ความคิดเห็นที่ 1 ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องกันเลยครับ!! ในเรื่องของการวัดแสงนั้น ไม่ยากเลยครับ แต่มันมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ 2-3 เรื่อง ซึ่งถ้าตั้งใจอ่านก็สามารถเข้าใจได้ ผมมีความตั้งใจมากที่จะเขียนเรื่อง "การวัดแสง" ให้ผู้อ่านได้เข้าใจ ฉะนั้น ผมขอให้ตั้งใจอ่านทุกคำที่ผมเขียนน่ะครับ อย่าดูแต่รูป หรืออ่านแบบผ่านๆ เนื่องจาก ในช่วงนี้ผมเล็งเห็นว่า มีคำถามอย่างต่อเนื่องว่า "การวัดแสง" นั้นคืออะไรและทำอย่างไร ซึ่งก็มีผู้มาตอบอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ผมก็เข้าไปอ่านอยู่บ่อยๆ แต่ผมคิดว่าคำตอบทั้งหลายนั้น ยังไม่มีคำตอบไหนตรงจุดซักคำตอบเดียว ทำให้ผู้ที่มาถามนั้น ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน และอาจตีความหมายผิด จนในที่สุดก็ไม่เข้าใจเรื่องการวัดแสงอยู่ดี ผมเลยทำข้อมูลเรื่อง "การวัดแสง" ขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อให้คนที่ได้เข้ามาอ่าน ได้เข้าใจอย่างถูกต้องเสียที ขอออกตัวอีกนิดว่า ข้อมูลชุดนี้อาจไม่ถูกต้อง 100% แต่ผมรับรองได้ว่าถูกต้องมากกว่า 90% แน่นอน เรื่องของการวัดแสงนั้นจริงๆ แล้วง่ายมากๆ ครับ คำถาม : ทำไมจึงคิดว่า "การวัดแสง" เป็นเรื่องง่าย คำตอบ : เพราะทุกครั้งที่คุณจะถ่ายรูป(ด้วยกล้องดิจิตอล) กล้องมันวัดแสงให้เรียบร้อยแล้วครับ ในสมัยที่กล้องยังเป็นกล้องฟิมล์นั้น คนถ่ายต้องวัดแสงเองครับ แต่สมัยนี้ โลกก้าวเข้ามาสู่ยุคดิจิตอลแล้ว เรื่องของการวัดแสงนั้นกล้องมันเลยจัดการให้แล้วครับ ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพคร่าวๆ ก่อนน่ะครับ เช่นกล้อง Compact ทั้งหลายนั้นโดยปกติแล้ว มันจะวัดแสงแล้วล็อคค่าแสงทันทีเมื่อคุณกดชัตเตอร์ลงครึ่งนึงหรือเรียกว่า "การโฟกัส" นั่นเอง พอคุณโฟกัสแล้ว ไม่ว่าคุณจะแพนกล้องอย่างไร ค่าแสงจะไม่เปลี่ยนแล้ว เพราะกล้อง Compact จะโฟกัสและล็อคค่าแสงไปในตัวเสร็จสรรพ แล้วก็ถ่ายโดยการกดชัตเตอร์จนจมตามปกติ *** นั่นหมายความว่า คุณโฟกัสที่อะไร กล้อง Compact ก็จะวัดและล็อคแสงที่ตรงนั้นทันที *** หลักการข้อนี้สำคัญมาก ต้องเข้าใจน่ะครับ ไม่งั้นไปต่อไม่ได้ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:05:05

ความคิดเห็นที่ 2 ที่นี้มาว่าในเรื่องของกล้อง DSLR กันบ้าง กล้อง DSLR นั้นสามารถที่จะเลือก(ตั้งค่า)ได้ว่า เมื่อกดชัตเตอร์ลงครึ่งนึง กล้องจะ - โฟกัสอย่างเดียว ไม่ล็อคค่าแสง (ในกรณีนี้ เราจะเป็นคนเลือกเองว่าจะให้กล้องวัดแสงที่ไหน เพราะเราอาจไม่เอาค่าแสงที่จุดเดียวกับจุดที่เราโฟกัสก็ได้) - ทั้งโฟกัสและล็อคค่าแสงทันที *** อย่าลืมที่ผมบอกว่า กล้องดิจิตอลมันวัดแสงตลอดเวลาครับ ฉะนั้นเรามีหน้าที่แค่ "เลือกจุดที่จะให้กล้องวัดแสง" กับ "ล็อคค่าแสง" เท่านั้น *** ปล. ผมเข้าใจว่ากล้อง Compact ก็น่าทำได้แต่ผมไม่เคยเล่นกล้อง Compact อย่างจริงจัง เลยไม่กล้าฟันธงครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:05:47

ความคิดเห็นที่ 3 ทีนี้เรามาดูกันว่าวิธีการของการวัดแสงนั้น กล้องมันทำอย่างไร หลักการก็ง่ายมากครับ เราเล็งจุดโฟกัสไปที่อะไร กล้องมันก็จะวัดแสงตรงนั้น จากรูปตัวอย่าง ผมจะให้แสงพอดีที่ "ตัวปราสาท" ก็ทำดังนี้ครับ 1. เอาจุดโฟกัสไปเล็งที่ตัวประสาท กดชัตเตอร์ลงครึ่งนึงให้กล้องมันโฟกัส แล้วปล่อยชัตเตอร์ 2. จากนั้นก็ล็อคค่าแสง(กดปุ่ม AE-L, ของฝั่ง Canon รู้สึกจะเป็นปุ๋ม *) 3. โฟกัสอีกที(กดชัตเตอร์ลงครึ่งนึง) 4. จัด Composition ใหม่ตามต้องการ 5. ถ่าย(กดชัตเตอร์จนจม) กรรมวิธีมันก็เท่านี้เองครับ อาจดูเหมือนวุ่นวาย แต่ง่ายมากๆ กระบวนการทั้งหมดนั้น เมื่อทำจนชินก็จะใช้เวลาแค่ 2-3 วินาทีเองครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:08:30

ความคิดเห็นที่ 4 แต่การวัดแสงนั้น กล้องมันก็มีระบบมาให้เลือกครับ ของ Nikon มี 3 แบบคือ - 3D Matrix Metering แบบเฉลี่ยทั้งภาพ จะวัดความสว่างของสิ่งที่จะถ่ายรวมกัน ซึ่งอาจจะมีบางส่วนมืดบางส่วนสว่าง แล้วนำค่าความสว่างทั้งหมดมาคำนวณรวมกัน - Center-Weighted Metering แบบเฉลี่ยหนักกลางภาพ เน้นในส่วนกลางภาพประมาณ 75% เฉลี่ยส่วนรอบๆ อีกประมาณ 25% - Spot Metering แบบเฉพาะจุด จะวัดแสงเฉพาะในกรอบพื้นที่โฟกัสที่เลือกไว้ 100% โดยไม่เฉลี่ยพื้นที่รอบๆ เลย ส่วนของ Canon นั้น มี 4 แบบคือ - Evaluative metering แบบเฉลี่ยทั้งภาพ เหมือนระบบ Matrix ของ Nikon - Partial metering แบบเฉลี่ยเฉพาะส่วน (ประมาณ 9% ของจุดศูนย์กลางช่องมองภาพ) - Spot metering แบบเฉพาะจุด (ประมาณ 4% ของจุดศูนย์กลางช่องมองภาพ) - Center-weighted average metering แบบเฉลี่ยน้ำหนักกลางภาพ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:09:36

ความคิดเห็นที่ 5 ระบบวัดแสงที่เราเลือกนั้น เป็นเพียงการสั่งกล้องว่าให้หาค่าแสงที่เหมาะสมโดยใช้ระบบอะไร เพราะในการถ่ายรูปนั้น สิ่งแวดล้อมและสภาพบรรยากาศของแต่ล่ะที่ย่อมไม่เหมือนกัน เราจึงเลือกระบบวัดแสงที่เหมาะสมให้กล้องสามารถคำนวณและให้ผลลัพธ์ได้ตรงความต้องการมากที่สุด แต่ๆ... ไม่ว่าคุณจะเลือกระบบวัดแสงแบบไหน สิ่งที่กล้องมันจะตอบสนองกลับมา ก็คือการเปลี่ยนค่า "Speed Shutter" กับ "ขนาดรูรับแสงเท่านั้น" *** ทีนี้เพื่อให้เราสามารถวัดแสงได้ถูกต้องและรวดเร็วนั้น ก็ต้องเข้าใจการทำงานของกล้องบ้าง มาถึงตรงนี้ขอให้อ่านด้วยการมีสมาธิน่ะครับ หากอ่านแบบตั้งใจ อ่านรอบเดียวก็สามารถเข้าใจได้ และจะเกิดประโยชน์ต่อตัวผู้อ่านเอง หากท่านไม่สนใจที่จะอ่านอย่างตั้งใจ ก็แล้วแต่ท่านครับ *** ส่วนการเลือกระบบวัดแสงแบบไหนให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมอย่างไรนั้น เดี๋ยวผมค่อยอธิบายอีกทีครับ(เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อน) จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:10:11

