ความคิดเห็นที่ 1 โอ จากคุณ : อะธีลาส - [ 16 ก.พ. 52 20:58:35 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อืม เอางั้นเลยหรอครับ หุหุ เป็นผม วัดที่ใบไม้ก็ได้นะครับ ผิวเราก็ได้ เอาเป็นว่า ลองฝึกไปเรื่อยๆ จะดีกว่าครับ เดี๋ยวก็คล่อง สถานการณ์จริง ไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นมั้งครับ จากคุณ : Vkvs09 - [ 16 ก.พ. 52 21:03:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใช้หลักการของ Zone system ของ Andsel Adam จัดสิ่งที่เราวัดแสงในถูก zone แล้วทุกอย่างจะเข้าไปอยู่ใน zone ที่ถูกต้องของมันเอง เหมือนตู้ขบวนรถไฟ จัดให้ถูกช่อง ส่วนที่เหลือมันจะเคลื่อนไปอยู่ในที่ของมันเอง อย่างที่คุึณไข่เจียวโหระพา กล่าวถึง โดยหลักการก็ถูกต้องครับ แต่จะเพิ่มหรือลด กี่ stop นั้น ให้ดูว่ามันอยู่ zone ไหน อย่างดำสนิท หรือ ขาวจั๊ว นั้นอยู่ใน zone ไหน จาก 10 zone ก็ชดเชย (บวกหรือลบ)ไปตาม zone ของมัน ขอให้ศึกษาเรื่อง zone system ครับ google ดูครับ ถ้าเข้าใจแล้ว ทุกอย่างก็จะไม่ยากเลย ถ้าอยากได้ reference ของแท้จากผู้คิดระบบนี้ ก็ซื้อหนังสือชื่อ The Negative ของ แอนเซิ่ล ดูเลยครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:05:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณทุกท่านครับคือผมมีข้อสงสัยบางอย่างครับ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเกิดสำดำที่ผมกำลังวัดเนี่ย มันมืดกว่าเทากลางอยู่3 สตอป เวลาวัดแสง กล้องจะดันความสว่างเพิ่ม เข้าไป3สตอปให้เป็นเทากลาง ก็คือผมต้องดันมันกลับ-3สตอปให้มันไปอยู่ที่เดิม ถึงจะได้ค่าแสงที่ตรงใช่มั๊ยครับ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 16 ก.พ. 52 21:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มันขึ้นอยู่กับคนต้องการให้ตรงไหนเป็นค่าที่ต้องการด้วยนะครับ  เช่นมีอะไรสีขาวอยู่ในรูป และคุณวัดเฉพาะจุดตรงสีขาวแล้ว +2 เนี่ย มันก็จะพอดีที่สีขาวนั้น แต่ subject ที่เราต้องการจริงๆ   ก็อาจจะกลายเป็น under หรือ over ก็ได้ครับ ถ้าจะให้ออกมาตรงกับที่ต้องการที่สุด ก็วัดที่ subject นั่นแหละครับ ไม่งั้นก็ลองถ่ายคร่อมเอาก็ได้ครับ จากคุณ : Balleno - [ 16 ก.พ. 52 21:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่กล้าตอบ เพราะหัวข้อกระทู้ นี่แหละครับ อิอิ ไม่รู้ว่าอายุเป็นน้าได้หรือป่าว :p  ปล. น้าๆ ข้างบนช่วยตอบหมดแล้วนะครับ จากคุณ : devnow - [ 16 ก.พ. 52 21:22:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ใช้แล้วครับ มันก็คือ จัดให้มันอยู่ใน zone ที่มันควรอยู่ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถูกครับ แต่ต้องเป็นแบบเฉพาะจุด และถ้าเป็นไปได้ ซูมเข้าไปวัดแสงเลย เอาใช้ชัวร์ว่า แบบจุดมันวัดเฉพาะจุดนั้น จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 21:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทำไมยากจังครับ ลืมท้อแล้วครับ จากคุณ : กบน้อย410อายุ 6 เดือน - [ 16 ก.พ. 52 21:29:23 A:58.8.135.164 X: TicketID:203702 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยสนใจแล้วครับ  คั้ง raw แล้ว "เหลือบ" มอง histogram "แว่บนึง"หลังถ่าย เป็นพอ ขอเพียงไม่ตกขอบซ้ายหรือขอบขวา .. เดี๋ยวมาว่ากันอีกที  ยุคนี้ ยุคดิจิตอล ... มันมีตัวช่วยเพียบ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 16 ก.พ. 52 21:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เอาอย่างนี้ครับ ผมมี reference ผมไม่ขอบอกว่าใครเข้าใจถูกหรือผิดอย่างไร ให้อ่านหนังสือ เรื่อง The Negative โดย Ansel Adam ผู้คิดระบบนี้ขึ้นมา เรื่องหน้าอยู่ที่หน้า 47-97 ให้อ่านที่หน้า 57-58 แอนเซิ่ล เขียนไว้อย่างชัดเจน และยกตัวอย่างอย่างชัดเจน ถ้าคุณระบุ Zone ให้ถูกต้อง อันอื่นๆ ที่เหลือมันจะไปอยู่ในโซนของมันเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณระบุท้องฟ้าให้ถูกโซน บ้าน ต้นไม้ อะไรก็ตามที่เหลือ มันจะไปอยู่ในโซนที่ถูกต้อง ดังนั้นคุณจะวัดตรงไหนก็ได้ ที่คุณคิดว่าคุณจัดมันเข้า zone ที่ถูกต้อง แล้วชดเชย ส่วนที่เหลือมันจะเข้าไปโซนของมันเอง  โซนมันขยับไป ไม่ใช่แช่อยู่อย่างเดิม เหมือนความเข้าใจผิดๆ ที่เกลื่อนกับอยู่ตามเว็บบอร์ด ถ้าต้องการอ่านเข้าใจง่ายๆ ให้ซื้อหนังสือ 2 เล่มนี้มาอ่าน Perfect Exposure (by Jim Zuckerman) Simplified zone system (by Bahman Farzad) ทีนี้คนอ่านหัวข้อนี้จะเชื่อใคร ขอให้ศึกษาเพิ่มเติมครับ หนังสือ และ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จะทำให้กระจ่างครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:40:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณจะสนใจ Zone system หรือไม่ ไม่สำคัญครับ แต่มันเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญ ของคนเรียนเรื่องการถ่ายภาพครับ และมันจะเป็น ความรู้ ที่สำคัญ สำหรับคุณไปตลอด คุณจะใช้ หรือ คุณจะไม่รู้ ก็เป็นเรื่องของคุณครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็น สิ่งสำคัญมาก และทำให้เห็นความเป็นอัจฉริยะ ทางด้านวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ของคนที่ชื่อว่า Ansel Adams และทำให้เรา เข้าใจ เรื่องการ exposure ได้อย่างน่าทึ่ง แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 00:42:45 จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ครับ ขอต่อนะครับ  สมมติ(อีกละ)กระดาษขาวจั๊ว อยู่กลางแจ้งแสงสว่างประมาณ11โมงเช้า ถ้าวัดแสงที่กระดาษ อันนี้ผมควรจะชดเชย+2ใช่มั๊ยครับ แล้ว....กระดาษแผ่นเดิม เอาเข้ามาในห้องนอน มีแสงสว่างนิดเดียวประมาณว่าไม่เปิดไฟ แสงเข้าหน้าต่างเล็กน้อย ในกรณีนี้กระดาษ ขาวจั๊ว ของผมจะต่างจากกรณีกลางแดดถูกมั๊ยครับ เนื่องจากมีแสงน้อย กระดาษจึงสะท้องแสงออกมาน้อยด้วยถ้า จะถ่ายให้ได้ตามที่ตาเห็นขณะนั้น ผมควรจะชดเชยแค่ประมาณซัก+2/3 หรือ+1 ก็พอใช่มั๊ยครับ ถามต่อว่าถ้าจะจัดโซนให้กระดาษขาวจั๊วของผม(ประมาณเอานะครับ) ในกรณีกลางแดด มันจะอยู่ประมาณโซน9-10 แต่ถ้าในกรณีในห้อง มันจะอยู่ประมานโซน6-7(เนื่องจากสว่างน้อยลง) ผมพอจะเข้าใจถูกมั๊ยครับ ****เหตุที่ถามเนื่องจากผมอยากทดสอบความเข้าใจของผมเองบางอย่างด้วยครับว่าเข้าใจถูกทางรึเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 21:48:38 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 21:46:22 จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 16 ก.พ. 52 21:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รอ....เก็บเกี่ยว ความรู้ จากคุณ : โยไก (โยไก ชไนเดอร์) - [ 16 ก.พ. 52 21:44:40 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถูกครับ  น้าไข่เจียวโหระพา จริงๆแล้วอยากจะบอกว่า ใช้คำว่า "ความสว่าง" จะเข้าใจง่ายขึ้นครับ กระดาษกลางแดด จะสว่างกว่า กระดาษในห้องแน่นอนครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 21:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กระดาษขาวจั๊ว อยู่กลางแจ้งแสงสว่างประมาณ11โมงเช้า ถ้าวัดแสงที่กระดาษ อันนี้ผมควรจะชดเชย+2ใช่มั๊ยครับ ................................ ผมให้อยู่ใน Zone 9 และอยู่ในช่วง dynamic range ถ้าคุณยังเห็น texture ของกระดาษมันก็จะอยู่ที่ zone 8 ซึ่งอยู่ในช่วง texture range ทีนี้ มันอยู่ใน zone 9 แต่กล้องเห็นเป็น zone 5 ถ้าเราไม่ชดเชยใดๆ เลย ภาพมันจะ under แน่นอน ดังนั้น จัดให้มันอยู่ใน zone ทีีมันควรเป็น คือ zone 9  การจัดมันไปอยู่ zone 9 มีแนวคิด คือ จากกล้องมองที่ zone 5 ให้มันมองให้ถูกต้องคือ zone 9 ดังนั้นต้องเพิ่มอีก 4 stop ในทำนองเดียวกัน ถ้ากระดาษอยู่โซน 8 เราก็จะเพิ่ม 3 stop ถ้ากระดาษอยู่ที่ โซน 7 เราเพิ่มเพียง 2 stop จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เสียดายแจกกิ๊ฟไม่ได้ งั้นผมคงแจกน้าไปแล้ว  เพราะตั้งกระทู้ถามบ่อย แต่ละคำถาม มีสาระ และบ่งบอกว่าได้ศึกษามาแล้ว ไม่ได้ถามแบบเหวี่ยงแหสุ่มๆ เป็นประโยชน์ทั้งคนถาม และคนตอบครับ  ทุกวันนี้เทคโนโลยีจะสะดวกขึ้นเยอะ แต่การเรียนรู้ ก็ต้องขวนขวายครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 21:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถามต่อว่าถ้าจะจัดโซนให้กระดาษขาวจั๊วของผม(ประมาณเอานะครับ) ในกรณีกลางแดด มันจะอยู่ประมาณโซน9-10 แต่ถ้าในกรณีในห้อง มันจะอยู่ประมานโซน6-7(เนื่องจากสว่างน้อยลง) ................. ความเข้าใจของคุณกระจ่างมากๆ เลยครับ (ถ้ายังไม่ต้องสนใจตัวเลข zone-- เปิดดูได้ครับว่า subject แบบไหนอยู่โซนไหน ผมก็จำไม่ได้ จดใส่กระเป๋า หลังๆ ซื้อ 18% gray card มาใช้ ง่ายที่สุด) ขอบคุณ คุณปืนเถื่อนครับ ที่ช่วยตอบ และใช้คำว่า ความสว่าง  ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเยอะ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 21:58:24 ]

