ความคิดเห็นที่ 1   ภาพกล้องถ่ายหนังยุคปัจจุบัน ในส่วนนี้จะอธิบายของ ARRI กล้องจากเยอรมันนะครับหนึ่งในกล้องยอดนิยมทั่วโลก เพราะว่าบ้านเราไม่มีคนใช้ PANAVISION กันเว้นแต่ฝรั่งเอามาเอง แต่พื้นฐานจะเหมือนกันแต่ทรงไม่เหมือนกัน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 11:35:27

ความคิดเห็นที่ 2   อันนี้ภาพภายในกล้อง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 11:41:20

ความคิดเห็นที่ 3   ภาพที่หนึ่ง เป็นภาพห้องฟิล์ม ภาพที่สอง ภาพด้านหลังที่ใช้เอาฟิล์ม บรรจุเข้า ภาพที่สาม คือ rell ฟิล์ม ซึ่งจะบรรจุตามมาตรฐาน 400 Ft. จะถ่ายได้ประมาณ สี่นาที จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 11:44:22

ความคิดเห็นที่ 4   ปาดดดด จากคุณ : godspeed (poneaks) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 11:48:18

ความคิดเห็นที่ 5   อันนี้ด่านล่างกล้อง โดยกล้องหนังเราจะไม่ต่อเข้ากับขากล้องเลย แต่เราจะต่อหลายชั่นมาก ค่่อยๆดูละกันนะ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 11:57:04

ความคิดเห็นที่ 6   อันนี้ เรียก Bridge plates ใช้รองฐานตัวสุดท้ายของกล้อง มีหน้าที่ช่วย บลาลานส์ กล้องเวลาใส่เลนส์ใหญ่ ๆ กับขากล้องเนื่องจากเราจะไม่ใช้ขาสองตัวแบบกล้องถ่ายภาพแต่เราจะใช้ตัวนี้ในการช่วยบาลานซ์กล้องครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 12:01:26

ความคิดเห็นที่ 7   ซึ่งในการใช้งานฐานที่เป็นเหล็กตัน ๆ จะเลื่อนได้ ส่วนตะเกียบ คู่ข้างหน้า นี่ใช้รองรับเลนส์ที่หนักอีกที จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 12:03:35

ความคิดเห็นที่ 8   อันนี้ประกอบ กับฐานรองไหล่ ปล.กล้องตัวหนึ่งหนักประมาณ 25 โล ไ่ม่รวมเลนส์ ขึ้นไหล่ทีแทบทรุด จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 12:10:50

ความคิดเห็นที่ 9   เดี่ยวเอามาให้ดูต่อ วิธีโหลดฟิล์ม ตอนนี้พักก่อนนะ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 12:16:59

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ aloha_123 ... ใส่ข้อมูลพวกนี้ไว้ใน BLOG ของคุณด้วยซีครับ จะได้ดูกันนานๆ ขอบคุณ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 12:50:34

ความคิดเห็นที่ 11 มาติดตามครับ จากคุณ : ZoRtA เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 18:34:32

ความคิดเห็นที่ 12 รอชมครับ จากคุณ : ไผ่ย้อย เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 21:20:01

ความคิดเห็นที่ 13   เดี่ยวน้ามาต่่อนะ พอดีอกหักแฟนบอกเลิก หมดรมเลย 555 ศิลปินชัดๆน้า จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 22:20:46

ความคิดเห็นที่ 14 ให้สามกีบเลย อิอิ อ้าวอกหักซะแล้ว จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 52 22:47:40

ความคิดเห็นที่ 15   กลับมาเขียนต่อละหลังจากเีสียศูนย์ไปวัน เนื่อจากความรัก T T แล้วมาเฮฮาต่อห้องนี้ดีกว่า ทีนีี้เรามาดูใน RELL ฟิล์มนะครับผมจะสอนการโหลฟิล์ม คร่าว ๆ แต่โดยหลักๆ แล้วจะคล้าย ๆ กัน แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:17:54 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:38:49

ความคิดเห็นที่ 16   เวลาโหลฟิล์ม นั้นทางเราจะต้องทำในห้องมืด ไม่ก็ในถุงดำนะครับ ฟิล์มห้ามโดนแสงถ้าโดนแสงก็เสียทั้งม้วนนะครับ บอกเลย บางคนคิดว่าเป็นเทป ทีนี้การเปลียนฟิล์มนี้่อันดับแรกต้องจำลำดับ ให้ได้ ก่อนหลัง แล้วก็คลำไปตามจุดที่บอกตามลำดับ ห้ามข้ามเด็ดขาด ทีนี้เราก็เปิดฝาทำงานเลย 1 ก่อนอื่นมันจะมีแกนฟิล์มสีขาวให้ย้าย จากข้างซ้าย ไปข้างขวาก่อนเลยครับเราต้องใช้มันในการโหลด อีกด้าน หลังจากนั้น ตัดหัวฟิล์มให้เรียบเท่ากันเท่านั้นนะครับ ไม่งั้นจะโหลดไม่เข้า ใส่ทุกอย่างเข้าไปในถุงดำ สิ่งที่ต้องเอาเขาถุงดำนะครับ มีฟิล์ม กรรไกรไว้ตัดหัวฟิล์มกรณีโหลดเสีย  เอาละคราวนี้ก็เอาฟิล์มใส่ไปใน ROLL ตามรูปเลยนะครับ ในเบอร์ 1 หันหน้าตามนั้นเลยนะ ใส่ผิดข้างไม่ได้นะ เพราะว่าสารไว้แสงจะอยู่กลับข้างใช้การไม่ได้ ไป 2 เอาหัวฟิล์มแหย่ไปในรู ตรงเบอร์ 2 นะครับ ตรงนี้จะมีเฟืองอยู่ด้านล่าง แหย่ให้ดี อย่าให้นามเตย กินฟิล์มจนตะเข็บขาด เดี่ยวยาว ต้องมาตัดหัวฟิล์มในถุงดำ แล้วค่อย ๆ หมุนเฟืองให้ค่อยๆ กินฟิล์มเข้าไปอย่าให้ปีนเตยขาดนำครับ ไม่เข้าห้ามฟืน ไม่งั้นจะขาดเวลาถ่าย เนื่องจากมอเตอร์วิ่งเร็วแรงมาก 3 ดึงหัวฟิล์มไปถึงประมาณเบอร์ 3 มันจะมีมาร์คนูนอยู่ ดึงไปให้พอดี ทำไม่ต้องดึง เพราะว่าตรงนี้เป็นระยะที่เขากำหนดให้ฟิล์มมีความยาวพอดีกับห้องฟิล์มในตัวกล้องครับ 4 พอวัดระยะเสร็จ ทีนี้ก็เอามาใส่ในเบอร์ 4 ทำเหมือนเดิมยัดเข้าไปในเฟืองให้ดี อย่าให้ปีหนามเตย เดี่ยวขาด ต้องโหลดใหม่ แล้วก็เอาไปใส่ในเบอร์ห้า ซึ่งจะมีแกนฟิล์มอยู่ โดยในตอนแรกนั้นจะอยู่ข้าวซ้ายจำได้นะครับ ทีเนี้ยเราย้ายมาข้างขวาก่อนเข้าไปในถุงดำ เอาหัวฟิล์มใส่เข้าไปในรูปของแกนฟิล์มครับมันจะมีรู ยัดเข้าไปใ้ห้สุดชนพอดี ระวังหัวฟิล์มหัก ไม่ไ้ด้ถ้าหักต้องโหลใหม่ หลังจากนั้นเราก็หมุนมันซะ สามสี่รอบให้แกนมันล็อกกับตัวฟิล์ม ปิดฝาได้ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:52:51

ความคิดเห็นที่ 17   อันนี้คือมาร์เบอร์สามที่ผมบอกให้วัดระยะก่อนย้ายไปเบอร์สี่ โดยขั้นนี้เราสามารถปิดฝาแล้วเอาออกมาวัดข้างนอกก็ได้แล้วใสเข้าไปข้างใน ในรูเบอร์สี่ แล้วไปเปิดฝาทำต่อในถุงดำ แต่ถ้างานจริงๆ จะไม่คอยเอาออกเข้า บ่อยๆ จะเน้นคลำเอา แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 20:33:21 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:54:55

