกิดจากช่องรับแสงนี่ผมเข้าใจพอควรนะครับ ( ซึ่งไม่รู้จะเข้าใจตรงกันหรือเปล่า ) เรื่องที่ว่าวางช่องรับแสงไว้ตรงไหนในเลนส์ก็ได้ไม่จำเป็นต้องกึ่งกลางนี่ผมเห็นด้วยแบบมีเงื่อนไข คือชิ้นเลนส์ต่างๆมันหักเหแสงจนช่องรับแสงมันอาจจะอยู่ค่อนมาข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ขึ้นกับการออกแบบ " แต่มีข้อแม้นว่ามันต้องอยู่ตรงกับจุดรวมแสงที่ภาพกลับหัวในกระบอกเลนส์ครับ " เพราะถ้าวางไม่ตรงจุดตัดของแสงมันจะกลายเป็นช่องบังแสงแทนช่องรับแสง ( ซึ่งไม่ได้ช่วยคุมเดฟแต่ทำให้เกิดวิกเนตแทน ) * ยังไงถ้ามือใหม่เผลอมาอ่านกระทู้นี้เข้าก็ให้ยกเลนส์ขึ้นมาส่องดูนะครับจะเห็นว่ามันให้ภาพกลับหัว  ขณะที่พวก 2X ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังให้ภาพขนาดที่ต่างออกไปเท่านั้นแต่ไม่กลับหัว หรือดูภาพ คห.36 ก็ได้ครับจุดวางช่องรับแสงอยู่ตรงนั้น ส่วนเรื่องค่าเอฟเลนส์ชิ้นเดียวไม่ต้องคุยแล้วครับเห็นตรงกันหมด เรื่อง T/stop ก็ต้องถือเป็นอีกเรื่องนึงพักไว้ก่อน แต่ตอนนี้อยากเคลียร์ให้ขาดครับว่าค่า D คือเลนส์ชิ้นหน้าหรือขนาดช่องรับแสง ( หรือว่าใช้ได้ทั้ง 2 ค่าถ้าเรโชมันตรง  ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นไปได้เพราะเวลาเปิดช่องรับแสงกว้างสุดกลีบไอริสมันหายหมด กลายเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ชิ้นหน้าทำหน้าที่อย่างเดียว ) ปล 1 : สำหรับคนที่ยังซนเข้ามาอ่านเจอ ขอบอกว่าเราอาจแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหักล้างกันบ้างนะครับมิต้องตกใจอันใด ผมยังนับถือทุกท่านเหมือนเดิมยังอยากพบปะและออกทริปกับคุณ Roy คุณ POP_na เสมอๆ ( คุณ Chandaiam เดี๋ยวดูก่อน 555 ) ปล 2 : ผมดูข้อมูลในหนังสือ EF Lens Work lll หน้า 202 ผลปรากฎว่าค่า Focal length ในชุดเลนส์หลายๆชิ้นเขาหาง่ายๆเลยครับ ไม่ตรงกับใครเลย ( แต่ใกล้เคียงกับระยะห่างจากชองรับแสงถึงเซนเซอร์ ) ผมว่าเป็นไปได้มากแล้วที่ค่า f = F/D โดย D คือขนาดช่องรับแสงกับ F เป็นทางยาวโฟกัสจากผิวหน้าเลนส์ชิ้นแรกหลังช่องรับแสงถึงเซนเซอร์ ( ตามหนังสือ ) ซึ่งสูตรนี้อาจได้เรโชตรงกับวิธีถอดทางยาวโฟกัสจริงจากเลนส์หลายชิ้นเทียบอัตราส่วนกับเลนส์ชิ้นหน้าก็ได้ครับ การเข้าถึงคำตอบอาจมีหลายวิธีได้ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 20 ก.ย. 51 02:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอแลกเปลี่ยนต่อกับคุณ Chandaiam เลยนะครับ ในความเข้าใจของผมเรื่อง D ในสมการ f/=F/D อักษร "D" หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ครับ -เห็นด้วยกรณีเลนส์ชิ้นเดียวครับ แต่ ปัญหาก็คือ ถ้า D ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพหมายถึง เลนส์ตัวหน้าสุด ทำไมเวลาปรับช่องแสงในตัวเลนส์แล้ว ค่า f/ ถึงเปลี่ยน ในเมื่อเลนส์ตัวหน้าสุดยังโตเท่าเดิม (ไม่เล็กลงเลย) - นั่นไงครับผมถึงว่าความกว้างของช่องรับแสงทำหน้าที่แทนขนาดของเลนส์ชิ้นหน้าในการหาค่า f หรือเปล่า ? ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดก็คือ 1) f/ ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพ ไม่ใช่ f/ ที่เกิดจากอัตราส่วนของ F/D (โฟกัสของเลนส์ / เส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์หน้าสุด) แต่อาจเป็นไปได้ว่า f/ ในเลนส์ของกล้องถ่ายภาพ เป็นค่าที่เกิดจากการเทียบเคียงกับมาตราฐาน ของอะไรสักอย่าง - ไม่เห็นด้วยครับ ค่า f ไม่ใช่แค่ความสว่าง  มันมีเรื่องเดฟด้วย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า มาตราฐานที่ว่านี้อาจเป็นการเทียบกับความสว่างของ ภาพถ่ายที่ได้จากเลนส์นูน (เลนส์ตัวเดี่ยวๆ ) ทีมีความยาวโฟกัส และเส้น ผ่าศูนย์กลางเท่ากัน ก็เป็นได้ (คือหมายความว่า เทียบความสว่างของภาพที่ ถ่ายมา เพื่อหาค่า f/ เหมือนกับเทียบเลนส์ของกล้องดิจิตอลกับกล้องฟิล์ม เพื่อให้ง่ายต่อการกะมุมรับภาพ) - ผมว่าไม่ใช่ แม้นจะเป็นเลนส์หลายชิ้นแต่จริงๆแล้วการออกแบบทั้งหมดมันทำหน้าที่แทนเลนส์ชิ้นเดียว ถ้าถอดกลับออกมาได้มันก็จะเป็นตามสูตร f/=F/D นั่นแหละครับ แต่ทีนี้มันถอดไม่ได้หรอกครับเพราะเราไม่ได้ทำงานออกแบบเลนส์ ( อจ.