ความคิดเห็นที่ 19 . จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 22:08:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ถูกครับ แต่ต้องเป็นแบบเฉพาะจุด และถ้าเป็นไปได้ ซูมเข้าไปวัดแสงเลย เอาใช้ชัวร์ว่า แบบจุดมันวัดเฉพาะจุดนั้น ................................. เป็นวิธีการที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ ครับ หลายๆคนลืมบอกไปว่า ให้ตั้งค่าเป็นแบบวัดแสงเฉพาะจุด เพราะถ้าใช้การวัดแบบอื่นๆ ไม่เข้าหลักการ zone system ครับ ................................... ขอบคุณ คุณปืนเถื่อนที่เข้ามาแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 22:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เอารูปนี้ดีกว่าครับ เข้าใจง่ายกว่า จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 22:11:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อันนี้เป็น link ไปที่ ผู้เขีียนหนังสือ Zone system ที่อ่านง่ายที่สุด ผู้เขียนกล่าวว่า ถ้าคุณจบตั้งแต่มัธยม คุณจะอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจแน่นอน http://simplifiedzonesystem.com/ Believe it or not, exposure skills DO NOT COME with it! When you buy an expensive GUITAR, you KNOW that playing skills DO NOT COME with it! When you buy an expensive CAR, you KNOW that driving skills DO NOT COME with it! When you buy an expensive CAMERA, why, then, do you NOT KNOW that exposure skills DO NOT COME with it? จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 22:17:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณ ทุกท่านมากๆเลยนะครับ ผมดีใจมากๆครับที่ได้รับคำตอบจากทุกท่าน ขอบคุณครับคุณ ปืนเถื่อน และคุณ amdmf04 สำหรับโซนและลิ้ง ผมสงสัยเรื่องนี้มานานและคิดว่าคนอื่นก็น่าจะเหมือนผม .................................................................................. ทีนี้ขอถามอีกนะครับ(อย่าเพิ่งเบื่อผมนะครับ) มาคราวนี้ เรื่องเครื่องมือวัดแสง บางครั้งผมออกไปข้างนอกอาจจะไม่ได้พกกระดาษเทากลางไปด้วย  ผมสามารถใช้วิธีนี้ได้มั๊ยครับ ผมวัดแสงที่กระดาษเทากลางในโหมดM ให้ค่าแสงพอดี หลังจากนั้นผมก็มาวัดที่ฝ่ามือของผมครับ โดยดูมาตรวัด ปรากฏว่า สว่างกว่าเทากลาง ประมาณ2/3สตอป ทีพอผมรู้แล้วว่าฝ่ามือผมสว่างกว่าเทากลาง2/3สตอป เวลาไปข้างนอก และต้องการได้แสงที่ตรงผมก็สามารถที่จะใช้ฝ่ามือของผมนี่แหละในการวัดแสง โดยวัดที่ฝ่ามือแล้ว+2/3สตอป อย่างนี้ใช้ได้มั๊ยครับ  โดยกรณีนี้ผมและวัตุที่จะถ่ายอยู่ในสภาพแสงเดียวกัน ปล.ที่ไม่ใช้หลังมือเพราะ ผม ขาว-ดำค่อนข้างง่ายครับเวลาออกแดด แต่ฝ่ามือนี่ไม่ค่อยเปลี่ยนสีเท่าไร แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 22:24:38 จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 16 ก.พ. 52 22:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 24 โดยกรณีนี้ผมและวัตุที่จะถ่ายอยู่ในสภาพแสงเดียวกัน ============================= กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับวัตถุครับ เพราะว่าวัดแสงที่กระดาษเทา และฝ่ามือ ดังนั้น ควรมั่นใจว่า สภาพแสงขณะวัดแสงที่กระดาษ และฝ่ามือ เป็นสภาพแสงเดียวกันกับขณะที่อยู่ข้างนอกและจะถ่ายครับ อย่างที่บอกไปว่า ให้ใช้คำว่า "ความสว่าง" เป็นหลัก ดังนั้น ถ้าความสว่างของแสงขณะวัดแสง เช่น วัดในบ้านก่อนออกไปถ่าย กับขณะออกไปถ่ายซึ่งอยู่กลางแดด ไม่เหมือนกัน ค่าที่ได้ก็จะเพี้ยน แต่ผมว่าคงไม่มากหรอกครับ ======================================== ชื่นใจกระทู้นี้จังครับ ขอบคุณคนตั้งกระทู้ และน้า amdmf04 ครับ บอกตรงๆ  รู้จักไอ้ Zone System ครั้งแรกในชีวิตก็กระทู้นี้แหละครับ ส่วนที่รู้มาก็อาศัยอ่านๆ แล้วก็ลองทำดูครับ  ขอบคุณจริงๆ ปล. ตามลิ้งค์ ที่น้าamdmf04 แปะให้แล้ว สงสัยได้เสียเงินซื้อหนังสือเพิ่มอีกเล่ม ชัวร์ แก้ไขจากท่อนกลางครับ (ขอไม่ลบ เพราะว่าจะทำให้เข้าใจความสับสนของผมครับ)   เข้าใจถูกต้องแล้วครับ จากข้อความท่อนกลางของผม นึกไปนึกมา อ้อ... เวลาวัดแสงที่มือกับกระดาษในบ้าน แล้วออกไปเจอแสงข้างนอก ความสว่างของมือกับกระดาษมันก็เพิ่มตามเหมือนกันนี่หว่า  เหอๆๆ   แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 22:38:07 จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 16 ก.พ. 52 22:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ดีจังครับ ถามและตอบแบบยกตัวอย่าง ทำให้ง่ายในการเข้าใจ ได้ความรู้ใหม่อีกแล้ว จากคุณ : neo classic - [ 16 ก.พ. 52 22:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เฮ้อออ....ถอนหายใจอย่างรู้สึกดี ^_^ ผมกระจ่างขึ้นมากเลยครับในเรื่องที่สงสัย เหมือนยกดาวเคราะห์ออกจากหัวเลย(เวอร์ไปมั๊ย) ****ขอบคุณมากๆนะครับ ที่สละเวลามานั่งอธิบายให้ผมเข้าใจ        ผมเองก็ดีใจครับ ที่คำถามของผมมีประโยชน์กับท่านอื่นๆด้วย        ตอนนี้ดึกแล้ว ผมคงไม่รบกวนแล้วครับ โอกาสหน้าถ้าหากมีเรื่องสงสัยอีก ขอความกรุณาจาก น้าๆ อีกนะครับ ผมเองก็ต้องไปนอนละครับพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า สวัดดีครับ ปล.หนังสือน่าสนใจอย่างที่น้าปืนเถื่อนว่าจริงๆ อุอุ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 52 22:58:02 จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 16 ก.พ. 52 22:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทีพอผมรู้แล้วว่าฝ่ามือผมสว่างกว่าเทากลาง2/3สตอป เวลาไปข้างนอก และต้องการได้แสงที่ตรงผมก็สามารถที่จะใช้ฝ่ามือของผมนี่แหละในการวัดแสง โดยวัดที่ฝ่ามือแล้ว+2/3สตอป อย่างนี้ใช้ได้มั๊ยครับ  โดยกรณีนี้ผมและวัตุที่จะถ่ายอยู่ในสภาพแสงเดียวกัน ................. ถูกต้อง ครับ ช่างภาพมืออาชีพหลายๆ คนก็เขียนหนังสือ และแนะนำเทคนิคนี้ครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 22:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แนะนำหนังสือเล่มอื่นๆ เพิ่มเติม ครับ ที่ผมมีอยู่และี่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการวัดแสง ดังภาพครับ เล่มที่ตรงที่สุด คือ The Negative เพราะคนเขียน คือ คนคิดค้น จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 23:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 29 และขอนำประโยคจากหนังสือ The Negative มาเพื่อเป็นข้อมูลในการที่จะ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ กับข้อมูลที่เห็นๆ กันตามเว็บบอร์ด   เป็นประโยคจากหน้าหนังสือที่ 59 ย่อหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 1-2 Thus the essential rule : we can place any one luminence value on any zone of the exposure scale, and doing so will determine the camera exposure. Reference Adams, A.1996. The Negative. 16th edt. Little, Brown Company, Canada. 272 pp. จากคุณ : amdmf04 - [ 16 ก.พ. 52 23:51:41 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กระทู้ดีมีสาระ.. ศึกษาให้ดีครับ มันเป็นพื้นฐานอย่างง่ายของการเปิดรับแสง ที่มีคนเก่งมากๆ ย่อยความยากของ Tone Curve ลงมาให้แล้ว และเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายตั้งแต่ระดับต้น จนถึงระดับซับซ้อนสุด เวลาฝึก เราจะฝึกกับโหมด M วัดแสงเฉพาะจุด (ระบบอื่นก็ได้ แต่ไม่สะดวก) ถ้ารู้หลักการแล้ว ก็เอาไปประยุกต์ใช้ได้ทุกโหมดถ่ายภาพ และวัดแสง พอใช้ได้คล่องแล้ว ก็จะเลิกคิดถึงมันไปเอง เวลาเห็นสิ่งที่จะถ่าย นิ้วจะหมุนแป้นชดเชยแสงไปรอ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปซะอีก ถ้าชอบเรื่องนี้ อยากให้ปรุโปร่งจริงๆ ต้องเล่นคู่กับฟิล์มขาวดำครับ แล้วจะซึ้งในเทคนิคของการเลื่อนโซน และปรับความกว้างของโซน จากคุณ : อะธีลาส - [ 16 ก.พ. 52 23:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โดนใจ...โดนใจสุดๆ ครับกระทู้นี้  ขอบคุณมากๆเลยครับ....ช่วยเสริมความมั่นใจเรื่องความเข้าใจการวัดแสงและการชดเชยแสงสำหรับผมมากๆเลยครับ  ผมเองก็เพิ่งได้ลองทำการทดลองเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้อยู่พอดีเลยอยากนำมาฝากกันครับ  มีวิธีการตามรูปดังนี้ครับ สิ่งที่อยากรู้ : อยากทราบค่าการชดเชยแสงที่ถูกต้องในสภาพแสงหนึ่งๆ แนวคิด : วัดค่าแสงจากโทนเทากลางที่ถูกต้อง เพื่อเปรียบเทียบกับการวัดแสงบริเวณวัตถุสีหนึ่งๆ เพื่อศึกษาค่าที่วัดได้แตกต่างกัน รูปที่ 1 - จัดวัตถุตัวอย่างอยู่ในที่ร่มช่วงเที่ยงวัน  ทดสอบโดยลองถ่ายภาพโดยใช้การวัดแสงแบบ Matrix Metering  ตั้งกล้องโหมด A ตั้ง ISO = 200 คงที่  กล้องวัดแสงได้ F 5.6 , S 1/250 (ในข้อนี้เราอยากรู้ว่าถ้าใช้วัดแสงแบบเฉลี่ยกล้องมันจะคิดยังไง มีความผิดพลาดจากค่าแสงที่ถูกต้องมากแค่ไหน ซึ่งวิธีวัดแบบเฉลี่ยผมไม่เน้นนะครับผมว่ามันประเมิณค่ายากพอควรสำหรับผม) รูปที่ 2 - ปรับการวัดแสง Spot Metering เล็งวัดแสงไปที่กระดาษสีเทากลาง  กล้องจะวัดโทนสีเทากลางได้ F 5.6 , S 1/400  ซึ่งค่า Speed ที่ได้นี้เป็นค่าที่กล้องเปิดรับแสงได้สีของภาพที่ถูกต้องตามที่เราเห็นจริงๆ  สมมุติให้สภาพแสงในภาพนี้เป็น 0.00 รูปที่ 3 - ปรับการวัดแสง Spot Metering เล็งวัดแสงไปที่ Hood สีดำ กล้องวัดแสงได้ F 5.6 , S 1/160  จะเห็นได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับค่า Speed ในรูปที่2 จะเห็นว่ามีความต่างกันอยู่ประมาณ +1.30 stop ดังนั้นเราก็จะทราบว่าในสภาพแสงแบบนี้ถ้าจะชดเชยแสงโดยการวัดแสงแบบจุดไปที่วัตถุสีดำนั้น  ควรจะชดเชยแสงไปทาง -1.30 stop เพื่อให้ได้ค่าแสงที่ตรงกับตาเห็นมากที่สุด การทดลองนี้สามารถประยุกต์ใช้กับวัตถุในสภาพแสงอื่นๆ ได้อีก เช่น กลางแจ้ง , ในที่ร่ม , ฯลฯ  อีกทั้งกับวัตถุสีอื่นๆ เช่น สีขาว , สีแดง , สีน้ำเงิน , ฯลฯ  เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าสภาพแสงและสีต่างๆกัน ให้ผลต่อการชดเชยแสงต่างกันยังไง  ดังนั้นต่อไปถ้าเราถ่ายรูปเราจะได้ชดเชยแสงได้ถูกต้องโดยไม่ต้องหวังในการใช้วัตถุสีเทากลางเป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียว แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 02:27:32 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 02:07:06 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 02:04:40 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 02:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โทษทีครับ รูปไม่ขึ้น... จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 02:08:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยอดเยี่ยมครับ ตัวอย่างชัดเจน แม่นยำ และเหมาะแก่การนำไปเผยแพร่ ครับ อยากให้เจ้าของความเห็น โพสเป็นหัวข้อใหม่เลยครับ ผมชอบที่มันมีตัวอย่าง และมันชัดเจนมากๆ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 02:13:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่า วัดที่ไหนก็ได้ แต่จัดให้มันอยู่ใน Zone ที่ถูกต้อง แนะนำให้โพสขึ้นหัวข้อใหม่เลยครับ คุณยอดเยี่ยม มากๆ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 02:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณครับคุณ amdmf04  จริงๆแล้วทฤษฎีเกี่ยวกับการถ่ายภาพผมก็ยังไม่ค่อยแน่นพอครับ...เหมือนผมจะเข้าใจและก็มีแอบลังเลบ้าง  ว่าไปแล้วก็ยังมีข้อสงสัยจะถามคุณ amdmf04 รบกวนด้วยครับ ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะครับ...คือว่า... เรื่องกระดาษสีเทากลางก็คือกระดาษที่ได้จากการผสมสีขาวและดำเท่าๆกันแต่จะมีค่าการสะท้อนแสง 18%  ผมอยากทราบว่าค่าการสะท้อนแสง 18% ตามทฤษฎีนี้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพแสงรึเปล่าครับ  เช่น ถ้าเราใช้กระดาษเทากลางนี้วางไว้ในที่ร่ม  กับถ้าเราใช้กระดาษเทากลางแผ่นเดียวกันนี้วางไว้ในที่กลางแจ้ง  2 สถานที่นี้จะได้ 18% เหมือนกันรึเปล่าครับ...ในความเข้าใจผมคิดว่ามันน่าจะเท่ากันนะ  เพราะ % การดูดกลืนแสงของสีเทาจะคงที่ 82% แต่จะแปรผันแค่ตามปริมาณแสงตกกระทบ ถ้าแสงมากก็ดูดแสงมากแสงน้อยก็ดูดแสงน้อยในสัดส่วนเท่ากัน  ดังนั้นไม่ว่าแสงจะเข้มหรืออ่อนกล้องจะมองแค่สัดส่วนการสะท้อนที่ 18% เท่านั้น   ผมเข้าใจถูกรึเปล่าครับ ? แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 03:08:35 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 03:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เกริ่นนำนิดนะครับ แสงที่เราคำนึงถึงจะมี 2 แบบ (คำแปลภาษาไทยอาจจะไม่ตรง ให้ยึดศัพท์ภาษาอังกฤษ ครับ และแปลความหมายตามศัพท์ภาษาอังกฤษ) 1. แสงสะท้อน (reflect light) 2. แสงที่ตกกระทบ (incident light) การวัดแสงก็จะมี 2 แบบตา่มข้างบน 1. วัดแสงที่สะท้อน 2. วัดแสงที่ตกกระทบ ทีนี้ 18% gray card มันคือ a gray card represents the standard reference value which all photo light meters are calibrated against. A gray card reflects 18% of the light which falls upon it.* (reference : http://www.acecam.com/magazine/gray-card.html) แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การ์ดสีเทาที่เป็นตัวแทนของค่าเปรียบเทียบมาตราฐานที่เครื่องวัดแสงได้ทำการปรับให้เข้ากับการ์ดนั้น การ์ดสีเทานี้จะสะท้อนแสง 18% จากแสงที่มากระทบมัน ทีนี้ถามว่ามันสะท้อนแสงเท่ากันไหม ถ้าไปอยู่ที่ร่ม หรือ ที่แจ้ง --> เท่ากันครับ เพราะคุณสมบัติมันคือ สะท้อนแสงที่ได้ค่าเท่ากับ 18% ของแสงที่มันมาตกกระทบ แต่ทีนี้บางคนสงสัยว่า แล้วค่าที่เราจะถ่ายภาพมันเท่ากันไหม (Fstop, speed) โดยที่ค่า iso เป็นค่าคงที่ อยู่ข้างนอก แดดจ้า อยู่ในห้อง แสงน้อย --> ค่าวัดแสงที่กล้อง (Exposure value) จะบอกเรา ครับ อยู่ในห้อง คุณต้องใช้ F น้อยลง หรือ/และ ใช้ speed นานขึ้น  เมื่อเทีียบกับค่าที่วัดแสงวัตถุเดียวกันที่อยู่กลางแจ้ง และเหตุผลนี้สอดคล้องกับความเป็นจริง ยกตัวอย่างง่ายๆ การ์ดสีเทา อยู่ใต้ร่มเงาธรรมดาๆ มันจะอยู่ Zone 5 (กระดาษสีขาวอยู่ใต้ร่มเงา เห็นเป็นสีขาวดูง่ายๆ สบายตา) ทีนี้นำการ์ดใบเดียวกันไปที่แจ้ง  การ์ดนั้นมันจะเป็นวัตถุที่อยู่ในู่ Zone 6 (นำกระดาษสีขาวใบเดียวกันนั้นไปกลางแจ้ง สีขาวจ้ามาก ดูยาก) ทีนี้นำการ์ดใบเดียวกันอีกไปในห้องแสงน้อยๆ การ์ดนั้นจะเป็นวัตถุที่อยู่ใน zone 4 (นำกระดาษสีขาวมาอ่านในห้องแสงน้อยๆ กระดาษดูหม่นๆ ไม่ขาวเท่าเดิม) แต่ถามว่าการ์ดนั้นสะท้อนแสง 18% ใช่ไหม --> ใช่ครับ ไม่ว่ามันจะไปอยู่ zone ไหน มันก็สะท้อนแสงได้ 18% ตามคุณสมบัติของมัน แต่ถ้าถามว่าการ์ดนั้นสว่างน้อยลงไหม ถ้านำมันมาไว้ที่ห้องแสงน้อยๆ หรือ การ์ดนั้นสว่างมากขึ้นไหม หากนำไปกลางแดดจ้า --> ใช่ครับ เพราะปริมาณแสงที่มาตกกระทบการ์ดนั้น มากขึ้น (เพราะไปอยู่กลางแจ้ง) หรือ น้อยลง (เพราะไปอยู่ในห้องแสงน้อยๆ) ถ้าไม่มีการ์ด --> กลับไปอ่านข้างบนครับ จะมีการ์ดหรือไม่มีการ์ด ไม่เป็นไร ถ้าระบุโซนให้กับ วัตถุที่คุณวัดถูก  วัตถุหรืออะไรอื่นๆ ที่เหลือ มันจะไปอยู่ในโซนของมันเอง แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 06:16:17 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 06:15:03 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 06:06:41 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 05:54:45 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 05:31:38 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 04:50:22 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 04:48:21 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 03:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ 18% ว่าจริงๆ เป็น 12% ดังลิงค์ที่ผมแปะไว้ ถ้าสนใจก็ google อ่านเพิ่มเติมได้ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะชินกับระบบ 18% แล้ว และก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร หรือ ต้องไปดิ้นรนอะไร ที่จะคิดว่ามันเป็น 12% ให้เค้าโต้แย้งกันอย่างสนุกสนานไป ผมขอถ่ายรูปดีกว่า ส่วนจะวัดแสงด้วยวิธีการใด ไม่ว่าจะ spot, matrix, average หรือ จะเหลือบดู histogram ก็เป็นเรื่องของตัวบุคคลไปครับ ใครชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น ใครอยากเรียนรู้ อยากศึกษาแบบไหนก็ไปตามนั้น มันอยู่ที่แก้วน้ำครับ ว่าแก้วนั้นเต็มหรือยัง และแก้วนั้นเลือกน้ำ หรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 05:34:42 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 03:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กระจ่างแจ้งเลยครับคุณ amdmf04  ทำให้ผมได้รับความรู้ใหม่ๆ ช่วยเสริมเข้าใจดั่งเดิมที่เคยมีด้วยครับ  ขอบคุณมากๆเลยครับ  ถ้ามีอะไรแนะนำเพิ่มเติมจะขอรบกวนเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้อีกนะครับ...สุดยอดจริงๆครับ!!! จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 05:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ทีนี้ผมมีคำถาม หากนำการ์ดเทากลางไปผูกคอแมวสีออกขาวนวลๆ ถ่ายภาพการ์ดเทากลางกับแมวด้วยกันในที่ร่มธรรมดาๆ ได้ F5.6 shutter 100 1. ถ้าใช้ค่าเดียวกันนี้ F เท่าเดิม speed เท่าเดิม แต่ไปถ่ายภาพการ์ดกับแมวสีขาวนวลๆ ในห้องสว่างน้อยๆ ภาพออกมาเป็นอย่างไร การ์ดจะสว่างขึ้นหรือน้อยลง แมวจะดำขึ้น หรือ สว่างขึ้น ? 2. ถ้าใช้ค่าเดียวกันนี้ F เท่าเดิม speed เท่าเดิม แต่ไปถ่ายภาพการ์ดกับแมวสีขาวนวลๆ กลางแจ้ง แดดจ้าๆ ภาพออกมาเป็นอย่างไรการ์ดจะสว่างขึ้นหรือน้อยลง แมวจะดำขึ้น หรือ สว่างขึ้น ? อีกกรณี ถ่ายภาพการ์ดเทากลางกับแมวด้วยกันในที่ร่มธรรมดาๆ ได้ F5.6 shutter 100 1. ใช้ F เท่าเดิม แต่ไปถ่ายภาพการ์ดกับแมวสีขาวนวลๆ ในห้องสว่างน้อยๆ  shutter speed ที่ได้จากการวัดจากตัวการ์ดแล้ว Exposure value = 0 จะมากขึ้นหรือน้อยลง การ์ดจะมีความสว่างน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น แมวจะสว่างน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น 2. ใช้ F เท่าเดิม แต่ไปถ่ายภาพการ์ดกับแมวสีขาวนวลๆ กลางแดดจ้าๆ  shutter speed ที่ได้จากการวัดจากตัวการ์ดแล้ว Exposure value = 0 จะมากขึ้นหรือน้อยลง การ์ดจะมีความสว่างน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น แมวจะสว่างน้อยลงหรือเพิ่มขึ้น น่าสนใจนะครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 06:17:55 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 06:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ทีนี้คำถามเกิดขึ้นว่าต้องวัดที่ตัว subject เลยไหม ผมยกตัวอย่างง่ายๆ มีบ้าน 1 หลัง มีหิมะปกคลุม หน้าบ้าน ต้นไม้สีน้ำตาล 1 ต้น บ้านอยู่ใน zone 5 เพราะทาสีเทากลางพอดีเลย หิมะอยู่ใน zone 7 เพราะวันนั้นแดดจ้าทีเดีียว ต้นไม้่อยู่ใน zone 4 มันสว่างน้อยกว่าบ้านไปบ้างพอสมควร กรณีที่ 1 ผมวัดแสงและกำหนดให้บ้านอยู่ zone 5 ก็ทำให้หิมะอยู่ zone 7 เหมือนเดิม  ต้นไม้อยู่ zone 4 เหมือนเดิม ภาพโอเค : ) กรณีที่ 2 ผมไม่วัดแสงที่บ้านละ ผมวัดที่หิมะ หิมะอยู่ใน zone 7 แต่กล้องเห็นหิมะเป็น zone 5 มันก็จะมองบ้านเป็น zone 3 มองต้นไม้เป็น zone 2  อย่างทีผมบอกครับ มันเหมือนตู้รถไฟ ไปไหนไปกัน   เมื่อผมวัดที่หิมะ ผมก็ต้องทำการผลักมันไปอยู่ในโซนที่ถูกต้อง จากที่มองเป็นโซน 5 มันต้องเป็น zone 7 ดังนั้นผมต้องเพิ่มอีก 2 stop ในการผลักมันไปที่ zone 7 เมื่อผมผลักหิมะไป zone 7 บ้านก็ต้องถูกผลักจาก zone 3 ไปเป็น zone 5 ต้นไม้่้ถูกผลักจาก zone 2 ไปเป็น zone 4 ภาพเหมือนกรณีที่ 1 เป๊ะๆ ใช่ไหมครับ ทุกอย่างไปอยู่ในโซนของมันเหมือนเดิม ตอบคำถามได้ชัดเลยว่า จำเป็นต้องวัดที่ subject หลักไหม ?? กรณีนี้ผมให้บ้าน เป็น subject หลัก แต่ผมไม่วัดแสงที่บ้าน ไปวัดที่หิมะ แล้วจัดโซนให้มันถูก มันก็ได้ค่าเท่ากับวัดแสงที่บ้าน เอาอีกๆ ผมให้บ้านเป็น subject หลัก แต่วัดแสงที่ต้นไม้  แล้วจัดโซนให้มันถูก ด้วยการชดเชย ถามว่า ภาพที่ได้จะเหมือนกรณีที่ 1 ไหม ???? จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 06:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ลองตอบคำถามดูครับ... ข้อ ก.แมว+เทากลาง 1. ในห้องสว่างน้อยๆ ถ้าใช้ F , Speed เดิมๆ  การ์ดจะสว่างน้อยลงและแมวจะดำขึ้นครับ  เหตุผลเพราะค่า F , Speed เดิมนั้นมันพอดีกับการรับ 18% ของแสงเทากลางในที่ร่มธรรมดาซึ่งสว่างกว่า 18% ของในห้องที่สว่างน้อยๆ ดังนั้นปริมาณแสงจึงน้อยกว่าจุดที่เหมาะสม 2. ในบริเวณกลางแจ้งผลก็จะตรงกันข้ามกับข้อ 1 ครับ ข้อ ข.แมว+เทากลาง 1. ในห้องสว่างน้อยๆ Speed จะช้าลง  การ์ดและแมวจะสว่างพอดี 2. ในบริเวณกลางแจ้ง Speed จะเร็วขึ้น  การ์ดและแมวจะสว่างพอดี ถูกป่าวครับ ? แหะๆ ---------------------------------------------------------------------- จากข้อ 36 & 40 ผมลองประมวลความเข้าใจของผมได้ ดังนี้ 1. วัตถุทุกชนิดจะมีค่า% การสะท้อนแสงในตัวมันเองคงที่ ไม่ว่าจะมีปริมาณแสงที่ตกกระทบจะมากหรือน้อย มันก็จะสะท้อนมากน้อยแปรผันตาม % เดิม 2. วัตถุเดียวกันเจอปริมาณแสงตกกระทบต่างกัน  จะทำให้ค่าแสงที่สะท้อนออกมาต่างไปด้วย  ซึ่งอาจทำให้โซนเปลี่ยนไปได้จากตัวอย่าง การ์ดสีเทา อยู่ใต้ร่มเงาธรรมดาๆ มันจะอยู่ Zone 5 / ทีนี้นำการ์ดใบเดียวกันไปที่แจ้ง  การ์ดนั้นมันจะเป็นวัตถุที่อยู่ในู่ Zone 6 / ทีนี้นำการ์ดใบเดียวกันอีกไปในห้องแสงน้อยๆ การ์ดนั้นจะเป็นวัตถุที่อยู่ใน zone 4 ดังนั้นผมก็สรุปได้ว่าค่าแสงที่เหมาะสมที่วัดจากการ์ดสีเทาในสภาพแสงต่างๆ กันนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงกลาง Zone 5 เสมอไป แต่จะสามารถ Shift มากขึ้นหรือน้อยลงได้....เหมือนกับว่ากล้องมันไม่สนใจว่าแสงจะสะท้อนมากน้อยแค่ไหน  แต่มันสนใจแค่จะหาเทากลางคือสะท้อน 18% เท่านั้น ส่วนจะเป็นเทากลางที่ค่อนไปทางสว่างหรือมืดลงก็แล้วแต่ความเป็นจริง คำถามครับ 1. ตามที่ทราบว่าสามารถแบ่งโซนได้ทั้งหมด 11 โซน มืดไปยังสว่าง ตั้งแต่ 0 จนถึง 10  สีเทากลางจะอยู่ที่โซน 5 ตรงกลาง  ผมอยากทราบว่าสภาพแสงประมาณไหนครับที่จะทำให้ค่าเทากลางอยู่ที่โซน 5 ? (หมายถึงที่ร่ม , แดดเช้า สาย บ่าย เย็น, ฯลฯ) 2. จากคำถามข้อ 1. ถ้าสมมุติว่าผมมีวัตถุสีขาวขุ่นอยู่ในสภาพแสงของคำตอบข้อ 1. ผมสมมุติให้วัตถุนี้อยู่ในโซน 8 ดังนั้นถ้าวัดแสงที่วัตถุสีขาวขุ่นนี้เราต้องชดเชยแสงไป +3  แล้วในกรณีที่เราเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพแสงที่สว่างกว่านี้สมมุติให้เทากลางเลื่อนไปอยู่โซนที่ 7 และสีขาวขุ่นนี้จะเลื่อนตามกันไปอยู่ที่โซน 10 ดังนั้นถ้าวัดแสงที่วัตถุขาวขุ่นเราก็ยังคงต้องชดเชยแสงไป +3 เช่นเดิมอีกหรือไม่ ? แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 08:05:55 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 07:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาอ่าน กระทู้ดีๆ มีสาระอย่างนี้ สมควร โหวตให้เป็นอย่างยิ่งครับ และกดเก็บเข้าคลังกระทู้ไว้แล้วครับ จากคุณ : arnold_A1 - [ 17 ก.พ. 52 08:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 โดยส่วนตัวแล้วผมใช้เทคนิคนี้ในการวัดแสงมานานแล้วครับ แต่อธิบายไม่เป็น   เทคนิคในการวัดแสงโดยอิงค่าเทากลาง 18% เป็นการยากที่จะหาวัตถุที่สะท้อนค่าเทากลาง 18% ในสถานการณ์จริง  การนำเทคนิด Zone System เข้ามาใช้ในการวัดแสง จะทำให้เราวัดแสงได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น  แต่มันก็ยากในการที่จะอธิบายให้เข้าใจกันโดยง่าย น้าamdmf04 และ น้าtatacat  ช่วยกันปลดเปลือย เทคนิดนี้ ออกมาได้โล่งโจ้ง เข้าใจได้ง่าย เข้ามายกมือเชียร์ทั้ง 2 ท่านเต็มที่ครับ และคอยแอบอ่านแบบครูพักลักจำ ด้วย ว่าแล้วก็รออ่านคำตอบต่อไปครับ จากคุณ : arnold_A1 - [ 17 ก.พ. 52 08:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 44 มาช่วยไม่ทันครับ อิอิ   ตามน้า amdmf04 ไปเลย ละเอียด และชัดเจนที่สุด จากคุณ : ปืนเถื่อน โดนยึดอมยิ้ม (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 08:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ลองตอบคำถามดูครับ... ข้อ ก.แมว+เทากลาง 1. ในห้องสว่างน้อยๆ ถ้าใช้ F , Speed เดิมๆ  การ์ดจะสว่างน้อยลงและแมวจะดำขึ้นครับ  เหตุผลเพราะค่า F , Speed เดิมนั้นมันพอดีกับการรับ 18% ของแสงเทากลางในที่ร่มธรรมดาซึ่งสว่างกว่า 18% ของในห้องที่สว่างน้อยๆ ดังนั้นปริมาณแสงจึงน้อยกว่าจุดที่เหมาะสม 2. ในบริเวณกลางแจ้งผลก็จะตรงกันข้ามกับข้อ 1 ครับ ข้อ ข.แมว+เทากลาง 1. ในห้องสว่างน้อยๆ Speed จะช้าลง  การ์ดและแมวจะสว่างพอดี 2. ในบริเวณกลางแจ้ง Speed จะเร็วขึ้น  การ์ดและแมวจะสว่างพอดี ถูกป่าวครับ ? แหะๆ ................. ชัดเจนมากๆ ครับ เข้าใจได้ถูกต้องเลยครับ เผื่อมีใครยังสงสัย ทดลองทำได้เลยครับ สนุกดีครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 09:14:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คำถามครับ 1. ตามที่ทราบว่าสามารถแบ่งโซนได้ทั้งหมด 11 โซน มืดไปยังสว่าง ตั้งแต่ 0 จนถึง 10  สีเทากลางจะอยู่ที่โซน 5 ตรงกลาง  ผมอยากทราบว่าสภาพแสงประมาณไหนครับที่จะทำให้ค่าเทากลางอยู่ที่โซน 5 ? (หมายถึงที่ร่ม , แดดเช้า สาย บ่าย เย็น, ฯลฯ) ---- > ระดับความเข้มของแสงแบบนี้ตอบยากน่ะครับ มันเป็น subjective พอสมควร เอาประมาณว่า สายๆ ถึงก่อน 3-4 โมงเย็นก็แล้วกัน และระดับความเข้มนี้อาจจะไม่สำคัญนัก ลองอ่านคำตอบข้อ 2 ดูครับ 2. จากคำถามข้อ 1. ถ้าสมมุติว่าผมมีวัตถุสีขาวขุ่นอยู่ในสภาพแสงของคำตอบข้อ 1. ผมสมมุติให้วัตถุนี้อยู่ในโซน 8 ดังนั้นถ้าวัดแสงที่วัตถุสีขาวขุ่นนี้เราต้องชดเชยแสงไป +3  แล้วในกรณีที่เราเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพแสงที่สว่างกว่านี้สมมุติให้เทากลางเลื่อนไปอยู่โซนที่ 7 และสีขาวขุ่นนี้จะเลื่อนตามกันไปอยู่ที่โซน 10 ดังนั้นถ้าวัดแสงที่วัตถุขาวขุ่นเราก็ยังคงต้องชดเชยแสงไป +3 เช่นเดิมอีกหรือไม่ ? --------> วัตถุอยู่ใน zone 8 กล้องมองเป็น zone 5 ถ้าจะถ่ายภาพก็ผลักมันไปโซนที่ถูกต้อง คือ จาก 5 ไป 8 ดังนั้น เพิ่ม 3 stop  ใช่แล้วครับ นำวัตถุนั้นไปอยู่กลางแจ้งกว่า วัตถุอยู่ใน zone 9 (ไม่ใช่ 8 เพราะมันจะสว่างขึ้น) กล้องมันมองเห็นเป็น zone 5 อีกนั่นแหละ ดังนั้นต้องผลักมันไปในโซนที่มันควรอยู่ คือ จาก 5 ไป 8 ก็คือ ต้องเพิ่มไปอีก 4 stop ถ้านำวัตถุนั้นไปในที่แสงน้อยกว่า วัตถุนั้นอยู่ใน zone 7 (เพราะมันจะสว่างน้อยลง) กล้องมันก็มองเป็น zone 5 อยู่เหมือนเดิม ดังนั้นต้องผลักมันไปในโซนที่มันควรอยู่ คือ จาก 5 ไปเป็น 7 เพิ่ม 2 stop ครับ ี้สมมุติให้เทากลางเลื่อนไปอยู่โซนที่ 7 และสีขาวขุ่นนี้จะเลื่อนตามกันไปอยู่ที่โซน 10 ดังนั้นถ้าวัดแสงที่วัตถุขาวขุ่นเราก็ยังคงต้องชดเชยแสงไป +3 เช่นเดิมอีกหรือไม่ ---> ถ้าเทากลางโซน 5 มันถูกผลักไปโซน 7 โซนอื่นๆ ไม่ว่าจะโซนไหนก็ตาม มันจะถูกผลักไปอีก 2 stop ครับ เหมือนขบวนรถไฟ เหมือนการ์ดผูกคอแมว ครับ การ์ดไปไหน แมวไปด้วย จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 09:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอไปทำแบบฝึกหัดเรื่อง "โทนเทากลางในสภาพแสงต่างๆและผลต่อการชดเชยแสง" ก่อนสักครู่...เดี๋ยวเอาผลมารายงานครับ จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 10:04:56 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ุถ้าเลนส์ซูมได้ให้ซูมไปที่ตัว subject ที่ต้องการวัดแสงครับ จะได้แม่นยำขึ้น อ้อ อีกอย่าง กล้องแต่ละตัวจะวัดแสงด้วย spot metering ได้ในประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน เช่น D50 ไม่แม่นยำเท่า D300 (ยกต้วอย่างนะครับ ไม่ใช่ข้อมูลจริงๆ ถ้าอยากทราบว่ารุ่นไหนดีกว่ากันไปที่ลิงค์ข้างหลังนี้) อ่านผลการทดสอบได้ที่เว็บนี้ http://simplifiedzonesystem.com/ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 10:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอนุญาตเสริมนิดนึงนะครับ เรื่องแสงเนี่ย บางครั้งแสงที่ตรงกับความจริง ตรงกับสถานการณ์จริง ก็ไม่จำเป็นต้องตรงกับใจเราเสมอไปครับ บางครั้งแสงที่สว่างกว่าความเป็นจริงอาจจะถูกใจเรา (หรือถูกใจนางแบบ) มากกว่าก็ได้ครับ จากคุณ : sadit - [ 17 ก.พ. 52 10:27:51 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ใช่แล้วครับ จะสว่างกว่าหรือมืดน้อยกว่า ก็ตามใจผู้ถ่ายภาพอยู่แล้วครับ เพราะหลักการเรื่องนี้ แล้วแต่จะไปประยุกต์่้ใช้อยู่แล้ว Zone system คือ creative tool ไม่ใช่ rule แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 10:49:11 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 10:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ภาพนี้ผมถ่ายให้ Under กว่าปกติ เพื่อดึง detail บนพื้นหิมะ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 10:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ภาพนี้เป็นไปตามความรู้สึกคนทั่วไป หิมะ ต้องขาว แต่ขาวแบบไม่ เบิร์น ไฮไลท์ ดีเทลล์ยังเห็นจางๆ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 10:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 53 โอ้โห ไม่ได้เข้ามาแปปเดียว คุณ amdmf04 อธิบายเพิ่มเติมให้เยอะมากๆเลยครับ เดี๋ยววันนี้กลับบ้านไปต้อง อ่านอย่างรอบคอบอีกครั้งครับ  ขอบคุณมากๆครับผม ....รู้สึกซึ้งใจ มากมาย ^_^ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 17 ก.พ. 52 10:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอลบภาพออกครับ จะได้โหลดไวๆ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 23:03:35 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:00:21 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอลบภาพออกครับ จะได้โหลดไวๆ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 23:03:10 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณครับคุณ amdmf04  จริงๆแล้วทฤษฎีเกี่ยวกับการถ่ายภาพผมก็ยังไม่ค่อยแน่นพอครับ...เหมือนผมจะเข้าใจและก็มีแอบลังเลบ้าง  ว่าไปแล้วก็ยังมีข้อสงสัยจะถามคุณ amdmf04 รบกวนด้วยครับ ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะครับ ....................................................... ถามเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเองก็กำลังหาความรู้เรื่องนี้ด้วย คำถามอะไรที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ถามเลยครับ ผมและท่านอื่นจะได้ศึกษาด้วยครับ ปล.การทดลองแจ่มมากครับ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 17 ก.พ. 52 11:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตัวอย่างอีกสักภาพ ครับ ทุกภาพไม่ได้มีการปรับแสง โทน หรือ สีหลังจากบันทึกภาพผ่านกล้อง ทำการย่อมาให้ชม (ผมใช้โฟโตชอป ไม่เป็นครับ ยอมรับความจริง) จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 58 โอ้โห ไม่ได้เข้ามาแปปเดียว คุณ amdmf04 อธิบายเพิ่มเติมให้เยอะมากๆเลยครับ เดี๋ยววันนี้กลับบ้านไปต้อง อ่านอย่างรอบคอบอีกครั้งครับ  ขอบคุณมากๆครับผม ................ ได้แสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามที่ชวนให้ทบทวนความเข้าใจกันครับ ส่วนการใช้ประโยชน์นั้น ขึ้นอยู่กับคนที่จะนำไปใช้ครับ ใช้มาก ใช้น้อย ต่างกัน อันนี้ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ลองยกกรณีต่างๆ มาคุยกันก็ได้ครับ จะได้แบ่งปันประสบการณ์ และความคิดเห็นกันเพิ่มเติม ครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:09:12 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอลบภาพออกครับ จะได้โหลดไวๆ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 23:02:37 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แสดงว่า 1.กล้องวัดปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาจากกระดาษเทากลาง   ไม่ได้วัดว่ากระดาษนั้นจะมีค่าสะท้อนแสงเท่าไร 2.ดังนั้นถ้าเอาจริงๆแล้ว เราสามารถวัดแสงที่อะไรก็ได้ เพียงแค่เราพอจะรู้ หรือประมาณ ความสว่างของแสงที่สะท้อนออกมาจากสิ่งที่วัด 3.พอเราได้ค่าแสงตามสภาพจริงแล้ว หลังจากนั้นถ้าเราอยากจะให้ภาพสว่าง หรือมืดกว่าปรกติ ก็ปรับเอาตามใจเลย อันนี้ถูกมั๊ยครับ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 17 ก.พ. 52 11:21:54 ]