ความคิดเห็นที่ 18   อันนี้แกนฟิล์มสีขาวที่ผมบอกให้ย้ายข้างจากซ้ายไปขวาครับ สังเกตุดีๆนะครับ มันจะมีรูที่ขวาง ๆ ให้แย่เข้าไปในรูนั้นหละ ครับ เวลาใส่แกนอย่าลืมหมุนปิดล็อกหละเดี่ยวฟิล์มหลุดจะขำไม่ออก แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:39:51 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:56:44

ความคิดเห็นที่ 19   โหลดเสร็จ ก็จะหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:58:49

ความคิดเห็นที่ 20   ปิดฝาเสร็จ ก็กลับด้านมาหมุน แกนสองแกนในรูปให้ตึง ฟิล์มจะได้เข้าที่ไม่กระจายตัวข้างใน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:01:03

ความคิดเห็นที่ 21   หลังจากโหลดเสร็จฟิล์มจะเปลืยเราต้องเอาเหล็ก โปรเทคเตอร์มาปิดซะกันฟิล์มฉีกขาด ตามรูปเลย แล้วก็ในวงการหนังไทยบ้านเรา และทั่้วโลกนะครับ หลังจากโหลดเสร็จ เจาะจนิยมเอาเทปกาวแบบผ้านะครับไม่ใช่กระดาษ อันเหนียวๆหละครับ ปิดตามขอบอีกที กันแสงเข้าอีกทีเผื่อเจอของเก่า มีรูรั่ว แล้วก็บอกให้ชาวบ้านรู้ว่าอันนี้โหลดแล้วยังไม่ได้ใช้ เพราะถ้าถ่ายหมดฟิล์มมันจะมุดหายไปข้างในเลยไม่เห็นให้เหลือหัวฟลิ์ม แล้วก็เราก็จะแปะ เทปกาวอีกอันหนึ่งด้านข้างของฝา เขียนรีพอร์ท ว่า เป็นม้วนที่เท่าไร ฟิล์มอะไร รหัสฟิล์มอะไรบ้าง โหลดวันที่เท่าไร ถ่ายเสร็จวันที่เท่าไร หนัีงเรื่องอะไร ใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนโหลดฟิล์ม พอถ่ายเสร็จเราก็จะแกะที่เราแปะไว้ข้างกล้อง ไปแปะไว้กับ ROLL ฟิล์ม เพื่อที่ทางแลปจะได้ทราบ และทางเราจะได้รู้ว่ามันคืออะไรยังไง มีปัญหาขึ้นมาจะได้สอบกลับได้ว่าใครทำ วิธีการเขียน R ม้วนที่ วันที่ รหัสฟิล์ม ประเภทฟิล์มเช่น D 400 คือ เดย์ไลท์ iso 400 ชืื่อเรื่อง ใครถ่าย ใครโหลด ใครกำกับ ตัวอย่างนะ R1 11/10/09 123456 890 d400 เรื่องแต๋วนะยะ ปราโมชย์ เดชา อนุสรณ์ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:17:20 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:03:14

ความคิดเห็นที่ 22   ถ้าจะใช้งานก็เอาเหล็กที่ปิดด้านบนออกก่อนนะครับ ทีเนี่ย ถ้าจะใช้งานเราก็เปิดห้องฟิล็มในกล้องแล้วเอาไปใ่ส่ตามรูปเลย เออการจะใส่ต้องเปิดประตูฟิล์มก่อนนะครับ ด้านข้่างเราจะใส่จากด้านข้าง แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:07:29 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:05:34

ความคิดเห็นที่ 23   มาดูในห้องฟิล์ม ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:27:55

ความคิดเห็นที่ 24   เราก็เอารูปใส่ตามรูปเลยนครับ ทีนี้เวลาใส่เราต้องเปิดตัวเบอร์ 1 โดยใช้คานเิบอร์สามโยกเปิดออกมาซึ่งผมเรียกตัวกดฟิล์มให้มันแนบ ใส่เข้าไปในนั้นเลยครับ แล้วหมุนเบอร์สอง ปรับหนามเตยให้ตรงร่องถ้ามันไม่ตรง ต้องตรงพอดีนะไม่งั้นเตยขาดจะยุ่ง แล้วก็ให้ตัวกวักตรงเตยพอดี ตัวนี้จะมีหน้าที่ดึงฟิล์มตามร่องนะครับ เรียบร้อยแล้วก็ ปิดเบอร์ 1 ปิดประตูฟิล์มเป็นอันเสร็จพิธี ปล.ทุกขั้นตอนในการโหลดฟิล์ม ก่อนทำการใส่ฟิล์มทุกครั้งเราต้องทำความสะอาดฝุ่นโดยใช้สเปรยลมครับ บอลยางไม่ได้ มันไม่แรงพอ เป่าแล้วไม่ออก เป่าออกให้หมดอย่ามีค้างหลงเหลือ ไม่งั้นถ่ายมาจะเป็นฝุ่นเม็ด ๆ จุด ๆ วิ่งไปมาไม่สวย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:41:38 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:33:19

ความคิดเห็นที่ 25   หลังจากโหลดเข้ากล้องเสร็จ เราจะยิ่งหัวทิ้งประมาณ 15 ฟิต ซึ่งในกล้องหนังเราจะนับเป็น FEET ไม่ใช่นับเป็นนาทีแบบเทป ครับ เพื่อไล่ฟิล์มที่โดนแสงออกไป เหมือนโหลดกล้อวถ่ายภาพทั่วไปที่ต้องยิ่ิงทิ้ง ทีนี้ก็พร้อมถ่ายแล้วนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:36:20 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:35:54

ความคิดเห็นที่ 26   ทีนี้เรามาผมก็จะอธิบายเรื่องชัตเตอร์ ของกล้องถ่าหนังให้ฟัง หลายคนคงสงสัยว่า เวลามองในวิวเนี่ย มันจะเป็นอย่างไรถ้าถ่าย มันจะกระพริบ ครับเนื่องจากการเปิดปิดตลอดเวลาของชัตเตอร์ ง่าย เหมือนเรากดชัตเตอร์ค้างตลอดเวลา โดยชัตเตอร์ถ้าเป็นหนังจะรันที่ 24 เฟรมต่อวินาที(fps) ซึ่งถ้ามันช้ากว่านี้ก็จะเป็นการถ่ายแบบ fast mation เช่น 12 fps แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นการถ่ายที่เฟรมมากกว่านี้ ก็จะเป็น slow motion เช่น 150fps ซึ่งในกล้องถ่ายหนังนั้นจะปรับแต่งตรงนี้ได้ไม่มาก แต่เราต้องมีมอเตอร์ภายนอกช่วยเพื่อทำให้มันหน่วงเฟรมได้มากขึ้น โดนฟิล์มมีความแตกต่างกับวีดีโอตรงนี้หละครับ เพราะวีดีโอถ่ายเป็น 25fps ใน pal และ 29.97 ใน ntsc และอีกข้อที่ต่างกันคือถ้าเป็นวีดีโอจะมีเส้นแสกนไลน์ ซึ่งถ้าใครเคยเอากล้องถ่ายกับทีวีจะเห็นชัด เป็นเส้นๆ วิ่งครับ แต่กล้องหนังไม่มี กลับมาเรืองชัตเตอร์ ถ้าเป็นกล้อง slr จะเป็นสี่เหลี่ยม กระดึกขึ้นลง แต่กล้องถ่ายหนังไม่ใช่ครับ มันจะเป็นคล้าย ปีกผีเสื้้อ โดยจะหมุนเป็นวงกลมคอยเปิดปิด เป็นลิ้นซึ่งไม่รู้จะเอารูปไหนให้ดูเพราะไม่มีคนแกะให้ดูครับ ในภาพจะเป็นกระจกสะท้อนกับลิ้นเปิดปิดชัตเตอร์ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 09:59:04 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:56:42

