ความคิดเห็นที่ 1 ง่ายกว่านั้น  กดปุ่มดูรูป -> กด info เพื่อให้แสดง รูป + histogram    หลังถ่ายทุกครั้ง .. เหลือบมอง histogram ควรเป็นรูประฆังคว่ำ  ยอดระฆัง จะเบ้ซ้ายหรือขวา ก็ชั่งมัน ขอให้เป็นระฆังคว่ำ ที่ไม่มียอดเป็นแท่งๆ ด้านซ้ายหรือขวา จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:12:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ภาพบน .. จะเห็นได้ว่า กราฟกระจายไปทั่ว  แต่ขอบซ้าย (มืดสุดๆ) และส่วนขวา (สว่างสุดๆ) .. ยังพอมีที่ให้หายใจ  แต่ภาพนี้ .. ไม่ต้องดูองค์ประกอบภาพว่าเป็นอะไร  ภาพจะประกอบด้วยสองส่วน  คือส่วนมืดตึ๊ดตื๋อ ... แท่งด้านซ้าย  กับส่วนพอดีๆ สว่างนิดเดียว  ภาพส่วนที่กลางๆ ที่เป็นรายละเอียด ... แทบไม่มี จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใช้วิธีคุณแมวพุงป่องดีที่สุด กลางแดดผมก็เอามือป้องไว้แล้วดูรูปครับ จากคุณ : นายไวรัส - [ 12 ต.ค. 51 20:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ภาพนี้ จะตรงข้าม ... จะมีส่วนรายละเอียดที่ค่อนข้างมืดหน่อยนึง (ยอดเนิืนซ้าย)  แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ ... หายไปกับความสว่างจ้่า .. แท่งขวา ที่สูงปรี๊ด .. สูงกว่าเนินซ้าย จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:17:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 และสังเกตุรูปแรกให้ดีๆ  เนินซ้าย จะกว้าง และสูงเกิน 50%  หมายความว่า ภาพนี้เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างมาก  มีบางส่วนของภาพ เป็นส่วนสว่าง ... เนินแหลมอันขวา ... แต่ไม่สว่างจนจ้า สว่างจนเสียรายละเอียด เพราะปลายเนินยังไม่ชนขอบขวาด้วยซ้ำ แถมยอดเนินยังเตี้ยกว่าเนินซ้าย จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:20:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าการถ่ายครั้งนึงแล้วมอง LCD ที่ถ่ายไป มันก็ไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องนักไม่ใช่เหรอครับ ตามหลักจริง ๆ คือ ต้องเข้าใจสภาพแสง ณ ช่วงนั้นจริง ๆ เลย เพราะบางครั้งเราถ่ายครั้งนึง สภาพแสงได้อย่างนึง พอดูจอ LCD พอจะถ่ายอีกครั้งถ้าคิดจะ + - จากจอ LCD ที่เราดู สภาพแสงอีกครั้งอาจจะมากไปหรือน้อยไปกว่าครั้งแรกมาก ก็ได้ครับ ยิ่งกับเมืองไทยที่สภาพแสงบางครั้งเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งแสงดี ๆ เราแสงนั้นเป็นบรรทัดฐานในการถ่ายรูปต่อไป แต่รูปต่อไปพอเรามอง VFD แล้วเผลอกดถ่ายโดยไม่ได้ดูแสง แล้วมีเมฆพัดผ่านมา แสงที่ได้ก็เปลี่ยนไปมากแล้ว ผมยังคิดว่าการฝึกวัดแสง เข้าใจแสง ณ ช่วงเวลานั้น ยังสำคัญกว่านะครับ จากคุณ : Buddykung - [ 12 ต.