ความคิดเห็นที่ 6 สิ่งที่กล้องจะต้องใช้ในการสร้างรูปนั้นประกอบด้วย 4 อย่างครับ 1. ทางยาวโฟกัส (L) 2. ขนาดรูรับแสง (F) 3. Speed Shutter (S) 4. ISO (ถ้าเป็นยุคกล้องฟิมล์ ผมคงไม่รวม ISO เข้ามาด้วยเพราะมันอยู่ที่ฟิมล์ ไม่เกี่ยวกับกล้อง แต่ปัจจุบัน ISO มันอยู่ในกล้องแล้วครับ เลยต้องนับด้วย) หากเกิดคำถามว่า : แล้ว White Balance กับ Picture Style หล่ะ ตอบ : White Balance กับ Picture Style เป็นระบบการจัดการเรื่องสีครับ ไม่เกี่ยวกับการเกิดภาพ ฉะนั้นสิ่งที่กล้องต้องใช้ในการสร้างรูปคือ 4 ข้อดังกล่าวครับ หากเขียนสมการของการเกิดรูป คงเขียนได้ประมาณนี้ครับ รูปจากกล้อง = L & S & F & ISO (& หมายถึง "สัมพันธ์" แต่มันจะสัมพันธ์กันยังไงก็ช่างมัน เรารู้แค่ว่าเราปรับอะไร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็พอครับ) หากเปลี่ยนค่าใดค่าหนึ่งรูปที่ได้ก็จะเปลี่ยนไป แต่เรื่องของการวัดแสงนั้น จะมีแค่ 2 ค่าเท่านั้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ S กับ F หากเขียนสมการ "แสงที่พอดี" คงเขียนได้ประมาณนี้ครับ แสงที่พอดี = S & F (& หมายถึง "สัมพันธ์") ปล. แสงที่พอดีนั้น กล้องมันคำนวณให้ครับว่าต้องเป็นเท่าไหร่ ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ว่ากล้องมันทำยังไง ทีนี้มาดูตัวอย่างกันบ้าง เวลาผมถ่ายรูป ผมมักจะใช้โหมด A เสมอ(เลือกขนาดรูรับแสงเอง)แต่ S กล้องมันจะคำนวณให้ว่าต้องใช้ S เท่าไหร่ เช่น ผมตั้ง F ที่ 3.5 แสงที่พอดี กล้องมันมีค่าอยู่แล้วขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สมมติว่า แสงที่พอดีในขณะนั้นสามารถระบุค่าได้ และระบุค่าเท่ากับ 10 ฉะนั้น กล้องมันก็สามารถจะคำนวณได้ว่า ต้องใช้ S เท่าไหร่ เมื่อแทนค่าในสมการก็ย่อมได้ค่าเป็นแบบนี้ 10 = 3.5 & S (มันจะสัมพันธ์ด้วยวิธีไหนก็ช่างมันครับ เอาเป็นว่าเมื่อกล้องมันรู้ค่า F กล้องมันก็จะหาค่า S ได้เสมอ) ในทางกลับกัน ถ้าเราถ่ายรูปด้วยโหมด S ซึ่งในที่นี้ก็คือ เราระบุค่า Speed Shutter เอง กล้องมันก็สามารถคำนวณได้ว่าต้องใช้ F ที่เท่าไหร่ จึงจะได้ภาพที่ค่าแสงพอดี มาดูโหมด M กันอีกที หากใครใช้โหมดนี้ก็ต้องเลือกทั้ง F และ S เอง แต่กล้องมันก็จะมี Scale ค่าแสงแจ้งอยู่ว่าพอดีแล้วยัง หากยังไม่พอดี เราก็ต้องปรับค่าใดค่าหนึ่งหรือทั้งสองค่า ให้ค่าแสงพอดีก่อน จึงจะได้รูปที่ถูกต้อง ส่วน ISO นั้นเป็นทางเลือกครับ เช่น ในสภาพแสงน้อย Speed Shutter ไม่พอก็เอา ISO มาช่วย ซึ่งทุกคนคงเข้าใจเรื่อง ISO อยู่แล้ว คงไม่ต้องอธิบายกันมาก จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:10:59

ความคิดเห็นที่ 7 ทีนี้ก็มาถึง Point มันแล้วครับ อย่างที่ผมว่า ค่าแสงที่พอดีนั้น กล้องมันรู้ครับ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น หากเราระบุ F ไปให้ กล้องมันก็สามารถคำนวณได้ว่า ต้องใช้ S เท่าไหร่ ในทางกลับกัน หากเราระบุ S ไปให้ กล้องมันก็สามารถคำนวณได้ว่า ต้องใช้ F เท่าไหร่ ดังที่ผมบอกว่า ค่าแสงที่พอดีนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมซึ่งกล้องไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แต่เรารู้ครับ ฉะนั้นเราก็สามารถเลือกระบบวัดแสงให้กับกล้องได้ เพื่อให้กล้องสามารถคำนวณค่าแสงได้แม่นยำมากขึ้น เช่นในสภาพแสงแบบนั้นเราควรใช้ระบบวัดแสงแบบนี้ แต่ๆ... แต่อีกแล้วครับ ไม่ว่าเราจะเลือกระบบวัดแสงแบบไหน สิ่งที่กล้องมันจะไปปรับก็มีแค่ 2 ค่าเหมือนเดิมครับ คือ F กับ S เท่านั้น เช่น สมมติว่า ผมถ่ายรูปวิวรูปหนึ่ง โดยใช้ระบบวัดแสงแบบ Matrix ผมตั้งค่า F ไว้ที่ 3.5 แล้วกล้องมันเลือก S ให้ที่ 1/50 Sec ต่อจากนั้นผมลองเปลี่ยนระบบวัดแสงเป็น Center-Weighted ตั้งค่า F ไว้ที่ 3.5 เหมือนเดิม แล้วกล้องมันอาจเลือก S ให้ที่ 1/60 Sec แทน สรุปก็คือไม่ว่าเราจะเลือกระบบวัดแสงแบบไหน กล้องมันก็ปรับแค่ F กับ S นี่แหละครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะระบุค่าไหนไว้ ฉะนั้น ระบบวัดแสงแบบต่างๆ ก็มีไว้เพื่อบอกให้กล้องมันสามารถคำนวณค่าแสงที่เหมาะสมได้ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้นครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:11:32

ความคิดเห็นที่ 8 ทีนี้มาดูตัวอย่างของจริงกันบ้าง ผมเอารูปนี้เป็นตัวอย่าง ถึงรูปจะไม่สวย แต่รูปนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ เพราะในรูปเดียวมีสภาพแสงครบทั้ง 3 แบบ คือส่วนที่อยู่ในเงา, ส่วนที่โดนแสงบางส่วน, กับส่วนที่โดนแสงเต็มๆ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:12:46

ความคิดเห็นที่ 9 ผมแบ่งรูปนี้ออกเป็น 3 Zone คร่าวๆ คือ Zone 1 คือ Zone ที่โดนแสงมากที่สุด Zone 2 คือ Zone ที่โดนแสงบางส่วน โดนเงาบางส่วน Zone 3 คือ Zone ที่โดนเงาทั้งหมด ฉะนั้น หากเราลองวัดแสงตามจุดต่างๆ ในรูปนี้ ค่าแสงที่วัดได้ย่อมไม่เท่ากันแน่นอน ผมจะทำการทดสอบด้วยการถ่าย 3 รูป วัดแสงที่ "สัญลักษณ์โฟกัส" 1 จุดต่อ 1 รูป โดย ผมตั้งโหมด A ในการถ่าย ตั้งรูรับแสงที่ F4 ตั้ง ISO200 วัดแสงแบบ Center-Weighted เหมือนกันทั้ง 3 รูป ส่วนค่า Speed Shutter นั้น กล้องเลือกให้ครับ วิธีการถ่ายคือ 1. เล็งจุดโฟกัสไปที่ "สัญลักษณ์โฟกัส ที่ผมทำเครื่องหมายไว้" แล้วล็อคค่าแสง 2. โฟกัสที่ฝาปิดเลนส์ 3. จัด Composition 4. ถ่าย ถ่ายแบบนี้ทั้ง 3 Zone จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:13:29

ความคิดเห็นที่ 10 เริ่มต้นที่ Zone 1 ผมวัดแสงที่ถนนบริเวณที่ผมทำสัญลักษณ์จุดโฟกัสไว้ ซึ่งเป็นจุดที่โดนแสงมาก ปล. อย่าลืมว่าวัดแสงที่ไหน ก็แสดงว่าต้องการให้แสงจุดนั้นพอดี กล้องเลือก Speed Shutter ให้ที่ 1/250 Sec ภาพที่ได้คือส่วนที่เป็นถนนหรือ Zone 1 สว่างพอดี ฉะนั้นบริเวณ Zone 2 ก็ต้อง Under นิดนึงแล้ว Zone 3 ก็ต้อง Under มากเป็นธรรมดา จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:15:05

ความคิดเห็นที่ 11 Zone 2 วัดแสงที่บริเวณสนามหญ้า กล้องเลือก Speed Shutter ให้ที่ 1/125 Sec ภาพที่ได้คือบริเวณสนามหญ้า หรือ Zone 2 สว่างพอดี ฉะนั้น Zone 1 แสงย่อม Over นิดนึงและ Zone 3 แสงย่อม Under นิดนึง จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:16:06

ความคิดเห็นที่ 12 Zone 3 วัดแสงที่ฝาปิดเลนส์ กล้องเลือก Speed Shutter ให้ที่ 1/40 Sec ภาพที่ได้คือบริเวณโต๊ะที่ฝาปิดเลนส์วางอยู่ หรือ Zone 3 สว่างพอดี ฉะนั้นแสง Zone 1 ก็ย่อม Over มากและแสง Zone 2 ก็ต้อง Over นิดนึง จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:17:29

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านมาถึงตรงนี้ ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรครับ แต่คงได้รู้จัก "กล้อง" และ "การวัดแสง" แบบคร่าวๆ แล้ว ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คำถาม : ทำไมต้องมีการวัดแสง คำตอบ : เพราะกล้องถ่ายรูปไม่สามารถถ่ายทอดรูป ให้เหมือนที่ดวงตามนุษย์เห็นได้ การวัดแสงจึงเป็นการบอกให้กล้องทำงาน ให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับสิ่งที่มนุษย์เห็นมากที่สุด ดวงตามนุษย์นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถรับภาพได้ดีที่สุดแล้วครับ เพราะ - ในมุมหนึ่งๆ ที่สภาพแสงต่างกันมาก สายตามนุษย์สามารถรับภาพนั้นๆ ได้โดยเห็นรายละเอียดทุกจุดชัดเจนทั้งหมด - ไม่ว่าคุณจะมองใกล้ หรือไกล ดวงตามนุษย์สามารถโฟกัสได้ทันที เรียกได้ว่ามองอะไร ตรงไหน ก็ชัดตลอด ไม่เหมือนกล้องครับ เพราะเราต้องเป็นคนบอกทุกอย่าง มันจึงจะสามารถทำงานได้ แต่ยังไงก็สู้ดวงตามนุษย์ไม่ได้อยู่ดี จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:17:55