ความคิดเห็นที่ 27   ทีนี้ในการถ่ายนั้น กล้องถ่ายหนัึงจะไม่เหมือนกล้องวีดีโอตรงที่ กล้องวีดีโอกดแล้วถ่ายได้เลย แต่กล้องถ่ายหนังต้องรอมอเตอร์วิ่งเข้าที่ให้ speed การรันเข้าที่ก่อนจึงจะถ่ายได้ ซึ่งในการถ่ายหนังเราจะไม่ใช้คำว่า 5 4 3 2 action แต่เราใช้คำว่า กล้องพร้อม ไฟพร้อม กล้องเิดิน ช่างกล้องจะขาน camera เป็นการบอกว่ากดปุ่มเดินกล้องแล้ว แล้วขาน speed เมื่อไฟสปีทในกล้อง ดับลงว่าพร้อมถ่ายแล้ว หรืออาจจะใช้ให้ผู้ช่วยขานแทนก็ได้ เพราะมันจะมีไฟบอกภาพนอกกล้อง หรือ จอมอนิเตอร์ที่ต่อออกเช่นกัน เพราะถ้าถ่ายเลยหัวฟิล์มมันจะสะบัดกระพริบ เป็นอาการของ speed ไม่เข้าที่ เป็นแบบขาว ๆ แว๊บ ๆถ้าเคยเห็นในโรงหนังนะครับ หลายคนสงสัยอีกว่าเวลาต่อออกวีดีโอให้ผุ้กำกับดุภาพจะเป็นอย่างไร คำตอบเป็นแบบที่ช่างภาพเห็น คือ มันจะกระพริบแบบที่มองในวิวิเลย แต่จะมืดกว่าช่างภาพเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการแบ่งแส่งสะท้อนมายังตัวแปลงวีดีโอ มันเลยจะมืดกว่าความเป็นจริง นิดหน่อย แต่เราใช้แค่ดุ การแสดง ทางแสงนิดหน่อย ถ้าโปรมากมากบางคนไม่ต้องดุมอนิเตอร์เลย ด้วยซ้ำ แค่ช่างภาพบอกว่าขอแบบนี้ก็ได้เลย จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:07:16

ความคิดเห็นที่ 28   อ่านแล้วเริ่มท้อยังครับ ว่าทำไมมันยากกว่า slr จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:08:43

ความคิดเห็นที่ 29   ทีนี้ในการเปลี่้ยนเลนส์นะครับ ใน คห 26 มันจะมีมาร์คสามเหลี่ยม ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลนส์ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:10:07

ความคิดเห็นที่ 30   ต้องอธิบายอีกอย่าง กลอ้งถ่ายหนัง จะมีปุ่มเปิดเอาไฟเข้ากล้องต่างหาก แล้วก็ปุ่มกดเิดินกล้องต่างหากตามภาพ ซึ่งแล้วแต่รุ่นนะครับว่าจะเป็นแบบไหน บางรุ่นก็เป็นปุ่ม บางรุ่นก็คันโยก แต่ถ้าไม่ใช้ไฟฟ้าก็จะเป็นระบบลานซึ่งเก่ามากระดับรุ่นสงครามโลกเลยอะ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 10:48:55 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:34:17

ความคิดเห็นที่ 31   ส่วนตรงนี้จะเป็นตีวบอกว่าสปีดที่ใช้ถ่ายเท่าไร ถ่ายไปกี่ฟิต แล้วก็จะเป็นปุ่มปรับสปีทครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:36:31

ความคิดเห็นที่ 32   อันนี้เป็นภาพช่องต่ออกของวีดีโอ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:41:50

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ให้กิ๊ฟท์ไม่ได้ แต่โหวตให้ครับ จากคุณ : espucino-ccj เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:46:38

ความคิดเห็นที่ 34   ทีนี้เรามาดูอุปกรณ์ สนับสนุนเลส์กัน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:58:29

ความคิดเห็นที่ 35   อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่ากล้องถ่ายหนังเราจะไม่ใช่ขากล้องหลายตัว แต่เราจะใช้ตัวอุปกรณ์ข้างบนรองรับน้ำหนัก โดยการยึดกับตะเกียบข้างล่างสองตัว ถ่ายน้ำหนักไปยังตัวขากล้อง หรือตัวบ่า จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:59:52

ความคิดเห็นที่ 36   หลายคนอาจจะสงสัยอีกว่ากล้องถ่ายหนังนี่ทำไมต้องใช้คนถ่ายหลายคน เพราะว่ามันเป็นแมนนวลหมดครับจึงต้องใช่ช่างหลายคนมากต่อกล้องตัวหนึ่่ง ซึ่งการโฟกัส การ ซูม ก็จะใช้คนละคนทำกัน ทุกอย่างใช้มือทำทั้งหมด โดยใจะใช้อุปกรณ์ที่เราเรียกว่า follw focus ซึ่งเราจะประกอบเขากับตัวเพลทข้างบนครับ โดยในการถ่ายแต่ละครั้งเราจะทำการมาร์คตรงวงแหวนสีขาว ๆ ว่าอันนี้ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 โดยเราจะใช้ตลับเมตรวัดระยะ จะไ่ม่ใช้สายตาเด็ดขาดเพราะว่าความผิดพลาดมีได้ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:08:06

ความคิดเห็นที่ 37   เราจะมาร์คตามรูปเลยเวลาโฟกัส หรือซูม เพียงแต่ในรูปจะเป็น แบบรีโมทครับ ถ้าเป็นแบบไม่รีโมทก็จะเป็นหมุนข้าง ๆกล้อง จากข้างบนจะเห็นว่ามีเฟือง โดยเวลาใช้เราจะเอาเฟืองตัวนี้ไปข่มกับเฟืองบนเลนส์เพื่อให้มันหมุนได้ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:11:47 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:10:42

ความคิดเห็นที่ 38   อันนี้เลนส์กล้องถ่ายหนัง จะเห็นว่าจะมีรอยเฟื้องด้านข้าง ไม่เหมือนเลนส์กล้องถ่ายรูป ตรงนี้หละเราใช้ในการเอาเฟืองมาข่มกันปรับโฟกัส ข้อสังเกตุ เลนส์กล้องถ่ายหนังจะไม่ใช้ คำ่ว่า F stop แต่จะใช้ T Stop เพราะค่ามันละเอียดกว่าในทางเทคนิค แต่เวลาวัดแสงใช้เครื่องวัดแสงธรรมดาได้ครับ อ่านค่า F เอา จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:16:56

ความคิดเห็นที่ 39   ส่วนนี้คือ matte box ใช้ช่วยในการลดแสงแฟล แสงโกสได้ ถ้าเป็น slr คือ hood ครับ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการใส่ฟิวเตอร์ กล้องหนังเราจะไม่ใส่ฟิวเตอร์ที่เลนส์ แต่เราจะใส่ที่นี่กัน เนื่องจากจะสะดวกกว่า เพราะแบบแผ่นใหญ่ ไม่ต้องหาหลายอัน หลายๆ หน้ากล้อง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:22:29

ความคิดเห็นที่ 40   เอาทุกอย่างมาประกันก็จะได้ประมาณนี้ครับ รวมกล้อง รวมเลนส์ก็จะประมาณ สามสี่สิบโลได้ แบกขึ้นบ่านาน ๆ บ่าจะหักได้ เราจึงมาตัวช่วยครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:26:16 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:24:29

ความคิดเห็นที่ 41   ตามภาพเราเรียกว่า steady cam มีหน้าที่ช่วยทำให้ภาพนิ่ง นุ่มขึ้น  แล้วก็ร่า่งกายไม่รับภาระน้ำหนักกล้องมาก เพราะมีกระดูกงูช่วยถ่ายน้ำหนัก ประกอบเสร็จน้ำหนักจะร่วมห้าสิบโลครับประมาณสาวๆ หนึ่งคนเลยนะเนี่ย เนื่องจากต้องถ่วงน้ำหนักให้สมดุลภาพจะได้นิ่ม  ช่างภาพจะต้องแข็งแรงมาก ๆ  แบกวิ่งสักสามนาทีก็นิ่งแล้วครับ ค่าแรงก็ ไม่กี่หมื่นต่อคิวครับ แค่ห้าหมื่นเอง วันหนึ่งควงสองคิวรวยครับ ในภาพใช้กรณีไม่ใช้ตั้งบ่า ขากล้อง ดอลลี่ เครนนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:35:42 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:33:52 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:31:33

ความคิดเห็นที่ 42   ส่วนตัวนี้คือกล้องถ่ายหนังดิจิตอล การทำงานจะเป็น จากฟิล์ เป็น ccd 3 ตัว เราจะไม่ใช้ cmos เพราะว่า ccd สีอิ่มตัวกว่า ภาพที่ออกมาก็จะเป็นไฟล์ raw ของกล้องนั้น โดยของ arri เรียก  arri raw ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:40:33