ค. 51 20:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 7 histogram อันนี้ เจ็บเล็กๆ  ภาพส่วนใหญ่ประกอบด้วยความมืด .. คือแท่งทึบอันซ้าย  มีส่วนสว่างอยู่จิ๋วเดียว เป็นเนินเล็กๆ แทบไม่เห็น ... แต่ไม่หลุดขอบขวานะ  ภาพถ่ายพระจันทร์ครับ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ก็วัดกับหลังมือ ล็อกแสง แล้วก็ถ่ายครับ.... โดยทั่วไป ถ้าไม่มีเวลาบรรจงแต่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีก็ควรถ่ายคร่อมไว้ครับ.... อย่าว่าแต่คนอ่านแสงไม่เป็นเลยครับ มืออาชีพทั้งหลายก็ถ่ายคร่อมทั้งนั้น นอกจากว่า มีเวลาจะบรรจงกับมันได้ หรือสถานการณ์ที่ไม่ยากนัก.... ส่วนการกดแล้วถ่าย ไม่ใช่ทำไม่ได้ครับ แต่มีวิธีที่ดูเข้าท่ากว่านั้นคือการ "เข้าใจ" สิ่งที่จะถ่าย แล้วก็เช็กหน้าจอว่า Clip มั้ย Under มั้ย เท่านั้นก็พอครับ จะได้ใช้สมาธิ กับเรื่องอื่นได้เต็มที่มากขึ้น และใช้เวลาน้อยลง.... หมายเหตุ คำว่าอ่านแสง ไม่ได้ถึงขนาดรู้ตัวเลขเป๊ะๆนะครับ เพราะปริมาณแสง บางครั้งเราก็โดนหลอกด้วยอุปกรณ์หรือสภาพแวดล้อม แต่เบื้องต้นให้พอรู้ว่า ISO น่าจะเท่าไหร่ แสงแบบนี้พอถ่าย F นี้ด้วย Shutter Speed ณ Focal Length ที่ต้องการได้มั้ย คร่าวๆแค่นี้ก็ช่วยได้มากๆแล้วครับ วางแผนนิดหน่อยก่อนถ่าย แค่ไม่กี่วินาที แต่ช่วยให้ใช้เวลาถ่ายได้น้อยลงมากครับ.... จากคุณ : Tire Tracks Studio - [ 12 ต.ค. 51 20:25:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ภาพนี้ีเจ็บพอกัน ... เมืองไทยคงไม่ค่อยเจอ  ภาพถ่ายในหิมะ .. ทุกอย่างมันสว่างไปหมด  แต่ดูดีๆ ... แม้จะสว่าง แต่ปลายเนินด้านขวา ยังไม่หลุดไปชนขอบ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 21:02:44 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:26:22 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแวะเข้ามานั่งจดเลคเชอร์ด้วยคนนะครับ จากคุณ : Galaxian Explosion !!! - [ 12 ต.ค. 51 20:28:43 ]

ความคิดเห็นที่ 11  ต่อๆๆ  การอ่าน histogram ได้ชำนาญ นอกจาก "ลด" อัตราการสูญเสียภาพลงได้มาก (แต่ไม่มีทางลดลงเป็นศูนย์ได้) .. ยังนำไปใช้ประโยชน์ในการถ่ายภาพในสภาวะพิเศษได้  เช่นการถ่าย infrared เป็นต้น  การถ่ายภาพด้วยแสง infrared ... ถ้าเป็นแต่ก่อน คุณไม่มีทางพยากรณ์ได้เลยว่า จะได้ภาพหรือไม่  ต่อให้ preview ดูใน LCD ก็ตามที ... ยังยากที่จะบอกได้ว่า รูปที่ได้มา .. post process ได้หรือไม่  ถารถ่าย infrared ต้องเช็ค histogram สม่ำเสมอ .. แทบทุกหนได้ยิ่งดี  สำหรับรูปทั่วๆไป Perfect exposure histogram ... ควรเป็นรูปสามเหลี่ยมลาดชันขึ้นด้านขวา  เพราะด้านซ้ายมันคือ noise  แต่ต้องไม่ชนขอบขวานะ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 21:03:11 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:36:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12  แต่รูปที่มาจาก digital infrared กลับด้านกับรูปข้างบนนี่  เพราะ histogram ความสว่างภาพ คำนวนมาจากสีเขียวเป็นหลัก (ทำไม? โปรดหาเรื่อง Bayer Filter อ่าน .. ดูจาก blog ผมก็ได้ )  แต่ IR มันทะล red filter สบายๆ .. ฉนั้น ถ้า histogram เป็นตามรูปบน (คห.11) ... ดูเผินเหมือนภาพออกมาพอดี