ความคิดเห็นที่ 61 1.กล้องวัดปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาจากกระดาษเทากลาง  ไม่ได้วัดว่ากระดาษนั้นจะมีค่าสะท้อนแสงเท่าไร --- > กล้องมันมองทุกอย่างเป็นเทากลาง ไม่ว่ากระดาษสีขาว กระดาษสีดำ หรือ กระดาษสีเทา มันถูกปรับมาให้มองทุกอย่างเป็นเทากลางมาตั้งแต่โรงงาน ครับ 2.ดังนั้นถ้าเอาจริงๆแล้ว เราสามารถวัดแสงที่อะไรก็ได้ เพียงแค่เราพอจะรู้ หรือประมาณ ความสว่างของแสงที่สะท้อนออกมาจากสิ่งที่วัด --- > วัดแสงที่อะไรก็ได้ขอให้จัด zone ให้ถูกครับ ผลักมันไปใน zone ที่ถูก 3.พอเราได้ค่าแสงตามสภาพจริงแล้ว หลังจากนั้นถ้าเราอยากจะให้ภาพสว่าง หรือมืดกว่าปรกติ ก็ปรับเอาตามใจเลย --- ใช่แล้วครับ ตามใจผู้ถ่ายภาพ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:27:18 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อย่างภาพ คห.57 ถ้าสมมตินกมันค้างอยู่ท่านั้นให้เราวัดแสง ผมจะวัดที่หัว(ขนออกดำๆ)แล้วชดเชยประมาณ -1.5 หรือผมจะวัดที่หิมะแล้วชดเชยประมาณ+1.5 ก็จะได้ภาพผลลัพธ์ ออกมาใกล้เคียงกัน เพราะถ้าเราจัดโซนความสว่างของ หิมะ/ขนนก ให้อยู่ในโซนที่ถูกต้องแล้ว ค่าแสงในส่วนอื่นๆของภาพ ไม่ว่าจะเป็น ปีกนก  ปากนก ขนบริเวณลำตัว และอื่นๆในภาพ ก็จะกลับเข้าบ้านตัวเองไปอยู่ในโซนที่ถูกต้องอย่างอัตโนมัติเลย อันนี้ เข้าใจถูกใช่มัยครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะครับ หมดเวลาพักผมแล้ว กลับบ้านจะเข้ามาอ่านใหม่ครับ เผื่อมีกรณีศึกษาที่มีประโยชน์อีกจากทุกท่านครับ...อารมณ์ดี ๆ ๆ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 11:33:31 จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 17 ก.พ. 52 11:28:29 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ใช่แล้วครับ อันนี้สมมุติคร่าวๆ ขนกลางตัวนก เทากลาง หิมะ สว่างกว่าเทากลาง 1.5 zone ขนท้ายปีกนกเทาๆ ดำ คิดว่าเป็นสวางน้อยกว่าเทากลาง 1.5 zone ดังนั้นอย่างที่คุณไข่เจียวโหระพาว่า ครับ >>>> ผมจะวัดที่หัว(ขนออกดำๆ)แล้วชดเชยประมาณ -1.5 หรือผมจะวัดที่หิมะแล้วชดเชยประมาณ+1.5 ก็จะได้ภาพผลลัพธ์ ออกมาใกล้เคียงกัน เพราะถ้าเราจัดโซนความสว่างของ หิมะ/ขนนก ให้อยู่ในโซนที่ถูกต้องแล้ว ค่าแสงในส่วนอื่นๆของภาพ ไม่ว่าจะเป็น ปีกนก  ปากนก ขนบริเวณลำตัว และอื่นๆในภาพ ก็จะกลับเข้าบ้านตัวเองไปอยู่ในโซนที่ถูกต้องอย่างอัตโนมัติเลย <<< จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 11:33:27 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ยินดีด้วยครับ สำหรับกระทู้ดีๆแบบนี้ สอนๆกันเยอะๆจะได้เป็นเยอะๆ ดีออกครับ เรื่องวัดแสง จำให้ขึ้นใจ จะใช้ไม่ใช้สักวันนึงมันจะบอกเราเองละครับ ผมละเห็นเด็กๆหลายคนแล้ว มีเงินซื้อแต่กล้อง คิดว่าเท่ห์ ถ่ายกันแต่ออโต้ อยากให้พวกนั้นได้อ่านกันจริงๆเลย จะได้ใช้กล้องกันให้คุ้มๆหน่อย จากคุณ : สสารนิยม - [ 17 ก.พ. 52 12:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ว๊า หมดแล้ว รอติดตามกระทู้ดีมีสาระ ต่อครับ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ค่อยๆเก็บไปทีละนิดครับ จากคุณ : บุรุษแห่งดวงดาว - [ 17 ก.พ. 52 12:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 66 อ่านข้อมูลมากชักปวดหัว ถือกล้องไปลองถ่ายดูมั่งดีกว่า จากคุณ : ชอบอนาลอก (Kujowa) - [ 17 ก.พ. 52 12:29:47 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ดีที่สุด ครับ ถือกล้องออกไปลองเลย ดีที่สุด เข้าใจง่ายที่สุึด ผมอ่านไม่เข้าใจ ผมก็ทำแบบนี้ ครับ แล้วก็มาอ่านใหม่อีก แล้วก็ออกไปทดลองอีก สนุก และ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ดีมาก จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 12:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 68 หยิบกล้องมาทดลองทำ เป็นการเรียนรู้ และทดลองที่ได้ผลที่สุดครับ เชื่อขนมกินได้ ถ้าลองทำดูบ่อย แล้วจะพัฒนาไปได้อีกไกล มันมีอะไรหลายอย่างที่สามารถพลิกแพลงไปได้   ไม่แน่ อีกหน่อย คนที่มาตั้งกระทู้ถามเทคนิควัดแสงเจ๋งๆ คงจะต้องเป็นผมมั่งแหละ เพราะการเรียนรู้ ไม่มีคำว่าสิ้นสุด จากคุณ : ปืนเถื่อน โดนยึดอมยิ้ม (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 12:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอถามเพิ่มเติมด้วยนะครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ทั้งหมดที่คุยกันมานี้คือการวัดแสงในกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นแสงธรรมชาติ หรือแสงสีขาวใช่ไหมครับ   ที่นี้ถ้าหากมีการเปลี่ยนแหล่งกำเนิดแสง เช่นแหล่งกำเนิดแสงเป็นแสงไฟสีแดง หากเอาแสงสีแดงฉายลงไปบนวัตถุสีเขียว (กรณีไม่มีแสงจากภายนอกมารบกวนเลย) วัตถุที่ตาเราเห็นจะกลายเป็นสีดำ นั่นเป็นเพราะวัตถุสีเขียวแทบจะไม่สะท้อนแสงสีแดงออกมาเลย เวลาวัดแสงก็ต้องชดเชยไปทาง -1.5 ถึง -2 หรือกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นสีแดงเหมือนเดิม แต่ฉายลงไปบนวัตถุสีขาว  สีตาเห็นก็จะกลายเป็นสีแดง ทำให้เวลาวัดแสงต้องชดเชยเป็น +1 โดยประมาณ หรืออีกกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นสีแดง แต่ฉายลงไปบน gray card แต่เนื่องจากนิยามของ gray card ที่ยกมา ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มันจะสะท้อนแสง 18% ในทุกสภาพแสง (หรือเปล่า ???)   ฉะนั้นถ้าเราวัดแสงที่ gray card จะไม่ต้องชดเชยเพราะกล้องจะมองว่ามันอยู่ zone 5 อยู่แล้ว แม้ว่าแหล่งกำเนิดแสงจะเปลี่ยนไป ถูกหรือเปล่าครับ ???? ปล. ผมไม่มั่นใจเรื่อง gray card ว่ามันจะสะท้อนแสง 18% จากทุกสภาพแสง หรือเฉพาะ visible light กันแน่นะครับ ปล. 2 ระบบวัดแสงของกล้องนี่มันวัดแสงในช่วงความถี่ไหนบ้างอะครับ ?? จากคุณ : Chanin.U - [ 17 ก.พ. 52 14:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ขอเก็บเกี่ยวความรู้คับ จากคุณ : ปุ้ม1000d - [ 17 ก.พ. 52 14:28:56 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ^ ^ ^ พูดเรื่องนี้ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันครับ   เพราะวัดแสงมันน่าจะหมายถึงการวัดปริมาณแสงใช่มั๊ยครับ ไม่เกี่ยวว่าจะใช้แสงสีอะไรและวัตถุจะสีอะไร ****เข้ามาร่วมสงสัยด้วยครับ  รอท่านอื่นๆมาช่วยตอบครับผม จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 17 ก.พ. 52 14:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ปรกติแสงที่ตาคนเรามองเห็นคือ แสงสะท้อนจากวัตถุ ครับ ที่นี่วัตถุแต่ละชนิดจะมีการดูดกลืนแสงที่ไม่เท่ากัน และสีที่ตาคนเราเห็นคือสีที่วัตถุไม่ดูดกลืน (สะท้อนออกมา) สมมุติว่า subject คือ apple สีแดง ที่ตาเรามองเห็นเป็นสีแดง นั่นคือมันดูดกลืนแสงสีอื่นๆ(ม่วงคราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด)เอาไว้ แล้วสะท้อนสีแดงออกมา   แต่ในกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเราเป็นสีเขียว นั่นคือแสงที่มาตกกระทบวัตถุไม่มีสีแดง ทำให้ apple ดูดกลืนแสงทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ตาเราเห็นเป็นสีดำ ฉะนั้น(ผมคิดเอง)  ปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาสู่เครื่องวัดแสงของกล้อง(ซึ่งเป็นระบบวัดแสงสะท้อน) น่าจะวัดแสงได้น้อยกว่ากรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็น แสงธรรมชาติ(มั้ง) ครับ งงๆ เหมือนกันครับ จากคุณ : Chanin.U - [ 17 ก.พ. 52 14:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาโหวตค่ะ  give หมดแล้ว เลยไม่มีแจก ^O^ ขอขยายความ #61 นิดนะคะ --- > กล้องมันมองทุกอย่างเป็นเทากลาง ไม่ว่ากระดาษสีขาว กระดาษสีดำ หรือ กระดาษสีเทา มันถูกปรับมาให้มองทุกอย่างเป็นเทากลางมาตั้งแต่โรงงาน ครับ ความหมาย คือ กล้องจะคิดว่าวัตถุทุกชนิดสะท้อนแสง 18% (หรือ 12% ก็แล้วแต่)   ...แล้วมันก็จะคำนวณค่าแสงตกกระทบ(100%) ย้อนจากค่า 18% นี้ แต่เมื่อในความเป็นจริง เมื่อวัตถุสะท้อนมาก หรือ น้อยกว่า 18 % ก็เลยทำให้กล้องคำนวณผิดไปนั่นเอง จากคุณ : จิตรางคทา - [ 17 ก.พ. 52 14:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 74 สำหรับภาพที่ตาเรามองเห็นมาจาก "แสงสะท้อน" ถูกแล้วค่ะ และระบบวัดแสงในกล้องก็วัดจาก "แสงสะท้อน"   ..แต่ค่าแสงที่ใช้คำนวณช่องรับแสงและสปีดชัตเตอร์จะคำนวณจากค่า "แสงตกกระทบ" (ที่กล้องคำนวณมาจาก 18% ที่สะท้อนมา ---ตามข้างบน ) แต่ถ้าเป็นที่วัดแสงมือถือแบบลูกปิงปอง* ที่เอาไปวัดแสงข้างๆ ตัวนางแบบ   นั่นจะวัดแสงตกกระทบเลย  จึงไม่ต้องชดเชย (เว้นแต่ต้องการภาพ under/over กว่าปกติ) (* ---ไม่รู้เขาเรียกอะไรค่ะ เห็นมันมีลูกปิงปองขาวๆ ข้างบน เลยเรียกยังงี้ ><") ปล. ทั้งหมดที่อิฉันโพสแก้ได้นะคะ  อ่านนานแล้ว ไม่รู้มีพลาดรึเปล่า :P จากคุณ : จิตรางคทา - [ 17 ก.พ. 52 15:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ที่นี้ที่ผมสงสัยว่ากระดาษเทากลาง มันจะใช้ได้ทุกสภาพแสง จริงหรือเปล่า เพราะว่า วัตถุแต่ละชนิด(ย้ำว่าวัตถุ ไม่ใช่สี) จะมีการสะท้อน/ดูดกลืนแสง แต่ละความถี่ที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น ใส่เสื้อสีขาวเหมือนกัน แต่เวลาไปอยู่ใต้แสง black light เหมือนกัน เสื้อขาวบางตัวสะท้อนแสง แต่บางตัวก็ไม่สะท้อน (เราเรียกปรากฏการนี้ว่า Metamerism) ที่นี้ถ้าวัสดุมันมีการสะท้อนแสงที่ไม่เท่ากัน ปริมาณแสงที่กล้องวัดได้ก็น่าจะไม่เท่ากันด้วย จึงเป็นที่มาของคำถามว่า กระดาษเทากลาง  มันใช้ได้ทุกสภาพแสงจริงหรือเปล่า ?? จากคุณ : Chanin.U - [ 17 ก.พ. 52 15:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ^ ^ ^ นั่นสิครับ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อน เดี๋ยวจะลองหาข้อมูลมาช่วยครับ แต่ขอเดาไปก่อนนะครับ ตามความเข้าใจ ถ้ากระดาษเทากลาง มันสะท้อนแสงออกมา 18% แน่นอน จากความสว่างของแสง 100% ดังนั้น เมื่อต้นกำเนิดแสง ให้แสงที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า (เช่นเวลาเย็นๆ เทียบกับ เวลาเที่ยง) กระดาษเทา ก็ยังคงสะท้อนแสงเข้ามาในเลนส์ 18% จาก 100%ของต้นกำเนิดแสงเท่าเดิม แล้วเราทำการวัดแสงที่กระดาษนั้น ผมว่าน่าจะใช้ได้ เนื่องจาก การวัดแสงของตัวกล้องที่วัดจาก 18% ของกระดาษเทา ก็น่าจะแปรผันไปตามอัตราส่วนความสว่างของต้นกำเนิดแสง และอัตราส่วน 18% ที่สะท้อนออกมา =================================== ปล. ให้ลองวิเคราะห์ความเป็นไปได้ครับ เดี๋ยวไปหาข้อมูลแป๊บ ปล. อีกทีครับ สังเกตได้ว่า ผมจะใช้คำว่า "ความสว่างของแสง" แทนคำว่า "แสง" เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคิดว่า ไม่ว่าแหล่งกำเนิด จะเป็นสีอะไร แสงแบบไหน แต่ก็จะมาจบที่ความสว่าง โดยให้ต้นกำเนิด เป็น 100% และกระดาษเทากลาง สามารถสะท้อนแสงจากแหล่งกำเนิดได้ 18% ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 15:39:33 จากคุณ : ปืนเถื่อน โดนยึดอมยิ้ม (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 15:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 77 นี่คือที่หามาได้ และพอจะใกล้เคียงครับ ======================================= แล้วจะทำยังไงให้กล้องวัดแสงได้แม่นๆล่ะ ง่ายที่สุดก็คือเอากระดาษ Gray Card (กระดาษที่มีค่าสะท้อนแสง 18% หาซื้อได้ตามร้านถ่ายรูปชั้นนำทั่วไป) ไปวางไว้ข้างๆวัตถุที่เราจะถ่าย แล้ววัดแสงให้ได้ค่าพอดี ไม่ต้องชดเชย +/- พอถ่ายมา เราก็จะได้สีที่ตรงเป๊ะเลย ดีไหมล่ะ แล้วถ้าไม่มีกระดาษ Gray Card ล่ะ? สีที่สะท้อนแสงได้ใกล้เคียงกับสีเทากลาง 18% ที่สุด ได้แก่ - สีเขียวที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป เช่น สีเขียวของใบไม้ ทุ่งหญ้า - สีน้ำตาล เช่น สีเปลือกไม้ ใบไม้แห้ง - สีแดง เช่นสีแดงของดอกไม้ต่างๆ - สีฟ้า เช่น ท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้มๆ เห็นไหมครับ มีหลากหลายสีเลย ดีมั๊ยล่ะ ไม่ต้องซื้อกระดาษ Gray Card แล้ว แต่มีข้อแม้อยู่ว่าคุณต้องเทียบสีเหล่านี้ โดยให้อยู่ในสภาพแสงเดียวกันกับวัตถุที่คุณจะถ่ายนะ เช่นคุณอยู่ในร่ม(กลัวร้อน) แต่จะถ่ายป้ายโฆษณาที่ตั้งอยู่กลางแดด คุณจะวัดเทียบแสงกระดาษ Gray Card จากในร่มก่อน แล้วค่อยไปถ่ายกลางแดดไม่ได้นะครับ คุณต้องออกไปยืนกลางแดด แล้ววัดแสงกลางแดด ได้เท่าไหร่ ปรับกล้องให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับเข้ามาถ่ายในร่มนะครับ http://www.dfoto.com/index.php?name=Forums&file=viewtopic&p=134 ========================================== สรุปจากบทความ ผมเข้าใจว่า กระดาษเทาสามารถใช้ได้ทุกสภาพความสว่างของแสง แต่ต้องทำการวัดจากสภาพความสว่างที่จะถ่ายจริง จึงจะให้ความแม่นยำครับ กระดาษเทากลาง จะสะท้อนแสงออกมา 18% จากแหล่งกำหนดแสง ณ เวลานั้นๆ โดยจะแปรผันตามความสว่างของแหล่งกำเนิด เช่น กลางวันพระอาทิตย์ ให้ความสว่าง 100 แรงเทียน กระดาษเทาสะท้อนเข้ามาให้เราวัดแสงได้ 18 แรงเทียน ซึ่งเป็น 18% และ ตอนเย็น พระอาทิตย์ ให้ความสว่าง 50 แรงเทียน กระดาษเทาสะท้อนเข้ามาให้เราวัดแสงได้ 9 แรงเทียน ซึ่งเป็น 18% เช่นเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกลับความเห็นที่ผมให้ไว้ก่อนหน้าว่า ผิดถูกอย่างไร รบกวนช่วยแก้ไขนะครับ เพราะว่าตอนนี้มันเริ่มลงลึกมากๆเกี่ยวกับการวัดแสง อาจพลาดได้ครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน โดนยึดอมยิ้ม (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 16:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ที่นี่ครับ เข้าใจง่่าย http://13maysa.multiply.คอม/journal/item/23 จากคุณ : คัมภึร์นพเก้า - [ 17 ก.พ. 52 16:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ความสว่างของแสง = Value = Brightness ปรกติแล้วค่า brightness จะแปรผันตามการสะท้อนแสงของวัตถุครับ ดังตัวอย่างที่ผมยกมา เสื้อสองตัวทำจากวัสดุสองชนิด เมื่อมองใต้แสงธรรมชาติ ตาเราเห็นเป็นสีขาวเหมือนกัน เพราะมีการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ใกล้เคียงกัน   แต่เมื่ออยู่ใต้แสง blacklight ตัวหนึ่งอาจจะมีการสะท้อนแสงจนกลายเป็นสีอมม่วง อีกตัวหนึ่งอาจกลายเป็นสีดำ เพราะแสงจาก blacklight มีความถี่ต่างจาก visible light วัสดุที่ใช้ทำเสื้อทั้งสองตัวจึงมีโอกาสที่จะดูดกลืน/สะท้อนแสง blacklight ไม่เท่ากัน (Metamerism) มีการดูดกลืน/สะท้อนไม่เท่ากัน ค่า brightness ที่วัดได้ในกรณีนี้ก็น่าจะไม่เท่ากันด้วย ลองสังเกตุนะครับ ตัวอย่างที่ผมยกมาผมไม่ได้พูดถึง ปริมาณ(illuminance)ของแสงเลย กรณีที่น้าปืนเถื่อนยกมา ไม่ว่าจะในร่ม หรือกลางแดด แหล่งกำเนิดแสงคือดวงอาทิตย์เหมือนกัน เพียงแต่ปริมาณแสงที่ตกกระทบวัตถุ(illuminance)ไม่เท่ากัน(เข้มกับอ่อน) ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการเปลี่ยนแหล่งกำเนิดแสงครับ เช่น เปลี่ยนเป็น blacklight หรือ หลอดไฟสีต่างๆ ถ้าเปลี่ยนแล้วการสะท้อนแสงของ gray card จะยังเป็น 18% อยู่หรือเปล่าครับ ?? ที่ถามเพราะว่าตอนนี้กำลังสับสนปนเป กันอยู่ งงครับ จากคุณ : Chanin.U - [ 17 ก.พ. 52 16:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ไม่เข้าใจ เพราะมีแต่กล้องคอมแพค แต่ข้อเก็บความรู้ จากคุณ : Mr.pokpak - [ 17 ก.พ. 52 16:52:07 ]