ความคิดเห็นที่ 43   ในการถ่ายทำ เราจะจดทุกอย่าง ตั้งแต่ ถ่าย speed เท่าไร t stop เท่าไร ระยะถ่ายกี่ฟิต จากวัตถุ เลนส์อะไร ฟิตที่เท่าไรถึงเท่าไร โดยกล้องหนึ่งตัวจะใช้ผู้ช่วยประมาณสามสี่คน โดยช่างภาพจะทำหน้าที่คุมแค่องค์ประภาพ จัดแสง ช่างภาพที่สองก็จะช่วยเหลือกล้อง โฟกัส จัดแสง แบกหาม วัดระยะ ช่างภาพที่สามก็ช่วยด้านโฟกัส ซูม จัดแสง แล้วก็แบกหาม วัดระยะ ช่างสี่ โหลดฟิล์ม แบกหาม เขียนรายงานกล้องว่าถ่ายยังไง ตีสเลท ตำแหน่งหน้่าที่สลับกันได้นะครับ จบแล้วครับ ส่วนของกล้อง แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 22:52:30 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 17:09:55 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 14:56:16 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:59:12 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:57:07 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 11:50:20 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:44:52

ความคิดเห็นที่ 44 เซ็๋นเซอร์น่าจะลองเปลี่ยนเป็น Foveon หุหุหุ จากคุณ : นักล่าภาพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:24:12

ความคิดเห็นที่ 45 ช่างภาพคนที่สามนี่งานหนักสุด แบกหมาด้วยอ่ะ -"- ไอ้เจ้าตัวทำให้นิ่ง มันทำไงให้นิ่งครับ เวลาวิ่งเร็วๆนี่มันยังนิ่งหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 13:40:12 จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:38:44

ความคิดเห็นที่ 46 โอ่ รายละเอียดเยอะมากมายจริงๆ ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันกันครับ จากคุณ : V_MAN เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:03:19

ความคิดเห็นที่ 47 ^ ^ จิ้มไปที่ คห.45 55555555555555555555 งานหนักจริงๆ เข้ามาแก้ไขจิ้มช้าไปโดน 46 มาขวาง แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 14:09:44 จากคุณ : แพรมรกต เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 14:07:54

ความคิดเห็นที่ 48 โอยขอบคุณมากครับ ความรู้ๆจริงๆ อยากรู้เรื่องดอลลี่ กับระบบอัดเสียงด้วย พอจะได้ไหมครับ จากคุณ : chongkho เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:25:34

ความคิดเห็นที่ 49   เี่ดี่ยวเขียนให้ พวกระบบสนับสนุนต่าง ๆ ของกล้อง นะตอนนี้พักหน่อย กว่าจะเขียนจบ เกือบเสียชีวิต เ่ขียนไปร้องไป ดีนะช่วงนี้อยากหาไรทำ แก้เบื่อ แก้อกหัก จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:39:21

ความคิดเห็นที่ 50   steady cam นั้นเราจะใช้วิธีเอาน้ำหนักมาถ่วง ซ้าย ขวา หน้า หลังให้เท่ากัน จะให้กล้องรู้สึกเบาขึ้น แต่จริง น้ำหนักได้โดนโอนถ่ายไปยังร่างกายของคนใช้แล้ว ซึ่งมันจะเบาคล้าย กับมีโช็คอัพ ภาพที่ออกมาก็จะนิ่ง ๆ นิ่ม ๆ อย่าช็อตที่วิ่งหนียาว เคยสงสัยไหมถ่ายไงไม่มีไหวเลย เขาใช้ตัวนี้หละครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 16:02:41

ความคิดเห็นที่ 51 เจ๋งๆๆ จากคุณ : pompomgirls เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 17:34:01

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณคะ ความรู้ละเอียดยิบ เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้รอดไวๆ คะ จากคุณ : littlere เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:13:20

ความคิดเห็นที่ 53   มาเรื่องของขาตั้งกล้อง มันก็ขาที่ช่วยทำให้การถ่ายภาพง่ายขึ้น ได้ภาพที่นิ่ง เหมาะสำหรับ ง่านที่ง่าย เ่ช่นแพน ทิวล์ โดยแพนคือการโยกซ้ายขวา  ทิวล์คือการโยกหัวกล้องขึ้นลง โดยขากล้องนั้นถ้าเป็นขาอย่างดี ก็มีเกียร์ให้เข้า ปรับหนืดได้ว่าจะแพนนิ่มแค่ไหน เหนียมมากหรือไม่ โดยหัวขากล้อง ก็จะมีแบบหัวน้ำมัน จะใช้วิธีทำให้หนืดโดยน้ำมัน กับแบบเกียร์ โดยถ้าใช้แบบน้ำมันต้องทำการหมุนขึ้นลงสักยี่สิบรอบ ก่อนใช้งานเพื่อให้ขากล้องมันมีการกระุตุ้นน้ำมันวิ่งไปทั้วหัว จะได้ไม่ได้ติด โดยในอุปการณ์ขากล้องนี้ จะแบ่งเป็นสามส่วนคือ ส่วนของขา ส่วนของสไปเดอร์ที่เป็นสามแฉกคล้ายโลโก้รถเบนส์ โดยตัวนี้จะช่วยให้ขาไม่ไหลลื่นออกจากกัน และสุดท้ายคือหัวขากล้อง ครับ โดยขากล้องจะมีสองแบบคือ ขาสูงกับ ขาเตี้ย แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 19:54:34 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:46:57

ความคิดเห็นที่ 54   อันนี้หัวกล้องแบบเกียร์ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:48:16

ความคิดเห็นที่ 55   อันนี้หัวน้ำมันครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:03:55

ความคิดเห็นที่ 56   จะสังเกตุได้ว่าเพล จะสามารปรับหน้าหลังได้ เพื่อบาลานซ์กล้องครับ โดยการปรับ เราจะทำการสไลด์หน้าหลัง โดยปล่อยทิลว์ฟรี ครับ กล้องจะต้องอยู่นิ่งๆได้โดยไม่กระดกหรือทิ้ม ครับ ไ่ม่งั้นกล้องจะหนักมากเวลาแพน ทิวล์กล้อง ส่วนของหัวขาตั้งกล้อง ถ้าเป็นรุ่นดี ๆ นี่จะสามารถปรับหนืดได้เป็นปุ่มกดเลยครับว่าหนืดมากน้อย แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 02:33:47 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:05:46

ความคิดเห็นที่ 57   มาต่อเรื่องของดอลลี่ จะให้เทคนิคทางภาพ ที่ภาพเคลื่อนเข้าหาวัตถุ และขนานไปกับวัตถุ ซึ่งจะแตกต่างกับ zoom กับ till โดยการดอลลี่จะทำบนรางแล้วเอากล้องไปวิ่งบนราง หรือไม่ก็เอาล้อติดขากล้องก็ไ้ด้ (ไม่ค่อยนิ่ม) โดยการไปทางซ้ายขวาเรียก ดอลลี่ ซ้าย ขวา การไปข้างหน้าหลัง เรียกว่า แทรก เข้า ออก จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:10:18

ความคิดเห็นที่ 58 ได้สาระความรู้เปิดหูเปิดตามากเลยครับ จากคุณ : Son&Ning เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:37:57

ความคิดเห็นที่ 59 อ่านมันส์เลยครับ ความรู้ด้านภาพยนต์เลย ขอบคุณครับที่ทำให้ผมได้หายสงสัยในหลายด้าน รออ่านชุดต่อไปนะครับ เห็นด้วยเลยสำหรับการเปิดห้องหนังสั้น จากคุณ : PONDX เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 20:50:57

ความคิดเห็นที่ 60   แอบห้องชาวบ้านเขาไปก่อนนะเดี่ยวถ้าฮิตแล้วค่อยว่ากัน เรื่องห้องหนังสั้น แล้วก็จะทยอยเขียนบ้างพักบ้าง แบบพิมพ์นานก็มีเมื่อยบ้าง พิมพ์ผิดมีปล่อยไก่บ้าง อย่างแบกหมา.....เอาซะฮา แก้ไม่ทันนเลย จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:27:34