แต่พอมาดูในจอจริง ภาพออกมาจะสว่างเกิน เพราะสีแดงมากเกิน  histogram ของภาพ IR ที่พอจะเอามา post process ไหว ส่วนใหญ่จะเป็นรูปกลับข้างของ คห.11 .. ภาพมืดหน่อย ราวๆ 1/3 - 1/2 stop  ถ้าเป็น olympus จะแสดง histogram ของทั้ง R,G,B และ L  ของ canon รุ่น consumer (300D, 350D ฯลฯ) จะไม่แสดง .. ก็ต้องเอาแบบนี้หละ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 21:07:08 แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 20:43:45 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามน้าแมวไปแหละครับ ดู histrogram ให้เป็นแค่นั้นก็พอ จากคุณ : Take a Look Around - [ 12 ต.ค. 51 20:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 14  histogram ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก  ใช้เวลาในการเหลือบดู 2-3 วินาทีก็พอครับ  ถ้าแสงไม่เปลี่ยนเร็วจัด ... เราสามารถแก้ไข shot ต่อไปได้ทัน ว่าควรจะเพิ่มหรือลดแสงเท่าไหร่ดี  ทำบ่อยๆ ไม่กี่สิบครั้ง ก็จะชำนาญ  o บอกได้ว่าส่วนไหนของภาพ ทำให้เกิด histogram แถบไหน  o บอกได้ว่า คอนทราสต์ และการกระจายแสงสี (tonal range) ส่วนไหนของภาพ ทำให้เกิดแถบ histogram แถบนี้  ฝึกง่ายกว่าเรื่อง zone system เยอะ ... แป๊บเดียวก็จะเป็นองค์ความรู้ในใจเลยว่า แสงข้างหลังจ้าเกินไปไหม ท้องฟ้าเว่อร์หายฟ้าอะเปล่า ภูเขามืดจนไม่มีรายละเอียดเหลือ ฯลฯ  ยิ่งฝึกบ่อยๆ ยิ่งปรัีบเพิ่มลดแสงได้แม่นยำ  o ใหม่ๆ ก็พยายามถ่ายรูปที่แสงมันไม่จ้าเกินหรือมืดเกิน ให้ได้ histogram รูประฆังสวยๆ ถ่ายซัก 20-30 รูปก็เข้าใจ  o แล้วค่อยพลิกแพลง ถ่าย under หรือ over เพื่อดูว่า มันเบ้ไปทางซ้ายหรือทางขวา ถ้ามันไม่เบ้ แต่ดันเป็น histogram สวยๆ ก็ลองปรับเพิ่ม/ลดแสง (exposure compensation) ดูข้างละ +/- 0.5 หรือ 1 stop ไปเลย มันจะเบ้สมใจ  แค่เบ้ซ้าย เบ้ขวา อย่างละ 5-10 รูป ก็จะเข้าใจ  o จากนั้นก็หาโอกาสถ่ายที่มันแสงตัดกันรุนแรง เช่น ถ่ายคนที่ชายทะเลแบบย้อนแสง หรือ ถ่ายภาพตอนมืดๆ โดยไม่ใช้่แฟลช ฯลฯ  อย่าให้ใครมาบอก (หลอก? )เราว่า histogram เป็นเรื่องยาก เรียนรู้ไปก็เท่านั้น ฯลฯ  มันเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยาก และพอรู้ก็ใช้งานได้  วันนี้ .. ท่านชายหางตาดู histogram บ้างหรือยัง  อ่านแล้วงง .. ก็ปิดหน้านี้ได้เลยขอรับ  อ่านแล้วชอบ .. ก็คลิ้ก give มา แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 51 18:11:00 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 20:50:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตามหลังน้าแมวฯ หมาไม่กัดครับ :p ดูฮิสโทแกรม จะชัวร์กว่าการดู LCD เพราะความสว่างของจอ LCD มันก็ไม่แน่ไม่นอน อย่างที่ จขกท. เจอนั่นแหละครับ จากคุณ : pp - [ 12 ต.ค. 51 20:56:24 A:125.24.50.250 X: TicketID:031898 ]