ความคิดเห็นที่ 81 .. save save save อิอิ จากคุณ : k.o.p - [ 17 ก.พ. 52 17:25:33 ]

ความคิดเห็นที่ 82 แจ่มครับ เข้าใจขึ้นเยอะ หลังจากที่ งูๆ ปลาๆ มานาน จากคุณ : นายตัวเล็กจัง - [ 17 ก.พ. 52 17:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 83 อ่านไปอ่านมา ตาลายเลย สงสัยจะวัดแสงมั่วละเรา จากคุณ : blackearsociety - [ 17 ก.พ. 52 17:45:49 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอเดินทางกลับบ้านแป๊บนึงครับ ไปวิ่งมาแล้วก็ย้อนมาที่โต๊ะทำงาน ปรากฏว่าวันนี้วิ่งแบบไม่สบายใจ เพราะสงสัยเหมือนน้า Chanin.U กลับไปต้องไขข้อข้องใจก่อนว่า Black light แตกต่างจากแสงอื่นๆ อย่างไร ถึงทำให้การสะท้อนของวัตถุเป็นอย่างนั้น เชื่อว่า เมื่อรู้จัก Black light แล้ว คำตอบคงไม่ใช่เรื่องยากครับ ปล. ผมมุ่งประเด็นไปที่ Black light ครับ เพราะหลอดไฟสีอื่นๆ ก็คงไม่แตกต่างแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ แต่ถ้าจะมีผล ก็จะมีผลต่อ White Balance แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 18:34:06 จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 18:31:47 ]