ความคิดเห็นที่ 61 ผมอยากรู้เรื่องหนึ่งมานานแล้วครับ เวลาเขาถ่ายหนังที่มีคนพูดคุยตัดไปมาเป็นหลายๆช็อตอ่ะครับ (สมมติคุยกันสองคน) เขาตัดต่อเสียงยังไงเหรอครับ มันถึงได้นุ่มลื่นไม่มีช่วงต่อของการตัดเลย หรือว่าใช้ไมค์ที่เก็บเฉพาะเสียงพูด ตัวหนึ่ง ครั้งหนึ่ง (ควบคุมบรรยากาศรอบๆให้เงียบที่สุด?) แล้วเอาไมค์อีกตัวไปเก็บเสียงบรรยากาศรอบๆตัว อีกครั้งหนึ่ง แล้วเอามาผสมกันครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : PD2002 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:20:41

ความคิดเห็นที่ 62   ต่อมาเรามาดูอุปกรณ์ที่ใช้การบอกว่าเราถ่ายอะไรเมื่อไร ซึ่งเรียกว่า Slate ภาษาไทยก็อ่านว่า สเลด ไม่ค่อยเพราะหูเลยว่าไหม เอาหละ ไอ้ของตัวนี้มีไว้ใช้บอกว่าถ่ายอะไรยังไงเมื่อไร ซีนอะไร คัทอะไร เทคอะไร แล้วก็ใช้ในการช่วย sysnc เสียง เนื่องจากกล้องถ่ายหนัง จะมีไม่กี่รุ่นที่อัดเสียงได้ แต่เราไม่นิยม เราจะอัดเสียงข้างนอก โดยใช้เครืองอัดเสียงโดยตรงเืผื่อเสียงที่ใสๆ ทีนี่สังเกตุด้านบน สเลดนะครับมันจะอ้าได้ ไอ้ตัวนี้เรามีไว้อ้าแล้วสับให้เกิดเสียงดัง ๆ เพื่อใช้เวลาในการsysnc เสียงในเครื่องตัด โดยภาพ กับเสียงที่งับจะต้องตรงกัน แต่ถ้าไม่อัดเสียง จะปิดไว้ไ่ม่เปิด คือปิดไว้แบบนี้หละ แต่ก็มีกรณีพิเศษที่บางช็อตไม่สามารถไว้หัวฉากได้ เราจะทำการยิ่งที่ท้ายฉาก แล้วกลับหัว ตี หลังจากสั่งคัด แล้วผุ้ช่วยกล้องก็จะ ขานว่า end slate แล้วก็ตีปิด เป็นอันรู้กันว่าฉากนี้เราปิดข้างหลัง ทีเนี่ยเราจะต้องพกไว้หลายๆขนาดเพราะบางที่ใหญ่ไปก็ถ่ายไม่ได้ ส่วนคำศัพท์ก็ตามนี้เลย ที่บนกระดาน เราก็เขียนเอา สเลดยังมีแบบดิจิตอลด้วยก็ช่วยในการsysnc ใ้ห้ง่ายขึ้น ส่วนสี ๆ ข้่างบนไว้จุนสีเวลาล้างฟิล์มไม่ใ้ห้เพี้ยน คร่าว ๆ พอเข้าใจนะครับ ดังนั้นกล้อง 7d เสียงไม่ใส่ไม่เป็นไร เรามาอัดข้างนอกแล้วsysnc ทีหลัง ส่วนอุปกรณ์พิเศษทางภาพจะพวก jeeb ที่เป็นเครนขนาดเล็ก rig ตัวเกาะกล้องกับรถ hot head รีโมท์กล้อง ที่ใช้หมุนหัวกล้องบนเครน ผมจะไม่กล่าวนะครับ เพราะรายละเอียดแต่ละอย่างมากให้ถามคนเช่าว่าอันนี้ใ้้ห้ผลอะไร แถมคนไทยไม่เรียกด้วยมีชืิ่อภาษาไทยด้วย แบบตั๊กแตน ฟังครั้งแรกงงเลยอะไรอะ เรียนมาไม่มีนะตัวนี้ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 22:30:32 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:22:29

ความคิดเห็นที่ 63 จขกท. เรียนภาพยนตร์รึป่าวคะ ?​ กระทู้นี้ เป็นประโยชน์กับเรามากกกกกก เพราะเราเพิ่งเรียนภาพยนตร์ปีแรก ขอเก็บเข้าคลังเลยละกันนะคะ :) จากคุณ : เคโระเคียวโรจัง~ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:35:34

ความคิดเห็นที่ 64   มาพูดการอัดเสียง การอัดเสียงภาคนี้เราจะตัดเรื่องอุปกรณ์เลยนะครับ แต่จะเป็นเทคนิคอัดเสียงเพียวๆ การอัดเสียงจะต้องทำการอัด scene ต่อ scene ครับ เพียงแต่ฉากไหนมีใช้อารมณ์มากก็จะมีการส่งอารมรณ์ ส่งบทพูดแลปบ้าง เป็นเหตุผลว่าทำไมนักแสดงต้องเ่ก่ง เพราะไม่ใช่วีดีโอที่อัดยาว แล้วไปสวิทตัดสลับ ได้ทันที ทีเนี่ย การอัดเสียง เวลาอัด จะต้องมีคนเขียนรายงานด้วยว่า เอามาจากฟิล์มม้วนอะไร ฟิตที่เท่าไร ถึงเท่าไร แล้วก็ใครอัด เวลาอัด เราจะกดบี๊บ คันให้รุ้ว่าเสียงหยุดตรงนี้ เวลาดูในคอมมันจะขึ้นเป็นดำ ๆ ใหญ่ ในเวฟฟอร์ม แล้วเราจะอัดตั้งแต่ ขาน กล้องพร้อม  ไฟพร้อม เสียงพร้อม ตรงนี้กดอัดเลย แล้ว ช่างภาพจะร้อง camera speed action ผู้ช่วยกล้องจะเข้าไปตีสเลด แล้วขาน ซีน คัด เทค แล้วตีสเลด แต่ถ้าเอ็นสเลด ผุ้ช่วยก็จะขาน หลังถ่าย ว่าเอ็นสเด ซีน คัด เทค เพื่อจะได้รุ้ว่ามาจากอันไหน โดยที่กล้องยังต้อนรัน พอตีแป๊ก กล้องถึงจะหยุดรันได้ แล้วตีสเลดกลับหัว เสียงแป๊ก อันนี้จะแหลมปรี๊ด ในเวฟฟอร์ม เราก็จะเอาอันนี้ จับให้พอดีกับภาพที่ปิดพอดี แค่นี้ปากก็ตรงกันแ้ล้ว อันนี้กรณีอัดเสียงในกอง การอัดเสียงทุกคนจะต้องเงียบเป็นอันรู้กัน ถ้าคนอัดเสียงฟังแล้ว มีเสียบประหลาดแลปเข้ามา เช่น อัดอยู่ดี ๆ มีเสียง ตีป๊อก ๆ บะหมี่เกี่ยวมาแล้วจ้า ก็ต้องคัด อัดใหม่ ทีนี้หลายคนส่งสัยอีก อัดทีละคัดเวลาตัดเสียงก็ไม่นิ่มดิ ใช่ครับ เรามีวิธีแก้คืออัดเสียงบรรยกาศ เรียกว่าแอมเบียนซาวด โดยเวลาอัด จะบอกให้ทุกคนเงียบห้ามพูดอะไรเลย แล้วก็อัดไปประมาณ สองหน้าที่ แล้วพวกเสียงประกอบต่าง ๆ เช่น เสียงเปิดปิด ประตู เสียงเดิน เราเีรียก โฟเล่ สรุป เสียงต้องอัดแยกทุกอย่าง อยากไ้ด้อะไรอัดไปใส่แล้วทำในแลป แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 01:21:51 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:45:30

ความคิดเห็นที่ 65   อันนี้สเลดครับ จะมีตรงคำหนึ่งที่ต้องบอกเดี่ยวงงอีก คืออะไร MOS คือ ไม่อัดเสียง ย่อมากจาก mith out sound เนื่องจากเยรมันตอนนั้นภาษาอังกฤษไม่เก่งเลยอ่านแบบนี้ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 22:48:04 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:46:37