ความคิดเห็นที่ 14 หลังจาก วัดแสง --> ล็อคค่าแสง --> โฟกัส --> จัด Compositon --> ถ่าย เสร็จแล้วนั้น เราสามารถเห็นผลลัพธ์จากการถ่ายได้ทันที ฉะนั้นหากรูปสว่าง-มืดไป หรือยังไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ ขั้นตอนต่อมาก็คือการชดเชยแสงครับ เรียกว่าการชดเชยค่า "EV" การชดเชยแสงคือะไร ทำอย่างไร เดี๋ยวผมจะมาพูดต่ออีกที แต่ตอนนี้ ผมอยากให้เข้าใจเรื่องการวัดแสงมากกว่านี้อีกซักนิด จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:18:14

ความคิดเห็นที่ 15 ทีนี้เรามาดูตัวอย่างเป็น กรณีๆ ไป ปล. รูปที่จะเอามาให้ดูต่อไปนี้ บางรูปอาจมีการชดเชยค่าแสงไปแล้ว เพื่อให้ได้รูปอย่างที่ต้องการ แต่หลักการวัดแสงก็เหมือนกันทุกรูปครับ ในที่นี้จึงอย่าเพิ่งคิดเรื่องการชดเชยค่าแสงน่ะครับ เพราะถึงแม้จะไม่ชดเชยค่าแสง ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างกันมาก ซึ่งเดี๋ยวจะบอกอีกทีว่า "การชดเชยแสง" มันเป็นยังไง มาดูที่รูปนี้กันก่อนครับ รูปนี้ผมถือว่า "สิ่งที่อยู่ในรูป อยู่ภายใต้สภาพแสงเดียวกัน" ฉะนั้นเราวัดแสงที่ตรงไหนของตัวธงก็น่าจะได้ค่าแสงเดียวกัน เลยวัดแสงได้แทบทุกจุด ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนภาพที่เห็นครับ ยกเว้น วัดแสงที่ท้องฟ้า ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะได้รูป "Under" ครับ ปล. ผมตั้งกล้องโหมด A วัดแสงแบบเฉลี่ยหนักกลางทั้งหมดครับ ฉะนั้นการวัดแสงที่ว่าก็คือการให้กล้องเลือก "Speed Shutter" ให้นั่นเอง จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:19:12

ความคิดเห็นที่ 16 ทีนี้มาดูรูปที่มีความแตกต่างของแสงกันบ้าง ที่ส้มดองบริเวณมุมซ้ายบน จะโดนแสงมาก แต่ป้าที่ขายส้มดอง อยู่ภายในเงา รูปแบบนี้เป็นรูปที่มีสภาพแสงแตกต่างกัน อยู่ในรูปเดียวกัน ฉะนั้นเราต้องเลือกครับว่าจะเอาอะไร ในที่นี้ ผมต้องการจะถ่าย "ป้า" ผมจึงวัดแสงที่ป้า บริเวณส่วนของส้มดองก็ย่อมจะ Over เป็นธรรมดา เหมือนอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่ากล้องมันทำงานสู่ดวงตามนุษย์ไม่ได้ ในกรณีนี้จึงต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ให้เหมือนที่ตาเห็น ก็ต้อง "แต่งรูป" แล้วครับ แต่ๆ.. ข้อด้อยของกล้องในข้อนี้ กลับสามารถนำมาใช้ประโยขน์ได้มากมายในเชิงศิลปะ จนผมมองว่ามันเป็นข้อดีเลยทีเดียว เดี๋ยวจะมีตัวอย่างให้ดูอีกครับว่าทำไมผมจึงพูดเช่นนั้น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:20:05

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนรูปนี้ ดูผิวเผิน เหมือนจะอยู่ภายใต้สภาพแสงเดียวกัน แต่บริเวณคนที่ขี่มอเตอร์ไซด์นั้นมีแสงส่องลงมา ในที่นี้ผมก็วัดแสงที่ "คนขี่มอเตอร์ไซด์" แต่รูปนี้ผมชดเชยแสงบวกไป .7 ครับ เพื่อให้ได้รูปอย่างที่ต้องการ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:20:51

ความคิดเห็นที่ 18 อย่างในรูปนี้ มีความต่างของแสงครับคือ แสงโดนที่ ตัวเด็ก กับ แพพักด้านหลังและ แสงน้อยมาที่บริเวณป่าด้านหลังทางซ้ายมือ ผมก็วัดแสงที่เด็กแล้วถ่ายเลย ป่าด้านหลังจะมืดกว่าที่ตาเห็นก็ไม่เป็นไร ซึ่งผมถือว่าเป็นข้อดีด้วยซ้ำเพราะจะได้ไม่รบกวนสายตา หรือแย่งความสนใจไปจากจุดเด่น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:21:46

ความคิดเห็นที่ 19 รูปนี้อยู่ภายใต้สภาพแสงเดียวกัน จะวัดแสงที่ตรงไหนของลำเรือก็ได้ครับ ไม่ต้องชดเชยแสง ก็จะได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็นครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:22:28

ความคิดเห็นที่ 20 รูปนี้ก็สภาพแสงต่างกันครับ ที่ตัวปลามีแสง แต่ที่ปะการังโดนแสงน้อยมาก ผมวัดแสงที่ตัวปลาให้พอดี ปะการังก็ต้องมืดเป็นธรรมดา แต่ก็ดีอีกแล้วครับ จะได้เป็นการขับให้ปลาดูเด่นยิ่งขึ้น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:23:03

ความคิดเห็นที่ 21 รูปนี้ก็วัดแสงที่บริเวณใบหน้าของพระพุทธรูป แล้วถ่ายเลย ไม่ต้องชดเชยแสงครับ มาถึงตรงนี้ก็คงพอจะเข้าใจเรื่อง "การวัดแสง" มากขึ้นแล้วน่ะครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:23:39

ความคิดเห็นที่ 22 ทีนี้คงเกิดคำถามขึ้นในใจของใครหลายคนว่า "แล้วกรณีไหนที่ไม่วัดแสง ที่จุดเด่น" ในกรณีประมาณนี้เลยครับ เช่นถ่ายดวงอาทิตย์ ถ้าคุณวัดแสงที่ดวงอาทิตย์ ภาพที่ได้คือ "ได้จุดขาวๆ ของดวงอาทิตย์มาอันนึง ที่เหลือดำปี๋" ไม่เชื่อลองดูครับ แล้วทำไงหล่ะทีนี้? เราก็วัดแสงที่อื่นแทนครับ เช่นวัดที่ท้องฟ้า ข้างๆ ดวงอาทิตย์นั่นแหละ ในกรณีแบบนี้โอกาสวัดแสงแล้วได้รูป Under หรือ Over สูงมากครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ โลกมาถึงยุคดิจิตอลแล้ว พอถ่ายเสร็จก็ดูผลลัพธ์เลย มันเพื้ยนไปทางไหนก็ใช้หลักการชดเชยแสงคืนเอา(เพราะเราล็อคค่าแสงไว้แล้ว) แต่ถ้าใครเลือกจุดที่วัดแสงแม่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องชดเชยแสงครับ ได้ผลลัพธ์อย่างที่ชอบเลย อย่างรูปนี้ ผมก็วัดแสงที่ท้องฟ้าข้างๆ ดวงอาทิตย์ แต่โชคดีที่ได้ผลลัพธ์ที่ชอบเลย ไม่ต้องชดเชยแสงครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:24:27

ความคิดเห็นที่ 23 ในเรื่องการวัดแสงก็มีเท่านี้ครับ แต่ในกระบวนการถ่ายนั้นยังไม่จบครับ ยังต้องรู้เรื่อง "การชดเชยแสง" ด้วย จริงๆ แล้วเรื่องของการวัดแสงกับการชดเชยแสงนั้นจะถือว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ เพราะทั้งสองอย่างนี้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ครับ แต่ผมจะแยกหัวข้อน่ะ เพราะเดี๋ยวมันจะยาวเกินไป ปล. แล้วจะรีบทำข้อมูลเรื่อง "การชดเชยแสง" ให้ในเร็ววันครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:24:58

ความคิดเห็นที่ 24 สรุป - หัวใจหลักของเรื่องการวัดแสงคือ "การเลือกจุดที่จะเป็นตัวแทนของค่าแสงในรูปนั้นๆ แล้วทำการล็อคค่าแสงนั้นไว้" - สาเหตุที่ต้องล็อคค่าแสง เพราะเมื่อเราเลือกจุดที่เป็นตัวแทนของค่าแสงแล้ว(ส่วนมากจะวัดแสงที่ตัว Object หลักที่จะนำเสนอ)เวลาจะถ่ายนั้นเราต้องจัด Composition ใหม่(เมื่อ Pan กล้องค่าแสงก็เปลี่ยน) ฉะนั้นหากไม่ล็อคค่าแสงเดิมไว้ ค่าแสงก็เพี้ยนไปจากจุดที่เราต้องการ ** ผมเคยบอกไว้แล้วในข้างต้นว่า "กล้องดิจิตอลมันวัดแสงให้ตลอดเวลา" ฉะนั้นการจัด Composition ใหม่(Pan กล้อง) ค่าแสงมันก็เปลี่ยนตลอด ดังนั้นจึงต้องมีการล็อคค่าแสงนั้นไว้ และเพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิงในการชดเชยแสงด้วย ส่วนเรื่อง ควรวัดแสงที่ไหนและชดเชยค่าแสงเท่าไหร่นั้น ต้องออกไปฝึกเองครับ เพราะไม่มีใครสามารถบอกเป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัวได้ ส่วน ถ้าใครไม่เข้าใจตรงไหนและมีคำถามเพิ่มเติมก็โพสต์ไว้ได้เลยครับ จะรีบมาตอบแน่นอน!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:25:37

ความคิดเห็นที่ 25   โหยน้าอะหนูก๊อปเหนื่อยนะเนี๋ย ก๊ากกกกก ว่าแต่อั้นนี้ก๊อปได้เลยใชมะน้า 55555 จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:31:16

ความคิดเห็นที่ 26 ได้ความรู้ดีมากเลยครับ แต่ที่ว่ามาทั้งหมดคือการวัดแสงแบบเฉพาะจุดใช่มั้ยครับ จากคุณ : i-bar เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:40:44