ความคิดเห็นที่ 85 สวัสดีอีกครั้งครับ...วันนี้ไปทำแบบฝึกหัดมาแล้วครับ  เลยเอาผลมาเสนอครับ.... จุดประสงค์ : 1.เพื่อศึกษาค่าเทากลางที่วัดแสงได้ในสภาพแสงที่ต่างกัน (ปริมาณแสงตกกระทบต่างกัน แต่สะท้อน 18% เท่าเดิม) 2.เพื่อศึกษาการวัดแสงและการชดเชยแสง  สำหรับวัตถุชนิดเดียวในสภาพแสงที่แตกต่างกัน รูป A = ทดสอบวัดแสงแบบจุด ณ กระดาษสีเทากลาง รูป B = ทดสอบวัดแสงแบบจุด ณ วัตถุเป้าหมายคือ ปฎิทิน วัสดุทำจากกระดาษแข็งสีขาว การทดสอบ 1 , 2 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 86 การทดสอบ 3 , 4 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:26:56 ]

ความคิดเห็นที่ 87 การทดสอบ 5 , 6 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 88 การทดสอบ 7 , 8 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 89 การทดสอบ 9 จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:28:19 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ผลการทดสอบสรุปได้ดังนี้ - จากรูป A จะเห็นได้ว่าโทนสีเทากลางที่วัดแสงได้ถูกต้องนั้น  จะมีโซนความสว่างแตกต่างกันแปรไปตามสภาพแสงตกกระทบต่างกัน  แต่กล้องก็จะวัดแสงแค่การสะท้อน 18% - สำหรับวัตถุเดียวกัน (จากตัวอย่างได้แก่ปฏิทินกระดาษแข็งสีขาว) ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงใดๆก็ตามจะมีค่าการสะท้อนแสงที่ต่างจากโทนเทากลางอยู่คงที่เสมอ  จะเห็นได้จากการทดลองจะได้ค่าชดเชยแสงอยู่ที่ประมาณ +1 ในทุกๆสภาพแสง  ดังนั้นการชดเชยแสงมีค่าคงที่ตลอด จบการทดสอบแค่นี้ครับ....น้าๆมาช่วยเสริมกันได้นะครับ อันนี้แถมครับลองทำดูเล่นๆ ... จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 19:33:33 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณกระทู้ดีๆแบบนี้เลยครับ ^^ จากคุณ : Hallucinatory (AcidAttitude) - [ 17 ก.พ. 52 19:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ได้ความรู้เยอะเลยครับ ขอบคุณทุกคนเลย แอบเเวะมาเก็บข้อมูล จากคุณ : อาร์ตตี้ (อย่าร้องไห้น้า) - [ 17 ก.พ. 52 20:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 93 พึ่งจะได้มาโพสครับ กระทู้นี้ความรู้เยอะดีจริงๆ คราวนี้ผมแบบรวบรัดให้อ่านเลยครับ เป็นการรวมเรื่องการวัดแสง กับ zone system และการใช้การ์ดสีเทาเป็น reference (ถ้าตัดเรื่อง zone system ออกไปจะเข้าใจง่ายๆ กว่านี้ แต่อยากให้ลองประยุกต์องค์ความรู้ หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ครับ) 1. 18% gray card เป็นการ์ดที่สะท้อนแสง 18% ไม่ว่าสภาพแสงใดก็ตาม เพราะมัน คือ 18% gray card reflection ที่มีคุณสมบัติการสะท้อนแสงตามนั้นจากโรงงาน ถ้านำการ์ดไปแขวนบนก้อนหินกลางแจ้ง แสงที่มากระทบที่ตัวการ์ด คือแสงที่เรียกว่า incident ligt ต้นกำเนิดแสง คือ ดวงอาทิตย์ เราไม่รู้ว่าแสงที่ดวงอาทิตย์ตกกระทบมาเท่าไหร่ แต่เรารู็แน่นอนว่า การ์ดสะืท้อนแสงออกมา 18% การสะ้ท้อนแสงไม่เปลี่ยนตามสภาพแสง 10 โมงเช้า บ่าย หรือ เย็น มันสะท้อนเท่าเดิม แต่ที่ตาเราเห็นมันดูไม่เหมือนเดิม เพราะการ์ดนี้เมื่อไปอยู่กลางแจ้ง ก็จะดูสว่างกว่า อยู่ในร่ม และเมือ่ไปอยู่ในที่มืดๆ แสงน้อยๆ ก็จะดูสว่างน้อยกว่าเมื่ออยู่ในร่ม 2. การ์ดทำหน้าที่เป็น reference สำหรับ subject อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวมัน ถ้าการ์ดยังเป็นสีเทา วัตถุสีดำก็ยังเป็นสีดำ วัตถุสีขาวก็ยังเป็นสีขาว ถ้านำการ์ดไปแขวนคอแมวสีเทาดำที่ผูกโบว์ขาว ถ้า exposure ที่การ์ดถูกต้อง การ์ดก็ยังคงเป็นสีเทา โบว์ยังเป็นสีขาว แมวยังเป็นสีเทาดำ แต่ถ้า exposure การ์ดให้ over ไป การ์ดเป็นสีเทาที่สว่างขึ้น โบว์เป็นสีขาวจ้าขึ้น แมวดำน้อยลง (ดูขาวมากขึ้น) 3. ตัววัดแสงที่กล้องจะทำการ tune ให้เข้ากับ 18% gray card ตั้งแต่โรงงาน ถ้ากล้องมอง 18% gray card ได้ถูกต้อง วัตถุอื่นๆ ที่อยู่กับ gray card ก็เป็นไปตามปกติของมัน  การใช้ การ์ดเพื่อเป็นตัว reference กับวัตถุนั้น วัตถุที่มาเทียบกัีบมันต้องได้รับแสงที่ ilumination เดียวกัน เช่น การ์ดผูกคอแมวอยู่ ไม่ใช่การ์ดอยู่กลางแจ้ง แมวอยู่ในร่ม  การ์ดจะไม่ใช้ตัว reference ให้ตัวแมว ถ้าเป็นกรณีนั้น เช่นเดียวกับการใช้ incident light meter อันที่เป็นแท่งโดมๆ สีขาว  การใช้มิเตอร์ตัวนี้ต้องนำไปวัดแสงที่ตกกระทบใกล้ๆตัว เช่น นำไปวัดแสงที่ตกกระทบที่ใบหน้าของนางแบบที่เราต้องการถ่ายภาพ ไม่ใช่ไปวัดที่ต้นไม้ข้างๆที่นางแบบยืนอยู่ 4. ใช้ gray card ตอน 9 โมงเช้า บ่ายโมง และ 1 ทุ่ม  กล้องจะให้ค่า exposure ที่แตกต่างกัน เพราะปริมาณแสงแตกต่างกัน  แต่ได้ภาพที่เหมือนกัน (เพราะกล้องมันปรับให้) การ์ดสีเทาก็ยังคงสีเทา แมวสีเทาดำก็ยังสีเทาดำ โบว์สีขาวก็ยังสีขาว 5.ตอน 1 ทุ่ม การ์ดได้รับแสงจากดวงจันทร์จางๆ การ์ดเป็นสีเกือบๆดำ (zone 3) ถ้าวัดแสงที่การ์ด  ภาพที่ได้ การ์ดยังเป็นสีเทา (zone 5 เพราะกล้องมองเห็น zone 3 เป็น zone 5) ไม่เหมือนตาเห็น แต่ถ้าต้องการให้การ์ดเป็นสีดำเหมือนตาเห็น ก็ under 1-2 STOP (ผลักการ์ดที่กล้องมอง zone 5 ไปอยู่ zone 3 เหมือนเดิม) 6. นำการ์ดมาในห้องแสงน้อยๆ มีแจกันอยู่ การ์ดสีเทาค่อนดำ (zone 3) แจกันสีขาว (zone 7)ในทีนี่เราต้องการให้ การ์ดเป็นสีเทากลางเหมือนเดิม วัดแสงที่การ์ด  การ์ดไม่ใช่สีเทาค่อนดำ แต่เป็นเทากลาง (กล้องมอง zone3 เป็น zone 5) แจกันสว่างจ้ามากขึ้น (zone 7 ถูกผลักไปเป็น zone 9) กรณีนี้ถ้าเราต้องการให้แจกันเป็น subject หลัก แจกันก็จะจ้าไป ไม่สอดคล้องกับความต้องการ เพราะกลายเป็นว่า gray card เป็น subject หลักที่ exposure ได้ถูกต้อง ถ้าต้องการให้แจกันเป็นเหมือนตาเห็น  ต้องทำอย่างไร วัดแสงที่การ์ด กล้องมองการ์ดเป็น zone 5  กล้องมองแจกันอยู่  zone 9 under ลง 2 stop การ์ดกลับมาอยู่ zone 3 แจกันกลับมาอยู่ zone 7 ภาพที่ได้ แจกันเหมือนที่ตาเห็น (zone 7) การ์ดเหมือนที่ตาเห็นในห้องสีเทาค่อนดำ (zone 5) ทุกอย่างเหมือนตาเห็น 8. ไม่จำเป็นต้องใช้ gray card ก็ได้ จะใช้กระเป๋ากล้อง ผ้าเช็ดเลนส์ กางเกงยีนส์ ฝ่ามือคุณเอง ก็ได้ แต่ต้องไปทำการเปรียบเทียบกับ gray card ก่อนว่ามีความแตกต่างกันกี่ stop เพราะกล้องจะ calibrate กับ 18% gray card มาก่อน ดังนั้นคุณก็ต้อง ทำการ reference กางเกงยีนส์ ผ้าเช็ดเลนส์ ฝ่ามือ หรืออะไรก็ตามกับ gray card 9. ไม่มี gray card ก็ไม่เป็นไร คุณอาจจะหาเทากลางเองในภาพก็ได้ เช่น เมฆครึ้มๆ ต้นไม้เทาๆ หรือ หาเทากลางไม่ได้ก็ใช้อะไรที่ไม่ใช่เทากลาง เช่น ก้อนหิน แล้วชดเชยตามนั้น กรณีนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ เพราะคุณประเมินด้วยสายตา ไม่ใช่จากตัว reference ความแม่นยำเกิดจากตัวคุณ 10. ทักษะการวัดแสงไม่ได้มาพร้อมกล้องราคาแพง เลนส์ราคาแพง หรือ อุปกรณ์ใดๆ แต่มันมาจากตัวคุณ (ยืมคำพูดมาจากเว็บ simplifiedzonesystem) แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 52 22:11:09 จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 21:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ผมหาคำตอบเรื่อง Black light มาตั้งแต่เย็นแล้วครับ จนแล้วจนรอด ยังหาคำตอบไม่ได้ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 22:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ไม่น่าเชื่อว่ากระทู้นี้ ไปอยู่บนกระทู้แนะนำ เหมือนกับ กระทู้ตากล้องโรคจิต กระทู้แปลหรือเขียนเอง กระทู้เสียความรู้สึก และกระทู้หนังสืออายุ 17  แต่ก็ยังมีเพื่อนครับ กล้องในตำนานก็ติดด้วย ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ขอบคุณผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นทุกๆ คน และขอบคุณผู้ที่แวะเข้ามาอ่าน ครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 22:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ยกตัวอย่าง back light ครับ จะได้เข้าใจเหมือนกัน เช่น  บุคคลยืนหันหลังให้ดวงอาทิตย์ หันหน้ากล้อง กรณีนี้คือ back light เพราะแสงผ่านทางด้านหลังบุคคล มาหากล้อง ทีนี้ตอบคำถามเรื่อง back light ผมมี reference ให้เลย จากหนังสือ The Ansel Adams Guide: Basic Techniques of photography, Boook 1 แต่งโดย John P. Schaefer หน้า 171 Conversely, the disadvantage of limiting your light-meter readings to a gray card is that there will be times when it will not be effective - for example, when there is backlighting or uneven illumination. หวังว่าคงได้คำตอบแล้วนะครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 22:58:51 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง Black light ที่มีความยาวคลื่นในช่วง UV-A หรือประมาณ 350nm อ่ะครับ ช่วงคลื่นขนาดนี้ สายตาเรารับไม่ได้ แต่ CCD สามารถจับได้ครับ จากการทดสองเองกับรีโมททีวี และสามารถทำให้เกิดการเรืองแสงของสารฟอสฟอรัสได้ ปัญญาก็คือ น้า Chanin.U ถามว่า การเปลี่ยนแหล่งกำเนิดแสงครับ เช่น เปลี่ยนเป็น blacklight หรือ หลอดไฟสีต่างๆ ถ้าเปลี่ยนแล้วการสะท้อนแสงของ gray card จะยังเป็น 18% อยู่หรือเปล่าครับ ?? ผมหามาทั้งวันเลยครับ งง จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 23:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 98 อันนี้คงต้องไปถามที่โรงงานหรือวิศวกรแล้วมั้งครับ ว่า gray card มันถูก calibrate ว่าเป็น 18% จากแสงชนิดไหน จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 23:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 99 5555  เอาเป็นว่าค้างไว้ละกันครับ  เฮ้อ ขอบคุณ น้า amdmf04 มากๆครับ สำหรับความรู้ครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 17 ก.พ. 52 23:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ยินดีด้วยกับกระทู้เกิน 100 แล้วครับ มาชมกันออกความเห็นแชร์กันเพื่อความรู้กันเยอะๆนะครับ...ดีใจจริงๆ จากคุณ : tatacat - [ 17 ก.พ. 52 23:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คุณ tatacat มาได้ที่กระทู้ 100 พอดีเลย ขอบคุณครับ กับการถ่ายภาพเปรียบเทียบให้เห็นจริงๆ จะได้ไม่ต้องคาใจว่าหลักวิชาการกับการปฎิบัติจริงๆ ต่างกันไหม คงจะมีโอกาสต่อๆไปนะครับที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ พูดคุย เรื่อง กล้อง การถ่ายภาพ เทคนิค และประสบการณ์เพิ่มขึ้น จากคุณ : amdmf04 - [ 17 ก.พ. 52 23:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เจ้าของกระทู้กิ๊ฟหมดแล้วใช่มั้ยครับ  :)   อยากให้เป็นตัวอย่างในการถามครับ ถามเนื้อ ยกตัวอย่าง แล้วลองทำมาด้วย รับรองครับ ได้เนื้อๆกลับไป เห็นหลายกระทู้ไม่ค่อยมีคนตอบ บางครั้งผมเอง ก็ไม่รู้จะตอบยังไง เอาเป็นว่า ชอบคำถามแบบนี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบ และช่วยถามครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 18 ก.พ. 52 00:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณน้า ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1), amdmf04, tatacat และ จขกท. ครับ ที่นำความรู้มาแบ่งปัณ ^^ ปล. ช่วยตอบกันอีกนิดนะครับ ว่าที่ผมถามไว้ใน คห.ที่  69 สรุปแล้วผมเข้าใจถูกหรือเปล่า ?? จากคุณ : Chanin.U - [ 18 ก.พ. 52 01:24:27 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เกือบลืม น้าtatacat ครับ ที่น้าทดสอบในสภาพแสงเช้ากลางวันเย็น มันยังไม่ชัดพอ เพราะว่า ปริมาณของแสงในแต่ละความถี่ ของแสงอาทิตย์ในช่วงเช้ากลางวันเย็นมันยังถือว่าใกล้เคียงกันนะครับ (ดูภาพประกอบ) เวลาวัดมันเลยไม่ต่างกันมาก จากคุณ : Chanin.U - [ 18 ก.พ. 52 01:30:38 ]

ความคิดเห็นที่ 105 A gray card is a flat object of a neutral gray color that derives from a flat reflectance spectrum. A typical examples is the Kodak R-27 set, which contains two 8x10" cards and one 4x5" card which have 18% reflectance across the visible spectrum, and a white reverse side which has 90% reflectance. ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Gray_card จากคุณ : คาเมะจัง - [ 18 ก.พ. 52 03:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ในสภาวะสีของแสงสับสน ... gray card ไม่มีปัญหา  แต่ตัววัดเองนั่นแหละจะมีปัญหา  เพราะเซนเซอร์ทั่วไป จะไวต่อแสงสีแดง มากกว่าสีน้ำเงิน  โดยเฉพาะไวต่อแสง infrared เหลือหลาย  ผู้ผลิตเครื่องวัด จะปรับแก้โดยวางฟิลเตอร์หน้าเซนเซอร์ ให้ไวต่อแสงทุกสีใกล้เคียงกัน .. ต้นตระกูลของ IR block filter  ถ้าเครื่องวัดแสงดีๆ จะใช้ silicon blue cell (SBC) photodetector .. ซึ่งความไวเลื่อนมาทางสีน้ำเงินมากขึ้น .. การวัดก็จะแม่นยำขึ้น เพราะไม่ต้องอ้างอิงกับฟิลเตอร์ (ที่เสื่อมง่ายกว่าเซนเซอร์เยอะ)  เมื่อตัดปัญหาของ sensor ไปได้ .. ยังมีปัญหาเรื่อง white balance ของแหล่งกำเนิดแสงอีก  ถ้าแหล่งกำเนิดแสงมีสีเพี้ยน อาทิ เป็นแสงสีแดงล้วนๆ ... gray card มันก็จะสะท้อนแต่สีแดง (แหง๋หละ)  แต่การวัด ... เขาออกแบบให้มันวัดจากโดยอ้างจากทั้งสามสีั RGB  เมื่อมีแต่สีแดง .. ทั้งที่ความเข้มแสงพอดี แต่เครื่องวัดจะอ่านได้น้อยลง (เพราะขาด B component) .. และบอกเราว่า แสงน้อยไป (หรือ under) .. ทั้งๆที่แสงพอดี  เขาถึงต้องมีเครื่องวัดแสง แบบแสงตกกระทบ (incident light meter) หรือ "หัวปิงปอง" ตามที่คุณจิตรางคทาเรียก ซึ่งจะวัดแสงได้แม่นยำกว่ามาก จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 18 ก.พ. 52 07:08:16 ]