ป๊อบแกยังไม่ไหวเลย ) คิดง่ายๆ เอาว่า ทำไม่เลนส์ canon 2 ตัว ระหว่าง EF-s 18-55mm (kit 450D) ถึงทำ f/ ต่ำสุดได้ที่ 3.5 (ระยะซูม 18mm) ซึ่งกว้างกว่า EF-s 17-85mm f/4 - 5.6 IS USM ทั้งๆ ที่หน้าเลนส์ของ 17-85 ก็กว้างกว่า แถมโฟกัสก็สั้นกว่าคือ 17mm แต่กลับมี f/ ได้กว้างสุดแค่ f/4 - เอาเรื่องแบบนี้มาเทียบปวดหัวตายเลยครับ เลนส์คนละตัวคนละช่วงซูม การออกแบบชิ้นเลนส์ก็ต่างกัน วัสดุในการผลิตรวมทั้งเงื่อนไข + ต้นทุนในการผลิตก็ต่างกัน ผมไม่รู้ว่าต้องมีการรอมชอมระหว่างคุณภาพ/ต้นทุน/ประสิทธิภาพอะไรหรือเปล่า อีกอย่างช่วงซูม17-85 ก็กว้างกว่า f ต่างกัน 4 หรือ 3.5 ผมว่าไม่เป็นเงื่อนไข 2) สมการคงไม่ได้มีแค่ f/ = F/D เพราะในการนำเลนส์หลายๆ ชิ้นมา ประกอบกัน นอกจากปวดหัวกับการคำนวนณความยาวโฟกัสแล้ว แสงมักมี การสูญเสียไปกับการสะท้อนและหักเหอยู่แล้ว แม้จะเคลือบผิวเลนส์ได้ดี เยี่ยมเพียงใดก็ตาม และยิ่งใช้เลนส์ที่มีความหนามาก หรือมีมากชิ้น ยิ่งทำ ให้มีการสูญเสียแสงในเลนส์มากขึ้นด้วย ฉะนั้นต้องมีสมการคำนวณการสูญ เสียปริมาณแสงในเนื้อเลนส์มาเกี่ยวข้องด้วย - อันนี้ถือเป็นอีกเรื่องนึงเลยครับ ( เป็นเรื่อง T/stop ที่คุณ Roy เปิดประเด็น ) ผมเองก็สงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยได้ข้อสรุปเสียที จะ เป็น การดีมาก ถ้าสมาชิกที่พอจะความรู้เรื่องฟิสิกส์ของแสง มาช่วยกันค้นคว้า หาข้อสรุปกันเยอะๆ ผมไม่ได้กะจะลองภูมิ หรืออวดเก่งแต่อย่างใด เพียงอยากให้ช่วยกันหาข้อสรุป - เช่นกันครับผมก็เช่นกัน เวลาผมแสดงความคิดเห็นผมก็อยากเหลือเกินที่จะให้คนที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเอาความเห็นผมมาแปะไล่ตอบทีละบรรทัดเลย เวลาผมผิดผมจะได้รู้ ไม่งั้นยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งไม่รู้ครับมันงง ส่วนคุณ POP_na แกอิงสูตรดั้งเดิมอย่างเดียวเลยเพราะไม่มีทางผิดอยู่แล้ว แต่ทีนี้มันถอดออกมาจับต้องไม่ได้ครับแถมให้คำตอบเรื่องช่องรับแสงคุมค่า f ไม่ได้อีกด้วย ( เลนส์ชิ้นหน้าเดิม/ทางยาวโฟกัสเดิม ) จากคุณ : ตอสระอือ - [ 20 ก.ย. 51 02:57:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่ายังไง D ก็ไม่ใช่เส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้า ต้องเป็น เส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดช่องรับแสงใดๆ เช่น เลนส์ 50/1.4 หน้าฟิลเตอร์ 58 มม. แต่จากสูตร D=35.7 (เปิดกว้างสุด) จาก ปล.2 รบกวนน้าตอสระอือช่วยดู ค่าทางยาวโฟกัสของเลนส์มุมกว้าง พวก 24 มม., 17 มม. จากหนังสือให้หน่อยครับว่า มันทิ่มไปอยู่ในระยะกระจกหรือเปล่าหนะครับ จากคุณ : Roy - [ 20 ก.ย. 51 09:07:09 ]

ความคิดเห็นที่ 50 D คือเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์วัตถุครับ และเป็นตัวกำหนด maximum aperture ครับ อันนี้ยืนยันครับ ยังสูตรเดิมครับคือ f = F/D ครับ และถ้าเราไปหรี่รูรับแสง (ทำให้ f/stop มันมากขึ้น) ลองลากรังสีแสงที่ท้ายเลนส์ ผ่านรูรับแสง (diaphragm) มายังเลนส์ชิ้นต่าง ๆ จนถึงเลนส์ชิ้นหน้าสุด (Objective Lens) จะพบกว่า - ถ้าไม่หรี่รูรับแสงเลย (เปิดกว้างสุด) รังสีแสงด้านหน้าเลนส์ (Objective Lens, OL) จะไปอยู่ที่สุดขอบริม ๆ ของเลนส์ - ถ้าหรี่รูรับแสงให้แคบลง แล้วลากเส้นรังสีแสง อีก จะพบว่า รังสีแสงที่ออกมาทางด้านหน้า จะหุบลงมา เนื่องจากว่า รังสีแสงไปที่ขอบหน้าเลนส์ไม่ได้แล้ว เพราะถูกรูรับแสงบังครับ โดยการลากรังสีแสงนี้ เราจะลากจากมุมของขอบฟิล์มแบบ 135 ครับ (24x36) มุมสุดน่าจะอยู่ที่ 21.5 มม. จากศูนย์กลาง เพราะ image circle ของฟิล์ม 135 คือ 43 มม. โดยประมาณ พอจะเข้าใจไหมครับ ยังไง f = F/D นะครับ อธิบายได้ครับ เสริมนิดหนึ่งครับ ให้สังเกตว่า ทำไมเลนส์ทั้งหลาย ถ้า maximum aperture มันเยอะ เลนส์ถึงได้ใหญ่ เช่น 400 mm F/2.8 กับ 400 mm f/5.6 ทำไมตัว 2.8 หน้าเลนส์ถึงได้มโหฬาร หรือ 200 f/2.8 หน้าเลนส์เล็กกว่า 200/2.0 ล่ะครับ ก็เพราะ f= F/D ไงครับ แต่มีข้อที่น่าสังเกตเพิ่มเติมอีกที่จะบอกคือ ทำไมเลนส์ wide-anfgle (135 format) หน้าเลนส์ถึงได้กว้าง และโค้งมากนัก สาเหตุเพราะมัน wide angle ครับ คือหน้าเลนส์มันต้องโค้งเพื่อหันหน้าเลนส์ไปยังพื้นที่ที่จะครอบคลุมครับ มันเลยต้องโค้งหาเส้นขอบฟ้ามาก ๆ อาจจะถึง 180 องศาถ้าเป็น fish-eye ซึ่งการจะทำให้หน้าเลนส์มันโค้งไปหาทุกมุมได้ หน้าเลนส์ก็ต้องใหญ่โต และยื่นออกมาด้านหน้าครับ และต้องเป็นเลนส์นูน ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 51 12:26:02 จากคุณ : pop (POP_na) - [ 20 ก.