ความคิดเห็นที่ 66   เรียนเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนนี้ทำงานด้านถ่ายภาพมากกว่าถ่ายหนังครับ  เคโระเคียวโรจัง~ แต่ก็มีถ่ายบ้าง เรียนฟิล์มในไทยนะครับ จะบอกว่ามหาลัยที่มีกล้องพวกนี้ให้เล่นมี ม.รังสิต ครับพร้อมไม่แย่งกันใช้เท่าไร  ม.อื่นต้องเช่าเอา ไม่ก็เป็นรุ่นแบบโบราณ แ่ย่งกันใช้งานอีกต่างหาก แบบว่าชุดหนึ่งสิบล้านใครจะกล้าลงทุน โดยหลักจะเป็นวีดีโอมากกว่าครับ แต่ไหนแต่ไร เมืองไทยจะเน้นคอนเซป แต่มีรังสิตที่จะเรียน อุปกรณ์ บวก คอนเซป เนื่องจากมีเงินครับในการซื้อของ บางคนก็ชอบบางคนก็ไม่ชอบ แต่พวกในวงการโดยมากชอบ จบมาทำงานได้เลย ไม่้ต้องหัดมาก แต่ต้องเรียนเรื่องคนเซปนิดหนึ่ง ปีแรกยังไม่เรียนพวกนี้ครับ ต้ัองเรียนถ่ายภาพก่อน ถึงจะข้ามมาตัวนี้ได้ มันแอดวาส์กว่ามาก ต้องเข้ากล้องถ่ายรูปแบบอย่างดี ไม่งั้นจะไม่รอดเอานะ เจอกล้องหนัง แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 23:17:31 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 23:05:09

ความคิดเห็นที่ 67 ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ จากคุณ : badhermit เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 23:10:16

ความคิดเห็นที่ 68 ขอบคุณมากๆครับ ขอถาม2ข้อนะครับ ผมเป็นคนชอบดูหนัง แต่ไม่รู้จะไปถามเรื่องนี้กับใครดี ตอนนี้เจอผู้รู้แล้วฮะ 1 ปัจจุบันหนังhollywoodใหม่ๆ ทำไมยังไม่ยอมใช้digitalกันหมดหละฮะ(ถ้าเมืองไทยผมก็อาจเข้าใจได้ว่าอุปกรณ์มันแพง) อย่างล่าสุด new moonก็เห็นใช้filmฮะ  หรือว่าเรื่องภาพยังสู้ไม่ได้(ไม่เหมือนกล้องถ่ายรูปที่ digitalทดแทนfilmไปเกือบสิ้นเชิงแล้ว) 2 ถ่ายเป็นfilmจะเก็บภาพแบบanalog(เหมือนfilmรูปภาพใช่ไหมครับ) ทีนี้ พอถึงขั้นตอนการใส่สี ใส่CG ต้องแปลงให้เป็นdigital(ผมเข้าใจว่าคงมีเครื่องscanอะไรอย่างนี้) พอใส่CGแต่งภาพเสร็จ ก็ต้องแปลงเป็นfilmเพื่อไปฉายอีกทีใช่ไหมครับ(ตอนนี้งงแล้วว่ามันทำได้ด้วยเหรอ) แบบนี้ไม่ถ่ายเป็นdigitalตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องหมดราว(โยงไปคำถามข้อหนึ่งฮะ)  ผมเข้าใจของผมแบบบ้านๆนี้มาตั้งนานแล้ว รบกวนพี่อโลฮ่าหนึ่งสองสามไขข้อกระจ่างให้หน่อยครับผม จากคุณ : phonlamai เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 23:45:17

ความคิดเห็นที่ 69 จากความเห็นที่ 64 ผมมีข้อสงสัยเพิ่มเติมครับ กรณีไปถ่ายที่ชายทะเล บนเขา ที่มีลมแรงๆ แบบนี้อัดเสียงอย่างไรเหรอครับ เพราะถ้าดูภาพยนตร์คุณภาพของเสียงจะดีมากคือ เสียงผู้พูดชัดเจน และเสียงบรรยากาศจะไม่ไปกลบเสียงผู้พูด เหมือนกับละครหลังข่าวอ่ะครับ แล้วขนๆตรงไมค์บูมนั่นช่วยอะไรได้มากแค่ไหนอ่ะครับ มันจะช่วยตัดเสียงลมแล้วเก็บแต่เสียงพูดได้เนียนแบบนั้นเลยเหรอครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : PD2002 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 00:38:36

ความคิดเห็นที่ 70   มาตอบก่อนนอนนะ ครับ ความคิดเห็นที่ 68 เหตุผลที่ยังไม่ใ้ช้ฟิล์มผสม มีอยุ่สองข้อใหญ่ที่ทราบคือ หนึ่งดิจิตอล เรื่องสีสรร ความอิ่มตัวยังสู้ฟิล์มไ่ม่ได้ สองเรื่องราคา การทำดิจิตอลแล้วพิมพ์ฟิล์มจะแพงมาก  ไม่แน่ใจว่าวินาทีฉายละ 2000 บาทหรือเปล่านะไม่ได้ตามราคานานแล้วพิมพ์นาทีละเป็นแสน ดังนั้นจึงนิยมใช้ดิจิตอลถ่ายทำเอเฟคลดค่าใช้จ่ายฟิล์มไป เพราะถ้าถ่ายฟิล์มจะต้องแปลงเป็นดิจิตอลด้วยเครื่องเทเลซีน ก่อน ซึ่งตกประมาณชั่วโมงทำงานละ 20,000 บาท แล้วจึงไปทำเอเฟค แล้วจึงไปพิมพ์ฟิล์มซึ่งเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน ขั้นตอนมากขึ้น เสียเวลาโดยใช่เหตุ สุ้ถ่ายดิจิตอล แล้วทำเอฟเฟคให้เสร็จแล้วก็ยิงฟิล์มเลย จะถูกกว่าเว้นแต่หนังนี้ fx มาก ๆ ก็ใช้ดิจิตอลทั้งเรื่องเลย จากความเห็นที่ 64 เืรื่องเสียงถ้าเสียลมดังฟู่ๆ มากๆ เราจะใส่ตัีวขน ๆ เรียกว่า วินด์ชิล ที่บอกหละครับลดตัดเสียงได้ ค่อนข้างดีในระดับ คือบางทีก็ตัดได้หมด บางทีก็เกอืบหมด มีฟุ่บ้างเล็กน้อย แล้วเรื่องเสียง เขาอัดสดครับ เว้นแต่ถ้าไม่ดีก็พากษ์ทับเลย โดยไมค์ที่ใช้อัดจะมาีองศาการับเสียงแคบมากเพื่อตัดเสียงรอบข้าง เสียงจึงใส ซึ่งเรียกว่าไมค์คอนเดนเซอร์ แต่ว่าในวงการหนังจะเรียกช็อตกัน ราคาเฉพาะไมค์ก็เป็นแสนแล้วครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 01:37:39

ความคิดเห็นที่ 71 กระทู้ยอดเยี่ยม จากคุณ : pipek (yukraider) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 03:49:32

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณครับ สุดยอดมากครับ จากคุณ : phonlamai เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:08:09

ความคิดเห็นที่ 73   แจม คคห. 1 ที่บ้านเราไม่มีกล้อง Panavision เพราะกล้องนี้ไม่ขายครับ ให้เช่าอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอยากซื้อคงต้องซื้อไปทั้งบริษัทครับ  ;-p จากคุณ : ทรมาน เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:21:51

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณมากๆค่ะ ได้ความรู้มากๆเลย จขกท.เข้มแข็งไว้นะคะ อกหัก เดี๋ยวก็หาย มีเพื่อนๆในนี้คอยให้กำลังใจเยอะแยะ สู้ๆค่ะ จากคุณ : SiErRaPuY เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 12:47:29

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณครับ สปิริตสุดยอดเลย เป็นกำลังใจให้ครับ จากคุณ : my name's bond james bond เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:00:08

ความคิดเห็นที่ 76   กำลังใจมีแยะ ขอบคุง กิจกรรมแก้เหงา แก้บ้าของคนอกหัก 555 ปล.ใครให้สอนไรบอกมา จัดให้ จะให้จัดทริปถ่ายภาพก็ได้น้าสอนเอง หรือสอนทำหนังก็ได้แต่อุปกรณ์หากันเองนะ ไม่มีปัญญาซื้อแพงมาก แต่บอกกอ่นนะเผื่อไม่อยู่ไทย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 16:49:23 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 16:36:52

ความคิดเห็นที่ 77   มาต่อกันดีกว่า คราวนี้มารู้จักเครื่องบันทึกเสียง โดยหลักๆ จะมีสองแบบคืออะนาล็อก กับ ดิจิตอล ในภาพจะเป็น อนาล็อก แปดแทรก หน้าตาไม่พัฒนาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ยังมีคนใช้นะครับ เราเรียกว่า nargra เป็นเทคโนโลยีเยรมัน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 17:56:31