ความคิดเห็นที่ 107 - คุณ amdmf04 ผมเองก็มือใหม่เพิ่งเริ่มใช้ DSLR เองครับทฤษฎีก็พอได้...แต่ปฏิบัตินี่ผมยังไม่ถึงไหนเลย 555 เรื่องการวัดแสงเองก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมที่เพิ่งจะศึกษาจริงจังที่ได้ทำการทดลองก็เพราะอยากพิสูจน์ความเข้าใจของตัวเอง  ยินดีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ ยังไงหน้าไมค์หลังไมค์กันมาได้ครับ - ขอบคุณครับคุณ Chanin.U  แหะๆ ผมต้องยอมรับว่าการทดสอบของผมออกแบบไว้ยังไม่ค่อยหลากหลายพอ ข้อผิดพลาดยังเยอะ แบบว่าอยากรู้เลยรีบทำเลย แต่ออกแนวขี้เกียจๆ 555 จริงๆแล้วตอนแรกผมออกแบบการทดสอบให้ได้ 2 ข้อพิสูจน์ในคราวเดียวกัน คือ 1. การเปลี่ยนแปลงของการวัดแสงเทากลาง 18% ที่อยู่ในโซนต่างๆ ตามสภาพแสงที่เปลี่ยนไป 2. การชดเชยแสงของวัตถุตัวเดียวกันเมื่อสภาพแสงต่างกันมีค่าคงที่หรือไม่ การทดลองนี้ผมปรับกล้องโหมด A ใช้ ISO คงที่ พยายามใช้ค่า f คงที่เพื่อดูค่า Speed ที่เปลี่ยนแปลง  อุปกรณ์ที่ใช้ Nikon D90 เลนส์ 18-105 VR ซึ่งผมใช้ f=5.6 ซึ่งกว้างสุดใช้ได้ตลอดช่วงซูม... ข้อผิดพลาดมีก็ตอนที่ในตอนเที่ยงวันผมลองๆวัดโทนเทากลางแล้วได้ Speed=1/3200s ดังนั้นพอวัดที่ปฎิทินสีขาว Speed ก็เลย Over 1/4000s ซึ่งเกินความสามารถของกล้องไป  ผมก็เลยพยายามที่จะลองถ่ายในสภาพแสงที่ไม่ธรรมชาติทดแทนเพิ่มเติมดังจะเห็นได้จากหลอดไฟแบบต่างๆ (ไม่เกี่ยวกับ WB นะครับ)  เสียดายครับถ้าได้ f คงที่ผมว่าจะทำการเปรียบเทียบออกมาให้เห็นคร่าวๆว่าในแต่ละสภาพแสงเราจะได้เทากลางอยู่ประมาณความสว่างโซนไหนด้วยครับ...เอาเป็นว่าเอาพอเป็น Idea แล้วกันครับ  ยังไงถ้าใครลองทดสอบเอาผลมาแจมกันบ้างนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 07:13:42 จากคุณ : tatacat - [ 18 ก.พ. 52 07:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เยี่ยมมากครับ ขอบคุณทุกๆท่านเลย กระทู้แนะนำดีๆที่ห้องกล้องควรมี และไม่มีมานานแล้ว จากคุณ : ST.Exsodus - [ 18 ก.พ. 52 08:19:31 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ไม่รู้มีใครกดเก็บเข้าคลังกระทู้หรือยัง.... ผมเลยกดไปเลย.. จากคุณ : proofman - [ 18 ก.พ. 52 09:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 110 Gray card ไม่ใช่ rule แต่มันเป็น tool และเป็น scale ที่หยาบอยู่แล้ว มันมีไว้ทำหน้าที่เป็น reference กับ subject ที่ต้องการถ่ายภาพ คือ แมวดำก็ต้องยังเป็นแมวดำ โบว์ขาวยังคงเป็นโบว์ขาว มันจะคลาดเคลื่อนไป โดยที่แมวมันดำลงนิดเดียว โบว์ขาวจ้าไปอีกนิดเดียว ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว   จะใช้หรือไม่ใ้ช้ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมันเป็นแค่ tool ที่บางคนใช้ บางคนใช้ incident light meter ราคาแพง (ดูยี่ห้อ sekonic เป็นตัวอย่าง) บางคนไม่ใ้ช้เลย บางคนก็หาอะไรก็ได้ใน ซีน ที่เค้าจะถ่ายภาพแล้วก็ชดเชย  อย่างที่ Jonh Shaw หรือ Jim Zuckerman บอกไว้ในหนังสือของเค้า  ไม่มีอุปกรณ์ใดที่จะวัดแสงได้ดีที่สุด และ ส่วนหนึ่งมันขึ้นกับ "ตัวคุณ" " ประสบการณ์อันยาวนานของคนจะเป็นตัวบอกเองว่าต้องจัด exposure แบบไหน และ "ภาพ" ของคุณจะเป็นคำตอบถึง "ทักษะ ฝีมือ และ จินตนาการ" ของคุณเอง ผมไม่แคร์นะว่าเซ็นเซอร์มันจะไวต่อแสงอะไร gray card มันจะไวต่อแสงอะไร ตราบใดที่เรายังอยู่เป็นสเกล ของ Zone และ stop อีกทั้งกล้องแต่ละยี่ห้อ หรือแม้แต่ละ lot ยังอ่านสีเทากลางได้ไม่เท่ากันเลย มันก็ย้อนกลับมาที่ตัวคุณ ตัวคุณก็ต้อง compensate ตามมันเหมือนกัน จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 09:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 111 - คุณ amdmf04 ผมเองก็มือใหม่เพิ่งเริ่มใช้ DSLR เองครับทฤษฎีก็พอได้...แต่ปฏิบัตินี่ผมยังไม่ถึงไหนเลย 555 เรื่องการวัดแสงเองก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมที่เพิ่งจะศึกษาจริงจังที่ได้ทำการทดลองก็เพราะอยากพิสูจน์ความเข้าใจของตัวเอง  ยินดีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ ยังไงหน้าไมค์หลังไมค์กันมาได้ครับ ----> ยินดีครับ ผมยอมรับว่าทฤษฎีคุณแม่นจริงๆ เหมือนกับว่าเรียนทางด้านการถ่ายภาพด้วยซ้ำ ถ้าได้เพิ่มทางปฎิบัติเยอะๆ ผมว่าต้องเป็นช่างภาพที่เก่งแน่นอน  ส่วนผมก็ถ่ายภาพด้วยใจรัก หลังๆก็เริ่มมองเรื่องการขายภาพและส่งตามนิตยสารเพื่อตีพิมพ์ สร้าง portfolio ขึ้นมา เร็วๆ นี้คงได้เห็นผลงานผมในนิตยสารท่องเทียวที่ขายในเมืองไทย ครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 09:18:07 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ผมเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนทางด้านการถ่ายภาพมาครับ...แค่เป็นคนรักการถ่ายภาพ  และเพิ่งมาจริงจังกับมันเมื่อวัยล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว 555 ศึกษาด้วยตนเองมาพอควร กำลังจะไปอบรมเรื่องการวัดแสงอีกต่างหากครับ....อยากถ่ายภาพได้ดีและควบคุมมันได้ตามใจต้องการ โห...คุณ amdmf04 เก่งมากเลยครับ  สิ่งคุณเป็นนั่นแหละความฝันผมเลยครับช่างภาพมืออาชีพ  นับถือๆๆๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ แหะๆๆๆ จากคุณ : tatacat - [ 18 ก.พ. 52 09:51:43 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ขอบคุณ สำหรับข้อความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มมาในกระทู้นี้ครับ ความรู้ที่ได้ในตอนนี้มากกว่าที่ผมสงสัยในตอนแรกซะอีก... ***ในที่สุดก็มีกระทู้แนะนำ ภายใต้คอนเซปต์ "เพื่อพัฒนาฝีมือ" ซะที      หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแต่ กระทู้โจมตีเล่นแง่ด้านความรู้สึกกัน ขอบคุณนักถ่ายภาพทุกท่านครับ โดยเฉพาะคุณamdmf04   tatacat แมวเหมียวพุงป่อง Chanin.U   ปืนเถื่อน  จิตรางคทา และท่านอื่นๆอีก ปล.ความรู้ไม่มีจบ ต่อยอดได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีผู้ที่คิดจะสอนครับ ปล2. กิฟยางม่ายหมดครับผม^_^ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 18 ก.พ. 52 09:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 114 คุยกันไปเรื่อยๆ ครับ มีเทคนิคอะไรก็มาแบ่งปันกัน ผมชอบคุยเรื่องการถ่ายภาพ เทคนิคการถ่ายภาพ แต่ไม่ถนัดคุยเรื่องอุปกรณ์ ข้อจำกัดของอุปกรณ์ หรือ เรื่องต้องเคลียร์อะไรกันแบบนั้น ออกไปถ่ายภาพแล้วสนุกกับมัน สร้างสังคมเพื่อนฝูงที่คุยกันเรื่องถ่ายภาพ แบบไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ ข้อจำกัดอะไร  คงเป็นเรื่องที่ผมมีความสุขที่สุดแล้วครับ กระทู้นี้ได้เพื่อนผู้รักการถ่ายภาพเยอะขึ้นจริงๆ ครับ ว่างๆ หลังไมค์ คุยกันครับ จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 10:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ว่างๆ มาคุยกันเรื่อง Hypefocal ก็ดีนะครับ เพราะภาพส่วนใหญ่ที่ผมถ่ายจะใช้เทคนิคนี้ (ผมชอบระยะชัดตั้งแต่สามก้าวข้างหน้าจนสุดท้องฟ้าหรือ อินฟินิตี้โน่น) ดังภาพตัวอย่างครับ (ภาพนี้ผมไม่ค่อยชอบนักเพราะมันไปไม่ถึงอินฟินิตี้จริงๆ ห่วงแต่ดอกไม้ดอกแรกด้านหน้าเกินไปครับ) เผื่อท่านอื่นๆ มีเทคนิคที่น่าสนใจ จะได้แบ่งปันกันครับ ทุกวันนี้เทคนิคแบบนี้ หลายๆ คนมองข้าม หรือ ไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำ จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 10:20:23 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ผมเคยอ่านเจอ...Hypefocal คือ เทคนิคการโฟกัสไปจุดๆนึงที่ทำให้ภาพชัดตลอดทั้งภาพ  มีสูตรคิดดังนี้   ระยะ Hyperfocal (ระยะจากกล้อง) = ทางยาวโฟกัส (มม.) / f Number   เลนส์ใหม่ๆเดี๋ยวนี้คงจะไม่ค่อยมีพวก Scale Infinity ให้หมุนปรับตามทางยาวโฟกัสและ f Number แต่คงพอจะคำนวณได้จากสูตรนะครับ ไม่แน่ใจว่าใช้ได้จริงสักแค่ไหนเดี๋ยวจะลองดู   ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดแก้ไขได้นะครับ มาแจมกันครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 10:39:31 จากคุณ : tatacat - [ 18 ก.พ. 52 10:31:12 ]

ความคิดเห็นที่ 117 Hypefocal คือ เทคนิคการโฟกัสไปจุดๆนึงที่ทำให้ภาพชัดตลอดทั้งภาพ ใช่แล้วครับ แต่มันจะมีระยะชัดว่าเริ่มจากกี่เมตรจากกล้องไปน่ะครับ เรื่องนี้น่าคุยครับ ถ้าสนใจกันโพสเป็นกระทู้ใหม่ดีไหม จะได้ไม่ต่อจากตรงนี้ เดี๋ยวคนอื่นๆมาอ่านจะสับสน ขอเวลาสักอาทิตย์นึงนะครับ ผมอยู่กับกระทู้นี้นานจน ผบ ทบ เขม่นแล้ว จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 10:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เห็นด้วยครับคุณ amdmf04 ลองโพสเรื่อง Hypefocal ขึ้นกระทู้ใหม่เลยดีกว่าแล้วลง Link ไว้ในนี้ให้คนตามไปดูได้ครับ   ผมนะก็เคยไปโพสเรื่องเจ้า  Hypefocal ไว้ที่บางเวปไว้ แต่เงียบเลยเหมือนไม่ค่อยมีคนรู้จักกัน...เอาเลยครับโพสเลยคุณ amdmf04 ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆท่านสนใจนะครับ จากคุณ : tatacat - [ 18 ก.พ. 52 10:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 119 แตกประเด็นให้แล้วครับ ตามไปคุยเรื่อง Hypefocal ได้เลยครับ จากคุณ : Colt 1911 A1 - [ 18 ก.พ. 52 11:23:31 ]