ย. 51 12:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 51 สุดยอดมากๆ ครับ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมสงสัยมากว่า 18 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยเพิ่งหัดถ่ายภาพใหม่ๆ สมัยนั้นพยายามค้นคว้าด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้ วันนี้ได้รับความรู้จาก น้าๆ ระดับเทพ ... ดีใจมากครับ จากคุณ : = J o o k i e = (Jookie) - [ 20 ก.ย. 51 18:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 52 กลับมาแว้วครับ ขอบคุณคุณ Jookie สำหรับลูกยอที่แจกให้ แต่ผมยืนยันนะครับว่าผมไม่ใช่เทพ คุณ Roy กับคุณ POP_na อ่ะครับใกล้เคียง   ทว่าอย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าถ้าถือกันว่าเป็นเพื่อนร่วมวงการที่แค่มีความรู้มากกว่าเราเท่านั้นท่าน 2 ท่านจะน่าสบายใจกว่า ( รวมทั้งผมด้วย นี่ผมกลับมาอ่านกระทู้ใหม่อีกรอบก่อนตอบปรากฎว่าผมใช้ตัวอักษร F กับ f ผิดไปอยู่หลายจุดเลย  ขายหน้าจัง! แต่ขี้เกียจแก้แระช่างมัน ) นี่ก็กลับบ้านมาก็เพิ่งไปเปิดหนังสือ Lens Work อีกรอบ 555 ผลปรากฎว่าน่าแปลกใจครับ Canon ระบุไว้ชัดที่หน้า 203 ว่าค่า D คือ lens effectives aperture หนังสือเขาว่าอย่างนี้ครับ Aperture ratio A value used to express image brightness, calculated by dividing the lens effectives aperture (D) by its focal length (f) Since the value calculated from D/f is almost always a small decimal value less than I and therefore difficult to use practically, it is common to express the aperture ratio on the lens barrel as the ratio of the effectives aperture to focal length, เอาแค่นี้นะครับผมจิ้มดีดนานๆเดี๋ยวปวดตาตัวนั้นสือมันเล็กนิดเดียว ดังนั้นขอสรุปคร่าวๆก่อนดังนี้ครับ ( พิมพ์ย้ำบ่อยๆจะเหมือนฉายหนังซ้ำไหมนี่ ? ดูหลายๆรอบก็เบื่อเน๊อะ 555 ) - สูตร f = F/D ยังคงถูกต้องและไม่มีใครโต้แย้งครับ - ค่า F = focal length นี่ก็ไม่มีใครแย้ง คุณ POP_na ได้ให้ความรู้เพิ่มเติม ( อย่างน้อยก็แก่ผม ) ว่าเป็นค่า Effective Focal Length สำหรับเลนส์หลายชิ้นโดย D จะเป็นค่าเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้า ผมยอมรับและถือว่าถูกต้องครับ แม้นจะมีเงื่อนไขว่าหากหรี่ f ลงมาแล้วจะทำให้ขอบเลนส์ชิ้นหน้าที่แสงตกเปลี่ยนรัศมีไป - ค่า D นี่สิครับเป็นปัญหา คุณ POP_na ยืนยันว่าต้องเป็นค่าของเลนส์ชิ้นหน้าเท่านั้น แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมกับคุณ Roy คิดว่าไม่ใช่แล้วในชุดเลนส์ที่เราใช้งานจริง แม้นแต่ในหนังสือ EF Lens Work lll ซึ่งถือเป็นตำราได้ก็ระบุไว้ทั้ง 2 แบบ ( ตัวอย่างภาพๆแรกกับเลนส์ชิ้นเดียวค่า D เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้าครับ แต่ตัวอย่างหลังที่ชิ้นเลนส์ซับซ้อนคำอธิบายตามข้างบนครับ ) รวมถึงหนังสือ , วารสารอื่นๆก็ให้ข้อมูลว่าค่า D คือขนาดความกว้างของช่องรับแสงอยู่หลายเล่มเหมือนกัน ( แต่มันเป็นแค่วารสาร/นิตยสาร ผมไม่อยากใช้มันอ้างอิงเพราะเคยเจอข้อมูลผิด ) ที่สำคัญเรื่องค่า D คือขนาดของช่องรับแสงได้ด้วยนี่ว่าถือว่าปิดเงื่อนไขที่จะยกเว้นกรณีเราหรี่ช่องรับแสงได้ด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นผมเชื่อและยอมรับได้ทั้ง 2 ทางครับ แต่ต่อไปหากจะตอบคำถามนี้แก่ใครผมก็เลือกที่จะตอบว่าค่า D เป็นขนาดของ lens effectives aperture เหมือนเดิม ความจริงอธิบายได้หลายแบบครับคุณ POP_na แต่ผมว่าทางนี้ง่ายกว่า ( แม้นจะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดในระยะยาวหรือลืมเลือนความจริงพื้นฐานของมันก็เถอะ ) ดังนั้นคุณ POP_na จงยอมรับซะดีๆว่าค่า D มีค่าที่ใช้แทนได้ 2 แบบเพราะค่า F ก็มีเงื่อนไข 2 แบบซึ่งเป็นอัตราส่วนเดียวกันที่ f กว้างสุด ยอมนะครับจะได้จบตรงนี้ขี้เกียจโต้แล้ว 5555 จะได้ให้คุณ Roy ช่วยให้ข้อมูลเรื่อง T/stop  เพราะแกเปิดประเด็นไว้ต่อไป ขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่มีส่วนร่วมในกระทู้นี้ครับ นานๆทีได้เล่นกระทู้แบบนี้แล้วรู้สึกสนุกดีจริง ผมเองได้มีความรู้ขึ้นมาหลายจุดจากตำตอบ/การต้องไปค้นหาคำตอบของตัวเอง ขอบคุณครับ ปล : ข้อสงสัยของคุณ Roy ไม่มีเฉลยหรือมีตัวอย่างในหนังสือครับ มีแต่ผังชิ้นเลนส์ซึ่งไม่ได้ลากเส้นแสงใดๆทั้งสิ้น แต่เลนส์มุมกว้างเกือบทุกตัวเลนส์ชิ้นท้ายสุดเป็นเลนส์นูนครับ แต่มีภาพในหน้า 202 ที่อธิบายเรื่อง Principal point น่ะครับที่บางภาพดูเหมือน focal length หลุดไปอยู่หลังเลนส์ชิ้นท้าย ดูแล้วผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้ครับเกินความสามารถชัวร์ ยังไงคุณ Roy สนใจลองหาหนังสือเล่มนี้มาเปิดดูครับ ที่สมาคมฯก็น่าจะมี จากคุณ : ตอสระอือ - [ 20 ก.ย. 51 20:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แหะ แหะ ผมเองก็ไม่ใช่เทพเหมือนกัน เพียงแต่บ้าวิชาการไรตามประสาคนสนใจหนะครับ ผมเข้าใจว่า f/stop เป็นสูตรสำเร็จ มีคนคิดค้นกำหนดไว้ เพื่อให้เลนส์ทุกตัวบนโลกคุยในภาษาเดียวกัน เช่น เมื่อมีปริมาณแสง 5 lux นั่นแปลว่าจะได้ค่า EV=1 หรือถ้าใช้ฟิล์ม 100 เปิด f/1.4 จะได้ความไวชัตเตอร์ที่ 1 วินาที (ไม่ว่าจะใช้เลนส์อะไรก็ตาม) ส่วนเรื่อง T/stop ผมไม่มีความรู้เลยเหมือนกัน เพียงแต่เคยได้ยินมา คิดว่าไม่มีสูตรสำเร็จ (อาจจะมีแต่หาไม่เจอ) หาค่าไม่ได้ ตั้งเอาไว้หลอกๆ กลางๆ พิสูจน์ได้ไม่แน่นอนแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยในความเพี้ยนใดๆ จากค่า f/stop เอะอะเพี้ยนนิดหน่อยเหมารวมเรียกว่า T/stop ไว้ก่อน แนวนี้ซะมากกว่าหนะครับ สรุปว่า ประเด็น  T/stop ตกไปละกันนะครับ ค่า D ผมคิดว่าน่าจะได้แบบเดียว คือ ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดช่องรับแสง หรือ ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดลำแสงนั่นเอง ส่วนจะเผอิญตรงกับขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ชิ้นหน้าหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่ ไงไว้ต้องไปหาหนังสือเล่มนี้ตามสมาคมหนอนวันพฤหัสบดีดูบ้างแล้วมั้งครับ จากคุณ : Roy - [ 21 ก.ย. 51 00:45:32 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตามที่ผมได้อธิบายใน คห.50 เรื่องการลากรังสีแสงเพื่อแสดงให้เห็นว่า f-ratio ขึ้นอยู่กับตัวแปร 2 อย่างคือ ความยาวโฟกัส และขนาดหน้าเลนส์ ลองดูรูปที่ผมทำมานะครับ จะเห็นว่า เมื่อผมลองเอาตำแหน่งรูรับแสง (diaphragm)มาคั่นไว้ตรงกลาง(สีแดง) (เลนส์กล้องถ่ายรูปมักจะไว้ตรงกลาง แต่พวกกล้องดูดาวมักจะไว้ด้านหน้าสุด) แล้วลองหรี่รูรับแสงลงไปซักหน่อย จะเห็นว่า รังสีแสงสี้นำเงิน ซึ่งเป็นรังสีแสงอันใหม่ที่ผมวาดขึ้นมาให้ เนื่องจากใช้รังสีแสงอันเดิมไม่ได้แล้วื เพราะรังสีแสงอันเดิม โดนรูรับแสงหรี่บังรังสีแสงไว้ ทำให้ใช้ไม่ได้ ดังนั้นรังสีแสงที่จะใช้ได้ จะต้องลากให้พ้นรูรับแสงนั่นเอง ซึ่งก็คือรังสีแสงสีน้ำเงิน พอลากมาจนถึงหน้าเลนส์ จะเห็นว่า แสงเข้ามาน้อยลงใช่ไหมครับ ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแสงเข้า (Entrance Pupil) เท่ากับ D2 ซึ่งเล็กกว่า D1 , (D2<D1) อันนี้คือ "Effective Aperture" ที่คุณตอสระอือ ว่าไว้ในความเห็นที่ 52 ไงครับ ทีนี้ลองดูด้านขวาของรูปบ้างนะครับ ผมลองวาดรังสีแสงให้ทะลุมาทางด้านขวา เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของมุมรังสีแสงเทียบกับค่า f-stop หรือ f-ratio จะพบว่า ถ้ามุมกรวยแสงโตกว่า ค่า f-ratio จะน้อยกว่า หรือถ้ามุมกรวยแสงเล็กกว่า ค่า f-ratio จะมากกว่า ดูจากรูปนะครับ มุม A คือเส้นประกอบของรังสีแสงอันเดิมที่ยังไม่หรี่รูรับแสง (สีเขียว) และมุม B คือมุมที่ลากเส้นรังสีแสงที่ผ่าน รูรับแสงที่หรี่ลงแล้ว (stopped-down)(สีน้ำเงิน) จะเห็นว่า เมื่อเลนส์วัตถุชิ้นเดียวกัน (เลนส์ชิ้นหน้า) เมื่อหรี่รูรับแสงลง ภาพก็จะมืดลงได้ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 21 ก.