ความคิดเห็นที่ 27   ว่าแต่อยากรู้จ้างงง ว่าใครยืนชมพระอาทิตย์กันเนี๋ยคุคุคุ จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:40:52

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ จากคุณ : chitaya เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:42:11

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะน้า auxin น้าบรรยายได้เข้าใจมากๆ  แล้วก็เข้าใจง่ายค่ะ เคยอ่านมาหลายที่แล้วแต่เข้าใจที่น้าบอกมากที่สุด ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แล้วจะรออ่านตอนตอ่ไปนะคะ จากคุณ : ป้าออนไลน์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:42:55

ความคิดเห็นที่ 30 เข้าใจง่าย มีรูปประกอบ ขอบคุณครับ จากคุณ : ชื่ออะไร เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:44:54

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลที่ดีและเยี่ยมแบบนี้ อธิบายเข้าใจง่ายได้ใจความมีตัวอย่างเห็นได้ชัด จะรอเรื่องต่อไปนะครับ จากคุณ : Enix_1976 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:50:44

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ stupid_seang เชิญเลยครับ ตามสบาย ส่วนคนที่ยืนชมดวงอาทิตย์ เป็นรุ่นพี่ผมครับ คุณ i-bar ส่วนมาก 95% ผมวัดแสงแบบ "เฉลี่ยหนักกลางครับ" อีก 5% ของรูปที่ถ่าย เพิ่งมารู้ว่า มันไปอยู่ที่วัดแสงเฉพาะจุด เพราะพี่ชายผมจับๆ ดูแล้วคงไปโดนโหมดนี้เข้า สรุปว่าถ่ายมาโดยไม่ตั้งใจ กว่าจะรู้ตัวก็ถ่ายไปเป็นร้อย 555 แต่อย่าลืมน่ะครับ ว่าใช้ระบบวัดแสงอะไร กล้องมันก็ทำงานเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่วิธีการเล็กน้อยครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:50:50

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ  auxin คับ รูป 20 ขอภาพตัวเต็มหน่อยได้ไหมคับสวยมากจะเอามาทำภาพบนจอ ขอ Link ทีขอบคุณ จากคุณ : Galim เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:51:53

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ Galim กระชับคำพูดได้สะใจดี 555 แต่ผมไม่ได้เอารูปจริงไว้บน Server ไหนทั้งนั้น มีอยู่แต่ในเครื่องครับ ส่งเมล์มา แล้วผมจะส่งรูปไปให้ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 10:54:53

ความคิดเห็นที่ 35   อืม น้าค่ะหนูพอจะเข้าใจบ้างแล้ว อืม   ๆๆ แต่ยังไม่เต็มร้อยเดวหนู่จะก๊อปแล้วอ่านอีก 2 รอบน่าจะโอเค น้าแห้งสามน้ำสี่บะหมี่สอง ได้รับผลบุญแน่นอนค่ะ เพราะหนูได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ถึงหนูจะยังไม่มี DSLR แต่หนูจะมีแน่นอนค่ะหนูเก็บตังก่อนแหะแต่ถ้ามีคนมาสอนใช้คอมแพคเหมือนน้าตั้งกระทูก็ดีเนอะหนูจะได้ รู้แล้วเอาไปถ่ายมาให้น้าวิจารย์แหะ ๆ ๆ ๆ ขอบคุณค่ะน้า มาอีกเรื่องเร็ว นะค่ะหนูจารอ จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:13:51

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ มากเลยครับ จากคุณ : มาร์ส เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:36:31

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ จากคุณ : ราชสีห์ขี้เกียจ (ราชสีห์ขี้เกียจ) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:40:15

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ แบบนี้ครับ คิดว่า บุญกุศลจากการให้ความรู้ในครั้งนี้ ไปถึงคุณแห้งสามน้ำสี่บะหมี่สองแน่นอนครับ สำหร้บท่านที่เข้ามาอ่านอย่าลืมกด "เก็บเข้าคลังกระทู้" ด้วยนะครับ จากคุณ : hing-hoy เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:47:10

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณมากครับ ขอให้เจริญยิ่ง ๆขึ้นไป จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:55:01

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณมากนะคะสำหรับความรู้...ดีจังค่ะที่คนที่มีความรู้แล้วช่วยคนที่เพิ่งเริ่ม  หรือแม้แต่คนที่คิดว่ารู้แล้ว..ก็ยังอ่านได้อีก  ดีค่ะสนับสนุน..ไว้ฝนถ่ายรูปเก่งเมื่อไหร่รับรองจะทำประโยชน์ให้กับห้องกล้องเหมือนคุณ จขกท.แน่นอนค่ะ จากคุณ : LittlePandaLP เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:00:23

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากครับสำหรับวิทยาทาน.. คุณทำให้สังคมแห่งโลกไซเบอร์ น่าอยู่ขึ้น. จากคุณ : TookTong (TookTong) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:11:10

ความคิดเห็นที่ 42 อ่านเข้าใจง่ายดีครับ ปรบมือให้ดังๆเลย จากคุณ : BioNeuroNet เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:23:37

ความคิดเห็นที่ 43 รูปที่22# วัดแสงที่ท้องฟ้าข้างพระอาทิตย์ บริเวณใหนหรือครับ ใส่จุดที่วัดให้ดูหน่อยครับ แล้วก็FกับSเท่าไหร่ครับ พอดีดูในExifแล้วไม่มี ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 12:26:21 จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:23:56

ความคิดเห็นที่ 44 กระทู้นี้ยอดเยี่ยมครับ อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ต้องจำค่ากลางอะไรมากมาย ใช้ common sense ล้วนๆ เลย มีประโยชน์มากครับ โหวตตตต จากคุณ : Steyr Commando เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:26:58

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับ ชัดเจนดีมาก การให้เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ขอให้ผลนี้ไปสู่พี่ "แห้งสามน้ำสี่บะหมี่สอง" ครับ จากคุณ : momay_Qoo เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:31:55

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ deletenumlock ผมวัดแสงบริเวณนี้ครับ แต่ถ้าถามว่าวัดแสงตรงดวงอาทิตย์ได้มั้ย ผมตอบว่า : ได้ครับแต่คงต้องชดเชยแสง บวกมากหน่อย ถึงจะได้รูปแบบนี้ หรือวัดแสงที่มุมขวาล่าง(มืดเลย) ก็ได้ครับแต่ต้องชดเลยลบมากหน่อย ก็จะได้รูปแบบนี้เช่นกัน แต่การที่ผมเลือกวัดแสงตรงจุดดังกล่าว ก็เพราะเล็งเห็นว่าน่าจะเป็นจุดที่ดีที่สุด หรือถ้าผิดพลาดบ้างก็ไม่มากครับ ชดเชยแสงนิดหน่อยก็น่าจะพอดี จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:32:50

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณครับ ที่นำความรู้มาแบ่งปันกัน ขอให้มีความสุข ความเจริญๆ ครับผม จากคุณ : เด็กหัดถ่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:36:49

ความคิดเห็นที่ 48 สุดยอดครับ ชอบมากกระทู้ดีมีสาระ เหมาะกับมือใหม่ที่ยัง งง กับชีวิตแบบผมมากเลย จะได้เอาไปปรับใช้ และศึกษาเพิ่มเติม ขอบคุณครับ ^ ^ จากคุณ : การเดินทางของภาพถ่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:48:42

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากครับ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว หลังจากเข้าใจผิด ๆ มาตั้งนาน แหะ แหะ จากคุณ : Jack Rider เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:50:05

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ   ขอร่วมอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยค่ะ จากคุณ : mom_nongda เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:50:37

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ deletenumlock เรื่อง F กับ S นี่ผมบอกตามตรงว่าผมไม่อยากจะบอกครับ ไม่ใช่เพราะหวงอะไร แต่เพราะผมคิดว่า นักถ่ายรูปหลายคนไปยืดติดกับว่า รูปนี้ถ่ายที่ F เท่านั้น S เท่านี้ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ถ้าเราไม่เข้าใจพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ก่อน ผมย้อนถามกลับไปว่า เมื่อคุณรู้ S กับ F ของรูปต่าง แล้วคุณได้อะไรบ้าง แล้วได้จริงหรือ เพราะครั้งหนึ่งผมก็นั่งดูเป็นบ้าเป็นหลังว่าค่าพวกนี้มันเท่าไหร่บ้าง แต่พอลงสนามจริง มันกลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ทำไม? เพราะในสนามจริง เราอยู่กันคนละสภาพแวดล้อมครับ ค่าเหล่านี้มันก็ต้องไปตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ ผมเคยหลงไปทางนั้นแล้วครับ เลยไม่อยากจะให้คนอื่นหลงไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่สนใจ S กับ F เลยน่ะครับ "มันต้องรู้ทีเดียวเลยหล่ะ แต่รู้ว่ามันจะสัมพันธ์กันอย่างไรครับ" ไม่ใช่ "ใช้อะไร เท่าไหร่" โดยปกติ ผมตั้งรูรับแสงให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เสมอ เพราะจะทำให้ได้ Speed Shutter สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย เพื่อลดการเบลอของภาพ ผมจะเปลี่ยนรูรับแสงก็ต่อเมื่อ ต้องการ Speed Shutter ช้า โดยปรับรูรับแสงให้เล็กมากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกเช่นกัน ในกรณีนี้ผมมักจะเอาไว้ถ่ายน้ำตกครับ เพราะต้องการให้น้ำมันเป็นสาย ถ้าผมเห็นรูปของใครซักคนนึงสวยมากๆ และอยากถ่ายให้ได้แบบนั้นด้วย ผมจะไม่ถามเรื่อง S กับ F ครับ แต่ผมจะถามว่า "ถ่ายที่ไหน ตอนกี่โมง วันเดือนอะไร" ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:59:44

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณครับ งงนิดหน่อย แต่ต้องทำดูคิดว่าไม่ยาก จากคุณ : nongjain เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:05:04

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณมากครับ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ทำให้มือใหม่ อย่างผมเข้าใจมากขึ้น กับการวัดแสง หลังจากที่ งงกับการวัดมานาน จากคุณ : e21kmd (e21kmd) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:07:58