ความคิดเห็นที่ 120 โห ไวมากๆ ผมไม่รู้จะไหวเปล่า เพราะ ผบ ทบ เริ่มบอกว่า อยู่หน้าคอมนานไปแล้ว จากคุณ : amdmf04 - [ 18 ก.พ. 52 11:30:01 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ขอบคุณ น้าคาเมะจัง, น้าamdmf04, น้าแมวเหมียวพุงป่อง, น้าtatacat และจขกท.ครับ "เมื่อมีแต่สีแดง .. ทั้งที่ความเข้มแสงพอดี แต่เครื่องวัดจะอ่านได้น้อยลง (เพราะขาด B component) .. และบอกเราว่า แสงน้อยไป (หรือ under) .. ทั้งๆที่แสงพอดี เขาถึงต้องมีเครื่องวัดแสง แบบแสงตกกระทบ (incident light meter) " แสดงว่าที่ผมเข้าใจตาม คห.69 นี่ถูกแล้วหรือเปล่าครับ (ขอยกมาตรงนี้เลยละกัน เห็นว่าเลยมาไกลแล้ว) --------------------------------------------------------------- คห. 69 ถ้าหากมีการเปลี่ยนแหล่งกำเนิดแสง เช่นแหล่งกำเนิดแสงเป็นแสงไฟสีแดง หากเอาแสงสีแดงฉายลงไปบนวัตถุสีเขียว (กรณีไม่มีแสงจากภายนอกมารบกวนเลย) วัตถุที่ตาเราเห็นจะกลายเป็นสีดำ นั่นเป็นเพราะวัตถุสีเขียวแทบจะไม่สะท้อนแสงสีแดงออกมาเลย เวลาวัดแสงก็ต้องชดเชยไปทาง -1.5 ถึง -2 หรือกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นสีแดงเหมือนเดิม แต่ฉายลงไปบนวัตถุสีขาว  สีตาเห็นก็จะกลายเป็นสีแดง ทำให้เวลาวัดแสงต้องชดเชยเป็น +1 โดยประมาณ หรืออีกกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นสีแดง ฉายลงไปบน gray card แต่เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงมีเฉพาะสีแดง ทำให้แสงที่สะท้อนจาก card เป็น 18% จาก red light (ซึ่งถ้ามองในแง่ปริมาณย่อมน้อยกว่า 18% จาก vislble light) sensor ของกล้องจึงมองเห็นมันมืดกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องชดเชยแสงไปทางลบ ฉะนั้นถ้าเราวัดแสงที่ gray card ก็ต้องชดไปทางลบ (จะ -1 หรือ -1.5 ขึ้นกับแหล่งกำเนิดแสง) ^ ^ (ข้อนี้แอบแก้ ) ถูกหรือเปล่าครับ ???? แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 12:10:07 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 11:42:02 จากคุณ : Chanin.U - [ 18 ก.พ. 52 11:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ปรบมือให้เลยคับ ความรู้เห็นๆ จากคุณ : Dynar-X 64 - [ 18 ก.พ. 52 11:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ความรู้ครับ จากคุณ : NENO-C - [ 18 ก.พ. 52 13:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ตามมาลงชื่อกระทู้สร้างสรรค์ครับ แจก give เหนือ่ยเลย จากคุณ : lkunl - [ 18 ก.พ. 52 15:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 125 อ่าน คห.121 ของน้า chanin แล้วชักงง  สมมุติแหล่งกำเนิดแสงความสว่างคงที่ (เท่าไหร่ชั่งมัน)  ส่องลงไปบน gray card ... แสงสะท้อนกลับมา 18%  แต่ถ้าแหล่งกำเนิดแสงความสว่างนั่น ดันมีแต่แสงสีแดง และให้แสงสว่างที่เท่ากับกรณีแรก (วัดอย่างไรว่า มีความสว่างเท่ากัน ไม่รู้เหมือนกัน)  ความเข้มแสงที่วัตถุ ก่อนสะท้อน ก็ยังเท่าเดิม  แต่เมื่อสะท้อนกลับ .. จะสะท้อนเท่าไหร่ ขึ้นกับความสามารถในการดูดซับแสงสีแดง ของวัตถุ  ถ้าวัตถุนั้น เป็นสีแดงในแสงปกติ  มันหมายความว่า วัตถุนั้นๆ ดูดซับสีอื่นได้ดี แต่ไม่ดูดซับสีแดงเลย  มันก็จะสะท้อนสีแดงกลับ 100%  ในกรณีของ gray card ... มันจะสะท้อนกลับ 18% เช่นเดิม เพราะเขาทำมันออกมาเป็นอย่างนั้น  แต่ .. ตัววัดแสงในกล้อง และ light meter .. มันไม่ได้วัดความเข้มแสงสีแดง  อย่างเช่น nikon .. ถ้าจะไม่ผิด ความไวของเซนเซอร์ สูงสุดอยู่ที่สีเขียว-เหลือง  แสงที่สะท้อนกลับมา มีแต่สีแดง  ไม่มีสีเขียว-เหลือง  มันก็เหมือนกับว่า แทบไม่มีแสงสะท้อนกลับมา  หรือเหมือนกับว่า แสงสะท้อนจาก gray card นั้น ... น้อยมาก  มิเตอร์จะแจ้งว่า แสงน้อยไปนะ  ทั้งๆที่แสงพอดี  ถ้าเราเชื่อมิเตอร์ .. ว่าแสงน้อย  เราก็ต้องเปิดรูรับแสงกว้่างขึ้น หรือ เปิดชัตเตอร์ให้นานขึ้น  ผลคือ ... แสงเข้ามากเกิน (over)  ..............................................  เหตุผลที่ว่ามาให้ฟัง ใช้ได้กับแสงสีเดี่ยวๆ แทบทุกสี  ถ้ามีความรู้นี้ ก่อนเดินออกไปถ่ายรูป จะช่วยแก้ปัญหาให้เราในหลายๆกรณี  โดยเฉพาะกรณีที่ถ่ายใต้แสงหลอดไฟถนน (high pressure lamp)  หลอดพวกนี้ ส่วนใหญ่ ให้แสงสีเดี่ยวๆ  ยกเว้่นหลอดเจ้าปัญหา .. หลอดสีเหลือง (sodium lamp)  ไอ้เจ้าหลอดประเภทนี้ มันให้แสงใกล้เคียงกับช่วงที่เซนเซอร์ในกล้อง (หรือมิเตอร์) ไวต่อแสงพอดี  ทำให้มิเตอร์หลง .. และแจ้งเราว่า แสงเข้ามากเกิน  ถ้าเราตั้งโหมด auto (P,A,S) ... มันจะหรี่ีรูรัีบแสงให้แคบลง หรือ ปิดม่านชัตเตอร์เร็วขึ้น  ผลคือ ภาพออกมา .. มืดกว่าที่ควร (under) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 18 ก.พ. 52 16:33:27 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ขอบคุณมากๆครับ..ได้ความรู้เยอะจริงๆมีตัวอย่างไห้เห็นชัดๆด้วย ถือว่าต่อยอดความเข้าใจ ให้กกระจ่างขึ้น จะได้นำเอาไปปฏิบัติอย่างแน่นอน ผมเองมือใหม่ก็ได้คนใจดีในเวปหลายๆที่แนะนำในกระทู้ เลยได้ความรู้จนเก็บไม่ทัน... ข้างล่างนี้ไปเจอการตอบกระทู้ของท่านที่ใช้ชื่อ บก.เค ที่เวป ziggamza.net เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ เล่าเป็นนิทานสอนคนที่ไม่รู้เรื่องการวัดแสงเลยทีตั้งกระทู้ถามไว้..แต่เข้าใจง่ายๆ ..จนต้องจำไปใช้ทุกครั้ง ลองอ่านดูนะครับ เผื่อท่านอื่นจะแต่งนิทานเล่าเรื่องอื่นๆมาอีก...มือใหม่ชอบ ................................................................................................. เริ่มต้นจากเรื่องเทากลาง 18 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องเล่ายาวนิดครับ เราเคยมองวัตถุที่แสงสะท้อนจ้าๆ บ้างหรือเปล่า อาทิ วัตถุเคลือบเงา สังกะสี หรือวัตถุที่มืดทึบ สะท้อนแสงแบบทึบๆ ทึม แต่วัตถุส่วนมากที่เรามองเห็นกันอยู่นั้น ส่วนมากจะสะท้อนแสงใกล้เคียงกับอัตราส่วน 18 เปอร์เซ็นต์ เขาเลยเอาค่านี้มาเป็นมาตรฐานในการสร้างเครื่องวัดแสง เทากลาง 18 เปอร์เซ็นต์นั้น มาจากการเอาสีดำ 100 เปอร์เซ็นต์มาไล่โทนให้อ่อนลง แต่จะมีสีเทาอยู่ช่วงหนึ่งในชาร์ต ที่อยู่ในค่าเทากลาง 18 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเครื่องวัดแสงในกล้องมันจะวัดแสงจากมาตรฐานค่าเทากลางเป็นหลัก ถ้าวัตถุที่จะถ่ายสะท้อนแสงมาเป็นค่า 18 เปอร์เซ็นต์พอดี มันจะวัดค่าแสงได้ถูกต้อง ถ้าวัตถุที่จะถ่ายสะท้อนแสงใกลเคียงค่าเทากลาง มันจะคลาดเคลื่อนและผิดพลาดเล็กน้อยในการวัดแสง ถ้าวัตถุที่จะถายมีค่าสะท้อนต่างจากเทากลาง กล้องจะวัดแสงผิดพลาดตามค่าแสงที่ได้รับ ช่างภาพมืออาชีพบางท่านที่ต้องการงานละเอียดจริงๆ เขาต้องพกกระดาษเทากลาง ของ Kodak ซึ่งมีราคาเป็นพันบาทติดตัวไว้ เพื่อเอาไว้ให้กล้องวัดแสงได้ค่าที่ถูกต้องแน่นอน บางท่านอาจบอกว่าทำไมกล้องมันหลอกง่าย โง่จัง จริงๆ กล้องมันไม่ได้โง่ครับ ระบบวัดแสงในกล้องนั้นถือว่าเยี่ยมที่สุดแล้ว แต่มันตาบอดครับ เครื่องวัดแสงในกล้องแต่ละตัวจะมีมาตรฐานเดียวกัน การทำงานของมันก็คือ การคำนวนจากค่าแสงที่ได้เพื่อปรับช่องรับแสงและสปีดชัตเตอร์ให้ถ่ายภาพได้ค่าที่พอดีในระดับเทากลาง 18 เปอร์เซ็นต์ครับ พอเรื่องเทากลางแค่นี้ละกันเดี๋ยวจะเง็ง และงง เทคนิคของช่างภาพมืออาชีพ ถ้าตาตัวเองแม่นยำบวกประสบการณ์แล้ว เขาจะเลือกวัดแสงไปยังจุดที่คิดว่าใกล้เคียงกับเทากลาง 18 เปอร์เซ็นต์มากที่สุด และถ้าต้องการความละเอียดเข้าไปอีก เพราะค่า 18 เปอร์เซ็นต์มันก็เป็นค่าเฉลี่ยทางคณิต ที่คิดไม่ลงตัว ก็มีผิดพลาดกันได้อยู่ดี ฉะนั้น ควรวัดแสงหลายๆ จุดในภาพที่ต้องการถ่าย เริ่มจากส่วนมืดไปถึงส่วนสว่างแล้วเอามาคำนวนหาค่าพอดี ซึ่งผมเองก็ไม่เก่งคณิตฯ และผมเองก็อาศัยประสบการณ์ที่เคยถ่ายภาพมาตัดสินใจแทนตัวเลขครับ ฉะนั้นเหนือสิ่งอื่นใด ประสบการณ์สำคัญที่สุด ถ่ายภาพเยอะๆ แล้วนำมาดู มาเทียบ เอาล่ะ...มาอ่านต่อ การวัดแสงในภาพๆ เดียวกัน วัตถุอย่างเดียวกัน สภาพแสงเดียวกัน แต่ภาพก็สามารถแตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างดอกไม้สีขาวในแจกันสีดำ ถ้าเราวัดแสงไปที่ดอกไม้สีขาว แล้วจะออกมาในเรื่องราวต่อไปนี้ เป็นคำพูดของกล้อง กล้องพูดว่า: เฮ้ย โห ภาพนี้สีขาวเต็มหน้าตูเลย ท่าทางจะเป็นภาพขาวโอเวอร์นะเนี่ย ไอ้คนถ่ายนี่มันไม่รู้เรื่องเลยหรือไงฟระ ไม่เป็นไร ดีนะตูฉลาด เดี๋ยวตูปรับลดแสงให้เอง คนถ่ายภาพ: เฮ้ย ทำไมถ่ายออกมาแล้วภาพติดอันเดอร์มืดซะงั้น กรำ กล้องแอบคิดว่า: อ้าว ก็ตูจะไปรู้เหรอว่าเอ็งต้องการภาพแสงพอดี ตูนึกว่าสีขาวนี่หว่า นี่อุตส่าห์ ปรับให้พอดีแล้วนะยังบ่น อีกสถานการณ์หนึ่งคือ วัดแสงที่แจกันสีดำแทน กล้องพูดว่า: โอ้ว โห มืดอิ๊บอ๋าย เลย เปิดไฟถ่ายป่าวฟระเนี่ย ท่าจะบ้านะไอ้คนถ่าย ดีนะตูเก่ง เดี๋ยวตูปรับให้แสงพอดีที่ 18 เปอร์เซ็นต์ งั้นก็ต้องเพิ่มค่าการรับแสงเข้าไปแสงจะได้เข้ามาเยอะๆ คนถ่ายภาพ: เฮ้ย ไรฟระ ทำไมภาพที่ได้มันขาวงี้อ่ะ ดอกไม้สีขาวตู มองไม่เห็นกลีบไม่เห็นรายละเอียดเลย ขาวเวอร์ไปเลย กล้องนี่มัน จุ้นจริงๆ ฮึ่ยๆ กล้องพูดว่า: โมโหตูได้ไงอ่า ตูทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วนะ (และนี่ก็เป็นนิทานสองสถานการณ์เพื่อที่จะได้เห็นภาพมากขึ้น คำบางคำเพิ่มเติมเพื่ออรรถรส) เอาล่ะในเมื่อเป็นเช่นนี้ กับเหตุการณ์ทั้งสอง ไม่ได้แสงในภาพที่ต้องการ ดังนั้น ตัวกล้องจึงมีระบบชดเชยแสงมาให้ไงครับ เราก็เลือกเลยตอนนี้รู้แล้วนี่ว่า วัดตรงไหนได้ภาพยังไง เราก็ชดเชยแสงเอาครับ อย่างถ้าวัดแสงที่ดอกไม้สีขาว เราก็ชดเชยแสงมาทางโอเวอร์ หรือ + นั่นเอง ก็ปรับเอาแล้วลองถ่ายดูครับ การปรับชดเชยแสงยังทำได้โดยการปรับค่าช่องรับแสงและสปีดชัตเตอร์ด้วย ขึ้นอยู่กับภาพที่ต้องการแล้วครับ การวัดแสงเฉพาะจุดหรือ Spot - เป็นการวัดแสงที่ละเอียดที่สุด ต้องการความถูกต้องในจุดที่เราต้องเน้นและโฟกัสเท่านั้น เซลรับแสงจะอ่านค่าเฉพาะพื้นที่เล็กๆ ที่เราวัดแสงเท่านั้น โดยตัวกล้องจะคำนวนค่าแสงจากพื้นที่ที่เราวัดแสงเล็กๆ นี่แหละ พื้นที่อื่นจะไม่เอามาเกี่ยวด้วย เหมาะสำหรับการถ่ายงานที่ละเอียด งานมาโคร งานบุคคล การวัดแสงแบบเฉลี่ยหนักกลาง Center Weighted - เป็นระบบวัดแสง แบบมาตรฐาน ดั้งเดิมของกล้อง 35 มม. SLR ระบบนี้จะ วัดแสงโดยเน้นหนักไปยังบริเวณส่วนกลาง ของภาพมากกว่าพื้นที่รอบ เน้นตรงกลางเป็นหลัก ระบบวัดแสงแบบแบ่งพื้นที่ (Multi-pattern Metering หรือ Evaluative) - เป็นระบบวัดแสงที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการใช้งานมากที่สุด ระบบชนิดนี้ กล้องจะแบ่งพื้นที่ การวัดแสง ในแต่ละพื้นที่ อย่างอิสระ โดย วัดความสว่าง และ ความเปรียบต่างในพื้นที่ แต่ละส่วน กล้องจะทำการวิเคราะห์สภาพแสง ด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ เสร็จแล้วจึงนำ ค่าที่ได้ มาประเมินผล หาค่าเฉลี่ยในการ บันทึกภาพ เหมาะอย่างยิ่งกับช่างภาพมือใหม่ และต้องการความรวดเร็ว และง่ายต่อการใช้งาน กล้องในแบบคอมแพ็คต์ควรปรับตั้งมาที่โหมดนี้ไว้ครับ (credit.. บก.เค ziggamza.net ) แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 20:53:48 จากคุณ : เงาฝันที่ฉันเดิน (เงาฝันที่ฉันเดิน) - [ 18 ก.พ. 52 20:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เข้ามาช่วยแขวน ^ ^ จากคุณ : espucino-ccj - [ 18 ก.พ. 52 21:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 128 น้าแมวเหมียวครับ แสดงว่า key point ของเรื่องนี้อยู่ที่ระบบการทำงานของ sensor ซิครับ แล้วปรกติ sensor วัดแสงของกล้อง/เครื่องวัดแสงทำงานยังไงหรือครับ ??? หลังจากรับเอาพลังมาแสง/คลื่นแสงมา แล้วยังไงต่อ?? cell วัดแสงไวต่อแสงแต่ละช่วงความถี่ไม่เท่ากัน ??? ถ้าไวต่อแสงแต่ความถี่ไม่เท่ากัน มันไวต่อแสงช่วงความถี่ไหนบ้างหว่า ?? และที่สำคัญ CCD/CMOS ของกล้อง Digital ไวต่อแสงความถี่ไหนบ้างครับ (ไม่ใช่คุยกันแทบตาย ปรากฏว่าความไวต่อแสงในความถี่ต่างๆ ที่ต่างไปจากปรกติ ของ CCD/CMOS ไม่เท่ากับ SENSOR ของเครื่องวัดแสง ) จากคุณ : Chanin.U - [ 18 ก.พ. 52 23:43:02 ]

ความคิดเห็นที่ 129 อยากถามเพื่อนๆ น้าๆ ตามที่เจ้าของกระทู้ คุณไข่เจียวโหระพา ถามเกี่ยวกับเรื่องการวัดแสงและชดเชยแสงในสภาพแสงต่างๆกันนั้น  ก็เลยอยากทราบว่าแต่ละท่านๆ มีเทคนิคส่วนตัวกันยังไงบ้างครับ...ยกตัวอย่างเช่น   ชอบใช้ระบบวัดแสงแบบไหน ? ชอบวัดแสงกันบริเวณไหนของภาพบ้าง ใช้อะไรอ้างอิง ? มีเทคนิคการชดเชยแสงยังไงกันบ้างครับ ? เป็นต้น..... ลองแชร์เทคนิคกันดีกว่าครับ  เผื่อได้ลองไปฝึกกันดูนะครับเพื่อนๆน้าๆ..... สำหรับผม... - ก็ชอบวัดแสงแบบ Spot ดูแล้วแม่นดีแต่ต้องวัดให้ถูกจุด - ถ้าวัดบริเวณไหน เท่าที่ผมทดลองมาก็วัตถุสีดำ ชดเชยไป-1 /วัตถุสีขาว ชดเชยไป+1/วัดที่แขนตัวเอง พอดีที่ 0 ครับ (ใกล้เคียงครับเทียบกับกระดาษเทากลางแล้ว)   แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 52 23:49:47 จากคุณ : tatacat - [ 18 ก.พ. 52 23:43:21 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ขอต่อคำแนะนำจากคุณ tatacat ครับ เอาเป็นว่า บอกเทคนิคคร่าวๆ ที่ใช้บ่อยๆ พร้อมภาพประกอบ จะได้เห็นกันชัดเจนขึ้น ปกติ ผมใช้ Evaluation Matrix เพราะชินกับสภาพแสงและกล้องอยู่แล้ว ผมใช้ D50 มา 2 ปีกว่า ตอนนี้ แสนกว่า ภาพแล้ว และผมถ่ายภาพสถานที่เดียวกันมา 2 ปีกว่าๆ เช่นกัน ดังนั้น ประสบการณ์ ถ้าไปต่างสถานทีี่ ผมใช้ Spot metering ถ้าแสงไม่เปลี่ยนมาก เช่น วันที่ฟ้ามีเมฆคลุมไปหมด (Overcast Day) ผมใช้ Gray Card เพราะไม่ต้องวัดแสงบ่อยๆ อย่างภาพนี้ผมใช้ Spot metering เพราะ ที่ี่ที่ผมยืนอยู่ได้รับแสงไม่เท่ากับที่ที่ผมจะถ่ายภาพ ดังนั้น Gray card ไม่แม่นยำ ไม่ใช้ Evaluation Matrix เพราะ Snow Scene แบบนี้ ระบบการวัดแสงของกล้องโดนหลอกง่าย โอกาสที่จะได้ภาพ Under มีสูง ผมใช้ spot metering zoom จนสุดระยะ 400mm ของเลนส์ที่ผมใช้ ไปที่ บริเวณกลางภาพของขอบด้านซ้าย ที่เห็นเป็นเนินดินสีเทาๆ ซึ่งใกล้เคียงกับ 18% gray card แต่ไม่ใช้ค่าที่อ่านได้ เพราะผมอยากให้ภาพมัน over กว่าที่ตาเห็นประมาณครึ่ง stop ผมใช้ค่าที่วัดได้แล้วชดเชยไปทาง + อีกครึ่ง stop ได้ภาพอย่างที่เห็น จากคุณ : amdmf04 - [ 19 ก.พ. 52 03:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 131 มาขออนุญาตเก็บความรู้ดีดีไว้ศึกษาครับ จากคุณ : บุรุษแห่งดวงดาว - [ 19 ก.พ. 52 12:29:55 ]

ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อก่อน เฉลี่ยทั้งภาพ ตลอด เชื่อกล้อง ตั้งแต่เริ่ม ได้รับความรู้จากกระทู้นี้ เริ่มใช้แบบจุดแล้วครับ กำลังฝึกปรือฝีมือครับ จากคุณ : ไข่เจียวโหระพา - [ 19 ก.พ. 52 20:32:14 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ของผมส่วนใหญ่เฉลี่ยทั้งภาพครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน (Colt 1911 A1) - [ 19 ก.พ. 52 22:09:24 ]

ความคิดเห็นที่ 134 กระทู้นี้ดีจัง...สอนวัดแสงถ่ายรูป ไม่ได้สอนนั่งหน้าคอมฯ แม้หลังๆ ลงรายละเอียดลึกไปหน่อย เพราะส่วนตัวคิดว่าการรแยกแยะสีไม่น่าจะเกี่ยวกับการวัดแสงถ่ายภาพ ไม่งั้นคิดมากเยี่ยวเหลือง ไม่ได้ถ่ายภาพกันพอดี จากคุณ : สันโต๊ะ - [ 20 ก.พ. 52 01:09:06 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ตามกลับมาจากกระทู้แตกประเด็น แน่นๆอีกกระทู้นึงครับ ขอปรบมือให้ทุกท่านที่มาให้ความรู้ ขอขอบคุณไว้ด้วยครับ ^^ จากคุณ : lemoner (ot++) - [ 21 ก.พ. 52 22:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 136 .. ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ นะครับ .. >> เยี่ยมจริงๆ .. จากคุณ : Mr.Bokeh - [ 22 ก.พ. 52 13:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เคยใช้ทั้ง Grey card กับ เครื่องวัดแสงแบบตกกระทบ ต่อมาก็ใช้ฝ่ามือเป็นตัวเทียบ เคยวัดฝ่ามือเปรียบเทียบกับทั้ง Grey card และเครื่องวัดแสงแบบตกกระทบ วัดฝ่ามือได้ +0.5 stop จึงจะเท่ากับวัดแสงด้วย Grey card และเครื่องวัดแสงแบบตกกระทบ ที่พอดี ออกไปถ่ายภาพก็ใช้วัดแสงที่ฝ่ามือนี่แหละครับ ให้มันขึ้น +0.5 stop ก็แปลว่าเราจะได้แสงที่พอดี ถ้าไม่ต้องการละเอียดนัก เราก็จะเลือกวัดแสงจากวัตถุที่จะถ่าย โดยเลือกบริเวณที่คิดว่าใกล้เคียงกับสีเทากลาง 18% ในระบบวัดแสงแบบ spot แต่ถ้าไม่มีบริเวณใดใกล้สีเทากลาง 18% ก็ต้องประมาณการเอาว่าบริเวณนั้นสะท้อนแสงได้มากหรือน้อยกว่า 18% แล้วชดเชยแสงเอา แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 52 17:12:11 จากคุณ : paengmun - [ 22 ก.พ. 52 17:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ดีใจจังที่กระทู้แบบนี้ยาว  ....   ^O^ เดี๋ยวตามไปอ่านกระทู้แตกประเด็นต่อค่ะ  ชอบๆๆ จากคุณ : จิตรางคทา - [ 22 ก.พ. 52 21:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 139 เคยอ่านหนังสือบางเล่ม บอกว่าสีขาวให้ +2 stop จากที่วัด สีดำให้ -2 stop จากที่วัด แต่เห็นระบบ zone system อ้างถึง +5 / -5 stop สำหรับขาวและดำ เลยงงว่าตกลงสีขาวนี่ชดเชยกี่ stop กันแน่ หรือผมเข้าใจตรงไหนผิด จากคุณ : [a.pantip.user] - [ 22 ก.พ. 52 23:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 140 กระทู้ นี้ เยี่ยมเลย ครับ ความรู้ ล้วน ๆ จากคุณ : ^DriftingClouD^ - [ 22 ก.พ. 52 23:39:40 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ได้ความรู้มากเลยครับ ขอบคุณพี่ๆ ทุกคน จากคุณ : _boyy_ - [ 23 ก.พ. 52 15:06:20 ]

ความคิดเห็นที่ 142 กระทู้แนะนำมันต้อง แบบนี้ครับ ใช่เลย จากคุณ : Cojiro - [ 24 ก.พ. 52 17:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ตาลายไปหมดแล้วครับ ผมใช้ LiveView ต่อไปดีกว่า จากคุณ : JoKeR3753 - [ 24 ก.พ. 52 18:58:42 ]