ย. 51 15:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขออภัยครับ ภาพใหญ่ไปหน่อย เลยล้นจอ ดังนั้นสูตรที่เคยบอกไว้ก็ยังคงเป็นสูตรเดิมอย่างที่เคยบอกไว้ครับคือ f = F/D ครับ เพียงแต่ถ้าเราพิจารณาเลนส์มากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไป เราจะต้องใช้คำว่า effective value เข้ามาแทนคือ f-eff = F-eff/D-eff ที่นี้บางคนอาจจะสงสัยต่อไปว่า งั้นค่า f-stop หรือ f-ratio ต่ำ ๆ ก็ได้ภาพสว่างกว่าค่า f-ratio ที่สูงกว่าน่ะสิ คำตอบคือ จริง แต่ไม่ทั้งหมด ทั้งนี้ต้องมีตัวแปรอีกตัวหนึ่งมาคุม นั้นคือ กำลังรวมแสง หรือ Light Gathering Power หรือ LGP ถ้าเลนส์ถ่ายภาพ เป็นเลนส์ตัวเดียวกัน เช่น 200 F2.8 กับ 200 F5.6 อย่างนี้บอกได้เลยว่า เลนส์ตัวนี้ เปิดหน้ากล้องที่ F2.8 ภาพที่ได้จะสว่างกว่า F 5.6 แน่นอน แต่ถ้าเป็น 200 F2.8 กับ 400 F2.8 ล่ะ ใครสว่างกว่ากัน ??? ยังไม่บอก แต่ให้ลองดูการคำนวณนิดหน่อยนะครับ Light Gathering Power ก็คือกำลังการรวมแสงนั่นเอง ก็คำนวณจากพื้นที่รับแสงของเลนส์ชิ้นหน้าสุด หรือเลนส์วัตถุ หรือ Objective Lens ได้เลยครับ จากสูตร สมมติให้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์ 200 F2.8 เท่ากับ 72 มม. โดยประมาณ (ขนาดหน้าเลนส์นะ ไม่ใช่ฟิลเตอร์) ให้เท่ากับ D1 และให้เลนส์ 400 F2.8 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเลนส์วัตถุประมาณ 143 มม. = D2 สำหรับเลนส์ตัวแรก D1 = 72 mm.  พื้นที่ = (Pi)*D1*D1/4 สำหรับเลนส์ตัวสอง D2 = 143 mm. พื้นที่ = (Pi)*D2*D1/4 พอนำสมการทั้งสองมาลดรูป จะได้เป็น LGP = (D2/D1)ยกกำลังสอง = 0.5 ยกกำลังสอง = 0.25 เท่า หมายความว่า เลนส์ 200 มม. มีกำลังการรวมแสงน้อยกว่าเลนส์ 400 มม. ที่ F-2.8 เท่ากับ 0.25 เท่า หรือพูดว่า เลนส์ 400 มม. มีกำลังการรวมแสงมากกว่าเลนส์ 200 F2.8 ถึง 4 เท่า (โดยประมาณ) สรุปแล้วก็คือ ถ้าหน้าเลนส์โต จะรวมแสงได้มากกว่าหน้าเลนส์เล็ก ที่ f-ratio เท่ากัน ครับ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 21 ก.ย. 51 15:16:27 ]

ความคิดเห็นที่ 56 จริง ๆ จะ post รูปนี้ครับ ขออภัย จากคุณ : pop (POP_na) - [ 21 ก.ย. 51 15:17:20 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อืมมม... สรุปแล้ว effectives aperture ไม่ได้อยู่ตรง aperture แต่อยู่ตรงเลนส์ชิ้นหน้าใช่ไหมครับคุณ POP_na แบบนี้ผมรับได้นะเพราะก็คิดอยู่ใน คห.52 ว่า " หากหรี่ f ลงมาแล้วจะทำให้ขอบเลนส์ชิ้นหน้าที่แสงตกเปลี่ยนรัศมีไป " ซึ่งถ้ายอมให้มี D2 ได้ผมว่าถือได้ว่าปิดจุดบอดของหลักการนี้ไป ว่าแต่ทำไมเพิ่งมาบอกครับคุณ POP_na เถียงกันจนกระทู้จะตกหน้า ตลาดวายไปถึงไหนแล้ว.. งอน  ไม่เชื่อล่ะ 555 ไม่รู้ล่ะผมเชื่อของผมตามเดิมแต่แรกดีกว่าว่า effectives aperture คือช่องรับแสงที่ถูกขยายหรือย่อส่วนจากชุดเลนส์ชิ้นหน้าทั้งหมด ( เชื่อในใจแต่ขอไม่ไปเผยแพร่บอกใครเพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ ) ว่าแต่สิ่งที่คุณ POP_na เสนอมาใน คห. 54 กับ 55 นี่ตรงกับการใช้งานจริงเวลาเราหรี่ช่องรับแสงลงมา แล้วอาการวิกเนทลดลงไปนะครับ เหมือนแสงถูกบีบลงไปตรงกลางภาพ แต่อมิตพุทธช้าก่อนประสกทั้งหลาย ในความเป็นจริงอีกทีก็มีเงื่อนไขว่าผมเคยใส่ Filter ซ้อน 2 อันในเลนส์ 10-22 อยากบอกว่าแม้นหรี่เป็น f/8 ภาพก็ยังมีติดขอบ Filter มืดๆมาทั้งชุดครับ ( และอาการวิกเนทกลับเป็นแบบไล่โทนมากขึ้นที่ f กว้าง  แปลว่าที่ f กว้างเดิมมันเบลอขอบกระบอกเลนส์อยู่เมื่อเราหรี่ f ขอบกระบอกมันชัดขึ้นก็หลบพ้น image circle ไป แต่ถ้าใส่ filter เพื่อให้หนาขึ้น พอชัดแล้วมันไม่พ้นก็ไม่พ้นอยู่ดี ) ดังนั้นถ้าค่า D2 หากกำหนดให้มีจริงก็ต้องถือเป็นค่าสมมุติ เพราะจริงๆแล้วเวลาเราหรี่ช่องรับแสงนี่องศารับภาพไม่ได้เปลี่ยน แสงก็ยังคงเข้าเต็มๆ D1 ตามเดิม * ความจริงแล้วแสงวิ่งเข้ามาทุกทิศทางที่ลากเป็นพาราเรลไลท์นี่ถือเป็นเส้นสมมุติครับ  สำหรับมือใหม่ที่ตามมาอ่าน * เวลาเราหรี่ช่องรับแสงมีแต่ช่องรับแสงเท่านั้นแหละครับที่เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กลงดังนั้นเอามันมาเป็น D ถือเป็นอะไรที่จับต้องได้ที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องการหรี่ช่องรับแสงในเลนส์กล้องดูดาวจะไว้ด้านหน้าสุดที่คุณ POP_na ยกมาเปรียบเทียบผมถือว่าเป็นอีกเรื่องครับ เพราะเวลาเราหรี่ช่องรับแสงในเลนส์ลักษณะนี้เราอาจไม่ได้ต้องการชัดลึกเพิ่ม ( โฟกัสเกือบระยะอนันต์อยู่แล้ว ) หรือเลนส์มันถูกออกแบบให้เกือบจะเป็นเลนส์ชิ้นเดียวอยู่แล้ว ( มีชุดโฟกัสช่วยหรือออกแบบให้กระทัดรัดขึ้นนิดหน่อย ) การวางช่องรับแสงหน้าสุดเลยทำได้ เลนส์ในกล้อง DSLR ที่วางช่องรับแสงไว้หน้าเลนส์ก็มีครับ ตือเลนส์ baby G ที่ออกแบบเลนส์แค่ 2-3 ชิ้นง่ายๆแล้วยืดหดได้สร้างภาพแปลกๆ ผมว่าคุณสมบัติมันเหมือนเลนส์ชิ้นเดียวเลยต้องวางช่องรับแสงด้านหน้าสุดเลย ( เป็นแผ่นดำๆแปะเข้าหน้าเลนส์เฉยๆ ) และสำหรับข้อมูลเรื่อง Light Gathering Power ต้องขอขอบคุณ คุณ POP_na มากมายเลยครับ ได้ความรู้อีกแล้ว สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านเช่นเคยครับ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 21 ก.ย. 51 17:42:55 ]