ความคิดเห็นที่ 54 ชัดเจน แจ่มแจ้ง ภาพสวยอีกตะหาก พูดเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย แจกกิฟท์ พร้อมโหวตไปเลยครับ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:12:06

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณครับน้า auxin  สำหรับข้อมูลดีๆแบบนี้ พรุ่งนี้ อย่าลืม ประชันภาพนะครับ (อังคารที่แล้วก็ไม่มี) จากคุณ : แถมฟรีน้ำ 1 ขวด เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:16:18

ความคิดเห็นที่ 56 ขออนุญาตจำไปสอนผู้เข้าอบรมถ่ายภาพเบื้องต้นนะครับ จากคุณ : น้าวันดีมีแอล เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:17:11

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณมากเลยค่ะ ขอเก็บไว้เป็นครูนะค่ะ เหมือนจะเข้าใจค่ะ อยากกลับไปจับกล้องที่บ้านเร็วๆจังเลย จากคุณ : กวางหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:17:40

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณคร้าบ จากคุณ : One Light One Shadow เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:18:09

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : 1000D2 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:26:26

ความคิดเห็นที่ 60 น้าวันดีมีแอล โอๆๆ จะมาจำของผมทำไมครับ ในเมื่อน้าวันดีมีแอล รู้เรื่องมากกว่าผมซะอีก ผมซิ กำลังจะไปขอความรู้เพิ่มเติม 555 วันก่อนผมจะไปอบรมกับน้าวันดีมีแอล แต่ติดภาระเลยไปไม่ได้ น่าเสียดายมากๆ ไว้น้าวันดีมีแอลจัดอีกทีผมไม่พลาดแล้วครับ ไปให้ได้เลย รูปที่ผมโพสต์มานั้นไม่ใช่รูปที่สวยที่สุด แต่ผมคัดเอารูปที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดครับ คัดมาหลายๆ แบบ ให้เห็นของจริงหลายๆ มุมครับ ปล. ส่วนรูปที่ผมชอบเป็นแบบนี้ครับ แต่งซะหนักเลย 555 จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:27:44

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : เด็กท้ายรถ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:33:13

ความคิดเห็นที่ 62 ขออนุญาต save และพิมพ์เก็บไว้อ่านนะครับ ^^ จากคุณ : Invisiblesane เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:37:07

ความคิดเห็นที่ 63 ความคิดเห็นที่ 51     คุณ deletenumlock เรื่อง F กับ S นี่ผมบอกตามตรงว่าผมไม่อยากจะบอกครับ ไม่ใช่เพราะหวงอะไร แต่เพราะผมคิดว่า นักถ่ายรูปหลายคนไปยืดติดกับว่า รูปนี้ถ่ายที่ F เท่านั้น S เท่านี้ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ ถ้าเราไม่เข้าใจพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ก่อน ผมย้อนถามกลับไปว่า เมื่อคุณรู้ S กับ F ของรูปต่าง แล้วคุณได้อะไรบ้าง แล้วได้จริงหรือ เพราะครั้งหนึ่งผมก็นั่งดูเป็นบ้าเป็นหลังว่าค่าพวกนี้มันเท่าไหร่บ้าง แต่พอลงสนามจริง มันกลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ทำไม? เพราะในสนามจริง เราอยู่กันคนละสภาพแวดล้อมครับ ค่าเหล่านี้มันก็ต้องไปตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ ผมเคยหลงไปทางนั้นแล้วครับ เลยไม่อยากจะให้คนอื่นหลงไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่สนใจ S กับ F เลยน่ะครับ "มันต้องรู้ทีเดียวเลยหล่ะ แต่รู้ว่ามันจะสัมพันธ์กันอย่างไรครับ" ไม่ใช่ "ใช้อะไร เท่าไหร่" โดยปกติ ผมตั้งรูรับแสงให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เสมอ เพราะจะทำให้ได้ Speed Shutter สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย เพื่อลดการเบลอของภาพ ผมจะเปลี่ยนรูรับแสงก็ต่อเมื่อ ต้องการ Speed Shutter ช้า โดยปรับรูรับแสงให้เล็กมากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกเช่นกัน ในกรณีนี้ผมมักจะเอาไว้ถ่ายน้ำตกครับ เพราะต้องการให้น้ำมันเป็นสาย ถ้าผมเห็นรูปของใครซักคนนึงสวยมากๆ และอยากถ่ายให้ได้แบบนั้นด้วย ผมจะไม่ถามเรื่อง S กับ F ครับ แต่ผมจะถามว่า "ถ่ายที่ไหน ตอนกี่โมง วันเดือนอะไร" ครับ จากคุณ : auxin     เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 12:59:44   : kagerla ....................................... ตรงใจมากเลยครับ....และก็ขอบคุณบทความดีๆครับ...มันขึ้นอยู่ว่าถ่ายที่ไหน  เมื่อไหร่  เวลากี่โมง.. จากคุณ : kagerla เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:39:11

ความคิดเห็นที่ 64 กำลังอยากรู้เรื่องนี้อย่างแรง ไปซื้อหนังสือ "เทคนิคการวัดแสง" มาเปิดอ่าน ก็ยังงงๆอยู่ ขอบคุณสำหรับข้อความที่เข้าใจง่ายๆนะคะ และขอแสดงความเสียใจกับคุณ แห้งสามน้ำสี่บะหมี่สอง ด้วยค่ะ สละชีพเพื่อชาติจริงๆ จากคุณ : Bee1st เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:46:00

ความคิดเห็นที่ 65   ขอบคุณคร๊าบ ..กำลังศึกษาอยู่พอดี จากคุณ : so เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:48:29 A:124.120.20.90 X:

ความคิดเห็นที่ 66 เยี่ยมเลยครับ จากคุณ : สมัดเจอร์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 13:53:27

ความคิดเห็นที่ 67 โห...เยี่ยมครับ แหมๆ เอาภาพอัมพวามาโพสเลย...555 ยังไงจจะจำเอาไปใช้บ้างนะครับ... จากคุณ : RoRoNoR เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:03:10

ความคิดเห็นที่ 68 ตอนนี้ผมก็ยัง งงเรื่องนี้มากเลย 1.มันคือจะทำให้เราได้ภาพที่แสง และสีถูกต้องตามสภาพจริงใช่มั้ยครับ 2.เพราะผมอ่านหนังสือ เขาบอกให้วัดตรงจุดที่เป็นสีเทากลางครับ เช่นรูปที่ คห 3 ให้วัดที่ท้องฟ้า ที่เข้มๆ หมายความว่ายังไงครับ หรือไม่ก็ถือกระดาษเทากลางมาส่องแดดแล้วล็อคค่าแสง มันหมายถึงยังไงครับ มีลิ้งค์คล้ายๆขั้นตอนนี้ครับ วัดแสงท้องฟ้า (ขออนุญาตนะครับ) http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O8531061/O8531061.html ทำไมไม่วัดที่ตัวช้างที่เราจะถ่าย เอาค่าที่อื่นมา ถ่ายออกมาแสงสีที่ช้างก็จะตรงไปด้วยเหรอครับ(สมมุติ ช้างเงามืดกว่านี้อีก) 3.ถ้าเราอยู่โหมดA กล้องจะหาค่า s มาให้   ถ้าเราโหมด S กล้องก็จะบอกค่า A  มาให้ ทั้ง 2 ค่าที่กล้องแสดง นี้ เรียกว่า "ค่าแสงที่กล้องวัดได้" ใช่มั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 14:35:36 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 14:27:48 จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:20:09

ความคิดเห็นที่ 69 ปรบมือดังๆให้เลยครับ...เยี่ยมจริงๆกระทู้นี้ จากคุณ : เงาฝันที่ฉันเดิน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:20:56

ความคิดเห็นที่ 70 ได้ความรู้มากครับ แต่ เวลาปฏิบัติจริงก็ ลนลานจน กดทิ้ง กดขว้างไปเป็นสิบๆๆ จากคุณ : redPoTatO เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:21:49

ความคิดเห็นที่ 71 เขามาเก็บความรู้ๆ... โหวตไปครับ... จากคุณ : nay2k เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:24:13

ความคิดเห็นที่ 72   เป็นบทความที่เข้าใจง่ายมากครับ  มีคำถามดังนี้ครับ -เมื่อกดล็อคค่าแสงแล้ว การล็อคนั้นจะสิ้นสุดเมื่อไรครับ  มันจะหายไปเองเมื่อเรากดปิดกล้อง หรือ มันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปครับ  ^ ^ -อยากให้เพิ่มในส่วนของการ เช็คชัดลึกด้วยครับ จะได้จบไปทีเดียวเลยกับการวัดแสง  ..หรือมันเป็นคนละเรื่องหว่า ?? ปล.ขอบคุณครับ จากคุณ : เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:26:59

ความคิดเห็นที่ 73 เข้ามาอ่านอีกรอบถามอีกนิดนะค่ะ ระบบวัดแสงของกล้อง ถ้าเราใช้แต่ละระบบจะได้ภาพออกมาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนค่ะ เช่นภาพวิว ควรใช่ระบบใดหรือจะถ่ายคนควรใช่ระบบไหนค่ะ (ถามถูกป่าวหว้าเรา) คือ กลัวจะเสียโอกาส แบบ ทำไมภาพนี้ไม่วัดแสงแบบจุดละ อะไรอย่างเนี้ยค่ะ ส่วนมากคุณใช่เฉลี่ยหนักกลางเพราะอะไรค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : กวางหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:31:58

ความคิดเห็นที่ 74 เข้าใจง่ายดีครับ มีความพยายามในการจัดทำพร้อมภาพประกอบอีกด้วย ขอให้กุศลในวิทยาทานครั้งนี้ขอให้ไปถึงน้าผู้ล่วงลับด้วยนะครับ จากคุณ : Morgoth Bauglir เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:32:14

ความคิดเห็นที่ 75 เขียนออกมาทำให้เข้าใจมาก ที่สำคัญเห็นภาพอีกต่างหาก จากคุณ : pungem เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:39:15