ความคิดเห็นที่ 78   ส่วนตัวนี้เรียกว่า DAT เป็นดิจิตอล ปัจจุบันจะนิยมใช้ตัวนี้มากกว่าเนื่องจากเสียงจะใสกว่าอันนี้ของโซนี่จะดีกว่าของเยรมัน แต่ว่าหูฟังนี่ต้อง ชไนเดอร์เยอรมันครับ เสียงไม่ลอย หูหนึ่งห้าหมื่นกว่าๆ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 18:17:23 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 17:58:25

ความคิดเห็นที่ 79   ตัวนี้มิกเซอร์สนาม คนถือไมค์ จะต้องไว้กับตัวคอยปรับแต่ง และก็ปรับแต่งที่เครื่องอัดอีกที จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:00:10

ความคิดเห็นที่ 80   อันนี้ไมค์บูม ครับ ก็จะมีตัวไมค์ กับตัวกรองเสียง แบบกรองหยาบ กับกรองเสียงฟุ่จากลม ซึ่งเวลาอัด เราจะเน้นให้ตัวแสดงโปรเจคเสียงคือให้พูดดังๆไว้ก่อน เพราะจะได้ลดเสียงบรรยากศลง เพราะว่าถ้าเคยฟัง เวลาเงียบสุดๆมันไม่ได้เงียบจริง แต่มันมีเสียงลม เสียงนก เสียอากาศลอยอยู่จึงต้องให้เบาสุดเวลาอัด แล้วค่อยไปปูทับอีกทีเวลาตัดต่อเสียงจะได้นิ่ม ๆ ถ้าอัดมาเสียงบรรยากาศดัง เสียงพูดเบาฟังจะไม่รู้เรื่อง แถมแต่ละที่เสียงบรรยกาศจะไม่เท่ากันด้วย แถมมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นห้องเปล่าๆไม่ีมีอะไรเลยเสียงก็จะไม่เหมือนกัน แม้จะเงียบเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 00:23:02 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:04:05

ความคิดเห็นที่ 81   ในส่วนเรื่องระบบเสียง srs srd dts พวกนี้ผมจะไม่กล่าวเพราะไม่รู้ครับ แบบว่ามันเกินเอื้อมรุ้จักคนไทยทีี่ทำงานด้านนี้เงินเดือนหลายหมื่น แต่ถ้าการผสมเสียงตัดต่อเสียง ถามไดุ้ และก็มีคนถามมาหลังไมค์ว่า จะซื้อ 7 d มาถ่ายงานดีไหม ผมตอบไปแล้วแต่เห็นว่ามีประโยชน์เลย เอามาเสนอข้างหน้า คือ ถ้าคุณคิดว่าจะถ่ายงานทั่วไป ไม่ควรเอามาถ่ายวีดีโอ เพราะจะต้องใช้คนถ่ายหลายคน ตั้งแต่ช่างภาพ คนโฟกัส คนซูม คนอัดเสียง น้องๆ โปรดักชั่นหนังเลยครับถ้าจะเอางานดี อีกอย่างอุปกรณ์เสริมยังไม่มีมากพอด้วยเลยไม่แนะนำ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 18:13:28 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:11:10

ความคิดเห็นที่ 82   คราวนี้เราจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับแสงครับ ภาพล่างคือภาพเครื่องวัดแสงแบบดิจิตอล จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:35:49

ความคิดเห็นที่ 83   ส่วนอันนี้เป็นแบบอนาล็อก จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:42:25

ความคิดเห็นที่ 84   ทีนี้จะอธิบายในส่วนของการวัดแสง ในการวัดแสงถ่ายภาพยนตร์ เราจะไม่วัดspeed แบบกล้องทั่วไป แต่เราจะใช้ speed กล้องภาพยนตร์วัด โดยเราจะวัดที่ 24 fps ถ้าดูในรูปอะนาล็อก จะเห็นขีดแดง ๆ ที่24 นั้นหละครับตรงนั้นเป็นจุดอ้างอิง ว่าจะต้องเปิด T stop เท่าไรซึ่งถ้าใช้กล้องถ่ายภาพธรรมดาจะเทียบเท่ากับ slr ที่ 50 เพียงแต่เครื่องดิจิตอลจะละเีอียดกว่ามาก ในการวัด และข้อแตกต่างอีกข้อคือ ถ้าใช้เครื่องแบบอนาล็อกถ้าแสงมากไปจะต้องใช้ back slide ใส่เข้าไปในหัวบอลเพื่อทอนแสงลงจะได้วัดแสงได้ไม่งั้นเข็มจะตีกลับสุดๆ ในการวัดแสงอาชีพ จะวัดเป็น F T แต่ถ้าวัีดละเอียดเราจะวัดเป็น foot candle (แรงเทียนครับ) จะไ่ม่วัดเป็น ev lux มันเลขทศนิยมคำนวนยากกว่า แต่ถ้าแรงเทียน จะเป็นหลักสิบร้อยพัน จะคำนวนหาอัตราส่วนแสงได้ง่ายกว่า เนื่องจากเวลาจัดแสง ถ้ารู้ตามกฎไฟสามดวงก็จะง่าย คือถ้าจัดแสงตรงหน้าจะแบนไม่มีมิติ คนจะไม่มีดั่ง ก็ต้องมีการจัดซ้ายขวาไม่เท่ากัน เพื่อให้เกิดมิติ ซึ่ง การจัดแสงเราจะคำนวนอัตราส่วนของแสง เช่น 1:64 1:32 1:16 เป็นต้น เพื่อที่ว่าแสงจะไม่แบน หน้ามีมิติ ฉากหน้าหลังไม่หลุด เรื่องของการจัดแสงนี่พิมพ์สอนไม่ได้ต้องภาคสนามครับ แบบมันยากเกินอธิบายด้วยอักษร มันต้องลงมือ แล้วทำเลย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 22:07:17 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 22:03:08 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:46:24

ความคิดเห็นที่ 85   นอกจากวัดแสงแล้ว ในงานถ่ายภาพยนตร์ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับสีีที่เกิดขึ้นด้วย ดังนั้น การวัดแสงยังไม่พอเพียง เรายังต้องวัดอุณหภูมิสีด้วยว่า ไฟที่เราใช้จัดสีไม่เพี้ยน แสงสีออกมาตามต้องการ ซึ่งเราจะวัดเป็น องศาเควิน เพราะกล้องถ่ายหนังไม่มี wb ครับ มีแต่ เดย์ไลย์ กับ ทังสเตน หลายคนคงงง มีคนใช้ด้วยหรอ คำตอบมีในงานอาชีพ ภาพล่างเป็นเครื่องวัดอุณหภมูิสี แบบองศาเควิน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:59:32

ความคิดเห็นที่ 86   โดยเวลาเราจัดแสง ไฟเนี่ยเราจะมีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยเพื่อให้สีออกมาตรง แสงออกมาตรง ซึ่งจะมีเจลสีๆ ใส่หน้าไฟ เช่นสีฟ้า สีส้ม สีเทา และกระดาษไข นอกจากนี้ยังมีผ้าดำ โกโบลที่จะมาช่วยในการคัดแสง ตัดแสงให้น้อยลงหากไฟแรงไปแล้ว เราฟลัดไฟสุด ๆ แล้วยังไม่ได้ ก็จะใช้ตัวพวกนี้คัดแสง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 22:14:36

ความคิดเห็นที่ 87   นี่ขนาดยังไม่จบนะเนี่ย อ่านแล้วมึนเลย ล้ำลึกจริงๆ จากคุณ : teevigo เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 23:59:57