ความคิดเห็นที่ 58 สงสัยกระทู้ีนี้คงมีแ่ต่คุณตอสระอือ กับผม แล้วล่ะครับ ขออภัยที่ตอบช้าจนตลาดวายแล้วครับ ยังไงถ้าคุยกันจนสะเด็จน้ำแล้ว อาจจะไปสรุปอีกทีที่กระทู้ใหม่ก็ได้ครับ ผมขอชี้แจงประเด็นคุณตอสระอือเป็นข้อ ๆ ที่ตั้งประเด็นเป็นติ่งไว้นะครับ ================================================= - สรุปแล้ว effectives aperture ไม่ได้อยู่ตรง aperture แต่อยู่ตรงเลนส์ชิ้นหน้าใช่ไหมครับคุณ POP_na ตอบ-- Effective Aperture จริง ๆ แล้วคือ Entrance Pupil ครับ ไม่ใช่เลนส์ชิ้นหน้านะครับ แต่อยู่ที่เลนส์ชิ้นแรกสุดที่รับแสงเข้ามาครับ - ส่วนเรื่องการหรี่ช่องรับแสงในเลนส์กล้องดูดาวจะไว้ด้านหน้าสุดที่คุณ POP_na ยกมาเปรียบเทียบผมถือว่าเป็นอีกเรื่องครับ ตอบ -- เรื่องเดียวกันครับ เพราะเรากำลังคุยกันเรื่อง Optical Geometric ครับ - เพราะจริงๆแล้วเวลาเราหรี่ช่องรับแสงนี่องศารับภาพไม่ได้เปลี่ยน แสงก็ยังคงเข้าเต็มๆ D1 ตามเดิม ตอบ -- เมื่อเราหรีช่องรับภาพให้เล็กลง ตัว entrance pupil ต่างหากที่เล็กลง แต่องศาการรับภาพไม่เกี่ยวครับ เพราะองศาการรับภาพ หรือ Field of View (FOV) เป็นคนละเรื่องกันครับ ยังไงจะหาโอกาสมาอธิบายด้วย light cone ของ f-ratio อีกทีหนึ่งครับ เพราะมันสัมพันธ์กัน - ในความเป็นจริงอีกทีก็มีเงื่อนไขว่าผมเคยใส่ Filter ซ้อน 2 อันในเลนส์ 10-22 อยากบอกว่าแม้นหรี่เป็น f/8 ภาพก็ยังมีติดขอบ Filter มืดๆมาทั้งชุดครับ ตอบ -- สำหรับเลนส์ wide, super wide angle นั้น อย่างที่บอกว่า เลนส์ชิ้นหน้าสุด จะออกแบบให้โค้งมากและรับแสงได้กว้าง (องศาการรับภาพมาก) ดังนั้นเมือมีอะไรมาขวางมัน ซึ่งก็คือขอบของฟิลเตอร์ มันจึงกลายเป็นมีวัตถุมาบังขอบนิด ๆ หรือเกิด vignett นั่นเอง ซึ่งอันนี้เป็น vignett ที่เกิดด้านหน้าเลนส์ ไม่ได้เกิดด้านหลังเลนส์ ซึ่งเป็นคนละกรณีกัน ทิ้งท้าย ===== ขอติดเรื่อง FOV กับ Sensor coverage area, vignet, f-ratio light cone ไว้นะครับ แล้วยังไงจะมาเปิดประเด็นอีกทีหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 18:10:52 จากคุณ : pop (POP_na) - [ 21 ก.ย. 51 18:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ท่าทางผมจะเบอะสุด งานนี้ต้อง ตัวเองซะบ้างแล้ว.. ดันไปคิดเอาว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดลำแสงไปเท่ากับขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางช่องรับแสง แท้จริงแล้วมันคนละค่ากันโดยสิ้นเชิง ขอบคุณคุณ pop (POP_na) มากครับที่กรุณามาชี้หนทางสว่าง มาช้ายังดีกว่าไม่มา.. น้าตอสระอือ เส้นแสงที่ลากขนานกันนั้นไม่ใช่เส้นสมมุติกันเล่นๆ นะครับ อย่างที่เรียนให้ทราบเรื่อง คำนิยามของทางยางโฟกัสของเลนส์ เงื่อนไขสำคัญในการหาทางยาวโฟกัสคือ เมื่อแสงนั้นมาจากระยะอนันต์ พอมาจากระยะอนันต์ก็เลยสามารถเขียนเป็นเส้นขนานกันได้หนะครับ ถ้าแสงไม่ได้มาจากระยะอนันต์ ระยะชัดที่ตกบนฉากจะยาวกว่าทางยาวโฟกัสหนะครับ ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่่านมากมายเช่นกันครับ ว่าแต่ว่า ใครอยากทุบผมอีกก็เชิญนะครับ.. จากคุณ : Roy - [ 21 ก.