ความคิดเห็นที่ 76   ขอบคุณครับ ผมพึ่งเข้าใจวิธีวัดก็วันนี้ จากคุณ : ผมมันคนกรุงเทพฯจริงๆนะ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:40:06

ความคิดเห็นที่ 77 อ่านง่ายดีครับ ไม่ค่อยใช้ศัพท์มาก  เข้าใจง่ายดีครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ด.ช.แสงกล้า เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:41:16

ความคิดเห็นที่ 78 ผมเคยมีปัญหากับการวัดแสงครับ เพราะกล้องผมไม่มี ปุ่มล็อคความจำแสง... ข้อความ คคห2 ถูกใจครับ (กล้อง dslr ล็อคแสง 2 แบบ) เพราะผมไม่มีปุ่มรับแสง ก็จะใช้ล็อคแสงพร้อมโพกัส กับแบบ  ถ้าไม่ถูกใจก็ปุ่มชดเชยแสง     แต่ผมจะมีปัญหาการถ่ายภาพ ลักษณะ คคห 22 คือแบบ กับ แสงที่จะวัด อยู่กันคนละจุด ซึ่งตอนหลัง ผมพบว่าการวัดแสง ก็คือการให้กล้องตั้งค่า รูรับแสง กับ ชัตเตอร์ ให้ได้ภาพตามที่เราต้องการ ซึ่งยังไงก็จะไม่เหมือนกับที่มองด้วยตาเห็น เพราะกล้องไม่สามารถ ตั้งค่ารูรับแสง กับชัตเตอร์ ได้หลายค่าในภาพเดียวกันได้ ดังนั้น มันก็จะมีภาพบางส่วนที่ under หรือ over แต่"แบบ" ที่เราจะถ่ายทอดจะได้แสง ที่พอดีที่เราต้องการ (พอดี คือ เราชอบ อาจจะมืดหรือสว่าง ก็ได้) ตอนหลังผมก็เลยไม่ค่อยกังวลเรื่องไม่มีปุ่มล็อคแสง "เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับโหมด P ที่กล้องเลือก A กับ S ให้เรา" เรื่องแสงอาจจะละเอียดขึ้นอีกหน่อย (คืออยากให้แสงตรงที่ล็อค มันถูกใจเรา) ถ้าต้องใช้ล็อคแสง คนละจุดกับที่โพกัสแบบ ก็หาค่า S กับ A  เองซะเลย อาจจะช้าหน่อย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพวิว มีเวลาปรับเยอะ) อ้อ...ผมมีข้อสงสัยครับ จาก คคห 4 การวัดแสงแบบ เฉลี่ยกลาง หรือ เฉพาะจุด กล้องจะเฉลี่ยให้กลางภาพที่ถ่าย หรือ กลางจุดที่เราล็อคแสง และกล้องจะวัดแสงเฉพาะจุดที่เราล็อคค่าความจำแสดง หรือ จุดกลางภาพที่เราถ่าย ปล....ขอบคุณสำหรับบทความครับ จากคุณ : cha17 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:42:22

ความคิดเห็นที่ 79 คุณฟูนัน เรื่องสีเทากลางสะท้อนแสง 18% อะไรนี่ เดี๋ยวผมบอกให้ครับว่ามันคืออะไร แต่ผมบอกก่อนว่า "รู้ไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์หรือมีก็น้อยมากครับ" ผมสมมติว่าเราเป็นนักแข่งรถ สิ่งที่เราควรรู้และต้องรู้มีมากมายครับ เช่นเราควรรู้กำลังเครื่องยนต์มันเท่าไหร่ อัตราการเร่ง การเบรกเป็นยังไง ข้อดีขอเสียของรถเป็นยังไง หลายสิ่งต้องรู้แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ไม่ต้องรู้ครับ เช่นก้านลูกสูบมันทำมาจากโลหะอะไร หล่อขึ้นด้วยอุณหภูมิที่เท่าไหร่ หลังจากหล่อต้องทำให้มันเย็นตัวลงในกี่นาที บลาๆๆๆ.... เรื่องพวกนี้รู้ได้แต่มีประโยชน์ไม่มากครับ ทีนี้มาเข้าเรื่อง ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วเชียว เพราะข้อมูลที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ มาจากตัวผมเองน่ะ อาจมีอะไรที่ผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ประเด็นหลักคงไม่ผิดครับ กล้องถ่ายรูปมันไม่สามารถมองเห็นเป็นสีๆ อย่างตาของมนุษย์ได้ครับ หลักการเรื่อง "สี" ของกล้องและอุปกรณ์คอมทั้งหลาย มันจะสร้างสีขึ้นด้วยการผสมของแม่สี RGB หรือ CMYK ก็แล้วแต่(แค่รู้ครับไม่ต้องเข้าใจ) ทีนี้ กล้องมันจะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องผสมสีอย่างไร กล้องมันใช้หลักของการสะท้อนแสงครับ สีต่างๆ จะสะท้อนแสงได้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเค้าก็โปรแกรมเอาไว้ว่า "หากกล้องจับได้ว่าสะท้อนแสงเท่านั้น ก็ต้องเป็นสีนี้ หรือสะท้อนแสงได้เท่านี้ก็ต้องเป็นสีนั้น" แต่การจะบอกได้ว่าสีอะไร อย่างไรนั้น มันก็ต้องมีจุดอ้างอิงครับ ซึ่งในที่นี้คือ "สีเทาที่สะท้อนแสง 18% ครับ" นั่นคือเราเลือกจุดที่จะบอกกล้องว่า เราเอาจุดนี้แหละเป็นตัวอ้างอิง(วัดแสง) แล้วกล้องมันก็จะเอาจุดอ้างอิงนี้ไปคำนวณสีครับ ถ้าเราเลือกจุดอ้างอิง(วัดแสง) ไม่เหมาะสม สีก็ต้องเพี้ยนเป็นธรรมดา ถูกต้องไหม? พอจะเข้าใจไหม ผมอธิบายแบบเห็นกันจะๆ แล้วน่ะ 555 แล้วก็อย่างที่ผมบอกไหม ว่า "ไม่ได้ประโยชน์ อะไรเลย"  555 สิ่งที่จะช่วยเรื่องการวัดแสงนั้นมีสิ่งเดียวครับ นั่นคือ "ตัวคุณเอง" ที่ต้องออกไปหาประสบกาณ์บ่อยๆ ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:49:40

ความคิดเห็นที่ 80 คำถามเริ่มเยอะ เดี๋ยวผมขอตอบทีล่ะรายน่ะครับ เริ่มที่คุณ ฟูนัน ก่อน ส่วนคุณ - เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 - กวางหูกระต่าย - cha17 เดี๋ยวตอบให้น่ะครับ รอสักครู่ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 14:55:38

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณครับ น้าauxin ผม stand by รออ่านเลยครับ  (อู้งาน อีกแล้ว )อิอิ จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:02:11

ความคิดเห็นที่ 82 คุณฟูนัน ในคห 68 1. การวัดแสงจะทำให้ได้ภาพที่ไม่ Over กับ Under เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องเหมือนภาพที่ตาเห็น หลายโอกาสหรือเกือบ 100% เลยกล้องทำไม่ได้ครับ หากในรูปหนึ่งๆ มีความต่างของแสงมาก (เช่นรูปใน คห22) คุณไม่มีทางที่จะถ่ายให้เหมือนตาเห็นได้เลยครับ หากจะให้เหมือนหรือใกล้เคียงก็ต้อง "แต่งรูป" แล้วครับ 2. ตามไปดูมาแล้วครับ หากเป็นผม ผมจะวัดแสงที่ รอยต่อของช้างกับท้องฟ้าครับ(ตามจุดที่ให้มา ก็คิดว่าถูกครับ) แต่เหตุที่ผมวัดตรงนั้นไม่ได้เกี่ยวกับ เทากลางแต่อย่างใด ถ้าเราวัดที่ตัวช้างเลย ช้างมันมีสีดำมาก กล้องมันจะปรับให้สว่างขึ้น ทำให้ได้รูป Over ครับ หรือจะวัดที่ตัวช้างก็ได้แต่ชดเชยลบไปซัก .3 หรือ .7 น่าจะพอดี 3. ถูกต้อง คร้าบบ...บ หากเข้าใจตรงนี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:07:20

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณสำหรับบทความดีดีนะคะ.. จากคุณ : Ananta_Z เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:07:28

ความคิดเห็นที่ 84 คุณ เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 ใน คห.72 1. การล็อคและปลดล็อคนั้นใช้ปุ่มเดียวกันครับ กดทีแรกก็ล็อค ถ่ายเสร็จก็ปลดล็อค หรือทิ้งไว้สักครู่มันก็ปลดเองครับ ส่วนการปิดเครื่องนั้น ปลดแน่นอนครับ 2. เช็คชัดลึก ชัดตื้นอะไร ผมไม่มีความรู้ด้านนี้ครับ ขออภัย ผมรู้แค่ว่า 2.1 การโฟกัสของกล้องต้องไม่เพี้ยน เพราะปกติมันแม่ยำมากอยู่แล้วครับ 2.2 อยากได้ หลังเบลอก็ปรับ F ให้กว้างที่สุดและเข้าใกล้ตัวแบบให้มากที่สุด ก็จะได้หลังเบลอครับ 2.3 อยากให้ชัดทั้งหมด แค่ถอยออกห่างตัวแบบหน่อย ก็ชัดไปถึงต่างประเทศเลยครับ แม้ว่าผมจะใช้ F กว้างสุดแล้วก็ตาม ปล. F กว้างสุดของผมคือ 3.5 หากได้เลนส์ดีกว่านี้ เช่น F 2.8 อาจเกิดความแตกต่างมากขึ้นในระยะที่เท่ากัน แต่ผมไม่เคยลองครับ ขออภัยเพราะไม่มี 555 จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:18:22

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอด สุดยอด สุดยอด เข้าใจง่าย มีรูปประกอบ แบบนี้เข้าใจแน่นอนครับ ขอบคณสำหรับความรู้ที่นำมาถ่ายทอดครับ จากคุณ : อุ่นจันทร์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:22:04

ความคิดเห็นที่ 86 คุณ กวางหูกระต่าย ใน คห.73 "ระบบวัดแสงของกล้อง ถ้าเราใช้แต่ละระบบจะได้ภาพออกมาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนค่ะ" ความแตกต่างขึ้นกับสิ่งที่จะถ่ายครับ ผมแนะนำว่าเอา "เฉลี่ยหนักกลาง" นี่แหละครับ ปลอดภัยที่สุดแล้ว(ผมใช้อันนี้อันเดียว ไม่เคยเปลี่ยนเลย) แต่ผมว่าส่วนมากมันวัดแสงถูกน่ะ(80% เลยครับ) อาจไม่ถูกใจบ้างนิดหน่อย ชดเชยแสงไปทีสองที ก็เอาอยู่แล้วครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:27:02

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณครับ เริ่มเห็นทางสว่างแล้ว งั้นอีกนิดครับ (เกรงใจท่านอื่นจัง^.^) 1.ถ้า คน 3 คน ยืนเรียงกันกลางแจ้ง ใส่ชุด ดำสนิท แดง ขาว(แม่ชี) ถ้าเราเลือกวัดที่คนชุดขาว ก็ต้องชดเชย  +   แต่ ถ้าวัดที่คนชุดดำก็ให้ - ใช่มั้ยครับ ..แต่ถ้าคนกลางจากชุดแดง มาเป็นเทา เราก็วัดที่คนนี้ และไม่ต้องชดเชย ภาพก็จะไม่over หรือ under ถูกมั้ยครับ 2.แล้วถ้าเกิด 3 คนนั้น อยู่ในที่แสงน้อยสลัวๆ  วัดเหมือนกันมั้ยครับ จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:27:51

ความคิดเห็นที่ 88 นั่นๆ พี่อุ่นจันทร์ มาแล้ว งั้นเรายกเลิกกระทู้นี้กันเถอะ หนีพี่อุ่นจันทร์ กันดีกว่า 555 ปล. เคยเห็นรูปพี่แกทีนึงตอนเล่น Pic Post Battle เห็นแล้วอยากรู้จักตัวจริงเลยครับ พี่แกคงห้าวน่าดู 555 จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:35:43

ความคิดเห็นที่ 89 ขอขอบคุณครับ....... ขออนุญาตเซฟ และนำเผยแพร่ ทั้งภาพและคำพูดได้หรือไม่ครับ.....พอดีทำเวปอยู่แต่ไม่เกี่ยวกับกล้อง อยากไห้เพื่อนได้รู้บ้าง จากคุณ : kradassa เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:40:31

ความคิดเห็นที่ 90 คุณ cha17 ใน คห.78 "อ้อ...ผมมีข้อสงสัยครับ จาก คคห 4 การวัดแสงแบบ เฉลี่ยกลาง หรือ เฉพาะจุด กล้องจะเฉลี่ยให้กลางภาพที่ถ่าย หรือ กลางจุดที่เราล็อคแสง และกล้องจะวัดแสงเฉพาะจุดที่เราล็อคค่าความจำแสดง หรือ จุดกลางภาพที่เราถ่าย " ตอบ : จุดที่เรา "ล็อคค่าแสง" ครับ ทุกระบบวัดแสง ในเรื่องนี้ ทำงานเหมือนกันครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:42:08

ความคิดเห็นที่ 91 คุณฟูนัน ในคห.87 1. ที่คุณว่ามานั้นถูกต้องครับ แต่อย่าลืมดูระบบวัดแสงด้วยน่ะ เพราะถ้าใช้ระบบ metrix กล้องมันจะเฉลี่ยทั้งภาพเลย เช่นหากในรูปมีสีดำมาก กล้องมันก็พยายามทำให้ขาว เราก็ชดเชยลบกลับไปอีกที แต่ๆ ถ้าใช้ เฉลี่ยหนักกลาง(กรณีในตัวอย่างที่ยกมา) น่าจะแม่นยำกว่าครับ 2. วัดเหมือนเดิมครับ ปล. อย่าลืมว่าเราใช้กล้องดิจิตอล ถ่ายเสร็จ เห็นผลเลย ไม่พอใจ เราก็ชดเชยแสงเอาเลยเพราะล็อคค่าแสงไว้เล้ว จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:50:59

ความคิดเห็นที่ 92 คือเวลาผมถ่ายรูป ผมยกกล้องเล็งจุดที่ต้องการแล้วกดชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่ง เพื่อโฟกัส และตอนนั้นก็ยังกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้อยู่เพื่อ จัดองค์ประกอบ พอได้แล้วก็กดอีกครึ่งที่เหลื่อลงไปเพื่อถ่ายรูปครับ (ผมใช้โหมด A และวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ ) แค่ผมตั้งค่า รูรับแสงที่ต้องการ ที่เหลือกล้องจัดการเองตามสภาพแสงนั้นๆ มันเหมือนกับว่าผมไม่ได้วัดแสงเลยครับ คือยกกล้องเล็ง โฟกัส จัดองค์ประกอบ ถ่าย แบบที่ผมเล่ามามันถูกต้องมั๊ยครับ. จากคุณ : บุรุษแห่งดวงดาว เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:57:42

ความคิดเห็นที่ 93 คุณ kradassa ใน คห.89 ได้ครับ แต่แจ้งผมซักนิดน่ะว่าเอาไปลงเว็บอะไร ป้องการการเข้าใจผิด ซึ่งคงเกิดจากผมเอง จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 15:58:20

ความคิดเห็นที่ 94 เขียนได้ดีมากเลยครับ อ่านเข้าใจง่าย แถมมีรูปประกอบอีก รออ่านตอนต่อไปครับ จากคุณ : kkitti91 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:01:05

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณมากครับ เป็นความรู้สำหรับ มือใหม่เพิ่งถอย DSLR อย่างผมจัง อ่านแล้ว ผมอยากให้คุณ auxin พูดเรื่องการชดเชยแสงเลยจัง ครับ อ่านความเห็น 14 15 แล้วทราบว่า จะพูดทีหลังครับ แต่ความเห็นหลังๆ ได้พูดถึงว่า ชดเชยเท่านั้น เท่านี้ อืม.... งงสิครับ.... ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมรออ่านอย่างใจจดใจจ่อครับ.... จากคุณ : หน้าขุนแผน หัวขุนช้าง เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:02:04

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณครับ จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:04:53

ความคิดเห็นที่ 97 คุณ บุรุษแห่งดวงดาว ในคห.92 หากคุณเซ็ตกล้องให้มันล็อคค่าแสงพร้อมกับการโฟกัส "ก็ถูกแล้วครับ" แต่ถ้าคุณแยกปุ่มล็อคค่าแสง ออกจากปุ่มโฟก้ส "ก็ถือว่าผิดครับ" เพราะการตั้งกล้องแบบนี้ แสดงว่าเราจะเลือกและล็อคค่าแสงเอง หากเซ็ตกล้องไว้แบบนี้ แล้วถ่ายโดยไม่ล็อคค่าแสงก็มีโอกาสผิดพลาดสูงครับ (มืดหรือสว่างไป) จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:05:12

ความคิดเห็นที่ 98   อือ เป็นเช่นนี้เองหรอกเหรอ จากคุณ : noimvk (noimvk) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:07:40

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบคุณครับ เว็ปที่ทำเป็นเว็ปของกลุ่มมอเตอร์ไซต์ครับ... พอดีชอบท่องเที่ยวด้วยครับ http://red-dragon.pantown.com/ จากคุณ : kradassa เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:08:14

ความคิดเห็นที่ 100 คุณหน้าขุนแผน หัวขุนช้าง ผมขอโทษน่ะครับที่ยังไม่ได้ทำเรื่องการชดเชยแสง จะรีบทำในเร็ววันแล้วเอามาให้ชมกันต่อครับ แต่อย่างเร็วก็ไม่ต่ำกว่า 3-4 วันแน่นอนครับ เพราะผมพยายามหารูปที่สื่อได้เข้าใจมากๆ ส่วนคำบรรยายที่ผมเขียนนั้น ผมอ่านเป็น 10 รอบว่ามัน "เข้าใจได้ง่าย" หรือยัง เพราะอยากสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุดครับ ฉะนั้นหากช้าหน่อยก็ให้อภัยเนาะ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:11:42

ความคิดเห็นที่ 101 ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ (Matrix, Evaluate และอีกหลายชื่อของยี่ห้ออื่น) สมัยนี้ มันวัดจากทุกจุดจริงครับ แต่มันไม่ได้เอามาเฉลี่ยกันดื้อๆ เหมือนสมัยก่อน มันเอาค่าแสงแต่ละจุด (บวกกับระยะโฟกัส จุดโฟกัส และอาจจะไปถึงทางยาวโฟกัส) ไปวิเคราะห์ว่านี่คือภาพอะไร แล้วเช็คจากฐานข้อมูลว่าถ้าภาพนี้ ค่าแสงแบบนี้ จะต้องปรับไปทางไหน แล้วมันก็วัดแสง พร้อมชดเชยให้เรียบร้อย ถ้าไว้ใจมัน และมันคิดถูก ภาพจะออกมาเป๊ะเลยครับ ถ้ามันคิดผิด ภาพมักจะคลาดเคลื่อนไม่เกินครึ่ง หรือสต็อปนึงเป็นอย่างมากถ้าสภาพแสงโหดจริงๆ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปรับแสงสีทีหลังได้สบายๆ ถ้าเราไม่ไว้ใจ และไม่รู้จักแนวของมัน แล้วไปชดเชยแสงตามตำรา มักจะพาเข้ารกเข้าพง ลงเหวไปเลย เพราะกล้องมันชดเชยไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะไปชดเชยแสงในระบบนี้ ต้องรู้นิสัยมันก่อน ว่ามันจะเพี้ยนในสภาพแสงสีไหน แล้วค่อยดักทางมัน หรือไม่ก็ใช้เฉลี่ยหนักกลางไปเลยครับ แล้วใช้วิชาชดเชยแสงตามตำราปกติ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:15:10