ความคิดเห็นที่ 16 histogram เชื่อถือได้มากกว่าดู clipping  แต่ใช่ว่าเชื่อถือได้ 100% .. แต่เชื่อได้มากกว่า clipping  สำหรับในขณะนี้แล้ว .. histogram เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่จะใช้ประเมินภาพหลังถ่ายทันที ว่าภาพ under หรือ over ไปหรือเปล่า  อนาคต อาจมีเครื่องมือที่ดีกว่านี้ ... ถึงตอนนั้น ค่อยว่ากันอีกที  -------------------------  สาเหตุที่ทำให้ histogram (รวมทั้ง preview, clipping) เชื่อไม่ได้ 100% เพราะรูปที่แสดงบน LCD ก็ดี, การคำนวนสร้าง histogram ก็ดี ... ทำมาจากภาพ thumbnail ซึ่งมีขนาดไม่กี่พันพิกเซล  ไม่ใช่ทำมาจากทั้งเฟรม (เป็นล้านพิกเซล) หรือทำจากที่แสดงบน LCD (ราวๆ สองแสนพิกเซล) .. เพราะมันเปลืองเวลาคำนวน(และพลังงาน) ...  หมดพุงแหล่ว จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 21:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 Histogram เช่นกันครับ จากคุณ : อะธีลาส - [ 12 ต.ค. 51 21:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทำใมถึงต้องไม่ชนขอบ เพราะถ้าภาพมีการกระจายแสงได้ดีทั่วถึงทั้งภาพต้องชนขอบทั้งซ้ายและขวาเพื่อเก็บส่วนมืด (ซ้าย) และส่วนสว่าง (ขวา) ได้ทั้งหมด แต่ถ้ามากไปด้านซ้ายหรือขวาก็ under หรือ over ครับ ส่วนการที่เป็นรูประฆังคว่ำนั้นเป็นภาพที่สามารถเก็บรายละเอียดได้มากและดีที่สุด แต่ภาพที่ได้ส่วนใหญ่ขอให้เป็นการกระจายกราฟแบบทั่วถึงกันตั้งแต่ซ้ายไปขวาก็ OK แล้วครับ จากคุณ : Artygallery - [ 12 ต.ค. 51 22:13:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ที่ไม่ให้ชนขอบ เพราะถ้าชน .. จะแยกยากมากๆ ว่า เกิด clipping หรือไม่  อย่้าลืมว่า จอ LCD มันเล็กนิดเดียว และเราควรใช้เวลาเหลือบมอง histogram 1-2 วินาทีเท่านั้น  ถ้า histogram ไม่ชนขอบ .. เหลือช่องว่าง มันหมายความว่า contrast ภาพ ยังอยู่ในช่วง dynamic range ของ sensor  ถึง DR ของเซนเซอร์รุ่นใหม่ จะไปได้ 12 stops (12 bits) แต่ช่วง 2 bits แรก (0x0000 -> 0x0011) และ 2 bits สุดท้าย (0x0FEE -0x0FFF) มันมีความไม่เป็นเชิงเส้น (non linearlity) ค่อนข้างสูง  โดยเฉพาะช่วงมืด ... noise เริ่มมา  การลากให้ histogram เข้าไปวุ่นวายแถว non-linearlity พวกนี้ ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือ ถ่าย events    ที่สำคัญ .. การมีช่องว่างระหว่างปลายเนิน histogram กับขอบ มันเห็นง่ายกว่าปล่อยให้ปลายเนินไปชนขอบ ... จนมีแท่ง clipping เกิดขึ้น  ดู คห.2 (almost under) กับ 9 (almost over) เป็นตัวอย่างได้  ขนาดปลายเนิน histogram ยังไม่ชนขอบ ... ภาพจริงๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิด histogram ของทั้งสอง คห.