ย. 51 20:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อิอิ.. กระทู้นี้เหลือกัน 3 คนยิ่งมันส์ครับ แหย่ๆคุณ POP_na เข้าไปคายความรู้ออกมาอื้อซ่าเลย 555 ที่คุณ POP_na บอกว่า Effective Aperture จริง ๆ แล้วคือ Entrance Pupil ครับ ไม่ใช่เลนส์ชิ้นหน้านะครับ แต่อยู่ที่เลนส์ชิ้นแรกสุดที่รับแสงเข้ามาครับ - ผมยอมครับถือว่ารู้จริง ในหนังสือหน้า 201 เขียนอธิบายไว้แบบนี้เหมือนกันผมก็รอว่าคุณ POP_na จะตอบตรงกันหรือเปล่า ( เป็นภาพช่องรับแสงหรือ Aperture ที่ถูกขยายขึ้นมาด้วยผิวเลนส์ชิ้นแรกเลย  เขาวัดค่า Effective Aperture ตรงเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นนั้นเลยครับ ) * Figure 7 หน้า 201 จากหนังสือ (ใครมีเปิดดูได้เลยครับ) เมื่อเราหรี่ช่องรับภาพให้เล็กลง ตัว entrance pupil ต่างหากที่เล็กลง แต่องศาการรับภาพไม่เกี่ยวครับ เพราะองศาการรับภาพ หรือ Field of View (FOV) เป็นคนละเรื่องกันครับ ยังไงจะหาโอกาสมาอธิบายด้วย light cone ของ f-ratio อีกทีหนึ่งครับ เพราะมันสัมพันธ์กัน ขอติดเรื่อง FOV กับ Sensor coverage area, vignet, f-ratio light cone ไว้นะครับ - จะรอเสพด้วยใจจดจ่อครับ เพราะเป็นอีกเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง หวังว่าคุณ POP_na จะไม่ลืมและถ้าลืมผมก็จะทวง 555 ส่วนของคุณ Roy มีทัศนะที่ขอแลกเปลี่ยนดังนี้ น้าตอสระอือ เส้นแสงที่ลากขนานกันนั้นไม่ใช่เส้นสมมุติกันเล่นๆ นะครับ อย่างที่เรียนให้ทราบเรื่อง คำนิยามของทางยางโฟกัสของเลนส์ เงื่อนไขสำคัญในการหาทางยาวโฟกัสคือ เมื่อแสงนั้นมาจากระยะอนันต์ พอมาจากระยะอนันต์ก็เลยสามารถเขียนเป็นเส้นขนานกันได้หนะครับ - ผมอาจจะเลือกใช้คำบ้านๆไปหน่อยนะครับว่าเป็นเส้นสมมุติ ( จริงๆฝรั่งเขาใช้ Parallel pencil of rays หรือ Parallel light rays ) ซึ่งเป็นเส้นที่ขีดขึ้นจำลองแสงแนวขนานเพื่ออธิบาย/แจกแจงค่าต่างๆ แต่ในความเป็นจริงมันยังมีแนวแสง Off-axis object point ที่พุ่งเข้ามากระทบผิวหน้าชิ้นเลนส์ด้วย ซึ่งถ้าวาดกันทุกแนวล่ะลายพร้อยดูไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับ ดังนั้นบางทีผมอาจใช้คำชาวบ้านๆตามที่ผมถนัดอธิบายอะไรบางอย่างซึ่งมันไม่ถูกนัก อย่างกรณีที่ผมคิดเอาว่า Effective Aperture มันคือขนาดช่องรับแสงที่ถูกชุดเลนส์ด้านหน้าทั้งหมดปรับขนาดแล้ว ข้อมูลทั้งหมดมันเริ่มไหลมาว่ามันจริงครับ  มันเป็นอย่างที่ผมเข้าใจมาแต่แรกแหละแต่ผมไม่มีพื้นฐานแน่นๆพอจะอธิบายได้ละเอียด ลองไล่อ่าน คห.ทั้งหมดมาแต่แรกสิครับจะเห็นว่ามันจริงตามผมบอกไหม (คห.31 เขียนไว้ค่อนข้างชัด) ส่วนที่ว่าเส้นที่ขีดมาจากระยะอนันต์ผมเห็นด้วยอยู่แล้วครับ ผมทราบนานแล้วว่าทางยาวโฟกัสของเลนส์ทุกตัวที่ระบุคือที่ระยะอนันต์ กับเลนส์บางตัวมักเสียทางยาวโฟกัสเมื่อเราปรับชุดโฟกัสเสมอๆ เพราะชุดโฟกัสที่เพิ่มเข้าไปน่ะตัวทำเพี้ยนเลย ( เพราะเลนส์ถ่ายภาพนิ่งนี่บางทีออกแบบเอาสะดวกเข้าว่า  แต่ผมเคยถ่ายภาพเคลื่อนไหวกับเลนส์ของพวกไฮ-เดฟนี่ไม่มีอาการนี้เลยครับ  เวลาเบลอ in-out นี่ธรรมชาติมาก ) สรุปคือใช้คำผิดไปเรื่อง Parallel light rays นะครับ ที่ถูกคือควรใช้คำว่า "เส้นจำลองแนวขนาน" มีใครแย้งอะไรไหมครับ ? * หมายเหตุ : ผมว่าเรื่องที่เราคุยกันอยู่นี่ค่อนข้างลึกมากนะครับ ศาสตร์ทางด้านนี้ผมไม่ทราบว่ามีเรียนหรือมีตำรากันในบ้านเราหรือเปล่า ถ้ามีเราจะได้เอาคำนิยามหรือคำศัพท์ต่างๆมาใช้ให้ถูกต้องน่ะครับ แต่ถ้าไม่มีเราจะทับศัพท์ไปหรือกำหนดคำนิยามขึ้นมาใหม่เลยจะเหมาะไหม ? ใครทราบรายละเอียดตรงนี้ขอข้อมูลด้วยครับ ตอนนี้ยังไม่อยากทุบใครครับคุณ Roy.. ชักมึน 555 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 21:33:07 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 51 21:30:07 จากคุณ : ตอสระอือ - [ 21 ก.ย. 51 21:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณคุณ ตอสระือือ ที่ทำให้ผมไปหยิบ EF Lens Work III ขึ้นมาอ่านรับ น่าสนใจดีทีเดียว ไม่เคยเปิดมาดูเลยครับ ก่อนหยิบขึ้นมาต้องปัดฝุ่นกันเลยหละครับ คุณ ตอสระอือ นี่ ชอบมาลองภูมิผม เดี๋ยวเถอะ จริง ๆ อยากจะบอกว่า ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกครับ ก็เอามาเล่าให้ฟังในสิ่งที่รู้เพียงนิดหน่อยครับ ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ผมเองก็ยังไม่รู้เรื่อง และต้องขอความรู้จากพี่ ๆ ในนี้อีกเยอะครับ โดยเฉพาะฝีมือการถ่ายภาพครับ เพราะไอ้ที่ผมรู้(รู้แบบหางอึ่ง) มันก็ไม่ได้ทำให้ผมถ่ายรูปได้สวยขึ้นเลยครับ ขอบคุณทุก ๆ คนที่ทนอ่านภาษาไทยแย่ ๆ กับรูปแย่ ๆ ของผม และขออภัยที่บางทีก็มาตอบช้า และก็กำกวม ทำให้ "ตลาดวาย" หมดเลยครับ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 21 ก.