ความคิดเห็นที่ 102 ขอบคุณครับ น้า auxin  และ อ้างอิงจากคำตอบน้า คห. 97 ผมเซ็ตกล้องแยกปุ่มไว้ครับ ระหว่างปุ่มล็อคค่าแสงกับปุ่มโฟกัส แล้วข้อดีข้อเสียของการใช้ปุ่มแยกกันกับรวมกันเป็นยังไงครับ ขอรบกวนอีกสักคำถามครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : บุรุษแห่งดวงดาว เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:17:38

ความคิดเห็นที่ 103 เยี่ยมเลยครับพี่อะธีลาส รบกวนพี่มาช่วยอีกซักแรงก็ดีครับ ถึงผมจะพอไปวัดไปวาได้ แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์นัก ได้พี่มาช่วยเสริมแรงอีกคน ก็สามารถทำให้สมาชิกคนอื่นๆ เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ รบกวนพี่เข้ามาดูกระทู้นี้บ่อยๆ น่ะครับ และหากผมพูดอะไรผิดไป พี่ทักท้วงได้เต็มที่เลย ไม่ต้องกลัวผมเสียหน้าอะไรทั้งนั้น เพราะความรู้ที่พี่บอกมานั้นมีประโยชน์กับคนทั่วหน้าครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:22:04

ความคิดเห็นที่ 104 ขอบคุณมากครับ...เป็นประโยชน์มากเลยครับ...จะรออ่านเรื่องการชดเชยแสงนะครับ จากคุณ : peter_corp_doremon เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:30:30

ความคิดเห็นที่ 105 คุณบุรุษแห่งดวงดาว การใช้ชัตเตอร์ในการโฟกัสกับล็อคค่าแสงในปุ่ม ข้อดี "มันเร็ว" ครับ ข้อเสียคือ 1. มีบางกรณีที่เราต้องวัดแสงตำแหน่งนึง แล้วไปโฟกัสอีกตำแหน่งนึง หากเซ็ตกล้องให้ใช้ปุ่มชัตเตอร์ร่วมกัน ก็ไม่สามารถวัดแสงในกรณีนี้ได้ครับ 2. ข้อนี้สำคัญเลย เมื่อเราถ่ายเสร็จ เราก็ปล่อยชัตเตอร์ ค่าแสงก็ถูกปลดล็อค(ไม่มีตัวอ้างอิง) ทีนี้สมมติว่ารูปที่เราถ่ายมานั้นสว่างไปนิด ก็ไม่สามารถชดเชยแสงได้แล้วครับ เพราะตัวอ้างอิงหลุดไปแล้ว ส่วนการแยกปุ่มนั้น ข้อดีคือ วัดแสงได้อิสระ แล้วค่าแสงที่ล็อคไว้ก็จะไม่หลุดจนกว่าเราจะปลดเอง ทำให้มีตัวอ้างอิงในการชดเชยแสงหากยังไม่ได้รูปที่ต้องการ ข้อเสีย ช้ากว่าแบบแรก 1 วินาที ซึ่งผมถือว่าเป็นการแลกที่คุ้มมากๆ ครับ ฉะนั้น แนะนำว่าให้แยกปุ่มและล็อคแสงทุกครั้งที่ถ่ายครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:33:24

ความคิดเห็นที่ 106 ขอบคุณครับ เคยเรียน เคยศึกษาครับ.... ตอนนี้ อายุมาก แล้ว ความจำเสื่อม เล่นไปเล่นมา ลืมหมด เลยทฤษฏี แบบว่า เดือนนึง จับกล้อง ที สองที ไม่รู้จะซื้อมาทำไม ตั้ง 2 ตัว 555 จากคุณ : Huayxay เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:42:36

ความคิดเห็นที่ 107 ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ขอกลับไปลองเล่นก่อนนะค่ะ พรุ่งนี้จะกลับมาถามใหม่ขอบคุณค่ะ จากคุณ : กวางหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:47:41

ความคิดเห็นที่ 108 ใช้การอธิบายที่ง่าย กระชับ  รวมทั้งการยกตัวอย่างเปรียบเทียบแบบพื้นๆ ทำให้สิ่งที่ดูเข้าใจยากรู้เรื่องขึ้นมาอย่างง่ายดาย...ขอบคุณมากครับ. จากคุณ : คลองจั่น ซอย8 (คลองจั่น ซอย8) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:49:56

ความคิดเห็นที่ 109 งั้นผมเสนออีกแบบหนึ่ง เป็นแบบที่ผมใช้กับ เลว90 ของผม แบบไม่แยกปุ่ม ผมจะทำสามขั้นตอน อันดับแรกวัดแสงก่อน หันกล้องไปตรงที่วัดแสง จัดองค์ประกอบที่จะวัดแสงให้เรียบร้อยแล้วกด AE-L ไว้ อันดับสองโฟกัส หันไปจุดที่ต้องการโฟกัส และกดชัตเตอร์ครึ่งทางค้างไว้เพื่อล็อกโฟกัส แต่ค่าแสงจะไม่เปลี่ยน เพราะเราล็อกไว้แล้วในขั้นแรก อันดับสาม จัดองค์ประกอบแล้วถ่าย ที่เรียกมันว่า เลว90 ก็มีเรื่องนี้เรื่องนึงล่ะ เพราะขั้น 1 กับ 2 ห้ามทำสับกัน เดี๋ยววินาศ แต่กล้องโอลิมปัสป๊อกแป๊กที่ผมเคยใช้มัน Customize ให้ปุ่ม AEL ทำงาน Overide ปุ่มชัตเตอร์ได้เลย ให้มันวัดและล็อคแสงใหม่อีกรอบได้ด้วย AEL หรือจะให้ทำแบบเดียวกันกับ AFL หรือทั้งสองอย่างได้ ทำให้เราสามารถทำสลับขั้นตอนได้ แต่ D90 มันทำไม่ได้ เลวเรื่องสองคือ มันสั่ง AE-L ให้เป็น กดล็อค กดปลดล็อคไม่ได้ ต้องกดค้างไว้จนกว่าจะเลิกใช้ งืมมม หงุดหงิดเฟ้ย ประเภทถ่ายช็อตใกล้ๆ กัน แสงที่ซับเจ็คท์พอๆ กัน ต่างกันที่ฉากหลัง ก็มีเรื่องให้หงุดหงิดทุกที ที่ค่าเปิดรับแสงมันเปลี่ยนไปๆ มาๆ ต้องปรับมาเป็น M ประจำ Olympus มันสามารถ customize ให้ AE-L เป็นกดล็อก กดปลดล็อก หรือ กดล็อก ปล่อยปลดล็อกได้ พอล็อคแล้วไม่ต้องคอยกังวลว่าค่าเปิดรับแสงมันจะดิ้นไปมา จะชดเชยแสงก็สะดวกง่ายดาย พอเปลี่ยนฉาก ค่อยวัดแสงแล้วล็อคด้วยการกดปุ่มทีเดียว ไม่ต้องมานั่งปั่นแป้นปรับค่าเปิดรับแสงใน M วู้ย.. ใช้ D90 แล้วหงุดหงิดกะเรื่องล็อกแสงนี่แหละเป็นอันดับสอง รองจากแป้นกลับทิศ สเกลกลับทิศ ปล. น่าจะต้องเขียน "ใช้ไปบ่นไปกับ เลว90" ซักตอนดีมั้ยเนี่ย แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 18:57:42 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 17:11:56 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 17:04:21 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 17:03:52 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 16:54:21

ความคิดเห็นที่ 110 ขอบคุณมากมายสำหรับความรู้ค่ะ จากคุณ : anniewa เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 17:39:30

ความคิดเห็นที่ 111 รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง เด๋วอ่านหลายรอบก็รู้เอง แต่กระทู้นี้ ที่รู้แน่ๆ คือ คนเก่ง....มักจะถ่อมตนครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ มี SS นะครับ จากคุณ : hooya เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 17:48:34

ความคิดเห็นที่ 112 เยี่ยมครับน้า auxin จริงๆผมว่าห้องกลางน่าจะมีระบบล๊อกกระทู้ไว้บ้างนะเนี่ย สงสารบางกระทู้ที่ให้สาระอย่างกระทู้นี้ อยู่เป็นกระทู้แนะนำได้ไม่นาน เดี๋ยวก็หายไปอีก ขอบคุณมากสำหรับบทความและตัวอย่างครับ จากคุณ : ปืนเถื่อน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 18:09:54

ความคิดเห็นที่ 113 อย่างนี้ผมว่าแจ่มเลยครับ น้าๆมาช่วยกันอธิบาย เดี๋ยวผมก็เอาไปต่อยอดสาธิตในห้องอบรม เอาแบบเห็นกันจะๆไปเลย คราวนี้ถ้าไม่เข้าใจอีกผมกะว่าเอาคู่มือกล้องต้มให้กินเลยน่าจะได้ผล จากคุณ : น้าวันดีมีแอล เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 18:18:53

ความคิดเห็นที่ 114 น้า อะธีลาส ครับ "เลวเรื่องสองคือ มันสั่ง AE-L ให้เป็น กดล็อค กดปลดล็อคไม่ได้ ต้องกดค้างไว้จนกว่าจะเลิกใช้ " D90ของน้ากดล็อกไม่ได้หรือครับ ผมใช้D60 รุ่นน้องมันล็อกได้ด้วยครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย เดี๋ยวผมไปดูคู่มือของผม ให้ชัวร์ๆ ก่อนดีกว่า ไม่เคยจับD90เลยไม่รู้ว่ามันต่างกับ D60 หรือปล่าวครับ ป.ล.ถามเพราะสงสัยครับ ^^ เพิ่มเติมครับ หลังจากอ่านคู่มือมา ในโหมด CUSTOM SETTING MENU ของ D60 ข้อ 12 กำหนดการทำงานของ ปุ่ม AE-L/AF-L มันมีให้เลือกได้ว่ากด hold AE-L ไว้ได้ด้วยครับ ป.ล.2 ถามเพราะสงสัย ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น อยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับน้าครับ ป.ล.3 ขอโทษ จขกท. ที่ถามไม่เกี่ยวกับการวัดแสง         ผมรออ่านเรื่อง การชดเชยแสงต่ออยู่นะครับ ขอบคุณสำหรับพื้นที่ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 19:27:56 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 52 19:21:16 จากคุณ : การเดินทางของภาพถ่าย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 19:00:51