ความคิดเห็นที่ 88   ซี่รี่ย์นี้ยาวครับต้องค่อยๆ เขียน ค่อยๆ นึก แบบว่ามันต้องรวบรวมองค์ความรุ้จากสมองครับ เพราะหนังสือไม่มีเหลือแล้ว ใช้ประสบการณ์เขียนครับ กับความจำสมัยเรียน เรียนจนได้ขี้เกียจนิยมซะงั้น ถ้าพลาดตรงไหนก็ิเสริม ก็แก้ได้นะครับ ถ้าอ่านจบและเข้าใจรับรองเลยว่าจะเข้าใจกล้องถ่ายภาพแบบทะลุ ทั้ง SLR FILM VIDEO และ มองเป็นของไม่ยากเลย เขียนมาตั้งนานพึ่งคิดได้ว่าลืมอธิบายการทำงานของกล้องถ่ายหนัง กล้องถ่ายหนังจะทำงานคล้ายๆกับกล้อง SLR เพียงแต่ต่างกันตรงที่ชัตเตอร์ของกล้องหนังหมุนตลอดเวลาไม่กระดกแล้วปิดแบบSLR โดยการทำงานคือแสงผ่านเลนส์ สะท้อนเข้ากระจกไปวิวไฟว์เดอร์ส่วน แล้วก็เข้าไปยังชัตเตอร์ส่วน ครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 00:16:10 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 00:12:28

ความคิดเห็นที่ 89 ได้ความรู้มากมาย ขอบคุณครับ จากคุณ : bedub เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 00:33:49

ความคิดเห็นที่ 90 ลงชื่อว่ายังตามอ่านอยู่ครับ เขียนได้ละเอียดดีจริง ๆ จากคุณ : ZoRtA เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 10:42:32

ความคิดเห็นที่ 91   คราวนนี้เราจะพูดถึงเรื่องการพิมพ์ฟิล์ม จากดิจิตอลกัน ในการพิมพ์ฟิล์มจากดิจิตอล นั้นเราจะพิมพ์จากเครื่องโดยใช้ไฟล์ภาพต่อเนื่องครับ เราจะไม่ใช้ไฟล์วีดีโอกันด้วยเหตุผลทางความละเอียดของภาพ ซึ่งนิยมจะใช้นามสกลุ TGA เป็นหลักเนื่องจากสามารถแยกบิทสี และ alpha chanal ได้ ซึ่งการพิมพ์ฟิล์มจะเป็นการใช้เลเซอร์ยิงกวาดสร้างภาพโดยตรงไปบนฟิล์ม ครับ โดยใช้เครื่องข้างล่าง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:48:58

ความคิดเห็นที่ 92   ส่วนเรื่อง เทเลซีนผ่านนะครับไปอ่านกระทู้ก่อนหน้าละกันเขียนไว้แล้ว ว่ามันคือกระบวนการแปลงจากฟิล์มเป็นดิจิตอล เป็นเทป จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:50:59

ความคิดเห็นที่ 93   ไฟที่ใช้ในการถ่ายหนัง จะไม่เหมือนไฟแฟลตถ่ายรูป โดยไฟที่ใช้ในการถ่ายหนังจะมีสามแบบคือ ไฟเดย์ไลท์ คือไฟที่ใ้ห้แสงแบบ เดย์ไลท์สีขาว ไฟทังเสตน ให้แสงทันสเตนสีส้ม และสุดท้ายคือไฟแบบคีโม ลักษณะคล้าย ๆ กับหลอดนีออน แต่ไม่ใช่นีออน ให้แสงสีนวลส้ม ออกขาว ซึ่งไฟทั้งหมดหลายคนอาจจะสงสัยไปซื้อไฟตามโฮมโปรถ่ายได้ไหม คำตอบคือได้ แต่ไฟพวกนี้จะกระพริบ จะไม่ฉายนิ่งๆตลอดเวลา เวลาถ่ายไปจะมีเฟรมกระพริบ เหมือนแสงไม่พอ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องไฟถ่ายหนังใช้ถ่ายหนัง โดยค่าไฟนี่ดวงหนึ่งอย่างถูกสุดก็แสนต้น แพงสุดเป็นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีไฟแบบพิเศษ ที่ใช้ถ่ายกลางคืนในทุ่งกว้างๆแบบกรณีไม่สะดวกจัดแสงอย่างพวก บอลลูนไลท์ เป็นต้น จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 14:59:27

ความคิดเห็นที่ 94   จบละครับ ต่อไปเขียนเรื่องอะไรดีครับ จัดแสงและวัดแสง ประวัติภาพถ่ายและภาพยนตร์ ดิจิตอลเทคนิค หรือว่า โพสโปรดักชั่น เสนอนะครับ ไม่อยากเขียนกระทุ้เดียว ยาวๆ อ่านเหนื่อยไปผมว่า จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 15:01:20

ความคิดเห็นที่ 95 ขอแก้...คห.ที่ 64 ตรงนี้นิดนึงนะครับ... ........ แล้ว ช่างภาพจะร้อง camera speed action ผู้ช่วยกล้องจะเข้าไปตีสเลด แล้วขาน ซีน คัด เทค แล้วตีสเลด....... ในกองถ่ายนั้น...ผู้ที่จะสั่ง ให้กล้องเดิน และ แอ๊คชั่นได้ คือ ผู้กำกับการแสดง หรือ ผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงที่กระทำโดยคำอนุญาตของผกก.เท่านั้นครับ เช่นเดียวกับการหยุดการถ่ายทำ....หรือการสั่ง "คัท" จะกระทำโดยผกก. ผู้ช่วย ผกก. และอาจเพิ่ม ผู้ควบคุมความต่อเนื่อง(continuity girl)เท่านั้น โดยขั้นตอนหลังจากทุกฝ่ายพร้อมและเงียบแล้ว เป็นดังนี้..... ผช.ผกก. : เทป ช่างเสียง  : เทปเดิน ผช.ผกก. : กล้อง ผช.กล้อง : สปีด ผช2.กล้อง : ( ขานสเลท บอกซีนและเลขคัทตามที่เขียนไว้...ตีสเลท แล้วรีบออกไป ) ผกก.     : แอ๊คคคคคคชั่น การแสดงจึงจะเริ่มขึ้น.....และจะสั่งตัด โดยผกก.หรือ ผู้ควบคุมการต่อเนื่อง ในกรณีที่ไม่ Match Action กับคัทก่อนหน้านี้เท่านั้น แม้ว่า จะมีเสียงรบกวน หรือ แสงจะเปลี่ยนกลางคัท....ทั้งช่างเสียง หรือ ช่างภาพ ก็จะไม่เป็นผู้สั่งตัดโดยเด็ดขาด ตามมารยาทครับ แต่จะรายงาน ข้อผิดพลาด หลังจากผู้กำกับสั่ง"คัท"ไปแล้วถ้ามี เพื่อให้มีการ"ถ่ายซ้ำ"หรือ Take อีกทีหนึ่ง การ"ถ่ายซ้ำ"นี้ โดยปรกติจะทำไม่น้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 คัท.....และอาจมีมากกว่า 50 ครั้ง ..........จนกว่าจะเห็นดีงามของทุกฝ่าย และ ผู้กำกับการแสดง พอใจครับ ปล.กระทู้นี้ให้รายละเอียดของกล้องและเสียงดีมากครับ จากคุณ : Filmnoir เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 15:57:30

ความคิดเห็นที่ 96   ช่วยได้แยะครับ เีขียนมากๆๆมีมึนเหมือนกัน บางที ผิดแก้ได้เลยนะ ผมเขียนคนเดียวกลัวพลาดเหมือนกัน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 17:52:33

ความคิดเห็นที่ 97 โวตฮะ กระทู้ต่อไปขอการจัดแสงวัดแสงครับ อยากทราบว่าเหมือนหรือแตกต่างจากการจัดแสงภาพนิ่งอย่างไรบ้าง (และทำไมละครช่อง7แสงถึงได้แข็งนักหนา อิอิ) จากคุณ : phonlamai เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:20:50

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบพระคุณมากครับ ^_^ คิดๆจะทำอยู่นานแล้ว ติดตรงเรื่องเสียงนี่แหละครับ อัดจากกล้องนี่เสียอรรถรสมากครับ คงต้องหาระบบอัดเสียงแยก จากคุณ : chongkho เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:28:29

ความคิดเห็นที่ 99   ถ้าเช่าเครื่องอัดเสียงนี่เป็นหลักพันกลาง ๆ ถึงหมื่นกว่านะครับ คิดให้ดี ผมว่าเช่าแต่ไมค์ แ้ล้วอัดผ่านคอมอย่างโปรแกรมพวกออดิชั่นครับ แต่ในบทความนี้ผมไม่ได้พูดถึงไวเลส ครับ คิดว่าคงรุ้จักกันนะครับ คือไมค์ลอยไร้สายที่ติดตัวกับคนพูดเลยครับ ใช้อันนี้แทนก็พอไหว ค่าเช่าไม่กี่บาท แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 22:44:05 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:38:21