ย. 51 22:24:43 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องเหล่านี้ผมก็ไม่ได้ร่ำเรียนลงลึกในรายละเอียดไรมากมาย หาอ่่านเอาเองบ้าง มีถูกมีผิดปนๆ กันไป หนังสือที่ลงลึกกันขนาดนี้ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ เลยไม่ทราบคำไทยเฉพาะทางเหมือนกัน แต่ผู้ที่ศึกษาด้านนี้โดยตรงในไทยผมคิดว่าน่าจะเป็น คณะวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพ ที่ จุฬาฯ หนะครับ นับถือทุกท่่านจริงๆ จากคุณ : Roy - [ 22 ก.ย. 51 00:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ผ่านมาติดตามอ่านแบบมึนๆ ครับ... จากคุณ : meaw2k - [ 22 ก.ย. 51 13:01:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คณะวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพที่จุฬาฯนี่เขาน่าจะให้คนนอกเข้าไปใช้ห้องสมุดเขาได้หรือเปล่าครับคุณ Roy เอาไว้ให้ลูกสาวลองไปเช็คดูก่อนดีกว่า 555 พอดีลูกทั้ง 2 คนก็เรียนที่นี่น่ะครับแต่เป็นเศรษฐศาสตร์กับสถาปัตย์ ( คนเล็กเพิ่งเข้าได้ปีนี้เองผมแนะนำให้เรียนวิชาเลือกถ่ายภาพทั้งคู่แต่ดูแล้วสอนกว้างๆไม่ลึก) ผมทราบว่าคุณ Roy ศึกษามาทางด้านนี้โดยตรงแต่ก็เข้าใจว่าคงเป็นศาสตร์การถ่ายภาพทั้งหมดกว้างๆเช่นกัน ถ้าลึกๆนี่ในต่างประเทศมีเรียนเฉพาะไหมครับ ? เช่นพวกออกแบบการผลิตเลนส์อะไรแบบนี้ ถ้ามีสงสัยคุณ POP_na นี่แกแอบไปเรียนมาแหง๋มๆเลย คนอะไรรู้ลึกชะมัดไม่เคยพบเคยเห็น 555 เอาละแจกลูกยอกันพอแล้วที่นี้ใครมีอะไรเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ อย่าให้ต้องทวงถามชักขี้เกียจพิมพ์แล้ว เสียดายกระทู้นี้คุณหนูน้อยฯไม่ได้เข้ามามิเช่นนั้นเราคงได้ข้อมูลอะไรดีๆเพิ่มเติมอีกมาก ( คุณหนูน้อยต้อยตีวิดอ่ะครับ Login นี้ไม่ได้เห็นนานแล้วแต่เธอเรียนคณะวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพที่จุฬาฯ นี่แหละครับ ) จากคุณ : ตอสระอือ - [ 22 ก.ย. 51 22:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 65 งวดหน้าเจอกันครับคุณ ตอสระอือ เรื่องที่ค้างไว้ันั่นแหละครับ ขอบคุณครับสำหรับลูกยอ แต่ขออนุญาตไม่รับครับ เพราะยังไม่ใช่คนเก่งอะไรปานนั้นครับ รู้แบบครูพักลักจำซะมากกว่าครับ ถ้าสนใจพวกนี้ ส่วนใหญ่ต้องเป็นฟิสิกส์ครับ แต่พอดีเมืองไทยไม่ค่อยมีสอนหรอกครับ จะหนักไปทาง Optomachnic หรือพวก Fiber optic ซะมากกว่าครับ พวก lens design ยังหาไม่มีเลยครับ ต้องอาศัยครูพักลักจำเอาเองแล้วล่ะครับ อิอิ ไปละ จากคุณ : pop (POP_na) - [ 23 ก.ย. 51 00:02:32 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ได้คำตอบของคุณ pop ใน คห.54-56 ทำให้เรื่องนี้กระจ่างไปเยอะเลยครับ ผมพอสรุปเอาว่า D ที่พูดถึงกัน ก็คือ Aperture Effective ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนช่องแสงภายในตัวเลนส์ พอทราบได้ดังนี้แล้วเรื่อง f/=F/D จึงคลายความสงสัยไปได้ วันก่อน ผมลองนำเลนส์ที่มีอยู่มาลองวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ตัวหน้าดู พบได้ว่า ผลหารของ ความยาวโฟกัส กับเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์ตัวหน้า มีค่าใกล้เคียงกับ f/ กว้างสุดของเลนส์ ซึ่งเรื่องดังกล่าว สนับสนุนสมการ f/=F/D เป็นอย่างยิ่ง ผมเลิกสงสัยเรื่อง f/ แล้ว แต่มีบางอย่างที่อยากรู้เพิ่มเติม ไม่ทราบจะถามในนี้ได้หรือไม่ คือ ทำไมสเต็ปการเพิ่มของ f/ จึงต้องเป็น 1.4142 เท่าเสมอ จากคุณ : Chandaiam - [ 23 ก.ย. 51 11:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 67 มันเป็นรากที่ 2 หรือรูท 2 ครับ มีคำตอบใน คห.ที่ 13 , 23 , 24 ครับ จากคุณ : ตอสระอือ - [ 23 ก.ย. 51 13:46:05 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ลงลึกคิดว่าน่าจะมีนะครับ คุ้นๆ ว่าเป็น Rochester Institute of Technology, NY ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่ได้อัพเดทนานแล้ว ถ้าผิดขออภัย.. จากคุณ : Roy - [ 23 ก.ย. 51 14:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 69 My god!!  อ่านไม่เข้าใจเลยอ่ะ..... จากคุณ : หก คูณ หก - [ 25 ก.ย. 51 11:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 70 คุณ ตอสระอือ ครับ ผมสงสัยว่า รากที่ 2 หรือ รูท 2 มีผลอะไรกับ f/ ครับ จากคุณ : Chandaiam - [ 26 ก.ย. 51 15:56:09 ]