นั้น ... ยังแทบเสียรายละเอียดส่วนเงามืด และ highlight ไปเลย  ในภาพ คห.2  .. แค่เหลือบมองแว่บเดียว เรารู้ว่า ถ้าเราเพิ่มแสงอีก 1/3-1/2 stop .. ภาพจะออกมามี contrast ดีกว่าเดิม  แต่ถ้าแท่งยอดแหลมอันซ้าย เข้าไปชนกับขอบซ้าย ... คราวนี้บอกยากแล้วว่า จะต้องเพิ่มแสงอีกกี่ stop ถึงจะได้ภาพออกมาพอดี แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 22:54:57 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 22:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดูนี่นะครับ ... ผมเลื่อน histogram ของ คห.2 ไปทางซ้ายให้ชนขอบ  มันเกิด clipping ขึ้นเท่าไหร่ ... บอกไม่ได้  และจะต้องชดเชยแสงกี่ stop ... บอกไม่ได้ (เพราะไม่รู้ว่า under ไปเท่าไหร่)  อาจต้องถ่ายคร่อมอีก 2-3 รูป เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่โดน clip มาเลย  มันผิดวัตถุประสงค์ของ จขกท. และเนื้อหาโดยรวมของ "พื้นฐาน histogram" จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 12 ต.ค. 51 22:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณเจ้าของกระทู้เริ่มผิดหลักตั้งแต่เรื่องการเลือกใช้ระบบวัดแสงแล้วครับ ระบบ patial เราควบคุมยากมากเพราะกล้องจะใช้คอมพิวเตอร์ในตัวกล้องประมวลผลจากสภาพแสงในส่วนต่าง ๆ ของรูปแล้วนำมาเทียบกับฐานข้อมูล จากนั้นจึงเลือกค่า exposure ให้เรา ซึ่งเราไม่รู้ว่ากล้องมันคิดยังไง ถ้าเจ้าของกระทู้จะเล่นแบบวัดแสงเอง ควรใช้ระบบวัดแสงแบบจุด หรือเฉลี่ยหนักกลาง จากคุณ : imf41 - [ 12 ต.ค. 51 23:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กระทู้นี้ความรู้เยอะจริงๆ จากคุณ : ปออุ๊ก - [ 13 ต.ค. 51 00:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ทำไมใช้ M จากคุณ : Blue Planet Earth - [ 13 ต.ค. 51 00:23:47 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แนะนำเวบนี้ครับ มีตัวอย่าง และอะไรๆ เยอะแยะ วิธีดู histogram ก็ค่อนข้างดี http://www.juzaphoto.คอม/eng/articles/exposure_and_histogram.htm จากคุณ : Eno_Khem - [ 13 ต.ค. 51 01:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มาเก็บเกี่ยวความรู้ครับ จากคุณ : kosita - [ 13 ต.ค. 51 04:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ที่จริงน่าจะใช้ P + Evaluate มากกว่าครับ ถึงจะต้องวางใจกล้อง โดยเดาไม่ได้ ว่ามันคิดอย่างไร อย่างน้อยก็ยังไม่หลุดไปไกลนัก ถ้าใช้ Partial แล้วเลือกจุดวัดแสงผิด มันก็พาเข้ารกเข้าพงไปได้ จากคุณ : อะธีลาส - [ 13 ต.ค. 51 07:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณทุกความเห็นครับ โดยเฉพาะท่านแมวฯ อ่าา ตกลง แบบ partial มันไม่ใช่วัดเฉพาะจุดตรงกลาง 9% เหรอครับ แสดงว่าต่อไปนี้ ผมต้องใช้แบบหนักกลางสินะ (ตัว 350D ไม่มีแบบ spot) ตอบ คห23: ที่ใช้โหมด M เพราะคิดว่า ทำความเคยชินกับมันไว้ ตอนเก่งกว่านี้ จะได้ใช้โหมดนี้เป็นหลักได้คล่องอ่ะครับ เพราะผมว่าโหมด M จะควบคุมแสงได้ดั่งใจกว่า (รึเปล่านา...) แต่ยังไง จะขอลองโหมดอื่นมั่งก็ดี.... จากคุณ : Silent-Viper (Silent-Viper) - [ 13 ต.