ความคิดเห็นที่ 144 ใช้ Histogram ให้ชำนาญจะง่ายกว่าใช้ Zone นะครับ  ใช้ Zone กับดิจิตอลจะงง  เล่น Tone Mapping จะง่ายกว่า จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 24 ก.พ. 52 21:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 145 ผมก็คิดเหมือนกันว่าระบบโซนน่าจะตายไปพร้อมกับฟิล์มแล้วด้วยซ้ำ.. จากคุณ : Roy - [ 24 ก.พ. 52 23:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ฮี่ๆ ผมเลิกใช้โซนไปนานแล้วอ้ะ ตอนนี้ดูแต่ฮิสโตแกรม จากคุณ : อะธีลาส - [ 25 ก.พ. 52 06:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 147 เข้ามาในกระทู้นี้เป็นหนที่..... เท่าไหร่ จำไม่ได้แล้วครับ เอาเป็นว่า ทั้ง add favorites แล้วก็เปิดไว้อ่านทุกวัน ถ้าข้อความไหนแนะนำเคล็ดลับ หรือ สรุป ก็จะ print เก็บไว้เลยครับ อ่านตั้งแต่กระทู้แรกจนถึงกระทู้สุดท้าย  "ยิ่งอ่านยิ่งงง ยิ่งงงยิ่งอ่าน" เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี (เป็นคนหัวช้าครับ) แต่เคยได้ยินคำที่เค้าว่า "พรนรกจะน่ากลัวกว่าพรสวรรค์....ถ้ามีความขยัน" หลังจากอ่านแล้วเกิดข้อสงสัยขึ้น ก็ย้อยกลับไปอ่านใหม่ว่า ที่เราสงสัย คล้าย ๆกับของท่านอื่น ๆ หรือเปล่า (เลยกลายเป็น สงสัย กำลัง 2 เลย) แต่ก็ไม่เจอนะ หรือว่ามีแต่ผมดันไม่รู้เองว่า มันคืออันเดียวกัน....ก็เป็นได้ คือ เท่าที่อ่านมา เข้าใจว่า ZONE แบ่งเป็น 0-10 สีเทากลางคือ 5 แล้วเราจะดูหรือวัด ยังไงครับ ว่า วัตถุตอนนั้น ขณะนี้ มันอยู่โซนอะไรครับ แล้วถ้ามือใหม่อย่างผม พยายามจะพลักดันภาพทุกภาพให้ไปอยู่ใน zone 5 ก่อนที่จะลงมือถ่าย แล้วค่อย ปรับ + - ชดเชยแสงตามสีของวัตถุที่จะถ่ายเช่น สีขาว + 2 สีดำ -2 อย่างนี้จะถูกต้องไหมครับ สงสัยตรงนี้อีกครับว่า สีขาว ทำไมต้อง +2 ในเมื่อเราอยู่ zone 5 เราน่าจะ +5 ไปเลย จะได้ขาวสุด หรือ -5 ไปเลยจะได้ดำสุด ครับ แล้วถ้าผมเข้าใจตานข้างบนว่า สีเทากลางที่วัดแสง ณ ขณะนั้นมันคือ ZONE 5 นะครับ ทีนี้  (เอาเป็นแสงจากธรรมชาติ) ล่ะกันครับ  ถ้าเราจะถ่ายรูปรถยนต์สีขาวทั้งค้น เราเอากระดาษเทากลาง 18% ไปวางไว้แถว ๆ นั้น แล้ววัดแสง (ใช้โหมด M วัดค่าได้ 1/125 f/8 iso 100) คือจุดที่ สเกววัดแสงแสดงค่าว่า ไม่ over ไม่ under  ค่าที่ได้นี้คือ ZONE 5 ใช่หรือเปล่าครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่เราพยายามแบ่ง zone 5เป็นเทากลาง แล้วปรับชดเชย + - มาทั้งหลาย ก็คือ เพื่อให้กล้องนั้น ถ่ายภาพออกมาให้เหมือนกับที่ตาเราเห็นหรือใกล้เคยง ใช่ไหมครับ  ... แต่ถ้าเราต้องการภาพที่ สว่าง หรือ มืด มากกว่านั้น (แล้วแต่ความต้องการช่างภาพ) ก็ปรับ + - ไปตามแต่ใจตากล้องใช่ไหมครับ ถ้าผมเข้าใจตามที่ถามมานี้ ผมว่า ผมพอจะเข้าใจ เกี่ยวกับการวัดแสง บ้างแล้ว แต่ถ้า สิ่งที่ถามมานี้ ยังไม่ใช่เลย ผมจะได้ ปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดแล้วเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่เลยครับ ยาวนิดนึงนะครับ.....ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน รบกวน ด้วยนะครับ ***อยากเห็น พร นรก .... สัมฤทธิ์ ผลกะเค้าสักทีครับ*** ขอบคุณครับ จากคุณ : rjo20 (rjo20) - [ 25 ก.พ. 52 11:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 148 สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เวลาเราเอากล้องไปวัดแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ กล้องมันจะอ้างอิงว่าวัตถุนั้นอยู่ zone 5 เสมอ(มันถูกตั้งค่ามาจากโรงงานแบบนั้น) เวลาใช้งานถ้ากล้องมันเห็นว่า วัตถุที่เรากำลังวัดอยู่ มีความสว่างน้อยเกินไป ตกไปอยู่ zone ที่ต่ำกว่า 5 มันก็จะพยายามเพิ่ม exposeure เพื่อดันให้ปริมาณแสงที่เข้ามามีความสว่างพอที่จะทำให้วัตถุนั้นกลับมาที่ zone 5 หรือในทางกลับกันถ้ามันวัดแสงแล้วพบว่า แสงมากไปมันก็พยายามลด exposure แทน จากที่เล่ามาด้านบน จะเห็นได้ว่าถ้าวัตถุที่เรากำลังวัดอยู่ มันเป็น zone 5 จริงๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่เวลาออกไปถ่ายรูปจริงๆ วัตถุเราวัดมันไม่ได้ตกอยู่ zone5 เสมอไป เช่นไปถ่ายตึกรามบ้านช่อง สีออกขาวๆ  วัตถุสีขาวมันตกไปทาง zone 6, 7, 8, etc. ถ้าเราไม่บอกกล้องมัน มันก็ไม่รู้  ในเมื่อมันถูกตั้งมาจากโรงงานว่าค่า defult คือ zone 5 มันก็พยายามลด exposure ทำให้วัตถุที่ควรจะสว่าง(zone 6, 7, 8) กลับกลายเป็น zone 5 แทน  ผลลัพท์ก็คือสีขาวกลายเป็นสีเทาๆ เพระฉะนั้น ถ้าวัตถุที่เราวัดแสงมีสีขาว (ซึ่งเทียบได้กับ zone 6 หรือ 7) และเราต้องการให้ภาพที่ได้ยังคงมีสีขาวตามธรรมชาติ เวลาวัดก็ต้องไปบอกกล้องมันด้วยว่า วัตถุที่เรากำลังวัดนะ มัน zone 6 หรือ 7 (บอกกล้องด้วยการชดเชยไปที่ +1 หรือ +2 ตามลำดับ) ที่นี่ในชีวิตจริงการที่จะระบุได้ว่าวัตถุไหนเป็น zone ไหนกันแน่ มันไม่ง่าย ต้องอาศัยประสบการณ์ และการฝึกฝน (อย่าลืม ในชีวิตคนปรกติ ไม่มีใครมานั่งมองค่า value ของวัตถุ) เค้าเลยพัฒนาตัวช่วยขึ้นมา เพื่อใช้อ้างอิงแทน zone 5 นั่นก็คือ gray card 18%  ทำให้เวลาวัดแสงที่เจ้ gray card นี้ไม่ต้องชดเชยแล้วนั่นเอง ------------------------------------------------------ ปล. ไอ้ที่ว่าชดเชย +1 +2 หรือ -1 -2 นี่คิดจาก zone5 เป็นตัวอ้างอิงนะครับเช่น ชดเชยแสง -2 หมายถึง zone (5-2) = zone 3 ชดเชยแสง +1 หมายถึง zone (5+1) = zone 6 ปล. 2 ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือ mode กึ่ง auto (พวก Av, Tv, P, S) ปล. 3 กรณีที่ใช้ mode M กล้องมันทำหน้าที่วัดอย่างเดียวไม่ปรับค่า F หรือ Shutter speed ให้ ไอ้ scale ที่เราเห็นบนกล้องตอนโหมด M นั่นคือมาตรวัดแสงกำลังบอกเราว่า วัตถุที่เราวัดอยู่ตอนนี้เมื่อเทียบกับ zone 5 แล้ว มันมากหรือน้อยไปเท่าไหร่ ผู้ถ่ายภาพมีหน้าที่ปรับค่า exposure เองจนกว่า ค่าแสงที่วัดได้จะไปอยู่ใน zone ที่เราต้องการครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 52 14:31:17 จากคุณ : Chanin.U - [ 25 ก.พ. 52 14:23:25 ]

ความคิดเห็นที่ 149 อ่านแล้ว งง มากกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย   ปล. 4 ยังคงคาใจกับการเปลี่ยนแหล่งกำเนิดแสง เป็นแบบต่างๆ ที่ต่างไปจากปรกติ (แต่ยังไม่มีเวลาค้นคว้าเลย ) จากคุณ : Chanin.U - [ 25 ก.พ. 52 14:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 150 ok .... ขอบคุณมากครับคุณ Chanin U ผมเข้าใจหลักการล่ะครับ แต่ไปเหลือแค่นำไปใช้ให้ได้ตามที่เรียนรู้มา และยังไม่ลืมครับว่า มันคือ tools ไม่ใช่ row จากคุณ : rjo20 (rjo20) - [ 25 ก.พ. 52 16:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ผ่านไป 2 ช.ม. ตาลายเลย แต่ก็ได้ความรู้เยอะเลยครับ แต่ยังไม่มีกล้องให้หัดถ่ายเลย กำลังเก็บตังค์ถอย 450D ครับ จากคุณ : เอ๊าะ - [ 25 ก.พ. 52 16:41:02 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ไม่เห็นมีใครตอบของผมเลย (comment #139) ทำไมหนังสือบางเล่มอ้างแค่ +/- 2 Stop สำหรับขาวและดำ ทำไมกล้องถ่ายรูปถึงมีแค่ +/- 2 Stop เอาไว้โชว์เวลาวัดแสง แต่ zone system กลับอ้างถีง +/- 5 stop สำหรับขาวและดำ ... จากคุณ : [a.pantip.user] - [ 25 ก.พ. 52 23:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะครับ ไอ้ +/- 2 นั่นคือใช้ได้ในกรณีทั่วไป เพราะ zone 0 หรือ zone 9 นี่ชีวิตจริงคงไม่มีใครไปวัดแสงแถวนั้น (zone 0 นี่คือมืดสนิทไม่มีแสงเลย, zone 9 นี่คงต้องไปวัดแถวๆ พระอาทิตย์) จากประสบการณ์(อันน้อยนิด) ส่วนตัว พบว่าหลายๆครั้งถ้าเราวัดแสงไปที่วัตถุที่มีความสว่างมากๆ เช่นไปวัดบนวัตถุที่มีการสะท้อนของแสงอาทิตย์  การตั้งค่า +2 มักจะไม่พอครับ   แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 00:22:04 จากคุณ : Chanin.U - [ 26 ก.พ. 52 00:05:05 ]

ความคิดเห็นที่ 154 ช่วยตอบ : ความคิดเห็นที่ 147 ขออธิบายเป็นขอสรุป ดังนี้ครับ...(ดู คห.ที่ 85-90 ประกอบ) - อยากให้เข้าใจว่าการแบ่ง Zone 11 ส่วนนั้น (0-10) เป็นการแบ่งตามลักษณะตามปริมาณแสงของการสะท้อนจากวัตถุ  มืด-->กลาง-->สว่าง  เหมือนแบ่งตามความสามารถในการมองเห็นวัตถุของตามนุษย์ เช่น Zone 0-2 มองไม่เห็นรายละเอียดเพราะมืดมาก ,Zone 3-7 เห็นได้ดีและพอมองเห็นรายละเอียด , Zone 8-10 มองไม่เห็นรายละเอียกเพราะสว่างจ้า    ***อย่าไปจำปนกับตัว Scale วัดแสงในตัวกล้องนะครับว่าตรงกลางของ Scale จะต้องอยู่ที่โซน 5 เสมอไปมันขึ้นอยู่กับสภาพแสงตอนนั้นจะทำให้ค่าที่พอดีไปตกอยู่ในZoneไหน  แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือค่าที่เราชดเชยทุกๆ +1 หรือ -1 ใน Scale จะหมายถึงการปรับความเข้มแสง + หรือ - ไปทุกๆ 1 Zone - กระดาษสีเทากลาง 18% หมายถึง  กระดาษที่รับแสงและสะท้อนแสงเป็นปริมาณ 18% ของแสงที่กระทบ (โดนกระดาษดูดกลืนไป 82%)  ดังนั้นกระดาษแผ่นนี้หากได้รับแสง  ปริมาณน้อยก็จะสะท้อนมาน้อยในสัดส่วน 18% , ปริมาณมากก็จะสะท้อนมามากในสัดส่วน 18%   ดังนั้นค่าการสะท้อนแสงมันคงเดิมตลอดครับ มันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของวัสดุและโทนสี - วัตถุสีอื่นๆ จากตัวอย่างการทดลองของผม ตัวปฏิทินสีขาวนั้นก็จะมีค่าการสะท้อนแสงที่ต่างจากกระดาษเทากลาง  สีที่สว่างกว่าก็จะมีค่าการสะท้อนแสงที่มากกว่าเพราะดูดกลืนน้อย  สมมุติว่าผมให้ตัวปฏิทินมีค่าการสะท้อนแสงอยู่ที่ประมาณ 25% ดังนั้นปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาย่อมมากกว่า  ซึ่งจากการทดลองเราวัดได้ค่าที่มากกว่าเทากลางอยู่ +1 เสมอ(คุณสมบัติของวัตถุ)  ไม่ว่าสภาพแสงภายนอกจะสว่างหรือมืดแค่ไหน - ตัวกล้องจะมีการตั้งค่าจากโรงงานไว้ให้เลือกค่าแสงที่พอดี โดยใช้การสะท้อนแสง 18% เป็นเกณฑ์  ดังนั้นไม่ว่ากระดาษสีเทากลางจะไปอยู่ในสภาพแสงยังไง  กล้องก็จะรับค่าการสะท้อนแสงที่ 18% เท่าเดิม (วัดที่สัดส่วนเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับแสงเข้มหรืออ่อน)  ซึ่งถ้าดูตาม รูป A จะเห็นได้ว่าค่าแสงที่พอดีที่กล้องคำนวนออกมาเป็นค่า รูรับแสง&Speed นั้นจะต่างกันในทุกๆสภาพแสง  ที่สว่างมากๆ ค่าSpeed จะเร็วมาก / ที่สว่างน้อยๆ ค่าSpeed จะเปิดช้า  ซึ่งจะทำให้ตกอยู่ใน Zone ที่ต่างกัน - จากการทดลองจะเห็นได้ว่าตัวปฏิทินจะมีแสงที่ over กว่ากระดาษเทากลางอยู่ +1 สตอป  ดังนั้นถ้าเราวัดแสงที่ปฎิทินกล้องก็จะปรับลดปริมาณแสงให้พอดีกับเทากลางเสมอจึงโดน -1  หากอยากได้แสงที่เหมือนตาเห็นก็ต้อง +1 คืนกลับไปเสมอ    สรุปถ้าเราเอาปฎิทินแผ่นนี้ไปถ่ายรูปด้วยเราก็ตั้งค่าชดเชยแสงไว้ที่ +1 ทิ้งไว้เลย แล้วก็เอาปฏิทินนี้ไว้ใกล้ตัวแบบแล้ววัดแสง ล๊อคค่าแสง จัดองค์ประกอบ ถ่ายภาพนั้นๆได้แสงตามที่ตาเห็นจริง - แล้วปริมาณแสงแบบไหนล่ะที่จะทำให้เวลาวัดแสงที่กระดาษเทากลางแล้วทำให้อยู่ Zone 5 พอดี ?(Scale ไม่เกี่ยวครับ เพราะถ้ามันพอดีมันจะตกที่ 0 อยู่แล้วทุกครั้งไป)   ผมคิดว่าคำตอบก็น่าจะเป็นปริมาณแสงที่เราวัดแสงจากเทากลางแล้ว ถ้าลองชดเชยแสงเพิ่มไป +5 ก็จะได้ความขาวเต็มที่  หรือถ้าชดเชยแสงลดไป -5 ก็จะได้ความดำเต็มที่  ซึ่งความเต็มที่ทั้งสองด้านต้องสมดุลพอๆกัน  จึงจะเป็นสภาพแสงที่เทากลาง 18% ตรง Zone 5 ... อันนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์นะครับถึงจะรู้ว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ตอนไหนที่ใช่  แต่ผมว่ามันก็ไม่จำเป็นหรอกนะที่มันจะต้องมาตรงกันเสมอไป... ไม่รู้จะงงๆ รึเปล่า  ผมเองยังงงๆเลย อ่ะอ่ะ ล้อเล่น ... มีอะไรก็มาแชร์กันครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 03:40:33 แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 52 03:23:12 จากคุณ : tatacat - [ 26 ก.พ. 52 03:21:04 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ขอแทรกนิดนึงนะครับ ถ้ากล้องผมมีแต่วัดแสงแบบเฉลี่ยหนักกลาง มันก็ไม่สามารถจัดzoneได้อย่างแม่นยำ แล้วมีเทคนิคอะไรที่จะสามารถใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ในการจัดzoneได้อย่างถูกต้องมั้ยครับ??? (กล้องฟิล์มเก่าๆส่วนใหญ่ยังไม่มีspotอะครับ เศร้า อันนี้คาใจมานานแสนนานเลยอะครับ) จากคุณ : nerb - [ 26 ก.พ. 52 12:49:38 A:125.25.117.176 X: ]

ความคิดเห็นที่ 156 ^ ^ ถ้าจะเอาจริงๆ ก็จับ gray card มาถือไว้ใกล้ๆกล้องให้มันเต็ม frame ก็ได้ครับ ไม่งั้นก็ต้องอาศัยประสบการณ์ กะเอาจากวัตถุที่เราคุ้นเคยครับ จากคุณ : Chanin.U - [ 26 ก.พ. 52 13:32:19 ]

ความคิดเห็นที่ 157 ขอบคุณ คุณ tatacat (154) มากครับ ที่มาช่วย อ่านแล้วยัง งง งง อยู่ เหมือนกัน เดี๋ยวลองไปถ่ายดูเลยดีกว่าครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ จากคุณ : rjo20 (rjo20) - [ 26 ก.พ. 52 14:59:25 ]