ค. 51 12:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้าใจกล้องว่ากล้องแต่ละรุ่นมันมี logic ยังไง วัดแสงตรงไหน เข้าใจพืนฐานการถ่ายภาพ เข้าใจเรื่องวัดแสง กล้องสมัยก่อน มีแค่เฉลี่ยหนักกลาง ก็ถ่ายกันได้ จะกล้องยี่ห้อไหน มีกี่ระบบก็ไม่มีปัญหา เพราะคนที่ใช้รู้ว่า กล้องคิดอะไรอยู่ สำหรับผมเห็นว่า mode ต่างๆไม่มีนัยสำคัญอะไร เป็นแค่เครื่องมืออำนวยความสะดวก LCD หลังกล้อง มีไว้ให้ดูว่าถ่ายติด หรือ ไม่ติด ไม่ใช่เอาไว้ตรวจสอบความถุกต้อง บางคนอาจมองว่าไม่งั้นเขาจะทำมาให้ทำไม อันนี้ก็มีส่วนจริง แต่เราควรฝึกไว้ให้เป็นนิสัย การพึ่งพาแต่จอ lcd จะทำให้เราสูญเสียพื้นฐานการถ่ายภาพที่สำคัญไป ถ้าเราเข้าใจ เราจะถ่ายได้อย่างต่อเนีอง โดยไม่ต้องมาคอยกดจอ lcd ดู ดูแต่พองามพอครับ อย่าไปพึ่งมันมาก จากคุณ : golf apo g - [ 13 ต.ค. 51 13:39:45 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยครับ  ตอนหลังๆ เนี่ย ถ้าถ่ายทั่วไป ผมปิดจอ LCD ตลอด  ประหยัดแบตด้วย ... ก้อนนึงถ่ายได้เกือบพันรูป  แต่ถ้าตอนถ่ายช็อตสำคัญที่หาไม่ได้อีก ต้องเปิดดูตลอด  มืออาชีพแท้ๆ สมัยฟิล์ม เขายังต้องมีโพลารอยด์แบ็คกันเลยนา จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 13 ต.ค. 51 15:37:21 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านดูแล้วรู้สึกยากจัง.. ใช้ใจวัดตลอดเลย เพราะวัดไม่เป็น กลัวว่าฮิสโตแกรมดูสวยงามดี แต่ภาพไม่ใช่อย่างที่อยากได้อ่ะ จากคุณ : i'm not a pro (lomocoma) - [ 13 ต.ค. 51 17:54:33 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สำหรับคนเริ่มใหม่ๆ ... histogram ไม่ได้ใช้วัดครับ  ไม่ได้ใช้ดูสวยๆงามๆด้วยครับ  ใช้เช็คดูว่า ภาพมัน over หรือ under เกินไปใหม  องค์ประกอบภาพ และมุมมอง ควรต้องวัดเสร็จ "ก่อน" กดชัตเตอร์  หลังจากกด .. เหลือบมองดูจอ LCD หน่อยว่า องค์ประกอบภาพ เป็นไปตามที่เราวัดไว้"ก่อน"กดชัตเตอร์หรือเปล่า  และถ้ามีเวลาเหลือ 2-3 วินาที ก่อนกดช็อตถัดไป เหลือบมอง histogram ซัีกแว่บ เพื่อเช็คว่า เราตั้งค่าการรับแสงถูกต้องหรือไม่  ที่ให้มอง เพราะภาพเล็กๆ บนจอ LCD จิ่วๆนั่น เชื่อถือไม่ได้  และถ้าเหลือบมองบ่อยๆ หลังถ่าย ... ช่วยป้องกันภาพเสียได้หลายอย่าง  อาทิ ตั้ง ISO ผิด .. 1600 ตอนเวลากลางวัน .. histogram มันจะโชว์ over แทบทุกภาพ (กราฟเบ้ขวามากๆ) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 13 ต.ค. 51 18:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ใช้ Histogram บ่อยๆ อีกหน่อยก็ชำนาญไปเองครับ แค่ดู Subject ก็มองออกว่า Histogram จะเป็นอย่างไรก่อนถ่าย ภาพสุดท้ายบนกระดาษจะเป็นอย่างไร บนจอเป็นอย่างไร บางทีอย่างที่คุณแมวเหมียวว่า ลืมเช็ค Setting ของกล้อง พอถ่ายไป เห็น Histogram แล้วสะดุดใจ ต้องมาเช็ค Setting อีกรอบ ถึงรู้ว่าตั้งผิด แต่ไม่เคยพึ่งพาภาพจากจอหลังกล้องเลย ไว้วางใจไ่ม่ได้เลยสักนิด มีไว้ดูองค์ประกอบคร่าวๆ Menu กับ Histogram เท่านั้น เลยปิดตลอด ยกเว้นเช็คฮีสโตแกรม จากคุณ : อะธีลาส - [ 13 ต.ค. 51 20:47:36 ]